คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : THE ROOMMATE - 11
(ไม่มีการตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก กรุณาฝากข้อความเสียงไว้หลังสัญญาณค่ะ…)
ลู่หานเลื่อนโทรศัพท์มือถือลงจากหู ก่อนที่จะใช้นิ้วเรียวแตะลงไปหน้าจออย่างแผ่วเบาเพื่อกดวางสาย
“เก้ออีกแล้วสินะ” ร่างบางพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นพร้อมกับเก็บสัมภาระทุกชิ้นแล้วเดินออกไปจากร้านที่ได้นั่งอยู่พักใหญ่ไป
ขาเรียวก้าวไปตามฟุตบาทอย่างไม่รีบเร่งแล้วยื่นแขนออกไปโบกแท็กซีที่กำลังแล่นมา “บ้านตระกูลโอที่มยองดงครับ” หลังจากที่ได้เข้ามานั่งในรถแล้ว ลู่หานก็บอกถึงจุดหมายปลายทางที่จะให้แท็กซี่ไปส่ง ก่อนจะค่อย ๆ พลิกของที่ขนมาด้วยดูเล่น ๆ
ของที่เจ้าตัวถือมาด้วยนั้นมีแค่กระเป๋าเอกสารกับเสื้อโค้ชอีกหนึ่งตัว วันนี้ลู่หานนัดกับคริสไว้ว่าจะเอาของสองอย่างนี้ที่คริสลืมไว้เมื่อสองเดือนก่อนในคอนโดมาคืน แต่ดู ๆ แล้วก็คงไม่ได้เรียกว่านัดกันซะเท่าไหร่ คงจะเป็นลู่หานแค่ฝ่ายเดียวที่ใส่ใจในนัดครั้งนี้ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าคริสคงจะลืมหรือไม่สนใจอย่างที่แล้ว ๆ มา แต่ก็ยังเลือกที่จะมารอ…
ร่างบางเก็บของทุกอย่างวางไว้แบบเดิม ก่อนจะถอนหายใจออกมาแล้วมองไปยังนอกกระจกรถอย่างไม่มีจุดหมาย
หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ระหว่างคริสกับชานยอลในวันนั้น ก็เรียกได้ว่าทั้งคริสกับลู่หานแทบจะไม่ได้คุยหรือติดต่อกันเลย มีแค่เพียงลู่หานคนเดียวที่คอยส่งข้อความหรือโทรหาอยู่ตลอด แต่คริสก็ไม่ได้สนใจจะตอบกลับมาหรืออะไรเลย จะมีก็แค่เพียงนาน ๆ ครั้งที่ยอมรับโทรศัพท์แล้วตอบเพียงสั้น ๆ เพื่อตัดบทสนทนาแล้วให้ลู่หานวางสายให้เร็วที่สุด เช่นเดียวกับครั้งนี้ วันก่อนลู่หานได้โทรไปหาคริสเพื่อที่บอกว่าคริสลืมของไว้แล้วตัวเองเพิ่งจะเห็นเลยจะเอามาคืนให้ ปลายสายก็ตอบกลับมาเพียงแค่ไม่กี่คำพร้อมกับรับปากว่าจะมาอย่างไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่นัก
“ถึงแล้วครับ” คนขับรถหันมาหาลู่หาน ก่อนจะบอกเจ้าตัวที่เอาแต่นั่งเหม่อและก็ยังไม่รู้ว่ารถได้แล่นมาถึงจุดหมายแล้ว
บ้านตระกูลโอ… บ้านที่ใคร ๆ ก็ต่างรู้จักในนามของบ้านนักธุรกิจมหาเศรษฐี
ลู่หานไม่เคยมาที่นี่ เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นบ้านของคนรักตัวเอง เป็นเพราะคริสไม่เคยพูดถึงบ้านหรือนึกจะพามาเลย แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้ใส่ใจเก็บมาคิดเล็กคิดน้อยสักเท่าไหร่ ลู่หานคิดว่าคริสคงจะไม่อยากให้เขามารู้อะไรกับเรื่องครอบครัวมากนัก เลยเลือกที่จะปล่อยมันไปและไม่เคยเรียกร้องอะไรเลย
และที่ลู่หานนั่งรถมาถึงบ้านคริสวันนี้ก็ไม่ได้มีเจตนาจะเข้าไปถึงในบ้านหรืออะไรทั้งนั้น เพราะถ้าทำแบบนั้นก็คงจะโดนคริสตะหวาดใส่เพราะทำอะไรไม่เข้าท่าอย่างที่เคยทำประจำแน่ เพียงแต่เจ้าตัวคิดว่าจะมาแค่กดกริ่งหน้าบ้านแล้วฝากของไว้กับคนที่เดินออกมาเปิดประตูให้เท่านั้น
ลู่หานยิ้มให้คนขับก่อนจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงเพื่อที่จะหยิบเงินจ่ายค่ารถออกมา ก่อนจะเหลือบไปเห็นรถที่กำลังเลี้ยวออกมาจากประตูบ้านซึ่งเป็นรถของคริส จึงบอกให้คนขับออกรถอีกครั้งเพื่อตามรถคันนั้นไป
ร่างบางลอบยิ้มแอบเข้าข้างตัวเล็กน้อย เพราะแอบหวังว่าคริสคงจะขับรถออกไปหาตัวเองตามที่นัดไว้ ก่อนจะหุบยิ้มลงแล้วถอนหายใจออกมาเบา ๆ เพราะอีกใจหนึ่งก็ไม่ได้หวังอะไร ถ้าหากคริสไม่ได้กำลังไปหาเขาแล้วกำลังไปเดินทางไปทำอย่างอื่น ก็ขอแค่ได้แอบมองและตามดูกิจกรรมในระหว่างวันของคนรักก็ยังดี
รถของคริสได้แล่นมาเรื่อย ๆ แล้วเลี้ยวเข้าไปยังโรมแรมแห่งหนึ่ง ลู่หานพ่นลมหายใจออกมาเล็กน้อย ก่อนจะหยิบเงินในกระเป๋าขึ้นมาจ่ายค่าแท็กซี่แล้วลงจากรถเพื่อตามคริสไป
โรงแรมแห่งนี้เป็นโรงแรมที่ลู่หานรู้จักดี เพราะเจ้าตัวเคยมาทานข้าวกับครอบครัวหรือแม้กระทั่งกับคริสอยู่บ่อยครั้ง พอเดินเข้าไปก็เลยถูกต้อนรับเป็นอย่างดีจากพนักงานที่คุ้นเคยกัน
“สวัสดีครับคุณลู่หาน วันนี้มาทานข้าวอีกรึเปล่าครับเนี่ย” หนึ่งในพนักงานที่ลู่หานเดินผ่านโค้งพร้อมกับทักทายอย่างเป็นมิตร
“อ๋อ เปล่าหรอกครับ”
“อ๊อ เมื่อกี้เห็นคุณคริสเดินขึ้นไปห้องจัดเลี้ยงชั้นห้า คุณลู่หานคงจะไปงานนั้นใช่ไหม งั้นเชิญเลยครับ มีอะไรขาดเหลือก็บอกได้ตลอดเวลานะครับ”
ห้องจัดเลี้ยงงั้นหรอ ? วันนี้คงมีงานอีกแล้วสินะ
“แล้วทำไมไม่บอก ตอบตกลงแล้วปล่อยให้ไปนั่งรอตั้งนาน” ลู่หานพึมพำออกมาเบาๆ ก่อนที่พนักงานคนเดิมจะถามลู่หานขึ้นอีกครั้ง
“อะไรนะครับ”
“…เปล่าครับ ผมขอตัวก่อนนะ” ลู่หานพูดพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปกดลิฟท์แล้วขึ้นยังห้องที่ว่าทันที
งานที่คริสมาในวันนี้เป็นงานเปิดตัวน้ำหอมยี่ห้อหนึ่ง ซึ่งคนที่จะเข้างานได้ก็ต้องเป็นคนที่มีบัตรเชิญเท่านั้น
ลู่หานมองไปยังบรรยากาศงานหน้าประตูทางเข้า ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบา ๆ พร้อมกับหันหลังกลับเพราะรู้ว่าตัวเองเข้างานไม่ได้ แต่ในจังหวะที่กำลังจะก้าวออกไปนั้นก็มีเจ้าหน้าที่หน้างานคนหนึ่งเดินเข้ามาทัก ทำให้เจ้าตัวต้องหันกลับไปหาซะก่อน
“มีการ์ดเชิญรึเปล่าครับ”
“อ่ะ เอ่อ…”
“อ้าวคุณลู่หาน ยังไม่เข้าไปอีกหรอครับ” ในขณะที่ลู่หานได้แต่อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ทำตัวไม่ถูก พนักงานคนเดิมที่คุยด้วยตอนอยู่ชั้นล่างก็เดินเข้ามาทัก ลู่หานยิ้มพร้อมกับขมวดคิ้วให้อย่างไม่รู้จะตอบอะไร ก่อนที่พนักงานคนนั้นจะหันไปพูดกับอีกคนซึ่งเป็นลูกน้องตัวเองขึ้น
“นี่น่ะแฟนคุณคริสที่เป็นหุ้นของงานน้ำหอมวันนี้ ชื่อคุณลู่หาน เป็นแขกวีไอพีของโรงแรมเรา รู้จักไว้ซะ”
“ข…ขอโทษครับคุณลู่หาน งั้นเชิญเข้างานไปได้เลยครับ”
“ขอโทษแทนเด็กมันด้วยนะครับ เชิญเข้าไปข้างในได้เลยครับ” ลู่หานพยักหน้าน้อย ๆ เป็นเชิงบอกว่าขอบใจ ก่อนที่จะหันไปยังหน้างานแล้วสูดลมหายใจเข้าไปลึก ๆ ก่อนจะพ่นมันออกมาตามเดิม
ว่าจะกลับแล้ว แต่เข้าไปดูแปปนึงคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง ?
ว่าแล้วลู่หานก็เดินเข้าไปในงานทันที บรรยากาศภายในนั้นมีนักข่าวพร้อมกับบรรดานักธุรกิจและบรรดาแขกเหรื่อผู้มีหน้าตาในสังคมเต็มไปหมด ลู่หานมองไปยังรอบ ๆ งานด้วยสีหน้ากังวลเล็กน้อย เขาไม่ค่อยคุ้นชินกับงานพวกนี้สักเท่าไหร่ ก็จริงอยู่ที่ครอบครัวก็มีฐานะดีและมีกิจการใหญ่โตอยู่บ้าง แต่เอาเข้าจริง ๆ งานสังคมพวกนี้ก็ไม่ค่อยได้ติดตามพ่อกับแม่มาสักเท่าไหร่ จะมีบ้างก็นาน ๆ ครั้ง เลยทำให้เจ้าตัวแอบกลัวอยู่เล็กน้อยว่าอาจจะไปทำอะไรที่ดูไม่เข้าท่าให้คนในงานเห็นรึเปล่า ยิ่งงานนี้เป็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญซะด้วยสิ
ลู่หานก้มหน้าลงมองสำรวจตัวเอง ถึงวันนี้จะแต่งตัวดีแต่มันช่างไม่เข้ากับงานเอาเสียเลย แล้วยิ่งบวกกับของพะรุงพะรังที่หอบมาด้วยนะ…เหมือนเป็นตัวประหลาดยังไงอย่างงั้นแหละ
ร่างบางโค้งพร้อมกับยิ้มเล็กน้อยให้คนที่เดินผ่านไปมาแล้วมองเขาด้วยสายตาแปลก ๆ แต่คนเหล่านั้นก็ไม่ได้สนใจอะไรมากแล้วเดินผ่านไป ลู่หานหันขึ้นไปมองยังเวทีที่อยู่ไม่ไกลออกไป แล้วเห็นคริสกำลังยืนจับไมค์พูดคุยกับคนที่อยู่บนนั้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ตอนนี้ยิ่งได้ข่าวว่าทั้งสองคนกำลังมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งเกินผู้ร่วมหุ้นกัน แบบนี้จะได้เก็บรายได้จากน้ำหอมยี่ห้อใหม่ไว้ในบัญชีใครกันละคะเนี่ย ฮ่าๆๆๆ”
“คุณเอ็มซีก็ ม…ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ”
“เขินทำไมกันครับ หื้ม”
“วี๊ดดดด วิ๊วววววว ฮ่าๆๆๆ” เสียงโห่ร้องแซวคนบนเวทีของคนในงานได้ดังขึ้น สลับกับเสียงเอ็มซีที่ยิ่งเห็นผู้ถือหุ้นใหญ่ทั้งสองคนของน้ำหอมแบรนด์นี้หยอกล้อกันก็ยิ่งอวยมากขึ้นเรื่อย ๆ
“…” ลู่หานจ้องไปยังบนเวทีแล้วกำมือแน่น ไม่ใช่เพียงแค่การพูดจาเกี้ยวล้อมกันแค่สองสามประโยค ท่าทางที่ดูสนิทสนมพร้อมด้วยคำหวานที่โปรยให้กันเป็นระยะ ยิ่งทำให้ลู่หานแน่ใจว่านี่ไม่ใช่แค่การทำตัวให้ดูเหมือนคนรักกันเพื่อเป็นการโปรโมทสินค้าอย่างแน่นอน
นี่กำลังคบกันอยู่จริง ๆ หรอ… แล้วฉันล่ะคริส ?
เพล้ง!!!!
“โอ๊ะ! ขอโทษครับ” พนักงานที่ทำหน้าที่เสิร์ฟเครื่องดื่มในงานโค้งลำตัวให้กับลู่หานหลายครั้งอย่างหัวเสีย พร้อมกับก้มลงไปเก็บเศษแก้วที่ตัวเองเพิ่งทำแตกเพราะเดินชนเข้ากับลู่หานเต็มแรงอย่างเร่งรีบ
ทุกคนหันมามอง รวมถึงคริส…
แล้วพอคนในงานรู้ว่าเป็นเสียงอะไรก็หันกลับไปสนใจบนเวทีเหมือนก่อนหน้านี้อย่างไม่ได้สนใจอะไรทันที เช่นเดียวกับคริส… คริสเห็นลู่หานแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลงมาถามไถ่หรืออะไรทั้งนั้น เพียงแต่ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วหันกลับไปพูดคุยกับคนบนเวทีอีกครั้งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ลู่หานถอยออกมาจากบริเวณนั้น ก่อนจะเลื่อนมือขึ้นมากำชายเสื้อตัวเองแน่น อยากจะออกไปจากที่นี่… แต่เหมือนว่ากำลังมีอะไรสะกดให้ยืนข่มน้ำตาไว้อย่างนั้น
เวลาผ่านไปพักใหญ่ ช่วงของการพูดคุยของผู้บริหารบนเวทีก็ได้เสร็จสิ้นลง ลู่หานยังยืนอยู่ที่เดิมถอนหายใจออกมาเล็กน้อย พร้อมกับเงยหน้าขึ้นและเตรียมจะก้าวเท้าออกจากที่แห่งนี้ไป แต่ในจังหวะนั้นลู่หานก็ได้เผชิญหน้ากับผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังเดินมาพอดี ผู้หญิงคนที่ก่อนหน้านี้ยืนบนเวทีกับคริส… เธอหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าลู่หานแล้วเอาแต่มองสิ่งของที่อยู่ในมือของอีกคนด้วยสีหน้าสงสัย
“มีอะไรรึเปล่าครั…” บุคคลที่สามได้เอ่ยถามผู้หญิงตรงหน้าลู่หานไป หลังจากที่ได้เดินตามมาแล้วเห็นเธอยืนขมวดคิ้วจ้องบางอย่างอยู่ ก่อนจะชะงักเล็กน้อยเมื่อได้เห็นลู่หาน
“นี่มันเสื้อที่ฉันเคยซื้อให้คุณที่อเมริกาไม่ใช่หรอคริส แล้วมันมาอยู่นี่ได้ยังไง”
“...” คริสไม่ตอบอะไร เพียงแต่กรอกตาไปมาแล้วหันหน้าไปทางอื่น
เสื้อที่ซื้อให้ ? เสื้อตัวนี้ที่เห็นคริสใส่ครั้งแรกเมื่อหลายเดือนก่อนน่ะนะ ?
ลู่หานเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเริ่มเจ็บในหน้าอกมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อได้ยินแบบนั้น แล้วยิ่งได้เห็นสายตาที่คล้อยไปในทางเหยียดหยามของผู้หญิงตรงหน้าราวกับว่าเขาเป็นคนขโมยเสื้อตัวนี้มาด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้ลู่หานเกิดอาการไม่พอใจมากขึ้นเรื่อย ๆ
“ขอโทษนะคะ ขอดูหน่อยได้ไหม” ว่าแล้วหญิงสาวก็เอื้อมมือไปจับเสื้อที่อยู่ในมือลู่หานทันที แต่ลู่หานกลับกระตุกมันออกจากมือของอีกคนแล้วหันไปมองหน้าคริสซึ่งก็ยังคงทำตัวไม่ถูกอยู่ หญิงสาวคนเดิมขมวดคิ้วหนักกว่าเดิมอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะหันไปแตะตัวคริสเพื่อให้คริสพูดอะไรบ้าง
“…คือ” คริสหันมามองหน้าคนข้าง ๆ แล้วหันไปมองที่ลู่หาน ก่อนที่ลู่หานจะโยนสิ่งที่ถือมาด้วยทั้งหมดใส่คนตรงหน้าไปด้วยความเหลืออด
“นี่มันอะไรกันคะ!” หญิงสาวพูดตะคอกถามคนทั้งสองอย่างไม่เข้าใจ ก่อนที่ลู่หานจะหันหลังให้แล้วเดินออกไปข้างนอกทันที
“เดี๋ยวผมมานะ” ว่าแล้วคริสก็เดินตามลู่หานออกไปทันที ทิ้งให้ผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนใหม่ของตัวเองยืนอยู่กับความสงสัยต่อไป
“ลู่หาน”
“…”
“ลู่หาน! หยุด”
“…”
“ฉันบอกให้หยุดไง!!” คริสตะคอกใส่พร้อมกับคว้าแขนอีกคนเอาไว้ เมื่อลู่หานเอาแต่เดินหนีแล้วไม่สนใจที่เขาเรียกสักนิด
“มีอะไร!”
“นี่ยังต้องถามฉันอีกหรอ”
“…” ลู่หานไม่ตอบอะไร เพียงแต่หันหน้ากลับมาเผชิญหน้ากับคริสแล้วเอาแต่เม้มปากตัวเองไว้
“มาที่นี่ได้ยังไง”
“เรื่องของฉัน”
“เออมันเรื่องของนาย! แต่ทำไมต้องมาทำให้ฉันเดือดร้อนด้วย!!”
“เฮอะ…ว่าไงนะ” ลู่หานเลิกคิ้วขึ้นให้กับคำพูดของคริส
“ฉันเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่ามายุ่งวุ่นวายกับฉันถ้าฉันไม่ได้สั่ง แล้วจู่ ๆ โผล่มาแบบนี้นี่เคยฟังกันบ้างรึเปล่า!”
“ฉันผิดหรอคริส! ฉันเป็นแฟนนายนะ ฉันจะมีสิทธิ์ในตัวนายบ้างสักอย่างไม่ได้เลยใช่ไหม!!”
“แฟนหรอ… นี่ฉันทำขนาดนี้นายยังคิดว่าฉันยกให้นายอยู่ในฐานะนี้อีกหรอ”
เพี๊ยะ!!!!
ลู่หานกำมือแน่นก่อนจะแบมันออกแล้วยกขึ้นไปตบที่ใบหน้าของคริสแรง ๆ ด้วยความเหลืออด
“ถ้าอยากเลิกกับฉันมากก็ไปเถอะ คนเลว ๆ อย่างนายคบกับใครก็มีแต่จะทำให้เขาเสียใจ ถือว่าฉันบริจาคตัวเหี้ยให้กับผู้หญิงคนนั้นแล้วกัน” ร่างบางพูดทั้งน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุดหลังที่จากกลั้นไว้ไม่นาน ก่อนที่คริสที่ถึงกับถลาในแรงตบของลู่หานจะเงยหน้าขึ้นมาแล้วพูดอีกหนึ่งประโยคขึ้น
“ด่าพอใจแล้วก็ออกไปจากชีวิตฉันซะ แล้วอย่ากลับมาอ้อนวอนอะไรกับตัวเหี้ยอย่างฉันอีก!” พูดจบแล้วร่างสูงก็หันหลังแล้วเดินกลับไปข้างในงานทันที
ส่วนลู่หานที่ใบหน้ายังคงเปื้อนไปด้วยรอยน้ำตาก็ทรุดลงทันที ร่างบางนั่งสะอึกสะอื้นอยู่กับพื้นอย่างหนัก…หนักเสียจนเรียกได้ว่าหัวใจจะขาดรอน ๆ ซะตรงนั้นให้ได้…
ที่ผ่านมาถึงแม้ว่าคริสจะมีนอกลู่นอกทางไปบ้างแต่ก็ไม่เคยทำให้ลู่หานเจ็บเหมือนครั้งนี้
สายตาที่มองเหมือนคนไม่รู้จัก น้ำเสียงที่ตะคอกใส่อย่างเกลียดชัง และทุก ๆ ท่าที่ย้ำกับลู่หานว่าไม่รักแล้วจริง ๆ…
เวลาผ่านไปพักใหญ่ ลู่หานก็พาหัวใจที่บอบช้ำของตัวเองกลับมายังคอนโด น้ำตาที่ยังไหลมาไม่ขาดสายทำให้ตอนนี้เจ้าตัวอยากจะตาย ๆ ไปให้รู้แล้วรู้รอด
คนไม่ดีแบบนั้นออกไปจากชีวิตเราได้มันก็ดีแล้วไม่ใช่หรอ จะมาเสียน้ำตาซ้ำซากให้กับคนที่ไม่เคยแคร์ความรู้สึกเราเลยทำไม…
ลู่หานขยี้หัวตัวเองแรง ๆ เพื่ออยากจะสลัดเรื่องในหัวที่มีแต่คริสออกไป แต่ยิ่งทำแบบนั้นก็เหมือนอาการจะหนักขึ้นเรื่อย ๆ
ที่พึ่ง ตอนนี้ลู่หานต้องการแค่ใครสักคนที่จะมานั่งรับฟังแล้วช่วยปลอบเพียงเล็กน้อยก็ยังดี…
ว่าแล้วร่างบางก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาทันที มือเรียวแตะไปยังหน้าจอเพื่อเปิดรายชื่อในนั้น ก่อนจะเลื่อนลงไปเรื่อยแล้วหยุดลงที่ชื่อชื่อหนึ่ง
‘ชานยอล’
“ไหวรึเปล่า” หลังจากที่ได้ฟังลู่หานเล่าเหตุการณ์มาทั้งหมด ชานยอลก็ได้เอื้อมมือไปกุมมือของอีกคนแล้วถามออกมาด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่ารู้สึกเจ็บไม่น้อยไปกว่าลู่หาน
ส่วนลู่หานที่เอาแต่ก้มหน้าตลอดเวลาก็ไม่ได้พูดอะไรกับชานยอล ได้แต่หันหน้าขึ้นมามองร่างสูงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ แล้วพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับยิ้มเพื่อเป็นการตอบชานยอลว่ายังโอเคอยู่จริง ๆ
ไม่อยากถามอะไรเกี่ยวกับคน ๆ นั้นต่อแล้ว ไม่อยากจะพูดอะไรที่มันทำให้ลู่หานนึกถึงคนนั้นอีก…
นั่นคือความคิดที่วนอยู่ในหัวของชานยอล ตอนนี้ลู่หานคงต้องการแค่ใครสักคนที่จะนั่งรับฟังได้ไปเรื่อย ๆ ก็เท่านั้น ส่วนชานยอลเองก็ไม่ต้องการจะตอกย้ำอะไรให้นึกถึงเรื่องนั้นอีก เจ้าตัวเลยนั่งเงียบ ๆ ฟังที่ลู่หานเล่าแล้วปลอบเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปเท่าที่จะทำได้แค่นั้น
“เก่งขึ้นเยอะเลย กวางน้อยของผมไม่ร้องไห้แล้ว” ชานยอลยิ้มกว้าง พร้อมกับพลิกมือของลู่หานให้หันมาประสานกับมือของตัวเองไว้แน่น
“ร้องก่อนที่เราจะมาถึงจนเหนื่อยละ คงต้องพอแล้วจริง ๆ น้ำตามันไม่มีให้ไหลแล้ว” ลู่หานยิ้มกว้างให้ชานยอลตอบ ก่อนจะขยับตัวเข้าไปชิดแล้วเอียงหัวไปซบกับไหล่ของร่างสูง ส่วนอีกฝ่ายก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา เพียงแต่ยกมือขึ้นมาลูบหัวคนในอ้อมแขนเบา ๆ เพื่อเป็นการบอกให้รู้ว่าตัวเองยังอยู่ข้าง ๆ เสมอ
“เหงาไหม”
“หืม”
“ช่วงที่เราไม่ได้ติดต่อกันเลยน่ะ… เหงารึเปล่า”
“พี่คิดว่าไงล่ะ” ชานยอลก้มหน้าลงไปมองเสี้ยวหน้าของลู่หาน ก่อนจะเงียบไปสักพักแล้วตอบออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“ไม่รู้”
ใช่ครับพี่ลู่หาน คำตอบผมก็คำเดียวกันกับพี่นั่นแหละ ผมไม่รู้
ชานยอลอยากจะตอบคำนี้กับลู่หานออกไป แต่เพราะอะไรหลาย ๆ อย่างที่ผุดขึ้นมาในหัวเต็มไปหมด เลยทำให้เขาต้องเลือกที่จะเก็บคำตอบนี้ไว้แล้วตอบอีกคำไปแทน
“เหงาสิ”
เหงานั่นแหละ ปาร์คชานยอลคนนี้เหงาจริง ๆ แต่ก็แค่ไม่นาน เพราะชีวิตในรั้วมหาลัยฯนั้นมีอะไรให้ทำเยอะมากกว่าจะมานั่งเหงา จะมีบ้างก็นาน ๆ ครั้งตอนอยู่คนเดียว แต่เอาจริง ๆ แล้วความรู้สึกนั้นมันก็แทบจะไม่หลงเหลืออยู่เลยในช่วงหลัง เพราะชานยอลมีคนอีกคนที่ทำให้เขาลืมที่นึกถึงลู่หานได้อย่างง่ายดาย
แต่เพราะยังไม่แน่ใจ ไม่รู้ใจตัวเอง…
ชานยอลกำลังเสียดายอะไรอยู่อย่างนั้นนะหรอ ?
“เห็นเราหายไปแบบนี้พี่ก็นึกว่าเราไม่ได้สนใจอะไรพี่แล้วซะอีก”
“ใครบอกล่ะ หายไปตัดใจต่างหาก”
“แล้วตอนนี้ตัดได้รึยัง” ชานยอลเงียบไปอีกครั้งเมื่อได้ยินคำถามใหม่ของคนที่ซบอยู่บนไหล่ของตัวเอง
ลู่หานไม่ได้มีท่าทีอะไรเปลี่ยนไปหลังจากที่ชานยอลตอบกลับมาด้วยความเงียบ เพียงแต่คลี่ยิ้มเล็กน้อยแล้วมองไปยังข้างหน้าอย่างผ่อนคลาย
ถ้าตอบว่าตัดได้แล้วเรื่องของเราก็คงจะจบลงแค่นี้สินะ เราจะเป็นแค่พี่น้องกัน …
เราจะพูดได้อย่างเต็มปากว่าเราเป็นแค่พี่น้องกันจริง ๆ แล้ว
“ไม่หรอก มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกพี่” แล้วชานยอลก็เลือกที่จะตอบออกไปแบบนี้
“เป็นเหี้ยอะไรของมึงวะ เอาแต่จ้องมือถือแล้วทำหน้าเหม่ออยู่นั่นแหละ” แบคฮยอนเอ่ยขึ้นเสียงดัง หลังจากที่เห็นเพื่อนสนิทอย่างเซฮุนเอาแต่จ้องมองที่หน้าจอมือถืออยู่ร่วมชั่วโมงแล้ว
“ทำไมเขาไม่โทรหากูวะ” เซฮุนเอ่ยขึ้นในขณะที่สายตายังคงจ้องยู่ที่เดิม
หลังจากที่แบคฮยอนเข้ามาเล่นในห้องตัวเองอยู่นานสองนานและไม่ยอมกลับห้องตัวเองสักที ทั้ง ๆ ที่พักหลัง ๆ มานี้ก็ไม่ได้ชอบมาขลุกที่ห้องห้องนี้สักเท่าไหร่ เจ้าตัวเลยต้องเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย แล้วคำตอบที่ได้จากแบคฮยอนก็คือ ‘ไม่มีเพื่อนคุยเลยมาอยู่กับมึง’ เซฮุนประหลาดใจเล็กน้อยก่อนจะถามกลับไปอีกว่าชานยอลไปไหน
“คนที่ชื่อลู่หานโทรมา แล้วชานยอลก็ออกไปเลย ก็คงจะไปหาลู่หานนั่นแหละ”
คำตอบที่ได้กลับมาก็ยิ่งทำให้เจ้าตัวแปลกใจเข้าไปอีก เพราะก่อนหน้านี้ชานยอลบอกเขาว่าไม่ได้ติดต่อกับลู่หานแล้ว
ในระหว่างที่หัวของเซฮุนมีแต่เครื่องหมายคำถามเต็มไปหมด แรงสั่นที่เกิดจากข้อความในโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ร่างโปร่งหยิบมันขึ้นมาก่อนจะแตะไปยังหน้าจอเพื่อเปิดเบา ๆ แล้วก็พบว่าเป็นข้อความจากพี่ชายตัวเองที่ส่งมาพูดถึงเรื่องที่น่าปวดหัวในวันนี้
ชานยอลไปหาลู่หานก็เพราะเรื่องนี้สินะ
“มึงมีความสำคัญพอที่จะให้เขานึกถึงได้ไหมล่ะ”
มึงมีความสำคัญพอที่จะให้เขานึกถึงได้ไหมล่ะ ?
แบคฮยอนสะอึกเล็กน้อยให้กับคำพูดตัวเอง คำถามนี้เขาก็ควรจะถามตัวเองด้วยรึเปล่า ?
“นั่นสินะ”
“…”
“มึงว่าสองคนนั้นจะมีโอกาสได้กลับไปคบกันไหม”
“กูจะไปรู้หรอ ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของเขาเถอะ”
“กูกลัวว่ะ”
“กลัวอะไรของมึง นี่มึงจริงจังกับเขาขนาดนั้นเลยหรอ”
“ที่มึงเห็นท่าทีเห็นอารมณ์เห็นคำพูดหรืออะไรทั้งหมดที่กูเป็นเนี่ย แล้วตอนนี้กูตอบมึงไปว่ากูไม่ได้จริงจังมากมึงจะเชื่อกูปะล่ะ”
“ถามดี ๆ ไม่เห็นต้องย้อนเลยไอ้สัด”
“ก็มึงรู้คำตอบอยู่แล้วจะถามทำไมล่ะ”
“เออกูผิดเองแหละ” แบคฮยอนเบ้ปากให้กับเพื่อนสนิท ก่อนจะส่ายหัวเล็กน้อยแล้วหันมาอยู่ในโลกของตัวเองที่มีหนังสือการ์ตูนเปิดอยู่ตรงหน้าต่อ
“คนเราถ้ามีเรื่องเสียใจอะไรมาก็ต้องนึกถึงคนที่ใกล้ตัวหรือคนที่รู้ใจกันเป็นคนแรกอยู่แล้วแหละ มันเป็นสัญชาตญาณ”
“…” เซฮุนกับแบคฮยอนหันหน้าไปหาเจ้าของเสียงที่เป็นเจ้าของห้องอีกคนหนึ่งของห้องนี้ด้วยสีหน้าที่งงเล็กน้อย ก่อนที่เซฮุนจะเอียงคออย่างไม่เข้าใจเป็นเชิงว่าอยากให้พูดต่ออีก
เห็นนั่งสวดอะไรคนเดียวตั้งนาน นี่แอบจับใจความเรื่องที่คนอื่นเขาคุยกันได้ด้วยหรอเนี่ย ชักจะล้ำไปแล้วพ่อมหา…
“ก็อย่างลู่หานของนายไงเซฮุน เขาเลิกกับแฟน เขาเศร้าเขาเสียใจเขาก็ต้องนึกถึงคนที่รู้เรื่องและคอยรับฟังเขามาตลอดก่อนอยู่แล้ว ถึงแม้ว่านายที่ผ่านมานายจะทำให้เขารู้สึกดีขนาดไหนในเวลาแบบนี้เขาคงไม่ได้นึกถึงนายหรอก”
เซฮุนถอนหายใจออกมาเล็กน้อยพร้อมกับยกมือขึ้นมาขยี้หัวตัวเองแล้วทิ้งตัวลงไปนอนกับเตียง ก่อนจะมุดเข้าไปในผ้าห่มแล้วกลิ้งไปกลิ้งมาเหมือนเด็กที่ถูกขัดใจอยู่ยังไงอย่างงั้น
แต่ดูเหมือนคำพูดของจงแดจะเข้าไปสะกิดใครอีกคนให้รู้สึกเจ็บแปลบ ๆ บนหน้าอกข้างซ้ายมากกว่า
เวลาเที่ยงคืนกว่า แบคฮยอนบอกลาเซฮุนกับจงแดเพื่อจะกลับห้องไปนอน ร่างเล็กเดินล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วเดินไปยังห้องตัวเองพร้อมกับความคิดมากมายที่อยู่ในหัว
“อยู่กับนายแล้วฉันสบายใจ”
“นายทำให้ฉันรู้สึกดี”
“เพราะนายรู้ป้ะฉันถึงยิ้มได้”
แต่ถ้าเขากลับมาเมื่อไหร่นายก็ต้องเลือกเขาอยู่แล้วใช่ไหมล่ะชานยอล ถึงฉันจะทำให้นายรู้สึกดีแค่ไหนความสำคัญของฉันก็คงจะไม่ได้มีมากไปกว่าคนอื่น …คนนั้น
แบคฮยอนส่ายหัวเบา ๆ เพื่อที่จะสลัดความคิดทุกอย่างออกไปจากสมอง ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่ชานยอลมีอิทธิพลกับความรู้สึกขนาดนี้ ?
เมื่อถึงหน้าห้องแล้ว แบคฮยอนก็ใช้กุญแจไขแล้วดันบานประตูเข้าไปอย่างเบาแรง ก่อนจะพบว่าตอนนี้รูมเมทร่างสูงได้กลับมาถึงห้องแล้ว
“ไปไหนมา” ชานยอลละสายตาจากโทรศัพท์ในมือ แล้วเอ่ยถามขึ้นในขณะที่กำลังนั่งพิงหัวเตียงอยู่
“ห้องเซฮุนน่ะ กลับมานานแล้วหรอ”
“ไม่นานหรอก หายป่วยแล้วหรอทำไมไม่นอน”
“หายแล้วดิ นอนทั้งวันแถมยังยัดยาขนาดนั้นไม่หายก็ไม่รู้จะว่ายังไงละ”
“คร๊าบบบบ แข็งแรงไม่มีใครเกินหรอกคนนี้น่ะ” ชานยอลพูดพร้อมกับยิ้มกว้างให้แบคฮยอน ก่อนจะหันกลับไปสนใจโทรศัพท์มือถือเหมือนเดิม
แบคฮยอนยิ้มตอบให้ชานยอลเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปนั่งพิงหัวเตียงตัวเองบ้าง
ปกติถ้าฉันบอกไม่เป็นไรแล้วนายจะทำหน้าไม่เชื่อแล้วก็ต้องเดินมาแตะตัวฉันไม่ใช่หรอ ? …ช่างเถอะ
ร่างเล็กหลุบตาต่ำลง ก่อนจะหันไปมองยังรูมเมทที่ยังคงเอาแต่จ้องหน้าจอมือถืออย่างไม่ลดละ
จ้องซะจนไม่รู้ว่ามีคนกำลังนั่งมองอยู่พักใหญ่แล้ว
“…นายว่า ถ้าฉันกับพี่ลู่หานพยายามกันอีก เราจะกลับมารักกันได้เหมือนเดิมไหม” ในขณะที่บรรยากาศในห้องไร้ซึ่งเสียงใด ๆ อยู่พักใหญ่ ชานยอลก็ทำลายเงียบนั้นโดยการถามคำถามหนึ่งขึ้น
คำถามที่แบคฮยอนถึงกับไปไม่ถูก…
นี่มันเกิดอะไรขึ้น เมื่อตอนกลางวันชานยอลยังทำให้หัวใจเขาพองโตอยู่เลย แล้วดูตอนนี้สิ… ชานยอลจะทำให้มันแฟบลงด้วยวิธีที่เอามีดมากรีดแบบนี้เลยหรอ ใจร้ายไปไหมปาร์คชานยอล ?
ถึงแม้แบคฮยอนจะไม่เคยมีความรักมาก่อน แต่ก็ไม่ใช่ว่าเจ้าตัวจะโง่เง่าถึงขั้นไม่รู้ว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับตัวเองนั้นมันคืออะไร
เขาถลำให้ชานยอลไปแล้วหนึ่งก้าว
แต่มันก็แค่นั้นแหละ แบคฮยอนเสียหลักให้ชานยอลแค่นิดเดียวจริง ๆ มันไม่ใช่ความรู้สึกถึงขั้นที่เรียกกว่าชอบหรือรักหรืออะไรทั้งนั้น เขาก็แค่รู้สึกดี… รู้สึกดีแบบที่ชานยอลรู้สึกก็เท่านั้น
แต่ต่อไปนี้คงต้องระวังแล้วล่ะ เรื่องกอด โอบ ซบ ทุก ๆ อย่างที่คนที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์เกินเพื่อนเขาทำกัน รวมถึงเรื่องที่ชานยอลจูบหน้าผากวันนี้ด้วย …ก็จริงอยู่ที่ชานยอลอาจจะทำลงไปเพราะเหงา เขาไม่ควรจะไปใส่ใจหรือถือสาอะไร แต่เพราะเรื่องพวกนี้แหละ เรื่องพวกนี้ที่ทำให้แบคฮยอนเคลิ้มกับไปกับสัมผัสอันอ่อนโยนของชานยอลอย่างง่ายดาย
“ได้สิ ความรักชนะทุกอย่างอยู่แล้วแหละ โดยเฉพาะความรักของนายน่ะ…”
Luhan says : มีกูเมื่อไหร่ดราม่าตัลหลอดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
Writer says : ไม่อยากให้มีหรอกแต่งยากชิบหายเลยไม่ถนัดเลยอีแนวดราๆเนี่ย แต่ไม่แต่งเรื่องมันก็จะไม่เดินอ่ะเพ่
.
.
.
.
.
.
.
แง้ ไม่ถนัดเลยจริงๆแต่งดราม่า จะร้องไห้ยิ่งแต่งยิ่งเละ
เค้าใจดีลงให้ทีละร้อยเปอร์เซนแล้วตัวเองใจดีเม้น์ให้เค้าบ้างได้มั้ยง่ะ ชอบไม่ชอบยังไงติมาเลยจะรับฟัง
เห็นคนเฟบเยอะมากกว่าจำนวนคอมเม้นนี่บับ .. ซุ่มเยอะเจรงน้า แต่ก็ขอบคุณที่หลงเข้ามาอ่านของเค้าน้า U _ U
พอละบ่นเยอะเดี๋ยวรีดเดอร์ไม่รัก อาจจะหายไปนะ แต่เดี๋ยวจะกลับมา ปิดเทอมแล้วเที่ยวกันหน่อยสิเด็กๆ อิ _ อิ
CRY .q
ความคิดเห็น