แอลเอสดี (LSD : Lysergic acid diethylamide)
แอลเอสดี เป็นสารสกัดจากกรดไลเซอจิกที่มีในเชื้อราชนิดหนึ่ง ชอบขึ้นในข้าวไรย์ มีลักษณะเป็นผง ละลายน้ำได้ อาจพบแอลเอสดีเป็นเม็ดยา แคปซูล หรือผสมในทอฟฟี่ ที่พบว่าแพร่ระบาดมาก มีลักษณะเป็นแผ่นกระดาษชุบ หรือเคลือบสารแอลเอสดี และปรุแบ่งเป็นชิ้นเล็ก ๆ ลักษณะเดียวกับแสตมป์ โดยบนแผ่นกระดาษที่เคลือบสารแอลเอสดีนั้น จะมีสัญลักษณ์หรือรูปภาพต่าง ๆ แอลเอสดีมีความรุนแรงในการออกฤทธิ์ต่อสมองสูงคือ ใช้ในปริมาณแค่ 25 microgram (25/1 ล้านส่วนของกรัม) แอลเอสดี มีชื่อเรียกอีกหลายชื่อ เช่น เมจิคเปเปอร์ แอสซิส
ฤทธิ์ในทางเสพติด :
ออกฤทธิ์หลอนประสาทอย่างรุนแรง ไม่มีอาการเสพติดทางร่างกาย มีอาการเสพติดทางจิตใจ ไม่มีอาการขาดยาทางร่างกาย
อาการผู้เสพ :
เคลิบเคลิ้ม ฝันเฟื่อง ความดันโลหิตสูง อุณหภูมิในร่างการสูง หายใจไม่สม่ำเสมอ
โทษที่ได้รับ :
ฤทธิ์ของยาจะทำให้ผู้เสพเห็นภาพลวงตา หูแว่ว เพ้อฝัน คิดว่าตนเองเป็นผู้วิเศษ หรือคิดว่าเหาะได้ อาจมีอาการทางจิตประสาทอย่างรุนแรง มีอาการหวาดระแวง เกิดอาการกลัวภาพหลอน (Bad Trip) จึงต้องหนีจากความหวาดกลัว เช่น การขับรถหนีหรือเหาะหนี หรือฆ่าตัวตายเพราะความหวาดกลัว
Albert Hofmann นักเคมีชาวสวิส ผู้ให้กำเนิด LSD
Hofmann เกิดในวันที่ 11 มกราคม ปี ค.ศ. 1906 ในเมือง Baden ทางตอนเหนือของสวิตเซอร์แลนด์ เป็นบุตรคนโตในจำนวน 4 คนของครอบครัวช่างทำเครื่องมือในโรงงานท้องถิ่น ที่ค่อนข้างเคร่งศาสนา เมื่อโตขึ้นได้เข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยซูริก ในสาขาวิชาเคมี ได้ Ph.D. ในปี ค.ศ. 1929 ในขณะที่อายุได้ 23 ปี และได้งานการศึกษาผลทางเภสัชศาสตร์เกี่ยวกับสารสกัดที่ได้จากพืชที่ Sandoz Laboratories ในเมือง Basel และมีผลงานทางวิชาการมากกว่า 100 ชิ้น และหนังสืออีกหลายเล่ม นอกจากนี้ยังดำรงตำแหน่งหัวหน้าแผนกวิจัยทางด้าน natural medicine จนกระทั่งเกษียณอายุในปี ค.ศ.1971 และเสียชีวิตในวันที่ 29 เมษายน ในบ้านใกล้กับเมือง Basel สวิตเซอร์แลนด์ จากโรคหัวใจล้มเหลว ด้วยวัย 102 ปี
LSD (LySergic acid Diethylamide)
ถือเป็นสารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทที่ทรงพลังมากที่สุดตัวหนึ่ง ซึ่งถูกค้นพบโดยบังเอิญโดย Hofmann ในปี ค.ศ.1938 ในระหว่างที่เขาทำการศึกษาเชื้อราในกลุ่ม ergot แต่ก็เป็นเวลา 5 ปีกว่าที่จะได้ค้นพบฤทธิ์ที่มีผลต่อจิตประสาทของมัน โดยการกิน LSD เข้าไปด้วยความบังเอิญ ในบ่ายวันศุกร์หนึ่งของเดือนเมษายน ปี ค.ศ.1943 ซึ่งทำให้เกิดความรู้สึกเป็นสุข เข้าถึงสัจธรรม และเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ซึ่งต่อมา Hofmann เรียก LSD ว่า "ยาเพื่อจิตวิญญาณ (medicine for soul)" และในวันจันทร์ที่ 19 เมษายน ต่อมานั้นเอง เขาก็ได้เสพ LSD อีกครั้ง และออกขี่จักรยานกลับบ้านในขณะที่เมายายา ซึ่งกลายมาเป็นวันสำคัญของสาวก LSD ที่รู้จักกันในชื่อ "bicycle day"
ในปี ค.ศ. 2007 ได้มีการอนุญาตในการทดลองที่จะนำ LSD มาใช้กับผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย และโรคร้ายแรงอื่น ๆ และถือว่าเป็นการศึกษาผลของ LSD ต่อมนุษย์ชิ้นแรก ในรอบ 35 ปี
นอกจาก LSD แล้ว Hofmann ยังมีส่วนร่วมในการค้นพบยาที่สำคัญอีกหลายตัว เช่น methergine ที่ใช้กระตุ้นให้มดลูกหดตัวหลังการคลอด เพื่อลดอัตราการเกิดการตกเลือดของมารดาหลังคลอด (postpartum hemorrhage)
แอล เอส ดี (LSD)
แอล เอส ดี (LSD) ยาเสพติดซึ่งเคยระบาดเมื่อประมาณเกือบ 10 ปีที่แล้ว ได้กลับมาแพร่ระบาดอีกครั้ง ในกลุ่มวัยรุ่น นักเรียน นักศึกษา
แอล เอส ดี (LSD) มีชื่อเต็มว่า Lysengic Acid Dicthy Lamide เป็นสารกึ่งสังเคราะห์ ที่ไม่พบในธรรมชาติ มักเรียกว่า เมจิกเปเปอร์ หรือกระดาษเมา จัดอยู่ในประเภทยาหลอนประสาท มีลักษณะเป็นผลึกสีขาว โดยมีรูปแบบต่างๆ กันเช่น รูปน้ำตาลก้อน รูปแคบซูล เม็ดยา หรือในรูปของกระดาษซับ (Blotter paper) ซึ่ง แอล เอส ดี ในรูปกระดาษซับเป็นชนิดที่ ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้เสพมากที่สุด เนื่องจากสะดวกต่อการพกพา หรือหลบซ่อนเจ้าหน้าที่ กระดาษซับ 1 แผ่นสามารถแบ่งเป็นชิ้นเล็ก ๆ ได้ตั้งแต่ 50 ถึง 1,000 ชิ้นขึ้นไป โดยชิ้นเล็ก ๆ เหล่านี้ จะพิมพ์ลวดลายต่าง ๆ คล้ายกับแสตมป์
แอล เอส ดี (LSD) เป็นสารฤทธิ์หลอนประสาทแรงมากที่สุดตัวหนึ่งในกลุ่มสารหลอนประสาทด้วยกัน มีความรุนแรงในการออกฤทธิ์ต่อสมองสูง โดยในระยะแรกจะมีความสุข อารมณ์ดี รู้สึกคึกคัก ความดันโลหิตสูง หลังจากนั้นจะเกิดอาการประสาทหลอนอย่างรุนแรง มีอาการหวาดกลัว จนกระทั่งอาจทำร้ายตนเอง หรือนำไปสู่การฆ่าตัวตาย โดยที่ผู้นั้นไม่สามารถยับยั้งตนเองได้เลย
ในคนที่ใช้ แอล เอส ดี มาก ๆ จะเกิดอาการโรคจิตอย่างเฉียบพลัน เนื่องจากเดิม แอล เอส ดี (LSD) มีฤทธิ์หลอนประสาทอย่างรุนแรงอยู่แล้ว เมื่อใช้ในปริมาณมาก ๆ จะเกิดอาการโรคจิต ชนิดหวาดระแวง หูแว่ว เห็นภาพหลอนที่น่ากลัวต่าง ๆ แม้จะหยุดใช้ยาแล้วก็ตาม แต่อาการโรคจิตก็อาจกลับมาได้อีก ซึ่งอาการดังกล่าว จะรักษาให้หายได้ยากมาก และต้องใช้เวลานานหลายปี อาการจึงจะทุเลาลง
ความคิดเห็น
แต่
อ่านยากมากๆ