[ Touken Ranbu ] Tsuki wo Kirai ka? [ KogiMika ] - [ Touken Ranbu ] Tsuki wo Kirai ka? [ KogiMika ] นิยาย [ Touken Ranbu ] Tsuki wo Kirai ka? [ KogiMika ] : Dek-D.com - Writer

    [ Touken Ranbu ] Tsuki wo Kirai ka? [ KogiMika ]

    โดย ReignOverME

    Fic Touken Ranbu : Kogitsunemaru x Mikazuki [จิ้งปู่] "เจ้ายังเกลียดพระจันทร์อยู่หรือไม่"

    ผู้เข้าชมรวม

    1,817

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    13

    ผู้เข้าชมรวม


    1.81K

    ความคิดเห็น


    9

    คนติดตาม


    48
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  11 พ.ค. 58 / 03:20 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้

    月を嫌いか?

    “เจ้าเกลียดพระจันทร์หรือไม่?



     

    Author: ShinAi

    Fandom: Touken Ranbu

    Pairing: Kogitsunemaru X Mikazuki Munechika

    Rate: PG-13

    Talk: แต่งด้วยความเวิ่นเว้อล้วนๆ ไม่อิงประวัติศาสตร์นะคะ ชอกช้ำจากเซ่นเท่าไหร่ก็เจ้าสองตัวนี้ก็ไม่โผล่มาซะที เล่นตัวนักนะ! ฮรือออ

     


     

     

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      月を嫌いか?: เจ้าเกลียดพระจันทร์หรือไม่?


                      แสงสีเงินสาดต้องผิวน้ำที่นิ่งสงบ เหล่าปลาโค่ยในบ่อหลบนิ่งอยู่ตามแนวหิน ราวกับซุกหน้าหนีแสงจันทราที่สว่างกว่าในทุกราตรี
                      หรือบางทีมันอาจแค่กำลังด่ำดิ่งอยู่ในห้วงนิทราเหมือนเช่นทุกคืนก็เป็นได้ ไม่มีใครล่วงรู้ และก็คงไม่มีผู้ใดที่มานั่งนึกสงสัยความคิดของปลาพวกนั้น
      ...เว้นเพียงแต่เขา...
      นัยน์ตาคู่คมจับจ้องไปยังผิวน้ำ ไม่มีแม้การกระเพื่อมไหวใดๆ เพราะมันเป็นน้ำที่ถูกกักไว้เพียงในบ่อ หาใช่ลำธาร และเพราะว่าสิ่งมีชีวิตในบ่อนั้นกำลังหลับไหล
      ผิดวิสัยของเขาที่จะมานั่งคิดอะไรแบบนี้... ยิ่งผิดปกติที่เขากำลังคาดเดาความคิดของมัจฉา
                      รสร้อนแรงของสุราไหลผ่านลำคอ จอกในมือพลันว่างเปล่า
      คงเป็นเพราะแสงจันทร์ในคืนนี้สว่างเกินไป... เขาคิด สายตาละจากบ่อน้ำกลางสวนขึ้นไปบนดวงจันทรบนฟากฟ้า
      แสงสีเงินที่สว่างเสียจนทำให้ความมืดมิดของราตรียอมล่าถอยให้สองก้าว ทำให้หวนคิดถึงอดีตอันยาวนาน
                      ไม่ว่าจะสิบปี หรือร้อยปี พระจันทร์ก็ยังคงเป็นพระจันทร์ ลอยอยู่กลางนภา เดี๋ยวก็ซ่อนตัวบิ่นเบือนในเงามืด เดี๋ยวก็อวดโฉมงามกระจ่างเต็มวง และเขาเองก็คิดว่า ต่อให้เวลาผ่านไปอีกกี่ร้อยพันราตรี มันก็คงจะเป็นเช่นนี้ไม่เปลี่ยน
                      “หึ พระจันทร์งั้นหรอ...”
      สุราถูกรินใส่จอกอีกครั้ง ขยับเพียงกาย หากนัยน์ตายังคงจับจ้องไปบนท้องฟ้า
        ...ข้าเกลียดพระจันทร์...
      แว่วเสียงอันแผ่วเบาจากอดีต เงาลางเลือนในความทรงจำนั้นคือร่างของเขา... เขาในวันที่ยังอ่อนวัย เขาในวันที่หัวใจยังเต็มไปด้วยหกอารมณ์อายตนะ...
       ...ทำไมล่ะ...
      จำได้แม่นยำถึงสัมผัสที่แตะลงบนเส้นผม มือผอมบาง กระดูกข้อนิ้วชัดเจน และไออุ่นจากตักที่ตนกำลังนอนหนุน
                      เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ทุกหยาดเลือดอาบชะโลมกายพลิกผันเป็นประวัติศาสตร์ ทั้งผู้คนที่ดื้อรั้น ผู้คนที่ขลาดเขลา ผู้คนที่ไม่ยอมรับ ท้ายสุดแล้วก็ไม่อาจต้านทานการมาถึงของยุคสมัยใหม่ได้ และแม้แต่ดาบเองก็เช่นกัน...
                      นี่ไม่ใช่ยุคแห่งนักรบ แล้วใยจึงจำต้องมีดาบ... คุณค่าของดามมีดคมปลาบแปรผันจากการไว้คร่าฟันชีวิตสู่สิ่งที่เรียกว่างานศิลปะ ณ กาลนี้ไม่มีผู้ใดเปลี่ยนโลกได้โดยดาบเพียงเล่มเดียวอีกแล้ว ต่อให้ใบมีดนั้นจะคมแค่ไหน จิตวิญญาณพิสุทธิ์เพียงไหน นั่นมิได้สลักสำคัญอะไรเลย...
                      ด้อยค่า...
      เขาไม่อาจเรียกได้ว่ามันด้อยค่า หากคุณค่านั้นเพียงแต่แปรเปลี่ยนลักษณะไปเท่านั้น
      เขาเหนื่อย
      … ทั้งหยาดเลือดและเสียงกรีดร้อง ครั้งหนึ่งเขาอาจภาคภูมิใจไปกับมันได้ เสรสรวลไปกับชัยชนะเช่นนั้นได้ ทว่าวันหนึ่ง เมื่อทั้งกายและจิตใจเติบโตขึ้น เขาก็รู้สึกว่าทุกสิ่งล้วนไม่มีค่าอันใดเลย
                      ตั้งแต่เมื่อไหร่กันทั้งชัยชนะหรือหยาดเลือดก็ไม่อาจเติมเต็มหัวใจดวงนี้ได้อีกต่อไป...
      ซากุระปลิดปลิวจากต้น ทอดตัวลงบนผิวน้ำ ก่อเกิดกระแสเล็กๆขึ้นในบ่ออันนิ่งสงบ
                      ทั้งสายน้ำ ดอกไม้ และพระจันทร์.... สามเอกลักษณ์ความแห่งแดนพระอาทิตย์ ฉไหนราตรีนี้เจ้าจึงดูจืดชืดสิ้นดี

                      “พระจันทร์คืนนี้งามยิ่งนัก”
      เสียงหนึ่งดังขึ้น ใสกระจ่างและก้องกังวาล ราวกับดังมาจาก ณ อดีตกาลก่อนวันพรากจาก...
                      เขาหันไปมองยังต้นเสียง มองร่างผอมบางในชุดสีน้ำเงินเข้มที่แทบกลืนไปกับราตรี มองนิ้วเรียยาวที่ประครองจองสุราเอาไว้
                      เพียงจ้องมองอย่างเนิ่นนาน... เพื่อให้มั่นใจว่านี่หาใช่ภาพลวงจากความคะนึงหาไม่...
      เรียวปากบางของผู้มาเยือนโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม ในยามที่มองสบดวงตาที่จ้องมาอย่างซื่อตรงคู่นั้น
                      สีสรรที่แต่งแต้มในดวงแก้วเป็นสีแดง... หาใช่แดงก่ำขุ่นเข้มราวหยาดเลือด แต่สว่างสุกใสราวกับทับทิม
      ความซื่อตรงเช่นนั้น... อารมณ์อันรุนแรงที่สะท้อนอยู่ในแววตาเช่นนั้น คล้ายกับไม่เปลี่ยนไปจากความทรงจำ แต่ก็เรียกได้ไม่เต็มปากว่ายังคงเหมือนเดิม
                      อาจเรียกได้ว่า เติบโตขึ้นกระมัง...
      เขาเพียงยืนอยู่นิ่งๆ โคลงจอกสุราในมือไปมา มิได้เดินเข้าไปหา เพราะว่ามันไม่จำเป็น...
                      “ยังเกลียดพระจันทร์อยู่หรือไม่ โคกิตสึเนะมารุ”
      ความเงียบของรัตติกาลทิ้งตัวลงเนิ่นนาน เงียบสนิทไร้ซึ่งเสียงเรไรหรือสายลม ก่อนที่จะถูกทำลายโดยเสียงฝีเท้าที่ย่างก้าวไปบนพื้นไม้อย่างเร็วรี่
                      “เจ้ายังจำได้...”จิ้งจอกหนุ่มเอ่ยถาม เสียงของเขาสั่นอย่างไม่อาจควบคุม ในยามที่เอื้อมมือขึ้นแตะใบหน้างดงามของอีกฝ่ายอย่างแผ่งเบา
                      อยู่ตรงนี้... อยู่ตรงนี้.... อยู่ตรงนี้... เจ้าอยู่ตรงหน้าข้า...
      “ข้าไม่ได้ชราถึงขั้นเลอะเลือนเช่นนั้น”เสียงนุ่มกล่าวเจือขบขัน เขาไม่ได้ขยับหนีในยามที่มือข้างนั้นไล่ไปตามโครงหน้า สัมผัสจากผิวกายนั้นอบอุ่น และชวนให้นึกถึงอดีต...
                      คิมหันต์... สารท.. เหมันต์... วสันตฤดู...  ร้อยพันราตรีอันแสนเนิ่นนานที่ไม่ได้พบกัน ทุกสิ่งคล้ายกลายเป็นเรื่องโกหกยามมองสบดวงตาคู่ตรงหน้า
                      โคกิตสึเนะมารุ... ข้าชอบดวงตาของเจ้า เพราะมันซื่อตรงเสียจนไม่ต้องอาศัยคำพูดใดๆในใต้หล้า....
      “เช่นนั้นจำได้หรือไม่ว่า ข้าเกลียดพระจันทร์ด้วยเหตุใด”
                      เขาเอ่ยถาม มองสบลึกลงไปในดวงตาคู่งาม เขามิใช่คนที่สามารถสรรหาถ้อยคำใดๆมาบรรยายสรรพสิ่งได้อย่างหมดจด หากแต่ถ้ามีคนถาม ว่าดวงตาคู่นี้เป็นเช่นไร คำตอบของเขาคือ ดวงตาคู่นี้เป็นสีของจันทรา....
                      “เพราะว่า...”มือข้างหนึ่งยกขึ้น สัมผัสเส้นผมพองฟูนุ่มมือ ลูบไล่อย่างแผ่วเบาราวกับกำลังลูบหัวของเด็กน้อย แม้ที่จริงอายุต่างก็ห่างกันไม่เท่าไหร่
                      “พระจันทร์ทำให้เจ้าคิดถึงข้า”
                      เสียงของจอกเหล้าตกพื้นแตกกระจาย กลิ่นสุราหอมหวานอบอวลไปทั่ว ซึมซาบลงบนพื้นไม้ หากนั่นมิควรค่าแก่การนึกใส่ใจ อ้อมแขนแข็งแกร่งโอบกอดแน่น และเรียวปากที่ประทับลงมาก็ผนึกทุกถ้อยคำให้เลือนหายไปจากโลก
                      จูบหนึ่งทดแทนความคะนึงหา อ้อมกอดหนึ่งแทนความหวงแหนมากมายภายในใจ
      ลมหายใจสอดประสาน เช่นเดียวกับปลายลิ้นที่ต่างไม่มีใครยอมถอดถอย ลึกล้ำขึ้นอีก... ตราตรึงขึ้นอีก...
                      ข้าคิดถึงเจ้า... ข้าคิดถึงเจ้า... ข้าคิดถึงเจ้า...
      เสียงนั้นเพียงก้องกังวาลอยู่ในใจ โคกิตสึเนะมารุหาได้เอ่ยมันออกมา
       แต่นั่นไม่สำคัญ... ไม่สำคัญเท่าความรู้สึกอันรุนแรงที่คลุกกรุ่นอยู่ภายในใจ วันเวลาอาจกดมันไว้ให้สงบนิ่ง แต่ก็มิได้ทำให้เลือนหายไปแม้แต่น้อย ในทางกลับกันกลับยิ่งทวีมากขึ้น... มากขึ้น มากขึ้นเสียจนหัวใจปวดร้าว
                      “ข้ารักเจ้า มิคาสึกิ”
       ประโยคแรกที่เอ่ยขึ้นหลังจากที่เรียวปากผละออกจากกัน เสียงลมหายใจถี่รัวและนัยน์ตาสีจันทราไหวระริกทำให้คนมองอยากจะถือสิทธิ์ครองร่างงามนี้ไว้คนเดียว
                       มิคาสึกิ มุเนะจิกะขยับยิ้ม นิ้วเรียวแตะใบหน้าคมคายของอีกฝ่าย ไล่ไปบนโครงแก้ม และหยุดลงที่ใกล้นัยน์ตา
      “ดวงตาของเจ้าพูดคำนี้บ่อยเสียจนน่ารำคาญเชียวล่ะ”
      นัยน์ตาสีทับทิมของเจ้าจิ้งจอกทอประกายสว่างสุกใส เรียวปากนั้นเหยียดรอยยิ้มกว้าง ก่อนกล่าวขึ้นกึ่งหยอกล้อ
                      “แต่เจ้าก็ชอบใช่มั้ยล่ะ”
      คำพูดนั้นเรียกเสียงหัวเราะเบาๆให้ดังขึ้น รอยยิ้มที่แต่งแต้มบนใบหน้างดงามเสียจนจันทรายังต้องเร้นกายหลบใต้เงาเมฆ
                      “ใช่ ข้าชอบ”
      การยอมรับอย่างตรงไปตรงมาที่ทำให้โคกิตสึเนะมารุอดไม่ได้ที่จะกอดคนตรงหน้าแน่นๆอีกครั้ง แนบใบหน้ากับเส้นผมสีราตรีที่เต็มไปด้วยกลิ่นไอจางๆอันคุ้นเคย
                      “อย่าไปจากข้าอีกได้หรือไม่”
      น้ำเสียงที่ใช้เอื้อนเอ่ยเปลี่ยนคำถามนั้นให้ฟังดูคล้ายคำวิงวอน นัยน์ตาของผู้ฟังสะท้อนประกายอันอ่อนโยน แขนเรียวทั้งสองยกขึ้นสวมกอดอีกฝ่ายกลับ
                      ยุคสมัยที่เปลี่ยนไป พัดพรากเราให้ห่างไกลกันแสนนาน....
      “ได้สิ”
      แต่เจ้าอาจไม่รู้... โคกิตสึเนะมารุ แท้จริงแล้วข้าไม่เคยจากเจ้าไปไหน...
      หัวใจดวงนี้อยู่กับเจ้ามาเสมอ เนิ่นนานนับแต่เรายังเยาวัย คมปลาบและโล่ดแล่นอยู่ในสมรภูมิ ไม่ว่านานเท่าไหร่ก็ยังเป็นของเจ้าไม่เคยเปลี่ยน....
                      “ข้าไม่เกลียดพระจันทร์แล้ว รู้มั้ย”
      จิ้งจอกหนุ่มพูดขึ้น ตอบคำถามแรกที่อีกฝ่ายได้ถามเขาเอาไว้
      เสียงนั้นสั่น... มันไม่เหมือนกับว่าเขากำลังร้องไห้ เพราะเขากำลังร้องไห้อยู่จริงๆ
                      ไม่ว่าจะเป็นหยาดเลือด หรือชัยชนะ ไม่มีสิ่งใดเติมเต็มข้าได้ เพราะสิ่งเดียวที่ข้าโหยหานั้น คือความอ่อนโยนที่พลัดหายไปในอดีตกาล...
       ....มิคาสึกิ ข้าไม่เกลียดพระจันทร์อีกแล้ว
       เพราะในวันนี้ มันทำให้ข้าได้พบกับเจ้า....

      -End-


       
       


                      

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×