คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #25 : [[ It's over ]]: C T 22 // Up 100%
เปลือกตาหนาของไคค่อยๆ ปิดลงตามบทที่ได้รับในตอนจบ เทพสุนัขจิ้งจอกกับมนุษย์อย่างซอฮวาไม่สามารถใช้ชีวิตร่วมโลกเดียวกันได้ ต่อให้พวกเขารักกันมากแค่ไหนก็ยังมีอุปสรรคมากมายคอยขัดขวางการใช้ชีวิตของทั้งคู่ โลกแห่งความเป็นจริงไม่ได้สวยงามเฉกเช่นในละคร ไม่ได้สวยงามเหมือนนิทานที่คุณพ่อคุณแม่เล่าให้ฟังก่อนเข้านอน ทว่ามันกลับตรงกันข้ามไปเสียทุกอย่าง น้ำตา ความโศกเศร้าและความเสียใจล้วนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับทุกสรรพสิ่งบนโลกอย่างไม่มีข้อยกเว้น...รวมทั้งคู่รักอย่างวูลรยอลและซอฮวาด้วย
“ฮึก...วูลรยอล ฉะ ฉันรักนาย”
“...”
“ฮือ...ขอโทษนะ”
ฉันร้องไห้สะอึกสะอื้นและพูดไปตามบทที่ได้รับในตอนจบ ซอฮวาปฏิเสธที่จะรับตัวตนที่แท้จริงของวูลรยอลนั่นหมายถึงเขาต้องตายเพราะถ้าเขาไม่ตายวูลรยอลต้องฆ่าผู้หญิงที่ทำให้เขาผิดศีลแทน หากเขาไม่ฆ่านั่นหมายความว่าตัวเองต้องกลายเป็นปีศาจพันปีซึ่งวูลรยอลไม่ได้ต้องการให้เป็นแบบนั้น เขาหวังว่าผู้หญิงที่เขารักจะเปิดใจรับตัวตนที่เป็นอมนุษย์ของเขาได้ ทว่าเขากับคิดผิด...ซอฮวาอ่อนแอเกินกว่าที่จะรับความจริงข้อนี้ จุดจบของทั้งคู่จึงกลายเป็นว่า...วูลรยอลยอมให้พวกทหารฆ่าตัวเองดีกว่าต้องลงมือฆ่าคนรัก
“ฮึก ขะ ฮึก ขอโทษ”
และเหมือนเป็นบทลงโทษจากสรวงสวรรค์ที่ทำให้ซอฮวารู้ตัวเมื่อทุกอย่างสายเกินไป เธอเพิ่งคิดได้ว่าตัวเองรักอมนุษย์ตนนี้มากแค่ไหนเมื่อตอนเห็นเขาถูกยิงด้วยธนูหลายดอกจนค่อยๆ ล้มลงไปกับพื้น น้ำตาของผู้ชายที่เธอรักเป็นสิ่งย้ำเตือนว่าความรักที่เขามีให้เธอไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
ยังไรก็ตามทุกอย่างสายไปแล้ว...ตำนานรักของเทพสุนัขจิ้งจอกกับลูกสาวขุนนางได้จบลงอย่างไม่สมหวัง
ฉันโน้มใบหน้าลงต่ำขณะที่สองมือประคองใบหน้าไคให้มาหนุนตักตวงเองช้าๆ ลมหายใจอ่อนระทวยของไคทำให้ผู้ชมรู้ว่าเขายังไม่สิ้นใจไปเสียทีเดียว
“ฉันรักคุณ ฮึก”
“...” ไคพยายามเปิดเปลือกตาเป็นครั้งสุดท้ายช้าๆ เราสองคนสบตากันผ่านม่านน้ำตาอยู่เนิ่นนาน บรรยากาศทั้งโรงละครเงียบสงัดจนฉันได้ยินแต่เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของตัวเอง ดวงตาของฉันมองเขาราวกับว่าตรงนี้มีเพียงแค่เราสองคน ไคเองก็ไม่ต่าง ตามบทแล้วฉันต้องโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้มากกว่านี้เพื่อประทับริมฝีปากบนริมฝีปากไคอย่างนุ่มนวลค้างไว้จากนั้นม่านแดงก็จะปิดลงมาช้าๆ เพื่อเป็นสัญญาณว่าละครเวทีเรื่องนี้ได้จบลงแล้ว
ยังไรก็ตามเวลาผ่านไปร่วมนาทีที่ฉันกับเขาสบตากันผ่านความเงียบ ไคมองฉันอย่างสงสัยเล็กน้อยที่ไม่เห็นฉันทำตามบท และเมื่อเขายกมือขึ้นมาสัมผัสใบหน้าฉันเท่านั้นแหละฉันถึงเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองกำลังออกนอกบท ฝ่ามือหนาสัมผัสใบหน้าฉันไปอย่างช้าๆ คล้ายกลับต้องการจดจำใบหน้าของคนรักเป็นครั้งสุดท้าย ฉันที่เพิ่งรู้ตัวจึงวางมือตัวเองทาบไปกับมือของเขาแล้วก้มลงต่ำเรื่อยๆ พร้อมกับม่านด้านบนที่ค่อยๆ เลื่อนลงมาช้าๆ
ฉันกับเขาต้องแตะริมฝีปากกันจริงๆ แต่มันแค่ประมานห้าวินาทีก่อนที่ม่านจะปิดเท่านั้น...
แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะได้แนบริมฝีปากไปยังริมฝีปากไค ฉันก็ต้องแปลกใจที่อยู่ดีๆ ไคก็เบิกตากว้างขึ้นกว่าเก่าคล้ายคนเห็นผี ยังไม่ทันที่ฉันจะได้สงสัยอะไรไปมากกว่านั้นร่างหนาที่นอนหนุนตักฉันอยู่ลุกพรวดแล้วโน้มตัวทับฉันทันที
ปึก!
และ...
พรึบ
“เห้ย!/กรี๊ด!”
แทนที่จะมีเสียงปรบมือกลับกลายเป็นว่าเกิดเสียงร้องตกใจที่มาพร้อมกับความมืดมิด ม่านสีแดงที่ใช้เป็นฉากกั้นหล่นลงมาคลุมร่างฉันกับไคที่อยู่กลางเวทีไว้ แต่นั้นไม่ใช่ประเด็นถ้าฟังไม่ผิดฉันว่าฉันได้ยินเสียงเหมือนอะไรสักอย่างกระทบหลังคนที่นอนทับฉันอยู่ในตอนนี้
“ไค” ฉันเรียกเขาเสียงเบาหวิวอย่างตกใจ ขออย่าให้เป็นอย่างที่ฉันคิดเลยเถอะ
“...”
“ไค” มือที่อยู่ข้างลำตัวสะกิดไหล่หนาเบาๆ แต่คนบนร่างก็ยังไม่ยอมขยับตัว เสียงหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอข้างๆ หูทำให้ฉันวางใจได้ว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรมาก “นายได้ยินฉันมั้ย ?” ฉันถามพลางดันไหล่หนาขึ้นแต่ก็ไม่ง่ายนักเพราะไคตัวใหญ่กว่ามาก
“อะ อือ”
“ไม่เป็นไรใช่มั้ย...เมื่อกี้นายไม่ได้โดนอะไรกระแทกใช่มั้ย”
“อะ อือ”
“...”
ฉันเงียบเมื่อสัมผัสได้ถึงความผิดปกติในน้ำเสียงที่อ่อนล้าของไค ม่านที่คลุมเราอยู่ทำให้ฉันขยับไปไหนไม่สะดวกแถมยังมองอะไรไม่เห็นอีกต่างหาก เสียงโวยวายของผู้คนด้านนอกบ่งบอกว่าม่านนี้กำลังจะถูกยกออกไป
“เธอไม่เป็นไรใช่มั้ย”
“หลังนาย” ฉันพูดพร้อมกับสัมผัสแผ่นหลังของใครเบา คนบนร่างมีปฏิกิริยาตอบโต้ด้วยการสะดุ้งตัวเล็กน้อย ฉันเลยรู้ว่าเสียง ‘ปึก’ ที่ฉันได้ยินในตอนแรกมาจากราวเหล็กที่ติดอยู่กับผ้าม่าน
เขาช่วยฉันไว้...
นี่คือความคิดแรกที่แวบเข้ามาในหัวเมื่อลองทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดู ตามจริงแล้วม่านนั้นควรจะโดนฉันตาเข้ากับลุกขึ้นมาแล้วเอาตัวเข้าบังจนตัวเองได้รับบาดเจ็บเสียเอง
“นะ นาย...”
“...”
ฉันพูดไม่ออกเมื่อไคทิ้งใบหน้าลงฟุบกับไหล่ของฉันคล้ายคนไม่มีเรี่ยวแรง เมื่อลองขยับตัวก็พบว่าไคหมดสติไปเป็นที่เรียบร้อย...
------------------------------------------
Sulli’s part
ณ โรงพยาบาล
“เพื่อนคุณเป็นไงบ้าง” เทาถามเมื่อเห็นฉันออกมาจากห้องคนไข้
“ก็ไม่เป็นอะไรมาก รอตื่นก็กลับบ้านได้แล้ว ไคล่ะ...”
“ไม่เป็นไรมากเหมือนกันแค่หลังเดาะน่ะ คงขยับไม่ได้อีกเป็นอาทิตย์”
“ฝากขอบคุณเพื่อนนายด้วยแล้วกัน ถ้าไม่ได้ไคคริสตัลคงเดี้ยงแน่ๆ”
“เรื่องนั้นไม่มีปัญหา ปัญหาอยู่ที่ม่านมันหลุดลงมาได้ไง”
“บางทีมันอาจจะเป็นอุบัติเหตุ”
“คุณคิดยังงั้นเหรอ...ไม่จริงมั้ง” เทาหรี่ตามองฉันอย่างสงสัย นี่เขาคงคิดว่าฉันเป็นตัวร้ายใช่มั้ยถึงได้มองกันอย่างนี้...แต่ก็จริง ฉันแอบคิดว่ามันไม่ใช่อุบัติเหตุเพราะเท่าที่รู้ม่านนั้นไม่เคยร่วงเลยสักครั้งในตอนซ้อม
“ชิ นายนี่มันรู้ทันจริงๆ” ฉันจิ๊ปากใส่เทาอย่างไม่พอใจที่เขาดูฉันออกก่อนจะเดินกระแทกเท้าไปทางอื่นแทน เทาตามเดินเคียงข้างฉันแล้วถือวิสาสะจับมือฉันไว้แน่น “เฮ้! เดี๋ยวเถอะ”
เทาไม่ตอบแต่กลับยิ้มแล้วสอดปลายนิ้วเข้ามาประสานกับง่ามมือฉันไว้อย่างแนบแน่น พยาบาลและคนไข้ที่เดินผ่านต่างมองมายังฉันกับเขาแล้วยิ้มขำอย่างไม่กลัวว่าฉันจะเห็น มันน่าขำตรงไหนไม่ทราบฉันนี่หน้าบึ้งแบบอยากจะฆ่าคนได้แต่เทากลับยิ้มหน้าบานราวกับการที่ฉันโกรธเป็นเรื่องสนุกสำหรับเขา
เมื่อคิดแล้วว่ายังไงคนเจ้าเล่ห์ก็คงไม่มีทางปล่อยมือ ฉันเลยยอมให้เขาเดินจับมือไปรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ เขาที่ยืนกันอยู่หน้าห้องพักฟื้นของไค
“ฝากด้วยนะเว้ย เดี๋ยวกูกลับก่อน ไอ้ไคได้สติเมื่อไหร่โทรบอกกูด้วย”
“เออๆ” เซฮุนตอบพลางไล่สายตามองมือเราสองคนแล้วทำสีหน้าแหยๆ
“ส่วนเรื่องนั้นไม่ต้องห่วง กูให้แกรี่สืบดูแล้วอีกไม่นานคงได้เรื่อง ไปล่ะๆ”
ฉันผงกหัวเป็นเชิงบอกลาให้แอล เซฮุนและลู่ฮานก่อนจะปล่อยให้เทาเป็นคนนำทางไปยังรถโดยที่มือของเรายังไม่ปล่อยออกจากกัน
“ไปส่งฉันที่ห้องด้วย ฉันง่วงมาก เมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็ดึกแล้ว ตอนเช้ายังต้องรีบตื่นมาดูเพื่อนอีก” ฉันบอกเทาเมื่อเราสองคนเข้ามานั่งในรถเป็นที่เรียบร้อย เมื่อคืนนี้ฉันกลับไปนอนที่บ้านตัวเองเพราะยังไม่ได้ทำความสะอาดคอนโดแต่เมื่อเช้าฉันฝากแม่บ้านไปดูแลแล้วป่านนี้คงเสร็จแล้วล่ะ
“ผมจะเข้าบริษัท” เทาสตาร์ทรถแล้วขับออกจากที่ลานจอดรถ
“งั้นฉันขอติดรถไปลงหน้าโรงพยาบาล เดี๋ยวฉันนั่งแท็กซี่ไปเองก็ได้”
“ไม่”
“งั้นนายก็ไปส่งที่คอนโดฉันก็ได้”
“ไปบริษัทกับผมสิ”
“ไม่เอา ฉันเหนื่อย”
“ไปนอนในห้องทำงานผมก็ได้ โซฟาใหญ่พอที่จะให้คุณได้นอนอย่างสบายๆ เลยล่ะ” เทาพูดโดยไม่หันมามองหน้าฉัน เมื่อมาถึงถนนใหญ่เจ้าตัวก็เหยียบคันเร่งอย่างแรงเป็นการบ่งบอกว่าเขาจะไม่จอดให้ระหว่างทางแน่นอน
ฉันกรอกตาขึ้นลงอย่างเซ็งๆ กับความเอาแต่ใจของคนขับรถก่อนจะเอนหลังพิงเบาะอย่างหน่ายใจ เมื่อเกิดความเงียบขึ้นระหว่างเราเหตุการณ์เมื่อสองชั่วโมงที่แล้วก็เข้ารบกวนจิตใจฉันอีกครั้ง บางทีมันอาจจะไม่ใช่อุบัติเหตุ มีเหตุการณ์มากมายที่ฉันพลาดไประหว่างที่อยู่ฮ่องกง เมื่อกี้ตอนที่เฝ้าคริสตัล ซูจี นาอึนและซอฮยอนเล่าเรื่องไค คริสตัลและจูเนียลให้ฉันฟังมันเลยทำให้ฉันสงสัยว่าเรื่องที่เกิดขึ้นอาจจะเกิดจากฝีมือคนที่ไม่ชอบคริสตัลหรือเปล่า...แต่บางทีฉันอาจจะคิดมากไปก็ได้
ผ่านไปไม่ถึงชั่วโมงรถยุโรปก็เข้าจอดภายในตึกสูงใจกลางกรุงโซล เทาบอกว่านี่เป็นตึกของบริษัทที่บ้านเขาเทคโอเวอร์มาอีกทีเพราะสำนักงานใหญ่จริงๆ ไม่ได้อยู่ที่เกาหลีหากแต่เป็นฮ่องกง ตอนฟังเขาเล่าเรื่องบริษัทฉันแอบคิดนะว่าถ้าเราสองคนแต่งงานกันจริงๆ ฉันจะต้องย้ายไปตั้งหลักปักฐานที่ฮ่องกงด้วยหรือเปล่า
“นายนี่มันรวยเว่อร์จริงๆ” ฉันกัดเทาเมื่อเราสองคนเดินเข้ามาในตัวอาคาร พนักงานที่เดินผ่านไปผ่านมามองมาทางฉันด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้ ยิ่งเห็นมือร่างสูงจับมือฉันไว้พวกพนักงานคงกำลังสงสัยว่าฉันใช่คนที่เจ้านายพวกเขาหมั้นด้วยหรือเปล่าน่ะสิ เนื่องจากงานหมั้นไม่ได้จัดที่เกาหลีเลยทำให้พนักงานระดับล่างไม่เคยเห็นหน้าฉันหรือบางคนอาจจะเคยเห็นผ่านหน้าหนังสือพิมพ์หรือนิตยสารไฮโซมาแล้วแต่คงไม่มีใครเคยเห็นตัวเป็นๆ และฉันเองก็ไม่เคยเข้ามาที่นี่เลยสักครั้ง
“ถ้าไม่รวยพ่อคุณจะยกคุณให้ผมมั้ยล่ะ”
“ขอสาปแช่งให้นายล้มละลาย”
“ถ้าผมล้มละลายคุณกับลูกจะอยู่ยังไง”
“-[]-”
“หึๆ”
ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนเดียวกับที่จับฉันขังในห้องหรือโยนฉันลงน้ำทะเล นี่เขารู้จักคำพูดเลี่ยนๆ พวกนี้ได้ยังไง ดูหน้าดุอย่างกับหมาไม่คิดเลยว่าจะมีมุมประหลาดๆ แบบนี้ด้วย ตอนนั้นที่ป่วยก็เหมือนกัน ฉันล่ะไม่อยากเชื่อว่ามันคือคนๆ เดียวกัน
เทาพาฉันขึ้นมายังชั้นบนสุดของตึกแล้วแนะนำให้ฉันรู้จักกับผู้จัดการรุ่นราวคราวแม่ ฉันถามถึงแกรี่เทาบอกว่าส่งแกรี่ไปจัดการงานบางอย่างอยู่ซึ่งฉันเดาว่ามันคงเป็นเรื่องอุบัติเหตุในวันนี้ เมื่อเราสองคนเข้ามาอยู่ในห้องทำงานฉันก็เดินลงไปทิ้งตัวนั่งบนโซฟากำมะหยี่สีน้ำเงินริมฝั่งซ้ายของห้อง ส่วนเทาเดินตรงไปนั่งที่นั่งหลังโต๊ะตัวใหญ่
“คุณทานอะไรมั้ย”
“ไม่อ่ะ”
เทาพยักหน้ารับแล้วกดโทรศัพท์สั่งกาแฟร้อนกับเลขามาหนึ่งแก้ว ฉันหยิบนิตยสารขึ้นมาอ่านเล่นฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ เทาเองก็นั่งทำงานอยู่ที่เดิมโดยที่เราไม่ได้คุยอะไรกัน ฉันเองก็ไม่อยากชวนคุยเพราะเกรงว่ามันจะไปเป็นการรบกวนการทำงานของเขาเสียเปล่าๆ เมื่อวานลาผ่านไปเรื่อยๆ ความอ่อนเพลียตลอดทั้งวันก็ทำให้ฉันค่อยๆ เอนตัวลงตามแรงโน้มถ่วงของโลกแนบไปกับเบาะนุ่มๆ ของโซฟาหรูพร้อมกับเปลือกตาที่ค่อยๆ ปิดลงช้าๆ
สัมผัสแผ่วเบาบริเวณหน้าผากทำให้ฉันรู้สึกตัวจริงขยับใบหน้าหนีสัมผัสนั่นอย่างนึกรำคาญที่มันมากวนการนอน แต่เหมือนจะหนีไม่พ้นเมื่อมันเลื่อนมาบีบจมูกเธอเบาๆ คล้ายกับว่าเจ้าของมือหมั่นเขี้ยวมันยังไงยังงั้น
“อือ”
“สองทุ่มแล้วครับ...ตื่นได้แล้ว”
เสียงกระซิบและลมหายใจร้อนๆ ที่รินรดอยู่ตรงหน้าผากทำให้ฉันยอมเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือ และเมื่อเห็นดวงตาคมที่สบตากันอยู่ไม่ถึงนิ้วฉันก็รีบผลักใบหน้าเทาออกไปอย่างแรงแล้วลุกขึ้นนั่งหลังตรงทันที
ให้ตายเถอะ นี่ฉันไปนอนตักเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน TAT
“นาย...มานั่งตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่” ฉันมองเขาอย่างหวาดระแวงขณะที่มือสองข้างจัดทรงผมให้เข้าที่เข้าทาง
“ตั้งแต่คุณหลับ” เทาตอบพลางเพยิดหน้าไปยังกองเอกสารด้านข้าง ดูท่าเขาจะมาย้ายงานมานั่งทำตรงนี้รวมทั้งนั่งให้ฉันหนุนตักได้นานพอสมควร
“...ขอบคุณ” ฉันพยักหน้าเบาๆ แล้วเอ่ยขอบคุณโดยที่ยังงงๆ อยู่ว่าจะขอบคุณไปทำไม เขาก็แค่ให้ฉันหนุนตักเท่านั้น อีกอย่างฉันไม่ได้เป็นคนขอเลยด้วยซ้ำ งงกับตัวเองจริงๆ
เทายักไหล่อย่างไม่ใส่แล้วผายมือไปยังด้านหน้า ฉันเลยมองตามจึงเห็นว่าบนโต๊ะมีอาหารเกาหลีอยู่มากมายถูกจัดวางไว้อย่างสวยงาม
“ผมสั่งมาเผื่อคุณหิว”
“...”
“คุณหลับไปตั้งแต่บ่าย ข้าวเที่ยงก็ไม่ได้กินผมเลยสั่งมาเยอะๆ ให้คุณเลือกแล้วก็เดาว่าคุณคงคิดถึงอาหารเกาหลีผมเลยสั่งมันทั้งหมดมาน่ะ แต่ถ้าคุณไม่ชอบผม...”
“ไม่เป็นไร ฉันชอบ”
“คุณไม่ต้องเกรงใจผมหรอกนะ”
“ไม่ ฉันอยากทานอาหารเกาหลีอยู่พอดีและตอนนี้ฉันก็หิวมากๆ” ฉันบอกเทาแล้วมองเขาอย่างขอบคุณก่อนจะเขยิบตัวเข้าไปนั่งข้างเขาแล้วจัดการหยิบช้อนกับตะเกียบมาถือไว้ “ขอบคุณนะ ^_^”
“...”
“นายนี่รู้ใจฉันจริงๆ เลย ^______^”
“...”
“กินด้วยกันมั้ย ?”
“ซอลลี่...”
“หืม ?”
“ขอ...” เทาเงียบไปพลางมองฉันด้วยสายตาแปลกๆ ไม่สิ...เขาไม่ได้ตาฉัน แต่สายตาเฉี่ยวนั่นกำลังมองริมฝีปากฉันอยู่ต่างหาก อย่าบอกนะว่า... “จูบหน่อยสิ”
“o_o”
“ขอหน่อยนะครับ”
“นะ นาย”
เทายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์และไม่รอให้ฉันพูดอะไรร่างสูงก็ขยับเขามาใกล้พลางเอื้อมมือมารั้งแผ่นหลังฉันให้ถลาไปหาเขาจากนั้นใบหน้าคมคายก็ก้มลงมาปิดริมฝีปากฉันไว้อย่างรวดเร็ว
เคร้ง
ทั้งช้อนและตะเกียบหลุดร่วงจากมือเล็กลงสู่พื้นพรมของห้องทำงาน ดวงตาที่เคยเบิกกว้างปิดลงอย่างช้าๆ เมื่อสัมผัสได้ถึงความร้อนที่นาบไปกับริมฝีปากตัวเอง เทารั้งหลังฉันให้เข้าไปใกล้ด้วยแขนอีกข้างที่ว่างอยู่ทำให้ตอนนี้ฉันแทบจะนั่งอยู่บนตักเขาเสียด้วยซ้ำ ริมฝีปากหนาที่เคล้าคลึงไปกับความนุ่มหยุ่นของสิ่งเดียวกันทำเอาฉันหลงลืมว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในสถานที่ไม่เหมาะสม หลงลืมไปแม้กระทั่งว่าตัวเองยังไม่ได้ยกโทษให้เขาเลยด้วยซ้ำ
ผู้ชายคนนี้ไม่ได้หยุดอยู่เพียงชิมความหวานแค่ภายนอก ฉันจิกไหล่เทาเป็นเชิงประท้วงเมื่อร่างสูงกว่าส่งปลายลิ้นเข้ามาทักทายกับปลายลิ้นเรียวเล็กของฉันได้อย่างแนบเนียน เมื่อเทาเริ่มเห็นว่าฉันประท้วงเขาก็จัดการรวบข้อมือทั้งสองข้างฉันไว้ในมือข้างเดียวแล้วช้อนตัวฉันให้ขึ้นไปนั่งเกยบนตักเขาโดยที่ริมฝีปากยังไม่ผละออกไปให้ฉันได้หายใจสักนิด เหมือนเทาจะรู้ว่าฉันใกล้จะหมดลมหายใจเขาถึงได้ยอมถอนริมฝีปากออกไปแล้วหอมแก้มฉันแรงๆ แทน
“คุณไม่น่ายิ้ม”
ฉันไม่ตอบแต่สูดหายใจเข้าปอดลึกๆ ราวกับคนกำลังจะตาย แล้วต้องสะดุ้งอีกครั้งเมื่อเทาเลื่อนใบหน้าไปตามโครงหน้าเรียวพร้อมกับลมหายใจร้อนๆ ที่รินรดไปทั่วทุกพื้นที่ที่จมูกโด่งเป็นสันลากผ่านจนกระทั่งเลื่อนลงต่ำมาจนถึงซอกขาวสะอาดตา เทาไม่รอช้า...ใช้จมูกซุกไซร้เข้าที่ซอกคอฉันโดยไม่สนใจเสียงครางประท้วงของฉันเลยสักนิด หรือบางที...เขาอาจจะคิดว่าฉันครางเพราะความชอบใจ
แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงเขาคงคิดถูก...
ตอนนี้ฉันกำลังคิดว่าตัวเองบ้า...บ้าที่หลงชอบลมหายใจร้อนๆ ที่กำลังรดต้นคอตัวเองอยู่ในเวลานี้ บ้าที่ชอบตอนที่เขากดริมฝีปากหนักๆ ลงมา มั่นใจเลยว่าคอขาวๆ ของตัวเองต้องมีรอยแดงเป็นจ้ำๆ แน่นอน ร่างกายฉันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ตอนนี้ทุกอย่างมันดูเลือนลางจนแทบจะมองอะไรไม่เห็นเลยนอกจากเส้นผมสีแดงอ่อนๆ ตรงหน้า มือไม้ที่ถูกเขากุมอยู่ได้ถูกปล่อยตั้งแต่เมื่อไหร่ฉันไม่อาจทราบได้ รู้เพียงแต่ว่ามือของเขากำลังลูบไล้สีข้างฉันผ่านเสื้อเนื้อดีอยู่
“อื้อ” ฉันครางอย่างตกใจที่อยู่ดีๆ เทาก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วประคองใบหน้าฉันเข้าไปประกบปากอย่างดุเดือดแทน ริมฝีปากที่มีประสบการณ์มากกว่ากำลังหลอกล่อให้ปลายลิ้นเล็กๆ ของฉันขยับตามควบคู่กับลิ้นหนาที่คอยเกี่ยวกระหวัดอย่างหยอกล้อทว่าเร่าร้อนไปในตัว
“ห้ามผมที” เทากระซิบขณะที่กำลังดูดเม้มริมฝีปากล่างฉันไปเรื่อยๆ คล้ายคนไม่มีสติ “ซอลลี่...ได้โปรด”
“อื้อ” ฉันอยากจะห้ามเขาแต่สิ่งที่ตัวเองเปล่งออกไปกับเป็นเสียงครางอย่างวาบหวามแทน
“ห้ามผม” คนพูดสั่งแต่มือเขากลับล้วงเขาไปใต้เสื้อยึดเนื้อดีจนได้พบกับเนื้อสาวที่นุ่มนิ่มติดมือจนไม่อยากจะละออกไป เทาไล่วนฝ่ามือไปทั่วแผ่นหลังบางอย่างคนขาดสติ โดยที่ริมฝีปากยังคงทำหน้าที่บนริมฝีปากบางไปเรื่อยๆ
...ไม่นะ
“เทา...พอเถอะ” ฉันพูดเสียงสั่นเมื่อรู้สึกได้ว่ามือหนาเริ่มไปไกลเกินกว่าที่ควรจะเป็น เสียงของฉันช่วยหยุดมือที่กำลังทำการปลดตะขอบราเซียไว้ได้ทัน ทุกอย่างที่เกิดขึ้นหยุดไปในทันทียกเว้นริมฝีปากที่จูบกันอย่างแผ่วเบาคล้ายกับว่าไม่ต้องการแยกจากกัน มือบางทั้งสองข้างดันไหล่หนาแล้วเป็นฉันเองที่เป็นฝ่ายถอนจูบออกไป
“...” ฉันโกยอาหารเข้าปอดทันทีที่มีพื้นที่ว่างระหว่างเราจากนั้นจึงค่อยๆ เงยหน้าอันร้อนผ่าวของตัวเองไปสบตากับแววตาร้อนแรงที่เต็มไปด้วยความปารถนา
เพียงแค่มองแววตาที่กำลังวาวโรจน์ไปด้วยความต้องการ ฉันก็รู้ทันที่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากฉันไม่บอกให้เขาหยุดเสียก่อน
เทายกมือขึ้นลูบใบหน้าตัวเองอย่างสะกดกลั้นอารมณ์สองสามทีก่อนจะลุกไปเข้าห้องน้ำโดยที่ไม่ได้พูดอะไรแต่ฉันสังเกตว่าเขากำลังอารมณ์ไม่ดี เมื่อเห็นเทาเข้าห้องน้ำไปแล้วฉันก็รีบจัดการสภาพตัวเองให้กลับมาเป็นปกติรวมทั้งหัวใจที่กำลังเต้นรัวนี้ด้วย แต่ดูเหมือนจะไม่มีทีท่าว่ามันจะเต้นช้าลงเลยสักนิด...
ฮู้ววววว~
เกือบไปแล้วมั้ยล่ะยัยชเวซอลลี่
----------------------------------------
70%
Kai’s part
1 สัปดาห์ผ่านไป
ตึ่ง
เมื่อเสียงลิฟต์บอกถึงการมาถึงตามชั้นที่ต้องการผมก็ก้าวท้าวออกมาช้าๆ เก็บทุกความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่านอยู่ในใจให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ สองเท้าตรงไปยังห้องชุดด้านซ้ายมือ เมื่อมาถึงที่หมายสิ่งที่ผมทำไม่ใช้การกดกริ่งหากแต่เป็นการแตะคีย์การ์ดเบาๆ เมื่อได้ยินเสียงปลดล็อคผมก็เผยรอยยิ้มมุมปากเบาๆ ก่อนจะใช้มือผลักประตูเข้าไปช้าๆ ดูท่าเธอจะไม่อยู่เพราะไฟทุกดวงปิดไว้หมด แถมเครื่องปรับอากาศก็ยังไม่ถูกใช้งานอีกด้วย
ก็ดี...
มุมปากยกยิ้มขึ้นสูงอย่างคนมีแผนก่อนที่ตัวเองจะเดินหลบไปยืนข้างประตูนิ่งๆ โดยที่ไม่สนใจจะเปิดไฟหรือเปิดแอร์เลยสักนิด ความมืดที่ปกคลุมห้องชุดขนาดใหญ่ทำให้ผมองอะไรไม่ค่อยชัดเลยเลือกที่จะหลับตาลงแล้วปล่อยให้สมองทบทวนเรื่องที่ผ่านมาแทน
เรื่องที่ทำให้หัวใจผมกระวนกระวายอยู่ตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา...
คริสตัลหนีหน้าผม! หลังจากแสดงละครเวทีและเกิดอุบัติเหตุในครานั้นผมกับเธอก็ยังไม่ได้เจอหน้ากันเลย คริสตัลไม่ไปเยี่ยมผมที่โรงพยาบาล ไม่แม้แต่จะโทรมาขอบคุณที่ผมช่วยเธอไว้สักคำ สิ่งที่เธอทำนั่นคือฝากเพื่อนมาบอกว่า ‘ขอบคุณ’ ผมไม่ต้องการได้ยินมันจากปากคนอื่น ผมอยากได้ยินมันจากปากเธอ! ถ้าไม่ติดว่าผมขยับไปไหนไม่ได้เพราะหลังช้ำล่ะก็นะ ผมคงจะมาหาเธอตั้งวันแรกที่ได้สติแล้ว
ผ่านไปไม่นานเสียงกุกกักหน้าประตูก็ดังขึ้น ผมเลยยืนตัวตรงหลังแนบไปกับกับแพงโดยพยายามทำตัวให้เงียบที่สุด แม้แต่เสียงลมหายใจเข้าออกยังแทบไม่มีให้ได้ยิน
แอ๊ด ~
“ไม่เป็นไรค่ะแทม...แค่รถถูกชนนิดหน่อยไม่ต้องถึงกับให้ฉันไปตรวจที่โรงพยาบาลหรอกค่ะ...ค่ะ ไว้เจอกัน”
ปิ่บ
แทม...แทมินสินะ เหอะ
และก่อนที่หญิงสาวร่างสูงโปร่งจะทันได้เปิดไฟ ผมก็ก้าวไปยืนช้อนอยู่ด้านหลังเธอแล้วสวมกอดอย่างรวดเร็วก่อนจะกระซิบเสียงเบาหวิวข้างใบหูขาวสะอาด
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
“!!!”
“ใจร้ายจัง...ไม่ไปหาผมที่โรงพยาบาลเลย”
“ไค!”
“เดือดร้อนผมต้องมารอคุณถึงในห้อง”
“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ” คริสตัลสะบัดตัวเองเพื่อให้หลุดจากอ้อมกอด มือเล็กๆ ทั้งสองข้างพยายามแกะมือที่รวบรัดเอวเธอไว้แต่ก็ไร้ประโยชน์ในเมื่อผมแรงเยอะกว่าร่างบางตรงหน้าตั้งเยอะ ผมจัดการรัดร่างบางให้แน่นยิ่งกว่าเดิมจนแผ่นหลังไปจนถึงสะโพกสัมผัสเข้ากับทุกสัดส่วนของกายชาย และนั่นทำให้คริสตัลถึงกลับหยุดดิ้น
ตอนแรกผมก็ไม่ได้อยากรุนแรงกับเธอนักหรอกแต่พอได้ยินเธอคุยกับไอ้แทมแล้วของมันขึ้น อยากจะจับร่างบางมาฟาดให้รู้สำนึกว่าอะไรควรไม่ควรสักทีสองที นอกจากจะไม่ทำตามที่คริสตัลบอกแล้วผมยังท้าทายเธอด้วยการใช้มือข้างหนึ่งเชยคางสวยให้หันมาสบตากับผมในความมืด ในขณะที่อีกข้างยังคงรัดเอวบางไว้แน่น
เมื่อได้อยู่ใกล้กันขนาดนี้แล้วผมรู้เลยว่าตัวเอง ‘คิดถึง’ เธอมากแค่ไหน แววตาเฉี่ยวคมอย่างผู้หญิงหยิ่งๆ ของเธอสะกดผมไว้ตั้งแต่วินาที่แรกที่เราสบตากัน แม้ว่ามันจะมืดแต่ผมก็เห็นทุกอย่างภายใต้แววตาของคนตรงหน้าอย่างชัดเจน ทุกความรู้สึกที่เธอมีต่อผม...รังเกียจ ถ้าจะให้จำกัดความแล้วล่ะก็ คำๆ นั้นคงใช้ได้ดีที่สุด
เงาสะท้อนภาพตัวเองจากนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มทำเอาผมไปไม่ถูก เธอเกลียดผมมากจนตัวนัยน์ตาสั่นเบาๆ เหมือนคนกำลังกลัวหรืออัดอั้นอะไรสักอย่าง ร่างกายผมเหมือนจะถูกไฟฟ้าช็อตจนไม่สามารถเอ่ยอะไรได้ มือที่จับคางเรียวอยู่ย้ายขึ้นไปลูบแก้มผู้หญิงในอ้อมกอดอย่างโหยหา แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือการเบือนหน้าหนีของเจ้าของใบหน้า
“อย่า”
“...”
คริสตัลผลักไหล่ผมออกอย่างแรงเลยทำให้เธอหลุดออกจากอ้อมกอดผมไปยืนเผชิญหน้ากันโดนที่ความห่างระหว่างมีเรามากกว่าสองเมตร ผมยังคงเห็นโครงร่างเป็นเงาสีดำของเธอผ่านความมืดมิดได้ เมื่อรู้ว่าเธออยู่ตรงไหนผมก็ก้าวเท้าไปหาแต่กลับกลายเป็นว่าเธอถอยหลังหนีผมไปอีกก้าว
…
“กลับไป” น้ำเสียงเย็นชาจากร่างบางทำให้ผมที่กำลังจะก้าวไปหาเธออีกก้าวถึงกลับหยุดชะงัก
“...”
“เราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก”
“จะไม่ใจร้ายไปหน่อยเหรอ...ผมช่วยคุณไว้นะ คำขอบคุณสักคำยังไม่มี”
“ฉันฝากเพื่อนไปบอกแล้ว”
“...”
“รีบกลับไปซะ ฉันไม่อยากเห็นหน้านาย” ใบหน้าคริสตัลหันไปทางด้านข้างหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับผมก่อนที่เจ้าตัวจะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ขอบคุณที่ยังรู้จักปิดไฟ ฉันจะได้ไม่ต้องทนเห็นหน้าคนที่ฉัน...ไม่ชอบ”
“…”
“ก่อนออกไปฝากเปิดไฟให้ด้วย...” คริสตัลว่าพลางหันหลังแต่เธอก็เอี้ยวตัวมาทางผมอีกครั้ง “และอย่าหวังว่าจะเข้ามาในห้องฉันอีกเพราะพรุ่งนี้ฉันจะเปลี่ยนคีย์การ์ดใหม่”
“!!!”
สายตามองตามร่างบางที่เดินตรงไปยังทางประตูห้องนอนของตัวเองด้วยความรู้สึกแค้นใจกับคำพูดอันเจ็บแสบของเธอ ผมข่มอารมณ์โกรธของตัวเองด้วยการพ่นลมหายใจออกมาช้าๆ แล้วสูดเข้าไปใหม่พยายามอยู่อย่างนั้นจนคริสตัลหายลับเข้าไปในห้องนอน ทว่าอารมณ์ที่กำลังเดือดดาลอยู่กลางอกทำให้ผมไม่ยอมทำตามที่คริสตัลบอก สองเท้าก้าวยาวๆ ไปทางเดียวกับร่างบางเมื่อสักครู่
ปัง
ผมเปิดประตูอย่างแรงแล้วตรงเข้าไปกระชากข้อมือเล็กๆ นั่นมากุมเอาไว้ทั้งสองข้าง ภายในห้องนอนเปิดไฟสว่างจ้าต่างจากด้านนอก เมื่อเห็นหน้าคริสตัลชัดๆ ผมถึงกับพูดไม่ออก ดวงตาแบบนี้ จมูกแบบนี้ โครงหน้าแบบนี้ผมไม่ได้เห็นมันในระยะประชิดมานานเท่าไหร่แล้วนะ...
เมื่อผมมัวแต่เผลอสำรวจใบหน้าคริสตัล เธอจึงใช้โอกาสนั้นผลักผมออกแล้วถอยออกไปยืนข้างเตียง
“อย่ามาทำตัวแบบนี้!!” คริสตัลตะโกนเสียงดังด้วยใบหน้าที่กำลังแสดงถึงความไม่พออย่างมาก
“ทำไม!” เมื่อเห็นเธอตะโกนกลับมาผมก็ฉุนอย่างฉุดไม่อยู่ “หรือว่าต้องไปไอ้แทมเท่านั้น เธอถึงยอม”
“คิมไค...”
“หึ ฉันอุตส่าห์ช่วยชีวิตเธอไว้แต่กลับไม่มีคำขอโทษสักคำ แต่กลับไอ้แทมที่ใช้เงินซื้อตัวเธอไป เธอกลับตอบแทนมันทั้งร่างกาย”
“ถ้าจะมาพูดเรื่องนี้นายกลับไปเลยดีกว่า ฉันว่าเราสองคนไม่มีอะไรตกค้างกันอีกแล้ว” คริสตัลบอกเสียงเรียบแล้วเบือนหน้าหนีไปด้านข้าง แขนทั้งสองข้างของเธอยกขึ้นมากอดอก ส่วนผมเดินตรงเข้าไปหาเธออย่างหมดความอดทน! “ว้าย!”
ตุบ
ผมจัดการช้อนร่างบางขึ้นแล้วโยนเธอลงไปบนเตียงนอนอย่างแรงก่อนที่จะตามขึ้นไประกบอย่างรวดเร็ว คริสตัลยันตัวขึ้นแต่ผมเร็วกว่าเลยยึดข้อมือทั้งสองข้างของเธอไว้แล้วตรึงมันไว้กับฟูกที่นอน
“ฉันจะไม่ทนกับเธออีกต่อไป” ผมพูดเสียงต่ำด้วยสรรพนามที่เปลี่ยนไปก่อนจะจ้องคนใต้ร่างอย่างเอาเรื่องแล้วขยับร่างกายอีกนิดเพื่อจะได้ขึ้นคร่อมเธอ
“...”
คริสตัลไม่ได้โวยวายอย่างที่ผมคิดแต่กลับยิ้มเยาะเหมือนคนไม่กลัวอะไรทั้งนั้นนั่นจึงทำให้ผมยิ่งโมโหจนต้องบีบข้อมือเล็กอย่างแรงจนมันเกิดเป็นรอยนิ้วมือแดงๆ คริสตัลไม่ส่งเสียงร้องสักแอ่ะ เธอกลับส่งรอยยิ้มยั่วประสาทอย่างที่ชอบทำแล้วเป็นฝ่ายผงกหัวขึ้นมาแตะริมฝีปากผมเบาๆ
!!!
ท่าทางที่เปลี่ยนไปทำให้ผมตกใจไม่น้อย ทว่าความคิดถึงที่มีต่อเธอทำให้ผมลืมเหตุผลที่ทำให้เธอกลายมาเป็นฝ่ายรุก ผมเปิดริมฝีปากแล้วจูบตอบเธอไปอย่างโหยหาในรสสัมผัส มือที่กุมข้อมือคริสตัลอยู่เริ่มอ่อนแรงแล้วเปลี่ยนมาเป็นลูบไล้สีข้างของรูปร่างสมส่วนที่ไม่ว่าผู้หญิงคนก็ต้องอิจฉาแทน ยิ่งปลายลิ้นเล็กๆ โต้ตอบกลับมาอย่างไม่ยอมแพ้ยิ่งทำให้ผมหลงระเริงไปกลับความหอมหวานเบื้องหน้าจนลืมทุกสิ่งทุกอย่างรอบกาย ลืมแม้กระทั่งความโกรธที่มีต่อเธอและลืมเรื่องร้ายๆ ของเราสองคนในอดีต
ในหัวผมตอนนี้มีแต่ความคิดถึงจนเพียงแค่คิดว่าถ้าน้องชายของผมได้เข้าไปอยู่ในร่างกายผอมเพรียวนี้มันจะอบอุ่นสักเพียงใดกัน...
“อ่า” ผมครางไม่ได้ศัพท์เมื่อมือเล็กๆ ที่เป็นอิสระลูบไล้แผงอกแกร่งผ่านเนื้อผ้าช้าๆ คริสตัลทำสิ่งที่ผมไม่คาดคิดนั่นคือปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออกที่ละเม็ดๆ โดยที่ริมฝีปากยังคงดูดกลืนริมฝีปากผมอย่างไม่ลดละ จะผิดมั้ยถ้าผมคิดเข้าข้างตัวเองว่าเธอเองก็มีใจให้ไม่ต่างกัน ช่วงเวลาที่ผ่านมาเธอก็คงคิดถึงผมเหมือนกันใช่มั้ย...
เพียงแค่คิดว่าเธอคิดถึงผมก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา ผมชอบคริสตัลในมุมร้อนแรงแบบนี้ที่สุด...มุมที่มีแต่ผมเท่านั้นที่มีสิทธิ์เห็น
“อ๊ะ..”
คริสตัลร้องเสียงหลงเมื่อสะโพกถูกลูบไล้ผ่านกางเกงยีนส์สีซีดอย่างแผ่วเบาทว่าวาบหวิว ผมยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนที่จะเลื่อนลงต่ำไปยังซอกคอขาวเนียน จัดการทำรอยแสดงความเป็นเจ้าของสามสี่ที่แล้วเรื่อยต่ำลงมายังเนินอกที่อยู่ภายใต้เสื้อยืดสีขาว สูดกลิ่นเนื้อสาวที่ผมห่างหายไปนานอย่างคนบ้าคลั่ง อ่า...ผมคิดถึงกลิ่นนี้จริงๆ
มือที่อยู่ตรงสะโพกไล้ขึ้นมาช้าๆ ผ่านเอวคอดกิ่ว ผ่านหน้าท้องแบนราบไร้ไขมันใดๆ มาถึงขอบบราเซีย แต่ก่อนที่มือหนาจะได้สัมผัสหน้าอกอิ่มอย่างที่ใจปารถนา คริสตัลก็ตวัดร่างผมให้ลงไปอยู่ใต้ร่างแล้วขึ้นคร่อมเสียเอง
“ใจเย็นสิคะ” เธอพูดตาปรือแล้วแกะยางรัดผมออกก่อนจะสะบัดหน้าไปมาเพื่อให้ผมสยายลงกลางหลัง
เธอจะรู้มั้ยว่าภาพนั้นมาช่าง...ยั่ว ผู้ชายเสียเหลือเกิน
ผมครางไม่ได้ศัพท์เมื่อคริสตัลก้มลงมาจูบหนักที่ซอกคอเหมือนที่ผมเคยทำให้เธอก่อนที่จะใช้ฟันขบแรงๆ คล้ายคนหมั่นไส้...อ่า~ เธอช่างเป็นนักเรียนที่เรียนรู้เร็วจริงๆ หรือว่า...เพราะเธอนอนกับไอ้แทมถึงได้กล้าขนาดนี้
เหอะ!!
เอาเถอะ ผมจะลงโทษเธออีกทีเมื่อตอนที่ผมได้เข้าไปซุกกายอยู่ในร่างกายเธอแล้วกัน หากจะอารมณ์เสียตอนนี้เดี๋ยวกระต่ายน้อยของผมเปลี่ยนใจไม่ยอมร่วมสนุกด้วยขึ้นมาจะทำยังไง ถ้าเป็นอย่างนั้นน้องชายที่กำลังดีดตัวอยู่ในตอนนี้ไม่เป็นอันร้องไห้เลยรึ
“คริสตัล..โอ้วพระเจ้า” เพราะผมมัวแต่หลงอยู่ในความคิดที่ว่าเราจะได้เป็นหนึ่งเดียวกันเลยไม่รู้เลยว่าตอนนี้เธอกำลังลูบไล้ต้นขาด้านในผมอยู่ ผมปลดปล่อยร่างกายให้เป็นไปตามสัญชาตญาณรวมทั้งปล่อยให้ร่างด้านบนจัดการทุกอย่างตามใจอยาก
แต่...
ความเจ็บจิ๊ดๆ ตรงส่วนกลางชายทำให้ผมถึงกับลืมตาขึ้นมาแล้วผงกหัวขึ้นมองจุดเกิดเหตุ
!!!
“เฮ้ย!! ทำอะไรน่ะ!”
ผมร้องเสียงหลงอย่างตกใจพลางเขยิบตัวหนีจากคริสตัลอย่างเร็วก่อนจะลุกออกจากที่นอนไปยืนมองหน้าคนถือมีดคัตเตอร์ด้วยความตกใจ
“หึ ออกไปจากห้องฉันก่อนที่ฉันจะเฉือนน้องชายนายทิ้ง” คริสตัลพูดอย่างเย็นชาพลางลุกขึ้นยืนข้างเตียงฝั่งตรงข้ามกับผม เมื่อได้ยินเธอพูดแบบนั้นผมถึงได้ก้มลงมองสภาพตัวเองถึงได้รู้ว่ากางเกงเดฟยีนต์ของผมขาดผ่านกลางเป้าตั้งแต่ซิบไปจนถึงด้านหลัง
ชิบหายล่ะ!
“ออกไปจากห้องนี้ซะ!” คริสตัลตวาดอีกครั้ง
ผมเงยหน้ามองผู้หญิงตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อว่าเธอจะกล้าทำกับผมขนาดนี้ เธอหลอกให้ผมหลงด้วยรอยจูบแล้วหาทางพ่นพิษใส่เมื่อเหยื่อตายใจสินะ
“...ทุกอย่างมันสายไปแล้วใช่มั้ย” แทนที่ผมจะโกรธเหมือนอย่างในตอนแรก แต่ไม่...ผมกลับถามคำถามนี้ออกไปเมื่อเห็นว่าสายตาของผู้หญิงตรงหน้ายังเต็มไปด้วยความเกลียดชัง “ผมมันแย่ขนาดนั้นเลยรึไง...ถ้าเป็นเพราะเรื่องที่ผมเอาคุณไปประมูล ผมขอโทษ รู้อะไรมั้ย...ต่อให้มีใครประมูลคุณด้วยเงินจำนวนมากขนาดไหน ผมก็จะซื้อคุณกลับมาด้วยเงินที่มากกว่า”
“...” แววตาไม่เข้าใจของเธอทำให้ผมอธิบายต่อ
“สำหรับผมคุณไม่เหมือนใคร...คริสตัล ผมขอโทษที่เข้าใจคุณผิด ขอโทษที่พูดจาไม่ดีใส่ ขอโทษที่ไม่ให้เกียรติคุณ”
“...”
“ผมกับจูเนียลไม่เกี่ยวกันแล้ว...” ผมเว้นจังหวะแล้วสบตาคริสตัลด้วยแววตาอ้อนวอนซึ่งไม่เคยใช้ขึ้นกับผู้หญิงคนไหนมาก่อนในชีวิต “กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้มั้ย ?”
แต่สิ่งที่ผมได้รับคือสายตาเย็นชากับคำพูดที่ว่า...
“ไร้ประโยชน์”
และ…
“กลับไปซะ”
ร่างบางพูดจบก็หันหลังแล้วเดินตรงเข้าห้องน้ำที่มีอยู่ในตัวห้องนอนทันที เสียงปิดประตูดังขึ้นทำให้ผมได้สติแล้วถอนหายใจออกมาอย่างคนผิดหวัง ในใจเจ็บแปลบๆ จนไม่อยากจะหายใจเข้าที่ผมเป็นอย่างนี้เพราะผมแคร์เธอมากใช้มั้ย...ผมแคร์เพราะผมรักเธอใช่มั้ย ?
---------------------------------
Krystal’s part
‘สำหรับผมคุณไม่เหมือนใคร...คริสตัล ผมขอโทษที่เข้าใจคุณผิด ขอโทษที่พูดจาไม่ดีใส่ ขอโทษที่ไม่ให้เกียรติคุณ’
ฉันโยนมีดคัตเตอร์ลงพื้นอย่างไม่สนใจว่ามันจะไปตกที่ไหนแล้วรีบเท้าแขนสองข้างไปกับกระเบื้องขอบอ่างล่างหน้าก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ฉันเปิดน้ำแล้วใช้มันล้างใบหน้าเรียกสติตัวเอง
ฉันเกือบบอกเขาไปแล้วว่า ‘ไม่เป็นไร ฉันไม่โกรธ’ เมื่อตอนได้ยินคำขอโทษจากปากไค แววตาที่จริงใจตอนพูดเกือบทำให้ฉันใจอ่อน ฉันเกือบยกโทษให้เขาเพียงแค่เห็นแววตาอ่อนแอนั่นทั้งที่ใจจริงฉันโกรธจนอยากจะใช้ปลายมีดคัตเตอร์กรีดใบหน้าเขาให้สะใจเล่นๆ เสียด้วยซ้ำ ฉันโกรธจนอยากจะเข้าไปบีบคอเข้าแล้วเขย่าๆ ถามว่า ‘ทำแบบนี้กับฉันทำไม!’ แต่ฉันกลับทำไม่ได้เมื่อคิดว่าระหว่างเรามันไม่มีอะไรเลย…
ฉันกับเขาไม่ได้เป็นแฟนกันจริงๆ และเราไม่ได้มีอะไรกัน ระหว่างฉันกับไค...มันไม่มีอะไรเลย เราไม่ได้รักกัน ไม่มีความรู้สึกใดๆ ให้กัน ฉันนั่งทบทวนมาหนึ่งอาทิตยเต็มๆ แต่ฉันก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าระหว่างเรามันมีอะไร...ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างเราเกิดขึ้นเพราะอารมณ์ที่ไม่ยอมกัน เพราะฉะนั้นมันคงดีกว่าถ้าหยุดทุกอย่างไว้ตั้งแต่ตอนนี้ และมันคงจะดีกว่าถ้าเราทำเหมือนไม่มีอะไรเคยเกิดขึ้น...
สุดท้าย ฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่า...ความรู้สึกที่ฉันมีต่อเขาจะไม่ถลำลึกไปมากกว่านี้
-----------------------------
ถ้าไม่นับตอนพิเศษตอนนี้สั้นกว่าทุกๆ ตอนเยอะเลย
ยกไปไว้ตอนหน้าแทนนะ ^^
ปล. เป็นกำลังใจให้เอฟเอ็กด้วยเน้อ~
*ลืมบอกไปว่าตอนต้นเรื่องไรท์อ้างอิงมาจากซีรีย์เรื่อง Gu family book นะคะ*
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านและทุกคอมเม้นต์ค่า~
ความคิดเห็น