ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ปรารถนาซึ่งการสูญสลาย

    ลำดับตอนที่ #1 : แว่วเสียงสายลม.....

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 441
      2
      10 พ.ค. 52

    พรสวรรค์ที่พระเจ้าผู้สร้างเรายกให้ ณ วันที่เราเกิดขึ้นมาลืมตาอยู่บนโลกของท่านนั้น...

     

    มีสักกี่คนกัน? ที่ได้รับมัน?  มีสักที่คน?..... ที่ใช้มันในทางที่ถูกต้อง..

     

    พรสวรรค์ที่ได้มาโดยมิจำเป็นต้องลงมือไขว่คว้านั้น...

     

    มิมีใครหรอกที่ไม่คิดจะนำให้ใช้ประโยชน์ให้ถึงที่สุดแม้มันจะเป็นการทำลายซึ่งตัวตนและความคิดของบุคคลอื่น

     

    เสียงกระซิบ...ที่แว่วหลอนตามสายลมคงฟังดูสุขีกระมัง

     

    เพราะมันคือเสียงของผู้คนที่น่าสงสารไร้ความสามารถ

     

    พระเจ้าที่สร้างพวกเรามานั้น..... ผ่านไปหลายหมื่นปี..... ก็ยังมิอาจเข้าใจได้ถึงความเป็นมนุษย์อันซับซ้อน

     

    ไม่เข้าใจ...ถึงสาเหตุอันท้วงแท้ที่ทำให้ดวงวิญญาณสีขาวอันสว่างสดใสไร้มลทินพวกนั้นเปลี่ยนสี

     

    ทั้งๆที่ให้พรกับดวงวิญญาณแต่ละดวงไม่เหมือนกันเพื่อถ่วงดุลให้กันและกันแล้วแท้ๆ..

     

    บางทีพระเจ้า...... อาจจะมิรู้ตัวกระมัง

     

    ว่ายิ่งพยายามเพียงใด...

     

    ก็ยิ่งแต่จะทำให้เลวร้ายลงกว่าเดิม

     

    น้ำโสโครกจะกวนวนตักตะกอนออกเช่นใดก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงไปเป็นน้ำใสสะอาดได้

     

    ให้พรกับมนุษย์ผู้ใด มันผู้นั้นก็เอาไปใช้ทำความผิดอยู่ร่ำไป

     

    จะเอ่ยกล่าวว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่รู้การพัฒนานั้นไม่ผิด....

     

    เช่นเดียวกัน ที่ความโลภ....เป็นสิ่งที่พัฒนามากที่สุดในตัวมนุษย์

     

    *--------------*-------*--------------*

     

    THE LoST

    ยามที่สูญเสีย... มนุษย์ทุกคนมักเอ่ยคำซ้ำๆคำหนึ่ง

     คำๆนั้น.. ถูกเอ่ยออกไปซ้ำแล้วซ้ำเล่าทั้งที่ไม่อาจ...ย้อนกลับไปแก้ไข

    เป็นหนึ่งในเรื่องๆหนึ่ง.... ที่มนุษย์มักย้อนทางเดิมเดินตามรอยเท้าตัวเอง

     

    ในคืนเดือนมืดของประเทศที่มีการปกครองและบ้านเมืองอยู่สภาพที่เรียกได้ว่าคล้ายประเทศจีนมากที่สุดนั้น มีเมืองเล็กๆเมืองหนึ่งที่ไม่น่าสะดุดแต่อย่างใด ขณะนี้.... ได้กำลังจะทำการบูชายันต์ด้วยความที่ต้องการจะไล่ต้อนบุคคลที่ แตกต่าง

     

    ความใจคด ความเห็นแก่ตัว ความโลภ ความโง่เขลา หวาดกลัว การโปปด ลวงหลอก ใส่ร้ายป้ายสี การแย่งชิง การทำลาย ทุกๆสิ่ง....คือความคิดบัดซบอันน่าทุเรศที่ไม่มีวันแก้ไขได้ และถึงจะได้รับรู้ด้วยตัวของตนเองก็ยังจะไม่อาจลบความคิดไร้สมองออก เพราะสิ่งที่จะทำหลังได้รับรู้ด้วยตัวของตนเองนั้นคงไม่แคล้วเอ่ยโทษคนอื่นร่ำไป โดยที่ไม่ชะโงกดูเงาตัวเองที่ทำให้พื้นน้ำใสสะอาดเต็มไปด้วยสีแดงฉานและกลิ่นคาวโลหิต

     

    มนุษย์ไม่สามารถละซึ่งกิเลสได้ เป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้

     

    มีความรู้สึกจึงมีกิเลส หากไร้ความรู้สึก...ก็เป็นเพียงตุ๊กตา

     

    เผามัน! เผามัน!! เผามัน!!! ” เสียงดนตรีเครื่องมโหระทึกกรีดร้อง เสียงตะโกนดังเซ่งแซ่เต็มด้วยจิตมุ่งร้าย สายตาของบุคคลที่อยู่ ณ ที่นี่นั้น....ดูราวมิใช่มนุษย์ก็มิปาน...

     

                    ร่างเล็กของเด็กหนุ่มอายุราว 10-15 ถูกมัดไว้กับเสาต้นใหญ่ ชาวเมืองจับเสายกตั้งขึ้นให้มั่นคงและเริ่มโยนเศษไม้ กิ่งไม้ รวมถึงสิ่งเล็กๆน้อยๆที่สามารถติดไฟ ลงไปรอบๆร่างของเด็กน้อยที่ลืมตาจ้องมองอย่างเย็นชา โดยไม่ยีระว่าคนที่ถูกเผาจะเป็นตนเอง

     

                    เสียงแว่วหลอนของสายลม.....ดังขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุดขณะที่น้ำมันราดลงยังกองเครื่องมือฆ่าคน เสียงนั้นกระซิบ....หวานหู ถ้อยคำที่ลอยมามีเพียงคำหลายโลนปะทุร้ายกลบเสียงฝีเท้าของบุคคลที่ถือคบเพลิงก้าวเข้ามาอย่างเชื่องช้า มือกร้านยกคบเพลิงขึ้นเหนือหัวเตรียมพร้อมที่จะโยนมันลงไปในกองน้ำมัน

     

    ฉัวะ!!

     

                    เพียงชั่ววินาทีร่างบนอาชาสีนิลก็กระโดดโผเข้ามาตัดเชือกและช้อนตัวเด็กหนุ่มขึ้นมาบนม้าอย่างรวดเร็ว ชนิดมองตามแทบไม่ทัน สายตาคมสีน้ำเงินมองสบร่างเล็กในอ้อมแขนและพบกับ... สายตาเย็นชาจ้องมองเหม่ออย่างเยือกเย็นแปลกประหลาด... ราวกับไม่รู้สึกรู้สา....กับความคิดที่จะปลิดชีวิตตนเองของคนรอบด้าน เหมือนกับว่าเจ้าตัวไม่สนใจว่าตัวเองจะมีชีวิตหรือไม่

     

    ทั้งที่....ดวงตาคู่นั้นมืดบอดหากแต่กลับสะท้อนเห็นความเย็นชาเกินกว่าที่เด็กทั่วไปควรมี

     

    ซ่า!!! ซ่า!!!!~

     

    เฮ่!!!! ฝน! ฝนตกแล้ว!! ”

     

                    เสียงโห่ร้องตะโกนดีใจกึกก้อง... ทันทีที่เด็กน้อยและผู้ที่โผล่มาอย่างได้จังหวะหายลับไปจากสายตา

     

                    หากจะเอ่ยถึงฝนที่ตกลงมานั้น.....มันเป็นการยินดีที่ได้กำจัดสิ่งที่แตกต่างและไม่เป็นที่ต้องการ หรือจะเป็น.... การยินดีและการอวยพรจากพระเจ้าที่เด็กน้อยได้รอดชีวิตจากบุคคลผู้ที่เรียกขานว่าครอบครัวและเพื่อนบ้าน?

     

    ขอบคุณสวรรค์! ถึงไม่ได้ฆ่ามันให้หากแค้น!แต่ก็ขอบใจที่ไอ้บ้าคนไหนก็ไม่รู้เอามันไป!! เฮ้!!!! ”

     

     หากแต่จะใช้ปัญญามนุษย์ตัดสิน...ก็คงเป็นได้เพียงข้อแรก หากจะมีใครเอื้อนเอ่ยข้อสองออกไป... ก็คงจะกลายเป็นเป้าหมายถัดไปที่จะถูกจ้องมองอย่างปะทุร้าย คำว่าตัวซวยที่กล่าวออกมาจากปากแต่ละคนนั้น..... มันคงจะตกหล่นคำว่า ดวง ไปกระมัง เพราะฝนที่ตกลงมานี้ กลับเหมือนกำลังตอกย้ำเด็กน้อยคนนั้นมากกว่าจะปลอบประโลม

     

    ทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจ.... ว่าสาเหตุที่ฝนตกนั้นไม่ได้เป็นเพราะเด็กน้อยออกไปจากที่นั่น หากแต่เป็นความซวยที่ทำให้ฝนตกลงมาประจวบเหมาะเกินกว่าจะปฏิเสธว่าไม่ใช่

     

    ทั้งๆที่....การที่ฝนตกหนักลงมานั้นอาจจะตกลงมาเพื่อที่จะช่วยให้เด็กน้อยรอดชีวิตจากการถูกเปลวเพลิงแผดเผาด้วยน้ำมือมนุษย์ด้วยกัน บางทีการที่ชายหนุ่มโผล่ออกมาช่วยนั้น... เป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายของพระเจ้า...? หรือจริงๆแล้ว......

     

    อาจเป็นพระเจ้าที่คิดจะฆ่าคนไม่มีทางสู้เพื่อหยุดชีวิตอันน่าสมเพสไม่ให้หายใจต่อไป

     

    หรือบางที.... อยากจะเก็บดวงวิญญาณที่ไม่ได้ลุ่มหลงมาทดสอบว่าเหตุใดจึงไม่เป็นดั่งคนอื่นๆ

     

                    เด็กน้อยจะคิดอย่างไรกับการช่วยเหลือครั้งนี้นะหรือ?.. บางทีอาจจะเคารพชายหนุ่มที่ช่วยชีวิตไปจนตาย.... หรือไม่ก็เกลียดชังที่ช่วยชีวิตนี้เอาไว้ หรือจะคิด..... ว่าชายหนุ่มที่ช่วยตนเอาไว้นั้นมีเหตุผลบางอย่างที่ปิดปัง บางอย่างที่ควรค่าแก่การช่วยชีวิตอันไร้ค่าของตัวเอง

     

                    แน่นอนว่าสำหรับเด็กน้อยที่ถูกทำร้ายมาแต่เด็กนั้น... คงไม่มีความคิดดั่งแม่พระเพราะไม่มีใครมาสอนอย่างแน่นอนว่าให้คิดในแน่ดี และแน่นอนอีกว่าในอดีตคงไม่เคยได้รับสิ่งดีๆจนทำให้สามารถคิดได้ว่าการทำดีนั้นจะได้สิ่งดีตอบแทน

     

                    ดังนั้นสิ่งที่เด็กน้อยจะเลือกที่จะคิดนั้น.... บางทีอาจจะเป็นข้อที่สอง ชีวิตที่ถูกทำร้ายมาตลอดตั้งแต่เกิด.... ก็แค่รอวันที่จะหายสาบสูญไปจากโลก เพราะไม่เคยที่จะคิดถึงอนาคตข้างหน้า ไม่เคยคิดว่าจะมีใครมาช่วยเหลือ ไม่เคยคิด.... ว่าจะมีชีวิตต่อไปเพื่อสิ่งใด แต่เพราะมีความหวังเล็กๆ หวังว่าจะมีคนเข้าใจสักหนึ่งคนจากคนทั้งโลก... เพราะเป็นแบบนั้นถึงได้ไม่ฆ่าตัวตายทิ้ง หากแต่ถ้าความตายมายืนอยู่ตรงหน้า..ก็ไม่คิดจะหนีไป

     

    จึงทำได้แค่รอความตายที่คนอื่นหยิบยื่นให้ เสมือนตัดสินชีวิตอันไร้ค่า

     

    เจ้าไม่เป็นไรแล้วใช่ไหมเสียงทุ้มเอ่ยถามอย่างกังวล ใบหน้านิ่งเฉยของร่างเล็กในอ้อมแขนทำให้อารมณ์ตึงเครียด คิดถึงสาเหตุที่เด็กน้อยไม่แม้แต่จะร้องไห้หรือแสดงอารมณ์ใดๆ มันดูราวกับว่าเด็กที่เขาได้ช่วยเอาไว้นั้นเป็นเพียงตุ๊กตาแสนงามที่ใช้ประดับห้อง

     

    ดวงตาสีเงินที่ไม่สามารถมองเห็นได้ขยับหันเงยขึ้นเล็กน้อย เชื่องช้า....ราวขยับฟันเฟืองชิ้นโต ริมฝีปากบางขยับเขยื้อนราวจะเอ่ยขาน เสียงที่เปล่งจากลำคอขาว... หวานหูราวเทพธิดากำลังร้องเพลง

     

    ฆ่าข้าซะ... คำพูด...ขัดกับน้ำเสียงใสอย่างกับใบมีดคมกับน้ำแร่บริสุทธิ์หอมหวาน

     

    คำเอื้อนเอ่ยขอ.... สร้างความตกตะลึงกับบุคคลที่มาช่วยอย่างที่สุดเมื่อคนที่ตนมาช่วยนั้นกำลังร้องขอความตาย!

     

    ฮี้~!

     

                    ม้าศึกชั้นดีถูกชายหนุ่มกระชับบีบบันเหียนแน่น.. ต่อด้วยการกระตุกอย่างแรงจนม้าพันธุ์ดีคำรามยกขาหน้าขึ้นเหนือพื้น แน่นอนว่าจนสุดท้ายในตอนที่ม้าสงบลงร่างเล็กก็ยังคงนิ่งเฉยและเฉยชาราวกับไม่ได้รับรู้ถึงร่างตัวเองที่ลอยตัวขึ้นจนน่าหวาดเสียวเมื่อม้ายกขาหน้าทั้งสองขึ้น

     

                    ยิ่งชายหนุ่มเห็นร่างเล็กไม่มีทีท่าจะตกใจหรือแสดงสีหน้าใดๆก็ยิ่งกังวล จะตบเรียกสติ...ก็คงจะไม่สามารถดึงคนที่จมลงไปในความมืดล้ำลึกให้ขึ้นมาได้ง่ายๆ ในเวลานี้จะคำพูดแบบไหน...ก็คงไม่สามารถทำให้เด็กน้อยรับรู้ได้ สิ่งที่จะทำให้เด็กตรงหน้ากลับมามีความรู้สึก.... มีเพียงการกระทำเท่านั้น.......

     

    ....ข้าไม่ได้ช่วยเจ้าเพื่อจะมาฆ่าทิ้ง ชายหนุ่มเอ่ยนิ่งไม่แพ้เด็กหนุ่มที่นั่งเงียบ เมื่อไม่มีเสียงตอบรับใดๆหรือการกระทำใดๆแสดงออกว่าตอบรับหรือปฏิเสธ ชายหนุ่มก็เริ่มขี่ม้าไปยังจุดหมายต่อ

     

                    คนเช่นเจ้า.... การที่มาช่วยข้าต้องการสิ่งใดกันแน่? คำพูดจะเอ่ยนับพันหนก็สามารถปลิวหายไปกับสายลม.... การกระทำ....ถึงจะดูเหมือนเป็นคนดีหากแต่ภายในอาจเน่าเฟอะ ในกะโหลกกลมๆนั่น....กำลังคิดว่าจะใช้ข้าหาประโยชน์เช่นใดอยู่สินะ...?

     

                    ความคิด....ในสมองของเด็กน้อยมีเพียงเรื่องราวที่ชายคนนี้จะหมายทำร้ายตนเพียงเท่านั้น หามีไม่แม้แต่ความคิดที่ว่าชายคนนี้เข้ามาช่วยด้วยความเมตตา

     

    จะโทษใครไม่ได้...... ในเมื่อเด็กน้อยไม่เคยได้รัยสิ่งที่เรียกว่าความเมตตามาก่อน ดังนั้นจึงไม่รู้จักมัน

     

                    ร่างสูงใหญ่พาร่างเล็กที่นั่งเงียบไปตามทาง ตั้งใจจะพากลับไปดูแล ก็เด็กตัวแค่นี้....กลับถูกคนในเมืองทั้งเมืองรุมทำร้ายอย่างไร้ความเมตตาสงสาร ชายหนุ่มที่ผ่านทางมาพอดีก็จึงช่วยออกมาก่อนจะกลายเป็นเนื้อย่างในกองเพลิง

     

                    คงจะเป็นเพราะดวงตาสีเงินที่มืดบอดที่ไม่เหมือนชาวบ้านคนอื่นๆเด็กน้อยคนนี้เลยถูกทำร้าย... เผลอตัวช่วยเหลือเด็กคนนี้มาโดยไม่คิดแบบนี้เห็นทีกลับไปคงโดนเสด็จพี่ว่ากล่าวแน่ๆ แต่ว่า.....ไม่คิดเสียใจที่ได้ช่วยเด็กคนนี้ออกมา เขา...คิดว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้องแม้เด็กน้อยจะไม่ต้องการมีชีวิตอยู่ต่อ แต่คงจะต้องถามเจ้าตัวก่อนว่าจะไปอยู่กับเขารึเปล่า.... แต่ถึงไม่ไป...เขาก็จะไม่ให้หนีไปไหนหรอก! เพราะขืนหนีไปไม่รู้ว่ามันจะไปฆ่าตัวตายอีกรึเปล่า!!

     

    ......ในเมื่อเจ้าไม่มีที่ไปก็ไปอยู่กับข้าแล้วกันนะเจ้าหนู ชายหนุ่มเอ่ยพลางลูบศีรษะร่างเล็กอย่างเบามือ หวัง...ให้รับรู้ถึงความอ่อนโยนและกำลังใจที่ตนเองพยายามจะมอบให้ โดยหารู้ไม่ว่าสัมผัสอ่อนโยน... ความใจดี... น้ำเสียงอบอุ่น.... เด็กน้อยในอ้อมแขนนั้นมิได้รับรู้ด้วยเลยแม้แต่น้อย รู้สึกเพียง...ฝ่ามือร้อนที่สัมผัสยังเส้นผม ความรู้สึกแปลกๆที่ตนเองไม่เข้าใจ และความสงสัย....ว่าชายตรงหน้านี้จะดูแลเขาโดยแลกกับอะไร

     

                    ยังคงแว่วเสียงลมหลอน...... เสียงกระซิบชั่วร้ายดังผลัดพลิ้ว.. ดวงหน้าหวานของเด็กน้อยที่มองยังความมืดยังคงได้ยินเสียงกระซิบนั้นไม่ขาดช่วง ถึงกระนั้นกลับราวรู้สึกยังตนเองอยู่ ณ บ้านเกิด.... สิ่งที่เรียกว่าความกลัวคงถูกลืมทิ้งไว้ตั้งแต่เกิดเสียแล้วกระมัง แม้แต่หนทางที่มองไม่เห็นหรือหนทางที่โหดร้ายกลับไม่รู้สึกสิ่งใดเลย......... ไม่รู้สึก.... กระทั้งเสียงหัวใจตัวเองที่กำลังเต้นอย่างเชื่องช้าและสงบนิ่งของตนเอง


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×