ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Yes,boss ผมนี่แหละผู้ช่วยมือหนึ่ง

    ลำดับตอนที่ #2 : 02 เลือกงานดีมีชัยไปกว่าครึ่ง

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 12
      0
      26 มี.ค. 57

    02 เลือกงานดีมีชัยไปกว่าครึ่ง

                    ถ้าโลกย้อนเวลาได้ก็จริงก็ทำซะเดี๋ยวนี้เลย!

    ฮือ....

    ไอ้กล้องโครตแพง ไอ้กล้องไร้จริยธรรม ไอ้กล้องเห็นแก่ตัว ว้าก! ผมไม่รู้ว่าผมตะโกนด่าเจ้ากล้องบ้านี่ในใจมากี่ครั้งกันแล้ว แต่รู้อย่างเดียวว่าเพราะเจ้ากล้องนี่และเจ้าหมาตัวโตที่ดันมีชื่อไม่เข้ากับหน้าตาอย่าง “ลูกตาล” มันทำให้ผมตกที่นั่งลำบากอย่างนี้!

    ม่าย! ผมอยากกรีดร้อง อยากกรีดร้องให้ก้องโลก!

    ผมยืนเกาะอยู่หน้ากระจกร้านขายอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ ถ้าคุณนึกไม่ออกก็เหมือนเด็กอยากได้ของเล่นนั่นแหละครับ ต่างกันตรงที่ผมไม่ได้อยากได้มันสักหน่อย!

    ยกมือขึ้นมากุมขมับ ก่อนทึ้งผมตัวเองเบาๆ อย่าดึงแรงมากเดี๋ยวจะเจ็บเอา เจ็บไม่พอถ้าหัวล้านขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ คนหล่อๆอย่างนี้ยิ่งหายากอยู่นะ

    ขนาดวันเสาร์ห้างก็ยังคนเยอะ ทั้งที่มาเป็นครอบครัว มาเป็นกลุ่มเพื่อน มาเป็นคู่รัก หรือมาเดี่ยวๆแบบผม ลูกค้าส่วนใหญ่ก็คงหนีไม่พ้นเด็กนักเรียนนักศึกษาที่มาเที่ยวพักผ่อนหรือมาซื้อเครื่องเรียนของใช้ ซึ่งผมจัดอยู่ในประเภทหลังสุด คนที่เดินผ่านไปมาหันมามองผมก่อนจะเดินเลี่ยงๆออกไป นี่คนครับไม่ใช่เชื้อโรค ไม่ต้องทำท่ารังเกียจขนาดนั้นก็ได้!

    ลูกตาล! ฮึ่มๆๆ ไอ้น้องหมามีแต่ส่วนเกิน ทำไมผมถึงซวยอย่างนี้นะ!

                    เอ่อ แต่คิดอีกทีก็ไม่ใช่ความผิดมันซะทีเดียวหรอกนะ ...

    เดินจนแทบหมดแรง มายืนขาสั่นอยู่หน้าชั้นวางกล้องจุลทรรศ์ อย่าถามผมนะว่าผมเดินมากี่ร้านแล้ว เพราะผมจำไม่ได้ แต่ที่แน่ๆผมเลิกนับไปตั้งแต่ร้านที่แปดแล้ว หลังจากทำใจได้ผมก็ค่อยเงยหน้าขึ้นมามองป้ายราคาที่ติดอยู่

    แปะ!

    ผมรีบยกมือขึ้นมาปิดมันด้วยสัญชาตญาณ แล้วค่อยๆกระเถิบทีล่ะหลัก อะไร๊! ไม่ต้องมามองผมเลย ผมรู้คุณก็เคยทำน่า

    ราคาหลักหน่วย... ผมยังยิ้มอยู่

    ราคาหลักสิบ...     ยิ้มเริ่มค้างหน่อยๆ

    ราคาหลักร้อย...   ตาขวาเริ่มกระตุกถี่ๆ

    ราคาหลักพัน... รู้สึกได้ถึงเหงื่อที่ซึมฝ่ามือ ผมไม่ควรเปิดต่อใช่ไหม?

    ราคาหลัก..หมื...หมื่น   เอือก! น้ำลายติดคอ แค่กๆๆ โอ้พระเจ้านี่มันกล้องอะไรกันเนี่ย ทำไมราคามันถึงได้แพงอย่างเข็ดขัดสั้น (คาดไม่ถึง) ขนาดนี้!!

    ฆ่าฉันให้ตายเสียยังดีกว่า ฮือ พระเจ้าครับถ้าท่านมีจริงช่วยฆ่าผมตอนนี้เลยได้ไหม จะต้มยำทำแกง หรือเอาไปใส่ซุปก็แล้วแต่ท่านเลย อย่าลืมใส่อายิโนะโมโตะด้วย เดี๋ยวมันจะไม่อูมามิ (ใช่เวลาไหมเนี่ย!) แต่หลังจากนั้นกรุณาบอกตัวผมในชาติหน้าด้วยว่าวันหลังอย่าทำตัวเป็นสุภาพบุรุษขนาดนี้!

    มองกล้องจุลทรรศ์เจ้าปัญหาอีกรอบ จ้องมันเข้าไป ถ้ามันเป็นปลากัดผมว่ามันคงท้องแล้วล่ะ เอาไงดี สมองผมเริ่มตีกันวุ่นถึงการหาเงินจำนวนมากขนาดนั้น

    ทำงาน?

    ยืมเพื่อน?

    กู้เงินนอกระบบ?  บรื้ย แค่คิดก็สยองแล้ว

    “แกรนด์!!

    “ว้าก!!” ผีหลอกๆๆ ช่วยด้วยผีหลอกกกลางวันแสกๆ

    “ฮ่าๆๆๆ ทำหน้าไรอย่างนั้นวะไอ้น้องแกรนด์” เสียงทุ้มๆที่คุ้นเคยดังขึ้นกระชากวิญญาณผมกลับเข้าร่าง ก่อนจะหันไปหาต้นเสียงทันที

    “เฮียกอล์ฟ!” ปรี๊ดแตกใส่ทันทีเมื่อเห็นว่าเป็นเฮียกอล์ฟ เฮียกอล์ฟเป็นพี่รหัสของผมเองครับ ตอนนี้เฮียกำลังยืนกุมท้องหัวเราะเสียงดังแบบไม่มีเกรงใจชาวบ้าน ตาตี่ๆของเฮียหยีเล็กจนมองเห็นเป็นขีดๆ พี่รหัสของผมเป็นลูกครึ่งจีนครับ เฮียเคยเล่าว่าทางต้นตะกูลพ่อของเฮียน่ะ เป็นชาวจีนที่อพยพมาจากไหหล่ำ มาทำมาค้าขายตั้งรกรากอยูเมืองไทยเป็นสิบๆปีแล้ว หน้าตาเฮียกอล์ฟก็เลยออกมาเป็นหนุ่มตี๋แบบที่เรียกว่าไม่ต้องไปเดาชาติกำเนิดให้เสียเวลา นิสัยนี่ก็รู้ๆกันอยู่ว่าพี่น้องย่อมคล้ายกันเป็นธรรมดา แต่หน้าตานี่ผมชนะขาด ฮ่า ฮ่า ฮ่า

    “เฮ้ย ทำหน้าอย่างกับคนบ้า” อ้าวเฮียคนบ้าที่ไหนเขาหน้าตาดีขนาดนี้ ไม่มี๊ ไม่มี

    “เปล่าบ้าซะหน่อยเฮีย” ผมผลักแขนเฮียเบาๆ “เฮียผมมีเรื่องจะปรึกษาหน่อย” ผมโผล่งขึ้น

    “เออ ว่ามา”

    “ผม...” เอ้อ จะว่าไปผมยังไม่ทันคิดเลยนี่หว่าว่าจะบอกเฮียยังไง จะบอกไปว่าเฮียผมขอยืมตังเฮียหน่อยสักห้าหมื่นดีไหม?

    “แกรนด์!! มีอะไรก็พูดมาตรงๆนะเว้ย!” เฮียตะคอกซะจนผมสะดุ้งโหยง ซ้ำยังเอามือมาตะปบไหล่ผมอย่างแรงอีกต่างหาก

    “เฮีย..” ผมหน้านิ่ว มันเจ็บนะเว้ยเฮีย!

    “ถึงแกไม่มีใคร แต่แกยังมีเฮียนะเว้ย” พูดไม่พูดเปล่าเฮียกอล์ฟเขย่าไหล่ผมจนหัวสั่นด๊อกแด๊ก เฮียผมไม่ใช่นมพาสเจอร์ไรส์ ไม่ต้องเขย่าขวดก่อนดื่ม!

    “เฮียโว้ย เป็นอะไรไปครับ!” ตะบปมือเฮียออกจากไหล่ตัวเอง วันนี้เฮียผีเข้ารึไง เขย่าจนผมไม่ตกตะกอนแล้ว!

    “อ้าว? ก็แกนั่นแหละทำหน้าเหมือนคนจะฆ่าตัวตาย”

    “ไม่ได้จะฆ่าตัวตาย แต่จะโดนเขาฆ่าอ่ะดิเฮีย”

    “ทำไมว่ะ”

    “เรื่องมันยาว”

    “เรียนย่อความมาแล้วก็ทำให้มันสั้นดิวะ”

    “เอิ่ม” ตะลึงกันเลยทีเดียว ไม่คิดเลยว่าหนุ่มตี๋หน้าจีนขนาดเฮียจะยกเหตุผลจากบทเรียนภาษาไทยมาอ้าง “เอาสั้นๆง่ายๆได้ใจความใช่ม่ะ”

    “เออ”

    “คือ...” สูดลมหายใจเรียกความกล้าก่อน “ผมไปช่วยผู้หญิงคนหนึ่งถือของ แล้วเกิดอุบัติเหตุหมาที่ไหนก็ไม่รู้วิ่งมาชน กล้องจุลทรรศ์เลยตกลงมาพัง แล้วผมดันรับปากไปกับอาจารย์แล้วว่าจะซื้อคืนให้!

    ผลั๊วะ! แล้วผลที่ได้ก็คือมะเหงกหนึ่งลูกจากเฮีย

    “โอ๊ย เจ็บอ่ะ” ผมเบ้หน้าลูบหัวตัวเองป้อยๆ แรงมือของเฮียเคยน้อยซะที่ไหนล่ะ

    “ไอ้คุณน้องแกรนด์ครับ รู้ตัวไหมว่าพูดอะไรไป” เอาล่ะสิเฮียกอล์ฟเริ่มแผ่รังสีอำมหิตแล้ว

    “เอ่อ ก็พึ่งจะรู้”

    ผลั๊วะ! ตบอีกแล้ว คนนะเฮียไม่ใช่กระท้อนจะได้ยิ่งทุบยิ่งหวาน

    “ไอ้ลูกหมาเอ้ย” เฮียเอามือมาขยี้หัวฟูๆของผมอย่างหมั่นไส้

    “พอๆเฮีย ซีเรียสนะเนี่ยเรื่องนี้” ผมปัดมือของเฮียกอล์ฟออกเบาๆ ก่อนจะลูบผมให้กลับมาทรงเดิม เฮ้ย!มันไม่กลับอ่ะ เฮียมารับผิดชอบเลย!

    “เออ ก็สมควร” แน่ะ มีตอกย้ำอีก “ไปรับปากอะไรไม่ดูให้ดีซะก่อนก็อย่างนี้”

    “ช่วยน้องหน่อยดิ” ผมหันไปมองเฮียด้วยท่าลูกหมาหิวนม (ไม่มีที่จะเปรียบได้ดีกว่านี้?) แล้วจะบอกความลับให้ว่าท่านี้ใช้ได้ผลมานักต่อนักแล้ว

    “ไม่ต้องมาทำหน้าอย่างนั้นเลย” แล้วเฮียก็แจกฝ่ามือให้ผม แถมเต็มหน้าเลยด้วย!

    “แกรนด์!” ผมกับเฮียกอล์ฟหันไปมองตามเสียงเรียก นั่นมันไอ้เอกเพื่อนซี้นี่หว่า มันมาทำอะไร?

    “อ้าว เฮ้ย” ผมโบกมือให้เอกมันเดินมา มันสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าหม่นกับกางเกงยีนส์ตามสไตล์ของมัน ซึ่งขัดกับผมที่ใส่เดฟดำกับเสื้อยืดสีแดง อ้อเฮียกอล์ฟก็มาแปลกวันนี้เฮียใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงยีนส์สีสุภาพด้วย พูดไปพูดมาแล้วทำไมผมเด่นจังว่ะครับ??

    “พี่กอล์ฟหวัดดีครับ” เอกยกมือไหว้พี่รหัสผมอย่างนอบน้อม เอ่อจะว่าไปผมยังไม่ทันได้ไหว้เฮียเลยนี้หว่า

    “เฮียกอล์ฟหวัดดี” ว่าแล้วก็ไหว้กับเขาบ้าง

    “ช้าไปแล้วเว้ยไอ้ลูกหมา” เฮียกอล์ฟตบหัวผมปุ ผมว่าผมพอจะรู้แล้วล่ะว่าผมสมองเสื่อมเพราะใคร

    “มาทำอะไรกันครับ” เอกยังคงความสุภาพ และมาดค่อนข้างนิ่ง นิ่งจนน่าสงสัยเลยล่ะ (ว่ามันหลับในอยู่รึเปล่า?)

    “ธุระน่ะ” เฮียกอล์ฟหันไปตอบ

    “ธุระ หรือกิ๊ก”

    “ไอ้ลูกหมาปากอยู่ไม่สุข” เฮียกอล์ฟเงื้อมือจะตีผมอีกรอบ แต่เรื่องอะไรจะอยู่ให้โง่ล่ะ อาศัยฝีเท้าระดับไฮสปีดอินเทอร์เน็ตก็ตามไม่ทันเผ่นแน่บไปหลบหลังไอ้เอกทันที แกช่วยรับฝ่ามือเฮียแทนทีนะเว้ย

    “ร้อนตัวๆๆๆ ฮี่ๆๆๆ”

    “พอเลย เดี๋ยวไม่ช่วยๆ” เฮียกอล์ฟว่าอย่างคาดโทษ ผมเลยหัวเราะแห้งๆอย่างสงบเสงี่ยม

    “ช่วย?” เอกถามขึ้นเรียบๆ ผมว่ามันง่วงแหง ทำตาเยิ้มๆหน้านิ่งๆอย่างนั้นใช่แน่ ฟังธง!

    “กล้องอ่ะ” ผมตอบมัน ทำหน้าแหยๆก่อนจะชี้มือไปยังป้ายราคาของกล้องจุลทรรศ์เป็นสัญญาณ

    “อ๋อ” มันตอบลากเสียง ก่อนจะหยุดยืนทำหน้ามึนๆ แต่แน่นอนว่าคนอื่นกำลังมองว่ามันทำหน้าขรึมอยู่แน่ๆ หันไปมองสาวน้อยที่เดินผ่านไป เฮ้ยน้องครับไม่ต้องไปจ้องมัน คนหล่ออยู่นี่ครับ อยู่ทางนี้

    เอกยืนมึนอยู่สักพัก อยู่ดีๆมันก็เริ่มค้นกระเป๋ากางเกงตัวเอง ก่อนจะยื่นแผ่นกระดาษเล็กๆมาให้ผม “นี่”

    ด้วยความซื่อผมรับกระดาษแผ่นนั้นมาอย่างง่ายดาย ก่อนจะทำหน้าหมางง ก้มหน้าลงอ่าน ก่อนเฮียกอล์ฟชะโงกหน้ามาดูกระดาษที่ว่านั่นด้วย

    “สอนพิเศษ?” เอกพยักหน้าให้ ก่อนที่ผมจะได้ถามอะไรไปมันก็ชิงพูดก่อน

    “สังคม”

    “อี๋!!

    “ไม่ต้องมาอี๋เลย” เฮียกอล์ฟบ่นเบาๆพร้อมผลักหัวผมเล่น “ก็ดีแล้วนี่ได้งานจะได้ไม่ต้องกังวล”

    “แต่เฮียนี่มันครั้งละสามร้อยเองอ่า แล้วเมื่อไหร่จะครบห้าหมื่นอ่ะ”

    “โธ่ น้องเลิฟ งั้นเฮียจะบอกอะไรดีๆให้” เฮียคล้องคอผมมากระซิบ ขมวดคิ้วทำหน้าเครียด “ที่จริงเฮียมีอีกงาน แต่ไม่รู้ว่าแกจะทำไหวไหม”

    “อะไรก็เอาแล้วเฮียตอนนี้” ไม่ต้องรอให้ถามผมก็พร้อมเสนอตัว

    “ดีเลยงั้นเดี๋ยวไปกับเฮีย” เฮียกอล์ฟล็อกคอผมไว้ ก่อนจะหันไปคุยกับเอก “งั้นพี่ไปก่อน”

    “ครับ พี่กอล์ฟ” เอกพยักหน้าอย่างว่าง่าย ก่อนจะหันมาโบกมือลาผมซึ่งยังไม่รู้ชะตากรรมข้างหน้าของตัวเอง...

     

    “แปดพัน!” ผมอุทานอย่างไม่คิดจะปิดบังความอัปยศอดสูของผู้ไม่เคยมีเงินเดือนสูงกว่าหกพัน แล้วมองคนตรงหน้าตาปริบๆ

    “แกรนด์ รักษามารยาทหน่อยดิ” เฮียหันมาดุผมเบาๆ

    แต่เฮียครับ ไม่ต้องเข้างานทุกวันก็ได้แปดพัน มันมีที่ไหนกันล่ะ ไม่อึ้งก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว

    ผมมองชายที่อยู่ตรงหน้าอีกหน ลอบสังเกตุเล็กน้อยก็พอจะบอกได้ว่าผู้ชายคนนี้จัดได้ว่าหล่อนนั่นแหละ ผมสีดำตัดสั้น กับดวงตาสีดำเข้มใต้แพขนตานั้นทำให้ผมนึกถึงใครบางคนที่เคยรู้จัก แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก ผิวขาวที่สามารถบอกได้เลยว่าเป็นพวกไม่ค่อยได้ออกจากบ้านสักเท่าไหร่ เสื้อเชิ้ตดำแขนยาวกับกางเกงยีนส์สีซีดก็ไม่ได้ทำให้มาดของผู้ชายคนนี้ตกลงไปเลย เจ้านายในอนาคตของผมทำเพียงค่อยๆจิบกาแฟ ก่อนจะวางมันลง ปรายตามองผมช้าๆและตรงๆ เล่นเอาใจหล่นวู้บไปเต้นเป็นเพื่อนกับตาตุ่มเลยที่เดียว

    อ้อ มาพูดอย่างนี้ทุกคนคงจะงงกัน เอาล่ะผมจะย้อนเหตุการณ์ให้เพื่อที่ทุกคนจะได้ไม่งงว่าผมพูดเรื่องอะไร แต่อย่าถามว่าทำไมผมต้องมาเล่าย้อนไปย้อนมาแบบนี้ ตอบเลยว่ามันเป็นฟิวลิ่ง!

    เอาล่ะ เมื่อพร้อมแล้วก็ Let go!

    หลังจากที่แยกกับเอกเพื่อนรัก ที่อุตส่าห์หางานมาให้ผมแล้ว(งานที่ได้เงินจริงๆนะครับ) ผมก็ตามเฮียกอล์ฟลงมาชั้นใต้ดินของห้างซึ่งมีร้านกาแฟชื่อดังตั้งอยู่ ก่อนจะถึงร้านเฮียกอล์ฟก็จัดการเล่าคร่าวๆให้ผมฟังว่าคนที่ผมจะไปพบเป็นรุ่นพี่ที่เฮียรู้จักกันที่โรงเรียนมัธยม ซ้ำยังมาเจอกันที่มหาวิทยาลัยอีก ไปๆมาๆก็เลยกลายเป็นว่ามาสนิทกันแบบไม่รู้ตัว ตอนนี้พี่เขาเรียนจบไปแล้วสองปี แต่อยู่ๆวันหนึ่งก็โทรมาหาเฮียกอล์ฟ ขอให้หาคนไปเป็นผู้ช่วยทำงานให้เขา โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องทำงานหนักได้ทุกประเภท และไม่เกี่ยงด้วย

    ซึ่งนั่นก็คือ...ผม

    ผู้ชายที่นั่งตรงหน้าของผมให้ความรู้สึกบ่งบอกความเป็นนักคิดออกมาอย่างไม่ปิดบัง และเรื่องฐานะก็คงมีพอสมควรอยู่ เพราะเล่นดื่มกาแฟแก้วล่ะร้อยกว่าได้อย่างไม่สะทกสะท้านเลย แถมยังเสนอเงินเดือนให้ผมตั้งแปดพันอีก แต่ที่น่าตกใจที่สุดก็คือเขาเลือกเด็กที่ยังไม่มีปริญาอะไรเลยอย่างผมเข้าไปทำงานด้วย

    “พี่ซัน ถ้าน้องมันไม่ได้เรื่องยังไงก็บอกมันได้เลยนะครับ” เฮียกอล์ฟกล่าวเบาๆ

    “เริ่มงานตั้งแต่วันนี้ได้ไหม?” เจ้านายผมหรือพี่ซันที่เฮียกอล์ฟเรียกกล่าวช้าๆ อ่ะ! กาแฟหมดแล้วสินะ

    “ครับ ได้เลยครับ” โอกาสงามๆแบบนี้พลาดก็แย่แล้ว

    “งั้นกลับบ้านไปเตรียมตัวแล้วพรุ่งนี้แปดโมงเช้ามาเจอกันที่บ้านผม ห้ามเลท” เขายื่นนามบัตรให้ผมก่อนจะลุกเดินออกไปจากร้านเสียดื้อๆ ทิ้งให้ผมนั่งงุนงงอยู่กับเฮียสองคน

    “เฮีย”

    “อะไร?”

    “ตกลงนี่ผมต้องไปพรุ่งนี้หรอ”

    “ถามอะไรว่ะ เมื่อกี้พี่ซันเขาก็บอกอยู่”

    “เออ... ผมงงอ่ะ”

    “ตั้งสติไว้ไอ้น้องเอ้ย เฮียเจอมาก่อนแล้ว” เฮียกอล์ฟตบไหล่ผมอย่างให้กำลังใจ “งั้นเฮียไปก่อนนะ กลับดีๆล่ะเรา”

    “เอ่อ... อืม หวัดดีฮะ” ผมนั่งมองเฮียเดินออกจากร้านไปจนสุดสายตา มองโต๊ะที่ตัวเองนั่งอยู่ แก้วกาแฟของเจ้านายผมยังคงวางอยู่ตรงนั้น ผมมองมันก็จะถอนหายใจออกช้าๆ ก่อนจะไหลตัวเองพิงกับขอบพนักเก้าอี้แล้วหลับตา ไหนๆก็ได้เข้ามาในร้านหรูๆแล้วขอนั่งอีกสักหน่อยแล้วกันนะ

    “คุณครับตรงนี้มีใครนั่งหรือเปล่าครับ” ผมขยับเปลือกตาขึ้นตาเสียง ก่อนจะพบผู้ชายคนหนึ่งยืนค้ำอยู่ ท่าทางเหมือนพนักงานบริษัททั่วไป

    “อ๊ะ ไม่มีครับ” ผมพรวดพราดลุกขึ้น ก่อนจะมองนาฬิกาข้อมือ เฮ้ย! นี่เราหลับไปเรอะ ตายๆๆๆ ชาวบ้านเห็นกันทั่วหมดแล้ว หันไปมองหน้าคู่สนทนาที่ยังไม่มีวี่แววว่าจะนั่ง ผมเลยยกมือถือขึ้นมาแนบหูก่อนจะกรอกเสียงลงไป “เฮ้ย ไม่ต้องมาแล้วนะ เดี๋ยวกูกลับล่ะ เออๆ ช้าจริง” ผมหันไปยิ้มให้ลูกค้าคนนั้นผายมือเป็นเชิงว่านั่งได้ ก่อนจะเดินคุยโทรศัพท์ออกจากร้าน “กลับล่ะ ไม่ต้องมา บาย” ยกโทรศัพท์ลงก่อนจะเดินลิ่วๆออกจากหน้าร้านอย่างรวดเร็ว จะบอกว่าผมไม่ได้โทรหาใครทั้งนั้นแหละครับ

    ฟ้าเริ่มมืดซะแล้วตอนที่ผมออกมาจากห้าง ห้างอยู่ไกลจากหอที่ผมอยู่แค่สองช่วงไฟแดงเท่านั้น ดูเหมือนผมจะออกจากห้างผิดเวลาแหะ ตอนนี้ห้าโมงกว่าแล้วแต่รถราก็ยังติดแบบไม่ค่อยอยากจะขยับสักเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นทางเลือกของผมคือเดินครับ!

    เดินมันไปเรื่อยๆนี่แหละ ถือเป็นการออกกำลังกายไปด้วย แถมยังได้ดูอะไรไปเพลินๆด้วย

    ผ่านร้านค้ากับหอพักต่างๆแล้วก็พึ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมซื้อกับข้าวจากห้างกลับหอ ซ้ำร้ายผมพึ่งมานึกได้ตอนที่เข้าย่านที่ไม่ค่อยมีร้านอะไรซะแล้ว ตึกเก่าๆเรียงกันเป็นแถบดูน่าสยองไม่เบาเมื่อตัดกับท้องฟ้าสีส้มแดง ตึกบางตึกที่มีคนอยู่ก็ปิดประตู เหลือเพียงแสงรำไร ในระยะห่างเพียงนิดเดียวที่เดินผ่านช่วงร้านค้าก็กลายเป็นตึกเงียบเหงาเสียแล้ว

    “เมี๊ยว!

    ห๊ะ! เสียงอะไรอ่ะ?? เหมือนแมวเลยเนอะ

    “เมี๊ยว!

    เสียงนั้นดังขึ้นอีก ไม่ต้องสงสัยแล้ว แมวแน่ๆ

    “ไอ้ลูกเหมียวแกอยู่ไหนอ่ะ” ด้วยความเป็นคนดีที่แก้ไม่หายผมก็ลองตะโกนหามันดู

    “เหมี๊ยว!!” แหน่ะ ฉลาดตอบกลับมาอีก เสียงมันอยู่แถวๆตึกร้างข้างหน้าผมเอง ประตูบานยกสนิมค่อนข้างเกรอะถูกปิดด้วยป้ายประกาศขาย และป้ายโฆษณาอื่นๆที่ใช้ประโยชน์จากพื้นที่ปิดร้างมาแปะประกาศ

    “รออยู่ตรงนั้นแหละเดี๋ยวจะเข้าไปช่วย”  ผมตะโกนก่อนจะเอาหูแนบกับประตูเพื่อความแน่ใจว่ามันอยู่ในนั้น ก่อนจะโดนข้อหาบุกรุกสถานที่

    “เมี๊ยว” เจ้าเหมียวร้องเสียงหงอยอยู่ภายในตึกแน่นอน ผมมองซ้ายมองขวา ก่อนจะตัดสินใจบุกรุกสถานที่!

    ผมพยายามยกประตูให้เบาที่สุด (แต่เป็นไปไม่ได้) สนิมร่วงกราวมาเป็นเอฟเฟ็กประกอบฉาก ประตูก็ดูจะหนักเหลือเกินสำหรับหนุ่มน้อยบอบบางอย่างผม เอาเป็นว่ายกแค่พอลอดเข้าไปล่ะกัน ฮึ้ย!

    “เหมี๊ยวๆๆ” ผมร้องเรียกเจ้าตัวน้อย อากาศในอาคารย่ำแย่จนอยากอาเจียน

    แกร็บ! เสียงเศษอิฐเศษปูนที่ผมเหยียบดังขึ้นทำลายความเงียบ

    “แหง็ว” เจ้าเหมียวที่ผมมาช่วยเปลี่ยนเสียงเป็นขู่กรรโชกแบบไม่รุนแรง ผมหันซ้ายหันขวา ก่อนยกคอเสื้อขึ้นมาปิดจมูก ฝุ่นในนี้ค่อนข้างฟุ้งจนหายใจลำบาก แสงแทบจะไม่ย่างกรายเข้ามาสัมผัสผื้นปูน

    “เจ้าเหมียวอยู่ไหน” ผมตะโกนเบาๆ ได้ยินเสียงตัวเองก้องกลับมาน่าขนลุก “เหมียว” เป็นเสียงผมที่แผ่วลงไปอีก

    ส่ายสายตาให้มันชินกับความมืดอีกเล็กน้อย ก่อนจะเดินลึกเข้าไปอีก ผมต้องกระชับคอเสื้อขึ้นมาปิดจมูกเพิ่มเมื่อกลิ่นเหม็นเน่าและคาวยิ่งรุนแรงขึ้น

    “เฮ้ย!!” ผมอุทานเมื่อเกือบลื่น มีของเหลวอะไรบางอย่างอยู่ที่พื้น มันเริ่มหยืดและลื่นส่องประกายนิดๆ แต่ผมเห็นมันเป็นสีดำและหยดเป็นทาง

    อยู่ๆก็ขนลุกซู่ บรรยายกาศช่างน่าเป็นใจเหมือนหนังสยองขวัญ

    รึว่า นี่ก็...เลือด?

    จะบ้าหรอแกรนด์ แกดูหนังมากจนเพี้ยงไปแล้วใช่ไหม ผมส่ายหัวก่อนจะมองลึกเข้าไปข้างของช่องที่กั้นเป็นห้องอะไรสักอย่าง มีผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ในนั้น

    “แหง่ว!!” เสียงขู่แหวดังกรรโชกกว่าเมื่อครั้งก่อน

    “น้องเหมียว” ผมตะโกนออกไปอย่างลืมตัว ส่งผลให้ชายที่ยืนอยู่ตรงนั้นหันหน้ามา แล้วก็ก็ได้เห็นสิ่งที่เขายืนดูอยู่

    ศพ!!

    ศพที่ไม่สามารถจะระบุเพศได้ ผมไม่รู้ว่าทำไม แม้แต่ใบหน้า เสื้อผ้า หรือแม้กระทั้งผมบนศพนั้นมีหรือไม่ ผมก็ยังไม่แน่ใจ

    “ศ..ศ..ศพ” ลิ้นผมเป็นอัมพาตขึ้นมาดื้อๆ

    แกร็ก เสียงเหมือนเศษอิฐเศษปูนถูกเหยียบดังขึ้นข้างหลังผม ก่อนที่ผมจะได้ทันหันไปก็ต้องรู้สึกชาไปทั่วศรีษะด้านหลัง ก่อนที่ร่างกายทุกอย่างจะถูกปิดสวิทซ์

    เหมียว

    สิ่งสุดท้ายที่ผมนึกออกคือ... น้องแมวอยู่ไหน?

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×