คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #26 : THE ROOMMATE - 25
“ครับ ไว้ผมจะแวะไปนะ” หลังจากรับปากคนในสายไป โทรศัพท์ก็ถูกกดวางแล้วถูกยัดลงในกระเป๋ากางเกงเหมือนเดิม
แบคฮยอนพรูลมหายใจออกมาเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับมาให้ความสนใจกับการเช็ดจานชามที่เพิ่งผ่านการล้างจนสะอาดในก่อนหน้านี้
จนถึงตอนนี้ แบคฮยอนก็ยังคงไม่ได้กลับไปเยี่ยมที่ทำงานเก่าของตัวเองแม้แต่ครั้งเดียว นับตั้งแต่ชานยอลได้ทำตัวสนิทสนมกับพี่ ๆ ในร้านมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้ตอนนี้เขาจะไม่ได้รู้สึกตะขิดตะขวงใจเหมือนแต่ก่อนแล้ว แต่พอมีโอกาสจะได้ไปเมื่อไหร่ก็มีเหตุไม่เป็นใจหลาย ๆ อย่างที่ทำให้ไม่ได้ไปทุกที
แบคฮยอนยังคงติดต่อกับหลายคนในร้านโดยการแชทอยู่ทุกวัน จะมีแค่นาน ๆ ครั้งที่ได้คุยโทรศัพท์กัน อย่างเช่นวันนี้ คิมจงซูซึ่งเป็นหัวหน้าเก่าได้โทรมาถามไถ่ถึงเรื่องทั่วไป ก่อนที่จะเข้าเรื่องซึ่งเป็นจุดประสงค์หลักในการโทรมาวันนี้จริง ๆ นั่นก็คือการวานให้แบคฮยอนไปเอาของฝากที่เพิ่งได้จากฮ่องกงหลังจากที่เขาเพิ่งกลับมาจากที่นั่น แบคฮยอนรับปากจงซูไปว่าจะไปเร็ว ๆ นี้ แต่ก็ไม่ได้ระบุว่าวันไหน
จานทั้งหมดก็ได้ถูกเช็ดจนเสร็จหลังจากผ่านไปไม่กี่นาที แบคฮยอนเอื้อมมือไปเปิดก๊อกน้ำแล้วล้างมือตัวเองซ้ำ ก่อนจะซับให้แห้งด้วยผ้าเช็ดมือที่แขวนอยู่ใกล้ ๆ
ร่างเล็กเดินตรงมาที่โซฟา ก่อนที่จะย่อตัวลงนั่งยอง ๆ ตรงพื้นพรม
แบคฮยอนมองสำรวจไปทั่วใบหน้าของคนที่กำลังนอนเหยียดยาวอยู่บนโซฟาตัวเอง “ชานยอล” คนตัวเล็กกระซิบไปอย่างแผ่วเบา เมื่อเห็นว่ารูมเมทตัวสูงไม่มีวี่แววจะตื่นเลยหลังจากได้หลับไปหลายชั่วโมง
ชานยอลยังคงหลับตาเหมือนเดิม
ร่างเล็กถอนหายใจออกมา วันนี้ทั้งสองคนมีกำหนดการจะกลับหอในช่วงค่ำเนื่องจากการเปิดภาคเรียนของมหาวิทยาลัยในวันพรุ่งนี้ ชานยอลได้มาขลุกที่คอนโดแห่งนี้ตั้งแต่ตอนสาย ๆ ร่างสูงได้บ่นอยู่เนือง ๆ ว่าปวดหัวในตลอดช่วงเช้า ก่อนที่จะของีบหลังจากที่ได้กินข้าวเที่ยงไปไม่นาน
ตอนนี้นาฬิกาได้หมุนไปเกือบถึงเลขหกแล้ว แบคฮยอนยืดตัวขึ้น เตรียมจะไปเช็คสัมภาระว่ายังขาดเหลืออะไรไหมในระหว่างที่รอชานยอลตื่น แต่ในจังหวะที่กำลังจะก้าวออกไป ข้อมือเล็กของเขาก็ถูกคว้าเอาไว้โดยชานยอลเสียก่อน
แบคฮยอนย่อตัวลงอีกครั้ง “ตื่นแล้วหรอ ยังปวดอยู่รึเปล่า”
“ไม่แล้วล่ะ แค่ยังเวียนหัวอยู่นิดหน่อย” ชานยอลตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอ้อยอิ่งเล็กน้อย
แบคฮยอนถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ก่อนยกมือขวาขึ้นไปทาบบนหน้าผากของอีกคนด้วยความกังวล “ไข้ก็ไม่เห็นมี ทำไมจู่ ๆ ก็มาเป็นแบบนี้เนี่ย”
“นั่นน่ะสิ ร่างกายฉันมันคงสำออยขึ้นมาเฉย ๆ ล่ะมั้ง” ว่าแล้วร่างสูงก็ยันตัวเองให้ลุกขึ้น ก่อนที่จะดึงแขนแบคฮยอนให้มานั่งข้าง ๆ ตัวเองแล้วซบลงไปที่ลาดไหล่เล็กนั้น
“ท่าจะจริง” แบคฮยอนเอ่ยพร้อมทั้งยื่นมืออีกข้างมาบิดหูชานยอลเบา ๆ ก่อนที่จะดันตัวจอมกะล่อนคนเดิมออกไป “แล้วยังจะขับรถไหวไหมเนี่ย”
“ไหวสิ ฉันไม่ได้ป่วยอะไรร้ายแรงสักหน่อย”
“แน่ใจ?”
“แน่สิ” ชานยอลยืดตัวขึ้นเหมือนเดิม “เมื่อกี้ฉันได้ยินนายคุยโทรศัพท์ …เหมือนนายพูดว่าจะไปไหน” ร่างสูงเอียงคอถามอย่างสงสัย
“อ๋อ พี่จงซูน่ะ เขาเพิ่งกลับจากฮ่องกง โทรมาบอกฉันว่าถ้าว่างก็ให้ไปเอาของฝาก”
“แล้วนายจะไปวันไหน”
“ไม่รู้สิ เร็ว ๆ นี้แหละ รอว่างก่อน”
“ก็วันนี้ไง”
“วันนี้เราจะกลับหอกันนี่”
“นายรีบหรอ?”
แบคฮยอนชะเง้อมองไปตามข้างทางผ่านกระจกที่ถูกฉาบด้วยฟิล์มสีทึบ ทางที่เขาคุ้นเคย …แต่ไม่ได้เดินทางผ่านมันมานับหลายเดือน
ร่างเล็กได้หันกลับมาสนใจถนนเบื้องหน้าหลังจากที่รถยนต์ที่นั่งมาได้หยุดเคลื่อนตัว สัญญาณไฟจราจรสีแดงข้างหน้านั้นได้สะกดสายตาเขาไว้ชั่วครู่ ก่อนที่จะละความสนใจมาที่เสี้ยวหน้าของคนที่กำลังใช้นิ้วเคาะพวงมาลัยอยู่ข้าง ๆ เขาอย่างสบายอารมณ์
“ดูนายอารมณ์ดีจังนะ”
“…เหรอ? ฉันดูอารมณ์ดีเหรอ?”
แบคฮยอนหัวเราะหึในลำคอพร้อมกับส่ายหัวเบา ๆ ก่อนจะหันหน้ากลับมาสนใจตรงด้านหน้าของรถอีกครั้ง
ภายหลังจากการถกเถียงกับชานยอลอยู่พักใหญ่ในเรื่องของเวลาที่จะกลับหอพักในวันนี้ แบคฮยอนก็ต้องเป็นฝ่ายแพ้เพราะทนเสียงรบเร้าจากคนตัวสูงไม่ไหว ชานยอลอยากจะพาเขาไปที่ร้านเพื่อไปเอาของฝากที่ว่า แต่เอาเข้าจริงแล้วแบคฮยอนก็พอจะรู้จุดประสงค์ของชานยอลจริง ๆ คงไม่ได้มีแค่นี้อย่างแน่นอน
“อย่าอยู่นานนะ” แบคฮยอนเอ่ยขึ้นในขณะที่ตาก็ยังคงมองไปที่ถนนด้านหน้า
“ก็แค่ไปเอาของ จะอยู่นานได้ไง”
เวลาผ่านไปไม่นาน รถของทั้งคู่ก็ถึงจุดหมาย ชานยอลหักพวงมาลัยเข้าไปในร้านแล้วเข้าไปจอดที่ลานจอดรถ ก่อนที่ทั้งสองคนจะพากันเดินเข้าไปในร้านต่อไป
ทันทีที่ทั้งคู่เข้ามาในมาร้าน เสียงผิวปากแซวพร้อมกับสายตาแพรวพราวของพี่ ๆ หลายคนในร้านก็ถูกส่งมายังแบคฮยอนและชานยอลทันที แบคฮยอนก้มหัวทักทายทุกคนด้วยความประหม่า ในขณะที่ชานยอลก็เอาแต่ยิ้มแป้นแล้วเข้าไปทักทายทุกคนด้วยความสนิทสนม
“ลมอะไรหอบมาเนี่ย คิดถึงจังไอ้น้องชาย” หนึ่งในพี่คนสนิทของแบคฮยอนได้เข้ามาทักทายพร้อมกับกอดแบคฮยอนไว้หลวม ๆ
“มาเอาของฝากกับพี่จงซูน่ะ พวกพี่คงได้กันหมดแล้วสินะ”
“นี่แบคฮยอน อย่าเรียกมันว่าของฝากเลย ใบชาอบแห้งแค่กล่องเดียวนี่เดินไปซื้อที่ตลาดก็ยังได้ พี่จงซูก็นะ ไปฮ่องกงทั้งทีจะเลือกของฝากที่มันมีสาระมากกว่านี้หน่อยไม่ได้รึไง”
แบคฮยอนหัวเราะขึ้นด้วยความขำในท่าที่ของรุ่นพี่ โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าตอนนี้บุคคลผู้เป็นเจ้าของประเด็นสนทนากำลังเดินเข้ามาทางด้านหลัง
“นี่ ๆ พอฉันไม่อยู่แล้วนินทาใหญ่เลยนะ” จงซูเดินเข้ามายืนข้าง ๆ กับลูกน้องตัวดี ก่อนที่จะใช้มือผลักหัวเบา ๆ ด้วยความหมั่นไส้
แบคฮยอนก้มหัวลงเล็กน้อยเป็นการทักทาย
“ก็พี่อ่ะ เล่นซื้อของแบบนี้มาเอง แบบนี้ในเกาหลีก็หาได้เยอะแยะ”
“แล้วจะไม่เอา? ถ้าไม่อยากได้ก็เอาคืนมา”
“โหยพี่ พูดเล่นนิดหน่อยทำเป็นนอยด์ เอาอยู่แล้วสิ ของฝากจากพี่ชายสุดที่รักทั้งคน”
จงซูยกศอกขึ้นกระแทกท้องลูกน้องเบา ๆ หลังจากที่ได้ฟังถ้อยคำประจบประแจง ก่อนที่จะส่ายหัวแล้วหันมาสนใจแบคฮยอนแทน “แล้วนี่มาได้ไง ไหนบอกจะกลับหอ ไหงมาวันนี้เลยซะล่ะ”
แบคฮยอนยิ้มด้วยสีหน้าลำบากใจ “ก็…ชานยอลน่ะครับ ความจริงเวลานี้พวกเราควรจะถึงหอแล้ว แต่เขารบเร้าให้ผมมา” คนตัวเล็กพูดทั้งหันไปค้อนรูมเมทเล็กน้อย
“ก็นะ พอพี่บอกให้มาแล้วติดนั่นติดนี่ตลอด พอชานยอลบอกเท่านั้นแหละ...”
“เออ ชานยอลแม่งเจ๋งว่ะ สามารถลากแบคฮยอนมาจนได้”
“มะ…ไม่ใช่นะครับ” เสียงตะโกนของรุ่นพี่อีกคนที่อยู่ไม่ไกลบวกกับสายตากรุ้มกริ่มของจงซูทำให้แบคฮยอนต้องยกมือขึ้นมาปฏิเสธรัว ๆ
แต่ท่าทางเหล่านั้นก็ไม่ได้มีใครสนใจเลย เมื่อมีหนึ่งคนเอ่ยปากแซว ก็มีเสียงที่สองที่สามตามมาเรื่อย ๆ ทำเอาแบคฮยอนแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนีให้รู้แล้วรู้รอด
นี่แหละจุดประสงค์ที่แท้จริงของชานยอลในการมาร้านครั้งนี้…
แบคฮยอนขมวดคิ้วขึ้นเป็นปมอย่างอารมณ์เสียเมื่อได้เห็นหน้าตาที่เหมือนกำลังภูมิใจอะไรสักอย่างของรูมเมทตัวสูง ร่างเล็กได้แต่ยืนก้มหน้ารับชะตากรรมที่พี่ ๆ ร่วมกันส่งมาอยู่อย่างนั้นอยู่สักพัก ก่อนที่ทั้งเขาและชานยอลจะถูกดึงไปนั่งที่โต๊ะด้านในเพื่อร่วมวงสังสรรค์ที่ถูกจัดขึ้นมาอย่างลวก ๆ เพื่อต้อนรับการกลับมาของแบคฮยอน
การสังสรรค์เล็ก ๆ ครั้งนี้ไม่ได้มีอะไรพิเศษมากนัก มีแค่การกินของว่างเล็ก ๆ น้อยแล้วก็คุยเรื่องจิปาถะตามประสาคนที่ไม่ได้เจอหน้ากันนาน
ปาร์ตี้เล็ก ๆ ลักษณะนี้ถูกจัดขึ้นอยู่บ่อยครั้งเมื่อตอนที่แบคฮยอนยังทำงานอยู่ที่นี่ แต่ครั้งนี้มันแตกต่างออกไปตรงที่มีชานยอลเพิ่มขึ้นมาด้วย และก็ดูเหมือนว่าชานยอลจะดี๊ด๊าและอารมณ์ดีมากกว่าผู้ที่เป็นเหมือนเจ้าของงานอย่างแบคฮยอนซะอีก…
การพูดคุยบนโต๊ะเป็นไปอย่างสนุกสนานและต่อเนื่อง จนกระทั่งหนึ่งในรุ่นพี่ได้ยกถาดที่มีโซจูอยู่หลายขวดมาวางลงบนโต๊ะ “มา! สักหน่อยก่อนร้านเปิด”
ทุกคนเออออแล้วทำหน้ายินดีก่อนจะหยิบขวดโซจูกระจายไปจนทั่วโต๊ะ ชานยอลผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นคนอายุน้อยที่สุดได้อาสารินใส่แก้วให้พี่ ๆ ทุกคน เว้นแต่กับแก้วของตัวเองและแบคฮยอน
“อ้าว ไม่เอาสักหน่อยหรอคู่รัก”
แบคฮยอนสะอึกไปเล็กน้อยกับคำว่าคู่รักของพี่ชายคนสนิท แต่ยังไม่ทันจะได้ทักท้วงอะไรออกไปชานยอลก็เป็นฝ่ายตอบขึ้นซะก่อน
“ไม่ดีกว่าครับ เดี๋ยวผมต้องขับรถกลับหอแล้ว”
“เถอะน่า เอาซะหน่อย โซจูกินแล้วเมาง่ายที่ไหน”
“แต่ผมว่…”
“น่านะ แบคฮยอนก็ด้วย นายน่ะคอแข็งยิ่งกว่าอะไรซะอีก”
“ใช่ ๆๆๆๆๆๆ”
เมื่อได้ยินเสียงรบเร้าจากบรรดาพี่มาก ๆ ทั้งสองคนจึงได้ยอมดื่มแต่โดยดี แต่ก็ยกไปแค่คนละชอตเล็ก ๆ เท่านั้น แล้วก็ไม่ได้ดื่มอีก
“อ้าว กินแค่นี้จริง ๆ หรอวะ”
“เอาไว้คราวหน้าแล้วกันพี่ พรุ่งนี้ผมต้องเข้าคณะแต่เช้า ถ้ายกต่อเดี๋ยวได้ติดลมอีก” เป็นแบคฮยอนที่ตอบขึ้น
รุ่นพี่คนดังกล่าวพยักหน้าอย่างเข้าใจ เพราะส่วนตัวก็รู้อยู่แล้วว่าแบคฮยอนนั้นถ้าได้ดื่มก็จะดื่มหนักมาก ถ้าเกิดยังฝืนให้ดื่มต่อแบบนี้ก็อาจจะกลายเป็นเจ้าตัวซะเองที่หยุดไม่ได้
“งั้นชานยอล แกเพิ่งบอกว่าพรุ่งนี้ยังไม่ได้เรียน เอาไปเลย” รุ่นพี่คนเดิมพูดพร้อมกับยัดแก้วโซจูใส่มือชานยอล และเมื่อเจ้าตัวปฏิเสธไม่ได้ก็เลยต้องจำใจกรอกมันลงอีกแก้ว โดยที่มีแบคฮยอนคอยมองอยู่ด้วยสีหน้าที่กังวลอยู่ใกล้ ๆ
เมื่อวางแก้วลง แก้วที่สามก็ถูกยื่นเข้ามาอีกทันที ชานยอลหัวเราะแล้วทำหน้าเหมือนจะปฏิเสธ แต่ในที่สุดก็ยื่นมือไปรับมาจนได้
แบคฮยอนมองตามมือของรูมเมทตัวสูงพร้อมกับขมวดคิ้วด้วยความขัดใจ และในจังหวะที่ชานยอลกำลังยกดื่มอีกครั้ง ร่างเล็กก็ยื่นมือขึ้นไปจับมือชานยอลไว้ ทำให้คนตัวสูงชะงักแล้วพี่ ๆ ทุกคนก็มองมาที่เขาอย่างไม่เข้าใจ
“นายต้องขับรถนะ พอได้แล้ว”
น้ำเสียงเบาหวิวแต่หนักแน่นของแบคฮยอนทำเอาทุกคนตาเป็นประกายขึ้นอีกครั้ง
“ฮั่นแหนะ มีห่วงกันด้วย”
เสียงโห่ฮิ้วดังขึ้นอีกหนึ่งระลอกหลังจากที่ได้หยุดไปพักใหญ่ แบคฮยอนเริ่มลุกลี้ลุกลนและสีหน้าวิตกขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเหล่าพี่ ๆ ตีความหมายของคำพูดเขาผิดไป ผิดกับชานยอลที่หลังจากยอมวางแก้วลงก็ได้แต่นั่งยิ้มเหมือนกับชื่นชอบในคำพูดเหล่านั้นซะนี่
“พี่อ่ะ! มันไม่ใช่แบบนั้นซะหน่อย” คนตัวเล็กพูดพร้อมกับทำหน้ามุ่ย
“แหม่ น่ารักซะจริง”
“เออ ไม่ต้องพูดอะไรไปละ คบ ๆ กันไปเถอะ มาถึงขนาดนี้แล้ว” คำพูดนี้ถูกส่งไปยังชานยอล
พี่ ๆ ทุกคนต่างก็เอ่ยปากแซวกันอย่างสนุกสนาน โดยที่ชานยอลเองก็ได้แต่นั่งหัวเราะไปกับคำพูดเหล่านั้นด้วย
แต่ถ้าชานยอลได้หันมามองแบคฮยอนในขณะนั้นแค่เสี้ยววินาที เขาก็คงจะได้เห็นแววตาที่กำลัง คาดหวัง กับคำตอบของเขาอย่างแน่นอน…
เวลาล่วงเลยไปกว่าสองทุ่ม ทั้งสองคนได้ขับรถออกจากร้านแล้วเดินทางต่อไปยังหอพักอย่างที่ตกลงกันไว้
“…” แบคฮยอนมองไปยังใบหน้าของคนที่กำลังจดจ่ออยู่กับความขับรถอย่างตั้งใจ
ตั้งแต่ที่ขับรถออกจากร้านมา ชานยอลก็เอาแต่มองไปยังถนนด้านหน้าโดยที่ไม่สนใจอย่างอื่นเลย มันผิดปกติ… ผิดปกติจนแบคฮยอนอยากจะถามออกไปว่าเป็นอะไร
“หน้าฉันมีอะไรติดอยู่หรอ” ชานยอลเอ่ยขึ้น
เขาถาม ถามทั้งที่ยังคงขับรถ และสายตาก็ยังจ้องมองถนนเบื้องหน้าเหมือนเดิม
แบคฮยอนกระอึกกระอักเล็กน้อยเพราะไม่รู้ว่าชานยอลรู้ตัวว่าตัวเองกำลังจ้องอยู่
“ว่าไง เห็นมองนานแล้วนะ” ครั้งนี้ชานยอลหันมามองหน้าแบคฮยอน ก่อนที่จะเบนสายตาไปที่เดิมต่อ
“ป…เปล่า เห็นนายดูเงียบผิดปกติ”
ชานยอลหัวเราะฮึกในลำคอแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรไป ร่างสูงยังคงขับรถไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาติดไฟแดงในอีกไม่กี่แยกต่อมา
“ฉันแค่ตื่นเต้นน่ะ” คำตอบที่ชานยอลได้ค้างไว้ก่อนหน้านี้ถูกปล่อยออกมา
แบคฮยอนมองหน้าคนตัวสูงอย่างไม่เข้าใจ “ตื่นเต้น? ตื่นเต้นอะไร”
“ไว้ถึงหอจะเล่าให้ฟังหมดเลย”
แบคฮยอนพยักหน้าอย่างเข้าใจ
สัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว ชานยอลหันมายิ้มให้แบคฮยอนเล็กน้อยก่อนที่จะหันหน้าไปขับรถต่อ
สิ่งที่ชานยอลจะบอกให้แบคฮยอนรู้ไม่ได้เพียงแต่ทำให้เขาตื่นเต้นเพียงเท่านั้น หากแต่มันทำให้ชานยอลรู้สึกกังวลและหวั่นใจกับอะไรหลาย ๆ ขึ้นมา
ทีแรกก็ก็ไม่ได้คิดมากหรอก… แต่พออะไร ๆ มันใกล้เข้ามามันก็รู้สึกขึ้นมาเอง…
“ฉันจะแวะไปหาอี้ชิงแปปนึงนะ นายขึ้นห้องไปก่อนเลย” ชานยอลกล่าวในขณะที่กำลังแกะเข็มขัดนิรภัยออก หลังจากที่เขากับแบคฮยอนได้เดินทางมาถึงมหาวิทยาลัยและได้นำรถมาจอดที่ลานจอดรถเป็นที่เรียบร้อย
“กระเป๋านายล่ะ?”
“เดี๋ยวฉันกลับมาเอาเองก็ได้ นายถือแค่ของนายไปเถอะ”
“แล้วใครบอกจะถือให้” พูดแล้วก็เปิดประตูออก ก่อนที่จะมาเปิดประตูทางด้านหลังเพื่อหยิบกระเป๋าเป้ของตัวเองแล้วเดินลิ่วไปที่หอทันที
ชานยอลหัวเราะในลำคอเล็กน้อย เขาเข้าใจว่าแบคฮยอนจะอาสาถือกระเป๋าขึ้นไปให้จริง ๆ เพราะของที่ชานยอลเอามาก็มีแค่กระเป๋าสะพายใส่เสื้อผ้าไม่กี่ชุด แต่ที่แบคฮยอนตอบกลับมาแบบนั้น เขาก็คิดว่ามันเป็นเพียงแค่การกวนประสาทเล็ก ๆ จากอีกคน โดยที่ไม่ได้จะหวังให้เขาเสียหน้าหรือเพราะกลัวว่าตัวเองจะเสียหน้าเลย ในความรู้สึกของชานยอล เขาคิดว่าแบคฮยอนก็แค่หมั่นไส้เขาที่เหมือนจะรู้ทันว่าเจ้าตัวกำลังคิดอะไร
และมันก็ไม่ใช่แค่เรื่องนี้…
ตลอดหลายสัปดาห์ในช่วงปิดเทอมที่ทั้งคู่ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันแทบจะทุกวัน มันทำให้ชานยอลรู้สึกว่าตัวเองกับแบคฮยอนได้เรียนรู้นิสัยกันมากขึ้น
…มากกว่าตอนที่อยู่ด้วยกันเป็นเทอม ๆ ในหอแห่งนี้ซะอีก
มันอาจจะดูเข้าข้างตัวเองไปสักหน่อย แต่เขากลับรู้สึกได้จริง ๆ ว่าแบคฮยอนนั้นได้ยอมเปิดใจและได้เริ่มอนุญาตให้เขาเข้าไปในโลกส่วนตัวของเจ้าตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นท่าทีที่ไม่ค่อยต่อต้านอะไรเมื่อเขาได้รุกล้ำสิ่งต่าง ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ หรือจะเป็นมุกสัพเพเหระที่แสนจะไร้สาระ แบคฮยอนก็ยังคงเล่นและสนุกกับเขาโดยที่ไม่ได้คิดว่ามันจะเสียฟอร์มเลย ถึงแม้ว่าบางครั้งจะไม่เล่นด้วยเพราะไม่สบอารมณ์ก็เถอะ
เขาเริ่มได้เรียนรู้ว่าแบคฮยอนจริง ๆ แล้วเป็นคนยังไง ถึงแม้จะดูโลกส่วนตัวสูง เข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว และมีความเชื่อมั่นในตัวเองมาก แต่ลึก ๆ แล้ว แบคฮยอนก็ยังเป็นคนที่น่ารัก แคร์ความรู้สึกคนอื่น เอาใจใส่ในทุก ๆ เรื่อง รู้จักวิธีทำให้ใครต่อใครเอ็นดู และอื่น ๆ อีกมากมายที่ไม่ใช่หลายคนนักที่จะได้สัมผัส
แต่เขาก็กลายเป็นหนึ่งในนั้น…
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นความคิดที่เข้าข้างตัวเอง แต่ชานยอลก็ไม่ได้อยากให้เป็นแบบนั้น เขาอยากให้สิ่งที่เขารู้สึกมันคือเรื่องจริงที่แบคฮยอนนั้นตั้งใจมอบให้เขา แม้ว่าความเป็นไปได้จะมีมาก แต่ชานยอลก็ยังรู้สึกไม่มั่นใจอยู่ดี ไม่ใช่ว่าชานยอลไม่มั่นใจว่าแบคฮยอนเปิดใจยอมรับเขารึเปล่า แต่เขาแค่ไม่มั่นใจว่า ถ้าจะเป็นอะไรมากกว่าที่เป็นอยู่ แบคฮยอนยังจะโอเคอยู่ไหม?
ลมหายใจหนัก ๆ ถูกพ่นออกมาอย่างฮึกเหิม
ยังไงวันนี้เขาก็ตัดสินใจแล้ว และไม่ว่ายังไงก็จะไม่มีทางปล่อยให้แบคฮยอนหลุดมือไปไหนอีก…
แบคฮยอนเดินสาวเท้ามาจนถึงหน้าหอ ร่างเล็กอมยิ้มเล็กน้อยเมื่อมองไปเห็นป้ายผ้าที่เขียนข้อความต้อนรับกลับหอตรงหน้าป้อมยาม มันคงไม่ใช่ฝีมือใครหรอกถ้าไม่ใช่ลุงยามที่กำลังนั่งยิ้มแป้นราวกับมานั่งรอลูกกลับบ้านอยู่ตรงนั้น
แบคฮยอนเดินเข้าไปทักทายเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหน้าหอด้วยความคิดถึง ก่อนที่จะเหลือบไปเห็นเพื่อนสนิทตัวสูงอย่างเซฮุนที่กำลังวิ่งแจ้นลงมาจากหออย่างหน้าตาตื่น
“เฮ้ย!”
คนที่ถูกทักทายหยุดฝีเท้าแล้วสะดุ้งเฮือกขึ้นทันที ก่อนที่จะหันมาทำหน้านิ่วใส่แล้วยืนหายใจพะงาบ ๆ โดยที่ไม่ได้คิดจะทักทายตอบ
“มึงเป็นไรของมึงเนี่ย วิ่งหนีผีมารึไง”
“ไม่ได้วิ่งหนีผี แต่แม่งวิ่งมาเจอผีอย่างมึงเนี่ย”
“กวนตีนละไอ้สัด มาตั้งแต่เมื่อไหร่ทำไมไม่บอกกู” แบคฮยอนเท้าสะเอวแล้วเลิกคิ้วถามคนตรงหน้าอย่างไม่ได้จริงจังนัก
“วันนี้แหละ กูมีธุระด่วน”
“ธุระไร”
“เฮ๊ยไม่เสือกสักเรื่องได้ป้ะ มึงมาเหนื่อย ๆ ก็ขึ้นไปพักผ่อนเถอะ กูจะรีบไปหาเพื่อนกู”
แบคฮยอนจิ๊ปากอย่างขัดใจ ก่อนจะหันหน้ากลับไปบอกลายามแล้วหันมาเตะตูดเซฮุนด้วยความหมั่นไส้ทันที
ไม่ทันที่เซฮุนจะได้ยกเท้าขึ้นโต้ตอบ คนตัวเล็กก็วิ่งไปที่บันไดทันที ทำเอาผู้ถูกกระทำต้องกัดฟันกรอดก่อนที่จะตะโกนตามหลังไปอย่างเคียดแค้น
“มึงจำไว้เลย หลังจากวันนี้ไปกูจะงอนมึงไปตลอดชีวิต!!!!”
แบคฮยอนเดิมยิ้มร่ามาจนถึงหน้าห้อง เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเซฮุนถึงต้องมีท่าทีฟึดฟัดขนาดนั้น ทั้งที่ปกติเป็นคนหน้าด้านหน้าทนและไม่ใช่คนอารมณ์เสียง่ายขนาดนี้
แต่ก็ช่างเถอะ ดูจากท่าทางที่รีบร้อนก็คงกำลังหงุดหงิดอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้วนั่นแหละ…
ร่างเล็กเอี้ยวกระเป๋าเป้มาข้างหน้า ก่อนที่จะรูดซิปควานหาพวงกุญแจและจัดการเปิดประตูออก
กลิ่นอับของห้องที่ไม่ได้อยู่มานานนับเดือนลอยมาเตะจมูกทันทีที่ประตูถูกเปิดออก แบคฮยอนปิดประตูเข้าเหมือนเหมือนก่อนที่จะเอื้อมมือไปแตะยังสวิตซ์ไฟที่อยู่ใกล้ ๆ และทันทีที่เขาหันหน้ากลับมาในห้อง ภาพตรงหน้าก็ทำให้เจ้าตัวถึงกับหัวใจแทบจะหยุดเต้น
ลูกโป่งผิวมันวาวสีฟ้ากับสีชมพูอ่อนเรียงสลับกันลอยแตะกับเพดานห้องจนเต็มทุกพื้นที่ แต่ละลูกมีสายริบบิ้นเล็ก ๆ ที่ห้อยลงมาผูกติดกับรูปถ่ายจากกล้องโพลาลอยด์ที่ถูกเจาะรูเอาไว้
แน่นอนว่าต้องเป็นฝีมือของชานยอล…
แบคฮยอนวางกระเป๋าเป้ลงบนพื้น ฝ่าเท้าเล็กค่อย ๆ ก้าวไปช้า ๆ แล้วพลิกดูรูปถ่ายแต่ละใบที่ลอยอยู่ด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก
เขาใช้เวลาจดจ่ออยู่กับภาพแต่ภาพอย่างไม่รีบเร่ง ทุกภาพเป็นภาพของใบหน้าเขาในตอนที่กำลังหลับอยู่ และมีวันที่ที่ดูแล้วน่าจะเป็นวันที่ถ่ายเอาไว้เขียนอยู่ด้านหลังทุกแผ่น ไม่รู้ว่าชานยอลแอบถ่ายเขามานานแค่ไหน แต่มันต้องนานมากแน่ ๆ เพราะรูปทั้งหมดตอนนี้ก็ไม่ใช่น้อย ๆ
แล้วสิ่งที่แบคฮยอนสงสัยก็ได้กระจ่างทันทีเมื่อได้เดินมาถึงกลาง ๆ ห้อง วันที่ที่เขียนอยู่บนรูปถ่ายใบหนึ่งเป็นวันที่เขาจำได้ว่าเพิ่งจะเข้ามาอยู่ที่นี่เพียงสัปดาห์แรก
ร่างเล็กเดินดูไปเรื่อย ๆ จนหมดทุกรูปที่ห้อยอยู่ ตอนนี้เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นคนบ้าที่ไม่สามารถหุบยิ้มได้จริง ๆ
แบคฮยอนหายใจเฮือกออกมาก่อนที่จะเดินตรงไปที่เตียงตัวเอง
ร่างเล็กจัดการหย่อนสะโพกลงที่เตียงเบา ๆ ช่อกุหลาบสีแดงที่ถูกห่อด้วยกระดาษสีน้ำตาลที่วางอยู่ข้าง ๆ เขาทำเอาหัวใจเต้นรัวมากขึ้นจนแทบจะหลุดออกจากอก อันที่จริงแบคฮยอนก็เห็นตั้งแต่เดินเข้ามาแล้วแหละ แต่แค่อยากเดินดูรูปก่อนแล้วค่อยกลับมาหามันเท่านั้นเอง
ช่อกุหลาบถูกยกขึ้นมาสูดดมอย่างเอ็นดู ไม่รู้ทำไมว่ากลิ่นของดอกกุหลาบที่เขาไม่เคยคิดว่ามันหอม ในตอนนี้มันถึงทำให้เขารู้สึกดีมากขนาดนี้ ร่างเล็กทำจมูกฟุดฟิดก่อนที่จะรู้สึกได้ว่ามีแผ่นอะไรบางอย่างแนบอยู่ข้างในเชือกที่กำลังผูกช่อไว้อยู่
แบคฮยอนค่อย ๆ ดึงมันออกมา ก่อนจะพบว่ากระดาษแข็ง ๆ นี่ก็เป็นรูปถ่ายอีกใบที่ถูกถ่ายไว้เมื่อไม่นานมานี้ ภาพของมือเขากับชานยอลที่กำลังประสานกันอยู่…
“จะจับทำไมเนี่ย”
“เดี๋ยวหลง คนมันเยอะ”
แบคฮยอนไม่ได้สนใจคำพูดของชานยอลที่กำลังทำหน้าเว้าวอนอยู่ ร่างเล็กเดินตรงไปข้างหน้าที่มีของขายอยู่เต็มไปหมดบนถนนคนแห่งนี้ แต่เพียงไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น มือของเขาก็ถูกชานยอลคว้าไว้ได้อีกครั้ง
“มาเถอะน่า”
ร่างสูงไม่ได้สนใจว่าไอ้เด็กดื้อข้าง ๆ เขาจะทำหน้าแบบไหน เขาจับมือแบคฮยอนให้เดินไปเรื่อย ๆ อย่างสบายอารมณ์ ก่อนจะรู้สึกได้ถึงนิ้วเล็ก ๆ ที่เริ่มจะสอดเข้ามาประสานกับมือของเขาจนแน่น
แบคฮยอนเดินนำชานยอลไปอย่างรวดเร็วเพราะเหมือนจะเจอของที่ถูกใจจนแขนของทั้งคู่ตึงขนานกับพื้นถนน
“เห้ยอย่ารีบดิเดี๋ยวก็หลุดหรอก”
“อย่าทำให้มันหลุดสิ”
ชานยอลได้แต่ยิ้มกว้างออกมาเมื่อได้ยินคำพูดจากคนตัวเล็ก แบคฮยอนอาจจะแค่พูดไปโดยที่ไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น แต่มันก็ยังทำให้เขารู้สึกดีอยู่ดี จนอดไม่ได้ที่จะหยิบกล้องขึ้นมาแอบถ่ายเอาไว้
โดยที่เขาไม่รู้เลยว่า …ตอนนี้แบคฮยอนก็กำลังยิ้มอยู่เหมือนกัน
‘And today…’
‘Will you be my honey?’
แบคฮยอนอ่านข้อความที่ถูกเขียนอยู่บนด้านหลังของรูปถ่ายซ้ำไปซ้ำมา ไม่รู้ว่าเขาจ้องข้อความนี้ไปนานแค่ไหนแล้ว รู้ตัวอีกทีชานยอลก็ค่อย ๆ ก้าวเท้ามายืนอยู่ตรงหน้าเสียแล้ว
“…”
“…นี่มัน …อะไรน่ะ” เขาลุกขึ้นจากเตียง ถามออกไปทั้งก็รู้อยู่แล้วว่ามันคืออะไร แบคฮยอนก็แค่รู้สึกว่าตัวเองโง่จนไม่รู้ว่าจะเอ่ยคำไหนออกมาก่อน…
“ที่เขียนน่ะ ยังไม่ชัดอีกหรอ” ชานยอลตอบกลับไปด้วยสีหน้าที่จริงจังบวกกับแววตาที่เหมือนกำลังคาดหวังอะไรอยู่มากมาย
เขาไม่รู้ตัวเลยว่าการกระทำของเขามันยิ่งทำให้ริมฝีปากของแบคฮยอนหนักอึ้งขึ้นไปอีก ร่างเล็กได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อ ไหนจะแววตาที่กำลังสับสนนั่นอีก
ชานยอลพรูลมหายใจออกมาจนแทบจะหมดปอด เขามองไปยังเพดานห้องที่มีลูกโป่งลอยเต็มไปหมด ก่อนที่จะหันกลับมามองหน้าคนตัวเล็กข้างหน้าอีกครั้ง
“นายไม่ชอบมันใช่ไหม”
“…”
“ฉันมันโง่จริง ๆ แบคฮยอน กับหลายเรื่อง กับคนอื่น ฉันรู้ดีหมดว่าควรทำยังไงมันถึงจะออกมาดี ทำยังไงคนอื่นถึงจะพอใจ แต่กับนาย…ฉันไม่รู้จริง ๆ”
“…”
“มันมีหลายวิธีที่ฉันคิดว่านายอาจจะชอบมัน แต่ฉันก็ไม่แน่ใจสักอย่าง ฉันลองปรึกษาคนโน้นคนนี้เยอะแยะไปหมด แต่คำตอบก็ไม่ได้เรื่องสักคน ฉันก็เลยใช้วิธีนี้ วิธีที่ตอนนี้คนเขาฮิตกัน แต่มันดูไร้สาระสำหรับนายมากเลยใช่ไหม?”
แบคฮยอนส่ายหัวน้อย ๆ เป็นคำตอบ
ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนใจจะขาดเข้าไปทุกทีที่เห็นสีหน้าผิดหวังเล็ก ๆ ของชานยอลแต่ก็ไม่สามารถพูดสิ่งที่ตัวเองต้องการออกมาได้
จะบอกว่าพูดออกมาไม่ได้ก็ไม่ใช่ แค่ไม่รู้จะเริ่มยัง จะเรียงคำพูดยังไง จะพูดออกมายังไงให้คนตรงหน้าพอใจกับคำตอบของเขาซะมากกว่า…
คลื่นความเงียบลอยอยู่ในห้องเกือบหนึ่งนาที
ทั้งคู่ได้แต่มองหน้ากันโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา สุดท้ายจึงเป็นชานยอลที่เป็นฝ่ายทำลายความเงียบนั้นเพราะความร้อนรนที่มีอยู่เต็มอก
“ขอร้องล่ะ… อย่าปฏิเสธฉันเลยนะ…”
สายตาอ้อนวอนของชานยอลสะกดให้แบคฮยอนมองอยู่แบบนั้น เขาอดคิดไม่ได้เลยว่า ถ้าเกิดปฏิเสธไปจริง ๆ ชานยอลคงได้ร้องไห้ออกมาแน่ ๆ
ไม่ปล่อยให้ชานยอลพูดอะไรอีก ร่างเล็กยื่นมือซ้ายเข้าไปหาคนข้างหน้า ปรากฎให้เห็นเครื่องหมายคำถามที่มีอยู่เต็มใบหน้าชานยอล
“แหวนอ่ะ… จะเป็นแฟนกันก็ต้องมีแหวนดิ”
เมื่อได้ยินคำตอบของแบคฮยอน ชานยอลก็ได้แต่กรอกตาไปมาพร้อมกับถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะกลับมาสนใจแบคฮยอนที่กำลังยิ้มให้เขาอยู่
“ไว้ก่อน ขอกอดแปปนึง” แขนยาว ๆ ของชานยอลโอบรัดไปที่รอบตัวของคนตัวเล็กทันที เขากระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ก่อนที่จะใช้มือข้างขวาดันศีรษะทุยของแบคฮยอนให้ซุกลงกับแผงไหล่ของตัวเอง
แบคฮยอนยกแขนขึ้นมาโอบหลังของชานยอลไว้ ก่อนที่จะใช้มือทั้งสองข้างเกาหลังให้กับรูมเมทที่เพิ่งจะเปลี่ยนสถานะมาเป็นแฟนตัวสูงด้วยความเอ็นดู
เขาไม่รู้ว่าตอนนี้ชานยอลมีความสุขมากขนาดไหน แต่ถ้าเอามาเทียบกับเขา ยังไงชานยอลก็คงจะน้อยกว่านิดนึงอยู่ดี
“พอได้แล้ว กะจะให้ฉันจมลงไปในอกนายเลยรึไง” แบคฮยอนพูดทั้งหัวเราะออกมาเล็กน้อย
ชานยอลไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่ยอมผละตัวเองออกแล้วโน้มตัวลงไปหอมแก้มของแฟนตัวเล็กตรงหน้าด้วยความหมั่นเขี้ยว เขาหอมแก้มสองข้างสลับไปมา จนคนที่ถูกจู่โจมถึงกับต้องนิ่วหน้า ก่อนที่จะยกมือขึ้นบีบกรามเต็มแรงด้วยความหมั่นไส้ ทำให้ชานยอลได้แต่ส่งเสียงอู้อี้ออกมาแล้วก็ยกมือขึ้นสู้เป็นพัลวัน
“เซฮุน กลับเถอะ นี่มันก็ดึกมากแล้วนะ”
“…”
“เออ พรุ่งนี้ฉันมีเรียนนะ รีบกลับไปอาบน้ำนอนเถอะ ยุงกัดจนเลือดจะหมดตัวแล้ว”
ผู้ที่ถูกกดดันอยู่ไม่ตอบอะไรออกมา เพียงแต่ทำหน้าเครียดแล้วซัดนมปั่นในมือไปเรื่อย ๆ โดยที่ไม่ได้สนใจคนที่กำลังขอร้องเขาเลย
“นี่ ไม่กลับงั้นฉันจะขึ้นไปคนเดียวแล้วนะ จะอะไรหนักหนาวะก็แค่เพื่อนมีแฟน!”
เซฮุนหันไปทำหน้าค้อนแล้วหายใจฟึดฟัดใส่รูมเมทตัวเอง “นายไม่เข้าใจฉันหรอกจงแด!” พูดแล้วก็ยกมือถือขึ้นมากดแก้เครียด แต่กลับกลายเป็นว่าสิ่งกำลังปรากฏอยู่บนหน้าฟีดเฟซบุ๊คของเขายิ่งทำให้หงุดหงิดขึ้นไปอีก
การตั้งสถานะคบกันระหว่างชานยอลกับแบคฮยอน…
“โวะ!” ร่างสูงแทบจะปาโทรศัพท์ทิ้งแต่ก็ชั่งใจโยนมันลงกลางโต๊ะ เป็นเหตุให้เพื่อนอีกคนอย่างอี้ชิงต้องหยิบขึ้นมาดูด้วยความสงสัย
“โห…ตั้งคบกันเร็วดีเนอะ”
เสียงหัวเราะแหะ ๆ ของอี้ชิงไม่ได้ทำให้เซฮุนอารมณ์เย็นขึ้น แต่มันกลับทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดขึ้นอีก
ไม่มีใครเข้าใจเซฮุนเลย ไม่มีเลย…
ไม่ใช่ว่าเซฮุนไม่อยากให้ชานยอลกับแบคฮยอนคบกัน แต่การจะทำใจยอมรับให้เพื่อนที่อยู่ด้วยกันมาเป็นสิบ ๆ ปีได้เป็นฝั่งเป็นฝามันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดเลย
เขาไม่เคยคิดมาก่อนมาวันหนึ่งแบคฮยอนจะมีแฟน เพราะไลฟ์สไตล์ของเจ้าตัวมันไม่สามารถที่จะลงรอยหรือเปิดรับใครเข้ามาง่าย ๆ เลย แต่พอมีชานยอลเข้ามา ถึงเขาจะแปลกใจเล็กน้อยกับท่าทีที่เริ่มอ่อนไหวลงเรื่อย ๆ ของเพื่อนสนิท แต่ลึก ๆ แล้วเขาก็ดีใจที่แบคฮยอนเริ่มมีความรู้สึกแบบนี้กับชาวบ้านเขาสักที และจะดีใจมากถ้าเกิดชานยอลสามารถเอาชนะใจแบคฮยอนได้ เพราะมันคงจะทำให้ชีวิตของแบคฮยอนมีสีสันขึ้นมาก แต่พอถึงเวลาจริง ๆ อาการหวงเพื่อนมันก็มาจากไหนเยอะแยะไม่รู้…
“หึ”
จงแดได้แต่สายหัวให้กับความงี่เง่าของรูมเมทตัวเอง ก่อนที่จะลุกขึ้นแล้วเดินกลับหอไปโดยไม่บอกไม่กล่าว ทิ้งให้อี้ชิงที่ยังอยู่เป็นเพื่อนกับเซฮุนได้แต่ทำหน้าเว้าวอนเพราะตัวเองก็อยากจะกลับเต็มทน
“เซฮุน กลับเถอะ เดี๋ยวอีกสักพักหอก็จะปิดแล้วนะ”
“ให้มันปิดไปเถอะ”
“ร้านป้าก็จะปิดแล้วเหมือนกัน” ป้าเจ้าของร้านนมปั่นชะโงกหน้ามาพูดกับเซฮุน ทำเอาคนตัวสูงที่นั่งดื้อด้านอยู่ตั้งนานยอมที่จะลุกขึ้น
เซฮุนหันไปพยักหน้าหงก ๆ แล้วยิ้มแหย ๆ ให้กับเจ้าของร้าน ก่อนที่จะเดินนำอี้ชิงออกจากร้านไปโดยที่ไม่ลืมเก็บแก้วนมปั่นออกมาทิ้งด้วย
แผนการของชานยอลวันนี้จะสำเร็จไม่ได้เลยหากไม่มีเซฮุนกับอี้ชิงรวมถึงจงแดที่เข้ามาสมทบ
ตอนทำเซฮุนก็ตั้งใจดีอยู่หรอก แทบจะเรียกได้ว่าถ้าคนอื่นผ่านมาเห็นคงจะคิดว่าเซฮุนเป็นคนขอคบซะเอง เดี๋ยวนั่นไม่ดี เดี๋ยวไอ้นี่ก็ต้องเอาออก มันทำให้อี้ชิงอดคิดไม่ได้เลยว่า ถ้าชานยอลได้มาเห็นแบบนี้คงได้ควักตังค์พาเซฮุนออกไปเลี้ยงข้าวทุกวัน
แต่พอมาถึงตอนนี้… เขาล่ะไม่เข้าใจเซฮุนเลยจริง ๆ
“นี่ ถามอะไรหน่อยดิ”
“หื้ม”
“นายเริ่มถ่ายรูปฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วทำไมต้องแอบถ่ายไว้เยอะขนาดนี้ด้วย”
หลังจากที่ปลุกปล้ำกันมานานแล้วกว่าจะสงบลงได้ แบคฮยอนก็ยิงคำถามใส่แฟนตัวสูงในขณะที่กำลังนอนหลับตาอยู่ข้าง ๆ
“ตั้งแต่วันแรก ๆ ที่มาอยู่ละ ทีแรกก็ไม่ได้คิดไร ถ่ายเก็บไว้เพราะมันน่ารักดี ไป ๆ มา ๆ ก็รู้สึกว่าหยุดถ่ายไม่ได้” ร่างสูงตอบพร้อมกับรอยยิ้มทั้งที่ยังหลับตาอยู่
“แล้วก็เอามาเจาะรูซะเสียหมดเลย” แบคฮยอนยู่หน้าด้วยความขัดใจเมื่อนึกเสียดายภาพสวย ๆ ที่ชานยอลถ่ายเก็บไว้หลายเดือน
ชานยอลลืมตาขึ้น ก่อนจะพลิกตัวไปหาคนรักแล้วเลิกคิ้วถาม “ไม่โกรธฉันรึไงที่แอบถ่ายน่ะ?”
“อยากโกรธอยู่เหมือนกัน แต่ทำไมมันถึงไม่โกรธก็ไม่รู้”
คิ้วที่ขมวดเป็นปมหลวม ๆ พร้อมกับริมฝีปากล่างที่ถูกงับไว้ของแบคฮยอนทำเอาชานยอลความอดทนขาดผึงอีกครั้ง ร่างสูงพลิกตัวเองให้นอนหงายพร้อมกับดึงแฟนตัวเล็กให้มานอนทับบนตัวของตัวเองแล้วจัดการจู่โจมแก้มซ้ายขวาโดยไม่มีการปราณีใด ๆ
“ชานยอลเบา ๆ! อ๊ะ! ชานยอล!!” ร่างเล็กได้แต่ดิ้นอยู่บนตัวของคนรักไปมาโดยที่ไม่สามารถขัดขืนได้เลย
เขาไม่รู้ว่าทำไมชานยอลถึงหมั่นเขี้ยวเขามากขนาดนี้ทั้ง ๆ ที่เขายังไม่ทำอะไรเลย แต่จะทำยังไงได้… ชานยอลคงจะเห่อกับสถานะแฟน แล้วก็รู้สึกว่าตัวเองมีสิทธิ์ในตัวเขามากขึ้นแล้วเท่านั้นแหละ ซึ่งข้อดีเขาก็เข้าใจดี และก็รู้สึกว่าตัวเองก็สามารถยอมให้ชานยอลได้ทุกอย่างเช่นกัน…
“ทำตัวน่าฟัดเอง เดี๋ยววันนี้จะไม่ได้นอนคอยดูเถอะ”
“พอได้คบนี่เอาใหญ่เลยนะ ปล่อยได้แล้ว! โว้ย!!!”
ผ่านไปยี่สิบห้าตอนเต็มกว่าจะคบกันได้ เหนื่อยไหมคะชานยอล ไรท์เตอร์ก็เหนื่อยค่ะ T^T
ขอโทษที่อัพช้านะคะ ช้าแบบไม่น่าให้อภัยจริงๆ หายไปเครียดเรื่องเกรดแล้วก็บัตรคอนมาค่ะ แหะๆ
และหลังจากที่ได้เกรดดีงามตามท้องเรื่องก็เลยได้แต่งฟิคแก้บนขึ้นค่ะ ช่างบนอะไรที่ไม่แคร์ความขี้เกียจของตัวเองเลย ถ้าใครเบื่อๆก็ไปอ่านกันได้นะคะ click แต่งไปเรื่อยๆเนาะ แต่ไม่ทิ้งเรื่องนี้แน่นอนค่ะ :D
ความคิดเห็น