ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Got7] SDD : Sleep , Deep , Death [MarkBam]

    ลำดับตอนที่ #24 : Chapter 23

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.26K
      15
      20 เม.ย. 58

     

    รถยนต์คันสวย ที่นำผู้โดยสารสี่คนกำลังถอยเข้าช่องจอดวีไอพีของคอนโดสุดหรูย่านใจกลางเมือง ตอนนี้เป็นเวลาสามทุ่มเศษๆ หลังจากที่กินอิ่ม คุยเล่นอย่างเต็มที่ก็ถึงเวลาที่จะต้องทำงานจริงจังสักที

    หลังจากที่เครื่องยนต์ดับสนิท  เจบีก็สะกิดคนที่นั่งหลับข้างๆให้รู้สึกตัว มาร์คที่นั่งข้างคนขับอย่างแจ็คสันได้แต่มองเพื่อนตัวเองผ่านกระจกมองหลังอย่างห่วงๆ

     

    “ข้างหลังโอเคป่ะ” เป็นแจ็คสันที่เอ่ยถามซะก่อน


    “จินยอง คุณโอเคมั้ย” เจบีถามอีกคน


    “อืม ไหวน่ะ” จินยองบอก

     


    ทั้งสี่ลงจากรถก่อนจะเข้าไปในคอนโดสุดหรู เพื่อจะขึ้นไปห้องของแจ็คสัน ประตูลิฟท์สีทองเปิดขึ้นพร้อมกับร่างทั้งสี่ที่เดินเข้าไปโดยไม่พูดอะไร จินยองที่เริ่มตื่นเต็มตามองไปที่เพื่อนสนิทที่ยืนตรงปุ่มลิฟท์กำลังทำท่าเหมือนคิดอะไรอยู่ก่อนสายตาจะสะดุดไปเห็นความผิดปกติบางอย่างตรงคอมาร์ค



    “สร้อยมึงไปไหน” จินยองถามเบาๆ


    “หือ?” มาร์คเงยหน้ามองคนถาม ก่อนที่ประตูลิฟท์จะเปิดอีกครั้ง


    “เขี้ยวหมาป่า ไปไหน?” จินยองถามอีกครั้งขณะที่ทุกคนเดินออกจากลิฟท์ ตั้งแต่รู้จักกันมาสิบกว่าปีมาร์คไม่เคยที่จะทำงานโดยไม่มีสร้อยเส้นนั้น


    “มีคนต้องการมันมากกว่ากูตอนนี้” มาร์คตอบ

    ก่อนหน้าที่จะออกจากบ้านเจบี มาร์คให้สร้อยนี่ไปกับยูคยอม เขาไม่ใช่คนใจร้ายที่จะทำเมินเฉยกับวิญญาณที่ตามรังควานรุ่นน้อง เพียงแต่ตอนนี้เขาขอจัดการกับเรื่องของเจบีให้เสร็จก่อน อย่างน้อยเครื่องรางหายากอย่างเขี้ยวหมาป่าคงพอช่วยยื้อได้บ้าง ถึงแม้ยูคยอมจะอึกอักที่ต้องรับมันแต่มาร์คก็ยัดมันใส่มืออีกคนอยู่ดี

     

    “ให้ยูคยอมไปเหรอ” จินยองเดา ก็พอจะเดาได้


    “อืม” มาร์คพยักหน้าน้อยๆ


    “มีอะไรเกิดขึ้นกับไอ้เด็กยูคยอมใช่มั้ย” กลายเป็นแจ็คสันถามขัดขึ้นมา


    “รู้สึกด้วยเหรอมึงอ่ะ” จินยองถาม


    “ไม่แน่ใจ แต่ถ้าดูอาการพวกมึงประกอบ ก็คิดว่ารู้สึก” แจ็คสันว่า มาร์คก็นิ่งๆขึ้นพร้อมกับมองไปที่ข้างหลังยูคยอมเป็นระยะ จินยองก็ดูเหมือนจะไม่สบายขึ้นมาหลังจากที่เด็กนั่นเดินเข้ามา พอลองตั้งใจจริงๆก็เหมือนเห็นเงาๆข้างหลังเด็กนั่นจริงๆ


    “แล้วจะทำไงต่อ” เป็นเจบีที่ถาม อดรู้สึกห่วงรุ่นน้องไม่ได้


    “รองานมึงเสร็จก่อน ให้ทำพร้อมกันกูอาจไม่ไหว” มาร์คว่า


    “แต่มันอาจจะเป็นงานเดียวกันก็ได้นิ่” จินยองบอก


    “หมายความว่า?” แจ็คสันหันไปถาม


    “ไม่คิดว่าจะบังเอิญไปหน่อยเหรอที่คนสองคนที่สนิทกันเหมือนพี่น้องจะโดนเล่นงานจากสิ่งลี้ลับพร้อมๆกัน ถ้าไม่ใช่เพื่อจุดประสงค์เดียวกัน” จินยองอธิบาย


    “กูก็คิดเหมือนมึง แต่ตอนนี้ เราเอาตรงนี้ให้เสร็จก่อนดีกว่า” มาร์คว่าก่อนจะหยุดยืนอยู่หน้าห้องของแจ็คสัน

     


    แจ็คสันเสียบคีย์การ์ดก่อนจะกดรหัสแล้วเปิดประตูเข้าไป ตามมาด้วยเพื่อนอีกสามคน ทั้งสามเดินเข้ามาจับจองที่นั่งเหมือนเป็นบ้านตัวเอง  ส่วนเจ้าของห้องก็ต้องมาจัดรองเท้าที่พวกมันถอดทิ้งเรี่ยราดไว้ไง


    “เอาไงต่อ” เจบีถาม


    “นอน” มาร์คตอบสั้นๆ


    “ง่ายดีนิ่” จินยองประชด


    “กูหมายถึงนอนจริงๆ  ก่อนอื่นก็เอานี่ไปแขวนตรงหัวเตียง” มาร์คควัก dream catcher สีดำแดงขึ้นมาจากกระเป๋า แล้วยื่นให้แจ็คสันที่เพิ่งเดินเข้ามาหลังจากจัดรองเท้าเสร็จ  แจ็คสันก็รับมาแต่โดยดี ก่อนจะเดินไปห้องนอนเพื่อเอามันไปแขวน ก่อนที่อีกสามคนจะเดินตามเข้าไป


    “มึงไปนอนที่เตียง แล้วกำปลายด้ายสามเส้นนี่ไว้” เจบีหยิบด้ายสีแดงยาวๆออกมาสามเส้น


    “พวกเราก็นอนพื้นแล้วจับปลายสายอีกด้าน คนละเส้น” มาร์คอธิบายต่อ


    “แต่จินยองไม่สบายนะ นอนพื้นจะดีเหรอ” เจบีบอก


    “ผมสบายดีน่ะคุณ” จินยองขัดอีกคนขึ้นมาก่อน


    “งั้นมึงไปนอนบนเตียงกับเจบี แต่ต้องให้ dream catcher อยู่เหนือหัวเจบีเท่านั้น” มาร์คสั่ง


    “กูบอกว่ากูโอเคไง” จินยองว่า


    “ยังไงเตียงมันก็ใหญ่เกินจะนอนคนเดียว มึงนอนกับมันนั่นแหละ มึงตัวเล็กสุด” เป็นแจ็คสันที่บอก จินยองที่ไม่มีแรงจะเถียงได้แต่พยักหน้าอย่างไม่เต็มใจนัก


    “ส่วนนี่ยานอนหลับ คนละเม็ด งานนี้ถ้ามีใครคนใดคนหนึ่งตื่นก็จบ โอเคมั้ย” มาร์คว่าก่อนจ่ายยาให้ทุกคนคนละเม็ด


    ทุกคนรับยาไปจากมาร์คก่อนจะมองหน้ากันเหมือนถามความพร้อม

     

    .

    .

    .





     

    “งั้นมาเริ่มกันเลย”

     

     

    .......................................................................................................

     

    เวลาเกือบสี่ทุ่มบริเวณสวนสาธารณะใกล้ๆใจกลางเมือง ถึงจะเป็นย่านคนพลุกพล่าน แต่เวลาเกือบจะครึ่งคืนขนาดนี้ผู้คนก็แทบจะเข้าบ้านกันหมดแล้ว เหลือแต่ร่างเล็กของเด็ก ม.ปลายที่กำลังเปิดไฟฉายส่องกระดาษหนึ่งแผ่น  พร้อมกับใช้ชอล์คขีดเขียนวงเวทย์บางอย่างบนพื้นสนาม

    จริงๆพิธีแทบไม่มีอะไรเลย แค่ให้ปิศาจอยู่ในวงเวทย์ สวดมนต์นิดหน่อย เท่านี้ก็ตรึงวิญญาณไว้ได้สักพัก ส่วนที่ยากคือการทำให้วิญญาณเข้ามาในวงเวทย์นั่นแหละ พิธีนี้ส่วนมากจะทำกับคนที่โดนสิง แต่สำหรับยูคยอมที่ควบคุมร่างกายตัวเองได้ปกติคงง่ายเหมือนปอกกล้วย

     

    “โอเค เรียบร้อย” โจอี้ปัดฝุ่นจากมือสองสามทีก่อนยืนชื่นชมผลงาน


    “ที่เหลือแค่ให้ไอ้พี่ยูคยอมมายืนในนี้ สวดอีกนิดหน่อย พอตรึงวิญญาณได้ ก็สวดดึงยันต์ที่พันข้อมือออกมา วางลงในอ่างศิลา โรยเกลือ จุดไฟเผา บู้ม!!!” โจอี้ทบทวนพยายามทำตัวให้มีสติที่สุด

     





    งานนี้พลาดแล้วจบเห่







    “เปี๊ยก!!” เสียงเรียกจากมุมด้านหนึ่งของสนามบาสทำให้โจอี้หันไปมอง


    “มาเร็วนิ่” โจอี้บอก เพราะเขามาก่อนเวลาเพื่อเตรียมที่ทาง แต่ยูคยอมเองมาถึงก่อนเวลาที่นัดกันซะอีก


    “จะได้จบๆ ปวดหลังจะแย่” ยูคยอมบ่นก่อนค่อยๆเดินเข้ามาในสนามบาส


    “ก็ดี ผมก็ง่วง” โจอี้เหลือบมองวิญญาณข้างหลังอีกคนแล้วก็ต้องสยองเมื่อวิญญาณตนนั้นจ้องกลับ


    “แล้วนี่ต้องทำไง” ยูคยอมหยุดเดินแล้วถาม


    “นี่ไง พี่น่ะเดินมาตรงนี้” โจอี้ชี้ที่วงเวทย์ที่เขาวาด


    “ยืนนิ่งๆ พอผมบอกให้ออกมาพี่ก็ออกมา แค่นั้น ที่เหลือผมจัดการเอง” โจอี้บอกพลางล้วงหาหนังสือเพื่อเปิดหาบทสวดทั้งสองบทที่จะใช้


    .

    .

    .



    “.........”


     



    เกิดความเงียบขึ้น มีแต่เสียงเปิดกระดาษของร่างเล็ก ไม่มีเสียงฝีเท้าของอีกคนเดินเข้ามาในวง โจอี้ที่รู้สึกถึงสิ่งผิดปกติจึงเหลือบขึ้นไปมองอีกคนที่ยังยืนนิ่งแต่สีหน้าดูหวาดๆ

     


    “อ้าว รออะไรอ่ะ เข้ามาเลย ยืนตรงนี้” โจอี้ชี้ไปที่วง


    “โจอี้...” ยูคยอมเรียกอีกคนเสียงสั่น


    “อะไร?”


    “ฉัน.....ขยับขา.......ไม่ได้” ยูคยอมบอกในที่สุด





    สิ้นสุดคำพูดยูคยอม ร่างหญิงสาวคนนั้นกลายเป็นกลุ่มควันขนาดใหญ่ในบัดดล แต่ยังมีดวงตาสีแดงในกลุ่มควันนั้น เสียงสวดมนต์แปลกๆดังมาจากทุกทิศทาง ลมที่อยู่ๆก็ไม่รู้มาจากไหนพัดบริเวณนั้นอย่างบ้าคลั่ง


    ดวงตาที่เคยมองตามยูคยอมตลอดตอนนี้กลับเปลี่ยนเป้าหมายมาที่ร่างเล็กที่ยืนถือปืนเกลืออย่างเตรียมพร้อม แต่กลุ่มควันนั้นก็ขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว

     


    “บ้าเอ้ย!! พี่ขยับได้บ้างมั้ย” โจอี้ถามอีกคน


    “มันไม่ขยับ ขาฉัน..บอกทีว่านั่นเสียงนายสวด” ยูคยอมที่พยายามขยับขาเอ่ยถามเมื่อได้ยินสียงสวดดังขึ้นรอบๆ เขาภาวนาแค่ให้เป็นเสียงของโจอี้ก็พอ


    “ไม่ใช่เสียงผม พี่ยูคยอม!!!” โจอี้ตอบก่อนตะโกนสุดเสียงเมื่ออยู่ดีๆยูคยอมก็ทรุดไปกองกับพื้น


    “หนะ...หนัก” ยูคยอมพูดกระท่อนกระแท่น



    ร่างเล็กวิ่งไปที่รุ่นพี่ก่อนจะพยายามฉุดให้อีกคนลุก แต่ก็ดูจะยากเย็น แรงกดดันวิญญาณส่งกลิ่นคละคลุ้งจนคนเซนส์ไวอย่างโจอี้แทบจะอาเจียน กลุ่มควันที่เคยตามหลังยูคยอมเฉยๆกลับล้อมรอบเขาไปด้วย ความรู้สึกกดดันที่รุนแรงทำให้ร่างเล็กแทบจะยืนไม่ไหว แต่ยังไงดูท่าทางยูคยอมจะแย่กว่าเขาเสียอีก

     

    “นะ..นายทำอะไร” ยูคยอมถามเมื่อโจอี้พยายามดึงข้อมือ


    “ก็ให้พี่ลุกไง อีกนิดเดียวก็ถึงวงเวทละ โอ้ย!!” โจอี้ทรุดลงไปนิดนึงเมื่อรู้สึกได้ถึงน้ำหนักที่กดลงมาบนหลัง


    “นะ..นายบ้ารึเปล่า..วะ..วิ่งเข้ามาทำไม” ยูคยอมถามคนตัวเล็กที่อยู่ดีๆก็วิ่งเข้ามาในกลุ่มควัน


    “หยุดพูดแล้วพยายามลุกขึ้น” โจอี้ดึงอีกคนอย่างหงุดหงิด


    “นะ..ในกระเป๋า....มี....สร้อยของพี่ชายนาย” ยูคยอมบอก โจอี้มองอย่างงงๆ


    “พะ..พี่มาร์ค..รู้เหรอ” โจอี้เริ่มตะกุกตะกัก แต่ยังไม่เลิกล้มความพยายามที่จะดึงอีกคนขึ้นมา


    “เปล่า....นายใส่สร้อยนั่นไว้ซะ” ยูคยอมบอก

     


    ร่างเล็กเหลือบไปเห็นกระเป๋าที่ตกอยู่ของยูคยอม โจอี้รีบวิ่งไปที่กระเป๋าของอีกคนก่อนจะเปิดมันเทออกมาเพื่อหาสร้อยที่ว่า โจอี้เห็นสร้อยเชือกที่มีเขี้ยวหมาป่าของมาร์คในข้าวของที่กระจัดกระจาย มือเรียวคว้าสร้อยเส้นนั้นขึ้นมาแล้ววิ่งกลับไปหาอีกคนที่ยังนอนอยู่ที่เดิม


    “เฮ้ พี่ยูคยอม” โจอี้เรียก


    “ใส่ไว้ดิ” ยูคยอมบอกอีกคน


    “ห่วงตัวเองก่อนจะได้มั้ย” พูดจบ โจอี้ก็สวมสร้อยให้อีกคน

     


    ควันสีดำทั้งหมดพวยพุ่งขึ้นท้องฟ้าพร้อมเสียงกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง ดวงตาสีแดงเลือดส่ายไปมา น้ำหนักทั้งหมดที่เคยถาโถมบนตัวยูคยอมค่อยๆเบาลงจนยูคยอมสามารถยืนขึ้นได้



    กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด



    ควันลอยพุ่งสูงเสียดฟ้า เสียงสวดเบาลงไปแล้ว โจอี้ค่อยๆพยุงอีกคนที่พยายามจะลุกขึ้น


    “พี่ไหวรึเปล่า”


    “อืม นายล่ะ” ยูคยอมยืนขึ้น


    “ผมน่ะมือ..”


    “หยุดเลย กลัวก็บอกว่ากลัวดิ” ยูคยอมขัดอีกคนที่พยายามจะบอกว่าตัวเองเป็นมืออาชีพ แววตาตื่นตระหนกของอีกคนทำให้เดาได้ไม่ยาก


    “ไม่ได้กลัว เซ็งต่างหาก ผิดแผนหมดเลย ทำไงดี” โจอี้กัดเล็บก่อนจะเดินไปหยิบหนังสืออีกรอบ


    “มันอาจจะไปละ.....” ยูคยอมพูดก่อนจะชะงักไป




    .

    .

    .

    .




     

    เสียงสวดดังขึ้นอีกครั้ง แน่นอนว่าไม่ใช่เสียงของโจอี้ มันดังทั่วทิศทางและดังขึ้นเรื่อยๆ ร่างเล็กเองก็ได้ยิน โจอี้ค่อยๆหันกลับมามองยูคยอมก่อนจะเบิกตาโต เมื่อกลุ่มควันนั้นก่อตัวขึ้นอีกครั้งบนฟ้า ปรากฏดวงตาสีแดงก่ำในนั้น แต่ครั้งนี้ดวงตานั้นแดงฉานกว่าเดิม ออร่าดำทะมึนขยายตัวกว้างเกือบทั่วบริเวณนั้น ดวงตานั่นมองไปที่ยูคยอม ก่อนจะค่อยๆเคลื่อนมาจ้องที่โจอี้ แล้วหยุดอยู่ที่คนตัวเล็กไม่วางตา

    .

    .

    .


    “โจอี้......หนีไป” ยูคยอมพูดเบาๆ เมื่อสังเกตได้ว่าเป้าหมายเปลี่ยนไปแล้ว

     
     

    โจอี้นิ่งเหมือนก้าวขาไม่ออก ขาแข็งไปหมด ความกลัวเข้าครอบงำ ร่างเล็กไม่นึกถึงอะไรนอกจากคำเตือนของพี่ชาย









     

    สัญญาว่าจะไม่ทำให้เฮียต้องเป็นห่วง ทำได้มั้ย?

     





     

    กูมีน้องคนเดียวนะคือมึง

     




     

    ถ้ามึงเป็นอะไรไปกูจะทำยังไง

     



     

    ขอโทษเฮียมาร์ค

     





    ผมขอโทษ



     

    “โจอี้!!..วิ่ง!!” ยูคยอมตะโกนสุดเสียงพร้อมกับจะวิ่งเข้าไปลากอีกคนออกมาจากตรงนั้น

     


    แต่กลุ่มควันสีดำไวกว่า ควันทั้งหมดอัดรวมกันเป็นเหมือนลำแสงสีดำ ก่อนจะพุ่งผ่านทะลุร่างเล็กต่อหน้ายูคยอม โจอี้หมดสติไปทันที กลุ่มเงานั่นก็หายวับไปกับท้องฟ้าสีดำพร้อมกับเสียงสวดที่ดับลงไปพร้อมกับเสียงหัวเราะอันน่าขนลุก

     


    “โจอี้!!” ยูคยอมวิ่งมาดูร่างเล็กที่หลับนิ่งไป ก่อนประคองหัวคนที่เด็กกว่าขึ้นมา ยังมีลมหายใจอยู่



    “เฮ้ เปี๊ยก ลืมตาดิ” ยูคยอมตบแก้มอีกคนเบาๆ แต่ไม่มีวี่แววว่าจะตื่น



    “เปี๊ยก ไม่เล่นดิ ตื่นสิ!!” ยูคยอมกระวนกระวายพร้อมกับเขย่าร่างอีกคน



    “โจอี้!!



    บ้าเอ้ย ทำไมต้องเกิดเรื่องแบบนี้ด้วย เป็นเพราะวิญญาณบ้าๆนั่นแท้ๆ ยูคยอมถอดเขี้ยวหมาป่าออกจากคอก่อนสวมให้คนตัวเล็กหวังว่าจะช่วยได้ แต่กลับไม่มีเสียงตอบรับ โจอี้ตัวเย็นมาก ถึงมีลมหายใจกับชีพจรก็เถอะ



    “ตื่นสิโจอี้ นี่มันของพี่ชายนายนะ” ยูคยอมปลุกอีกคน น้ำตาพาลจะไหลซะให้ได้ เด็กคนนี้มารับเคราะห์แทนเขาแท้ๆ ถ้าเขาบอกมาร์คเรื่องคงไม่เป็นแบบนี้

     

     



    จริงสิ

     



    พี่มาร์คไง

     


    ยูคยอมวิ่งไปที่ข้าวของที่เกลื่อนกลาดของตัวเอง ก่อนจะหยิบมือถือตัวเองแล้วโทรออกไปที่เบอร์ที่น่าจะช่วยคนตัวเล็กได้มากที่สุด

     

     


    รับเร็วๆสิครับพี่มาร์ค

     

     

    ..............................................................................................................................

     


    ทุ่งหญ้าสีเขียวปกคลุมทั่วเนินเขากว้างใหญ่ สายลมอ่อนๆโชยกลิ่นหอมของดอกไม้และธรรมชาติทำให้สบายใจดีนัก มาร์คกำลังอยู่ในความฝัน ข้างๆมีจินยองและแจ็คสันยืนอยู่ ส่วนอีกข้างเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็กๆอายุน่าจะไม่เกินสิบขวบยืนอยู่ ตาเรียวเล็กของเด็กชายดูคุ้นอย่างบอกไม่ถูก


    "เอาไงต่อวะมาร์ค" เด็กคนนั้นเรียกเขาอย่างสนิทสนม


    “จะ...เจบี?” มาร์คถามไอ้เด็กนั่นอย่างไม่แน่ใจ


    “ก็กูอ่ะดิ เห็นเป็นใคร” เด็กชายหันมามองตาขวาง แต่ปกติไอ้มาร์คมันไม่สูงขนาดนี้นี่หว่า


    “แสดงว่านี่เป็นความทรงจำวัยเด็กของคุณจริงๆสินะ” จินยองบอกพลางมองไปที่เด็กชายเจบี


    “คุณรู้ได้ไง” เด็กชายที่วางท่าเป็นผู้ใหญ่ทำให้จินยองขำๆ


    “ก็คุณเล่นย่อร่างกลับไปเป็นเด็กซะอย่างนั้น”


    “ผะ..ผมเหรอ” เจบียกมือตัวเองกับขาสั้นๆขึ้นมาดู


    เหี้ย เสียมาด



    “ให้พี่อุ้มมั้ยล่ะครับ” จินยองแหย่อีกคน


    “เดี๋ยวกูให้มึงขี่หลัง” แจ็คสันก็สนุกเหมือนกัน


    ส่วนเจบีคงไม่ต้องบอกว่าอารมณ์เสียสุดๆ


    “พวกมึงอย่าเพิ่งเล่น เราต้องหาที่ซ่อน จะให้ตัวตนในฝันรู้ไม่ได้ว่าเรากำลังบุกเข้ามา มึงก็อยู่ตรงนี้แหละเจบี” มาร์คบอก


    “แล้วกูต้องทำไง” เจบีถาม


    “ให้ความฝันมันดำเนินไปเอง เดี๋ยวมึงก็รู้ว่าต้องทำไง” มาร์คว่า

     

    พูดจบทั้งสามก็แยกไปตามสุมทุมพุ่มไม้แถวนั้น ทิ้งให้เด็กชายเจบียืนโดดเดี่ยวอยู่คนเดียว สามหน่อที่ซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ใกล้ๆกัน จับตามองเจบีที่ยืนเอ๋อแดกอยู่คนเดียว

     

    “จะได้ผลรึเปล่า” จินยองถาม


    “ก็ต้องดูต่อไป” มาร์คตอบ


    “กูว่าแค่เห็นไอ้เหี้ยเจบีกลายเป็นเด็กเอ๋อแม่งก็คุ้มแล้ว” แจ็คสันพูดติดตลกทำลายบรรยากาศตึงเครียด เพื่อนที่เหลือได้แต่ยิ้มน้อยๆ

     


    เจบีที่ยืนอยู่ไม่รู้จะทำอะไร แต่สุดท้ายขาน้อยๆก็ค่อยๆขยับไปข้างหน้า เจบีไม่รู้ว่าเดินไปจะเจออะไร เขารู้แค่ว่าต้องเดิน เจบีเดินไปจนสุดเนินเขา เขาเห็นร่างชายหญิงคู่หนึ่งกำลังหยอกล้อกันอย่างมีความสุข

    พวกมาร์คเองก็ค่อยๆเดินตามเพื่อนตัวเล็กพลางหาที่ซ่อนเป็นระยะ เจบีมองภาพตรงหน้า เขาจำชายหญิงคู่นั้นได้แล้ว


    “อาแดเนียล....อาจีซู” เจบีเอ่ยพึมพำ


    “อาแดเนียล หึ ว่าละ” มาร์คเอ่ยหลังจากเห็นหน้าอีกคน

     





    เจบีค่อยๆเข้าไปใกล้แต่ดูเหมือนอีกสองคนจะไม่เห็นเขา

     








    “คุณมีความสุขมั้ย?” เป็นแดเนียลที่นอนตักหญิงสาวอยู่เอ่ยถาม


    “ค่ะ” หญิงสาวตอบยิ้มๆ


    “ผมก็เหมือนกัน” แดเนียลหลับตากุมมือหญิงสาวขึ้นมาจูบเบาๆ


    “หลับตาได้มั้ย” แดเนียลพูดต่อ


    “คะ?”


    “เถอะน่า” แดเนียลว่าก่อนลุกขึ้นมานั่ง จีซูยอมหลับตาแต่โดยดี




    มือหนาค่อยๆล้วงเอากล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินเล็กๆออกมาจากกระเป๋ากางเกง ก่อนจะเปิดมันออก ข้างในเป็นแหวนวงเล็กเรียบๆสีเงินที่ประดับด้วยเพชรเม็ดเล็กๆรอบวง  เขาเปิดมันออกต่อหน้าหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า




     

    “ลืมตาสิครับ” แดเนียลบอกเบาๆ

     


    หญิงสาวลืมตาขึ้นก่อนจะเบิกตากว้าง น้ำตารื้นขอบตาด้วยความตื้นตัน เธอมองหน้าชายคนรักสลับกับแหวนวงเล็ก


    “แต่งงานกันนะครับ” ประโยคคลาสสิกเอ่ยขึ้นจากชายหนุ่มพร้อมรอยยิ้มที่อ่อนโยน


    น้ำตาไหลลงมาจากตาคู่สวยอย่างห้ามไม่ได้ เธอรักผู้ชายคนนี้และเขาเองก็เช่นกัน


    “อย่าร้องสิ จีซู ผมอยากให้คุณอยู่ข้างๆผม ตลอดไปนะ” แดเนียลปาดน้ำตาข้างแก้มให้คนรักแผ่วเบา


    “รู้อะไรมั้ยคะ” จีซูเอ่ย


    “คุณเป็นผู้ชายที่ดีมาก การได้อยู่ข้างๆคุณ ทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันเป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุดในโลก” เธอบอกต่อ


    “คำตอบล่ะครับ” แดเนียลทวงให้แน่ใจ


    “ค่ะ” เธอพยักหน้าก่อนที่ทั้งสองจะสวมกอดกัน

     




    ภาพที่ดูเหมือนฉากจบอันแสนหวานในนิยายค่อยๆเลือนหายไป ท้องฟ้าที่เคยเป็นสีส้มอ่อนๆกลับมืดลง ร่างของทั้งคู่เริ่มเลือนหายไปก่อนจะปรากฏอีกครั้งไม่ไกลจากจุดเดิมนัก แต่ครั้งนี้ทั้งสองยืนประจันหน้ากันหน้าเครียด ไม่มีใครเริ่มพูดอะไร

     


    “ผมไม่รับแหวนคืน” แดเนียลพูดก่อน


    “ฉันรับมันไม่ได้หรอกค่ะ” จีซูเอ่ย


    “ทำไม” เสียงของชายหนุ่มเริ่มสั่น


    “คุณเห็นนี่มั้ยคะ” หญิงสาวชูมือด้านขวาที่สวมแหวนสีขาวเหมือนที่มาร์คเคยเห็นในมือแดเนียล


    “เห็น แต่ผมไม่เข้าใจ” แดเนียลถามพลางเขย่าตัวหญิงสาว


    “มันเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ เรื่องของเรา คุณก็รู้”  เธอสะบัดตัวออก


    “ตรงไหนที่คุณว่ามันเป็นไปไม่ได้!! คุณบอกผมสิ!!” แดเนียลตะโกนถามอีกคน น้ำตาไหลออกมาเมื่อไรไม่รู้


    “คุณกับฉัน เราอยู่กันคนละโลกแดเนียล” จีซูบอกเสียงสั่น


    “ฉันเดินข้างคุณไม่ได้”


    “ลาก่อนค่ะ”

     



    สิ้นเสียงหญิงสาวพร้อมน้ำตาที่ร่วงลงมา ภาพทั้งหมดเริ่มเลือนราง ภาพทั้งหมดถูกดึงออกจากทั้งสี่คนอย่างรวดเร็วก่อนที่สติทั้งหมดทั้งมวลจะดับวูบ



    มาร์คลืมตาโพลงขึ้นมา ตอนนี้เขาเห็นแต่ฝ้าเพดานห้องของแจ็คสัน พร้อมกับนาฬิกาติดฝาที่อยู่ไม่ไกล บอกเวลาอีกห้านาทีจะเที่ยงคืน ทำไมรู้สึกในฝันมันแค่ไม่กี่นาทีเองวะ


    มาร์คลุกขึ้นมา มองไปที่เตียง เจบีกับจินยองตื่นแล้ว ข้างๆเขาแจ็คสันก็ตื่นแล้วเช่นกัน


    “อาแดเนียล?” เจบีเอ่ยมองหน้ามาร์คงงๆ


    “ขอโทษนะเจบี แต่กูมั่นใจว่าอามึงมีส่วนกับเรื่องนี้แน่ๆ” มาร์คตอบ


    “ไม่ แต่กูไม่เข้าใจ เรื่องนี้ไม่เห็นจะเกี่ยวกับเจบี” แจ็คสันว่า


    “อันนี้กูก็ไม่เข้าใจ” มาร์คตอบ


    “นั่นอากูนะเว้ยมาร์ค อากูเนี่ยนะจะทำร้ายกู” เจบีเริ่มหัวเสีย


    “กูไม่ได้พูดแบบนั้น แต่อามึงอาจจะรู้อะไรก็ได้” มาร์คบอก


    “แหวนที่อยู่กับคุณอาผู้หญิง แหวนสีขาว ตอนนี้มันอยู่ที่นิ้วของอามึง ลองสังเกตสิ” มาร์คพูดต่อ


    “คุณเคยบอกว่ารถคันนั้นเดิมทีไม่ใช่ของคุณ” จินยองเอ่ยขึ้นหลังจากใช้ความคิด


    “ใช่มันเคยเป็นของ...” เจบีเอ่ยก่อนชะงักไป


    “ของอาแดเนียล” เจบีเอ่ยในที่สุด ก่อนจะมองหน้ามาร์ค


    “ถ้าลองตัดความคิดที่ว่าอาคุณเป็นคนร้ายเป็นไปได้มั้ย...ว่าคุณ..อาจจะรับเคราะห์แทนอาคุณ” จินยองบอก


    “หรืออีกอย่าง คนร้ายเล็งไปที่คนรอบข้างอาแดเนียล ไอ้เด็กยูคยอมก็โดนนิ่ ที่พวกมึงพูดกัน” แจ็คสันบอก


    “แบมแบมล่ะ” เจบีถามถึงน้องชายอย่างกังวล


    “ตอนนี้ยัง แต่ถ้าไมรีบจบเรื่องนี้ แบมแบมอาจเป็นรายต่อไป” มาร์คเองก็กังวล


    “ตอนนี้เรามีแต่ข้อสันนิษฐาน ผมว่าเราต้องถามอาคุณจริงๆแล้วล่ะ คุณกล้าถามมั้ยล่ะ” จินยองถามเจบี


    “คุณว่าอาจะเชื่อมั้ย” เจบีถาม


    “เชื่อแน่” มาร์คตอบ


    “อามึงไม่ใช่คนธรรมดา อย่างน้อยๆการรับรู้ก็เท่ากับแจ็คสัน หรืออาจจะมากกว่า” มาร์คพูดต่อ


    “มึงสืบมาแล้วสินะ” เจบีถาม  เพราะดูจากความมั่นใจของมาร์ค


    “แต่ตอนนี้ยูคยอมน่าเป็นห่วงสุด” จินยองว่าเบาๆ

     


    ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้งเหมือนทุกคนกำลังใช้ความคิด

     


    ครืดดดดดดดด ครืดดดดดดดดดดดดดดดดด



    เสียงอุปกรณ์สื่อสารที่สั่นกระทบพื้นดังขึ้นข้างหลังแจ็คสัน

     


    “มาร์ค โทรศัพท์มึง” แจ็คสันว่าก่อนยื่นโทรศัพท์ให้มาร์ค


    มาร์ครับมาก่อนจะรับสาย ถึงจะไม่คุ้นเบอร์ก็เถอะ


    “ครับ” เสียงทุ้มกรอกลงไปในโทรศัพท์เครื่องสวย


    [พี่มาร์ค!! พี่มาร์คใช่มั้ย!!]


    “ใช่...ยูคยอมเหรอ?” มาร์คถามอีกคน ทำไมเสียงดูตื่นขนาดนั้นวะ


    [บ้าเอ้ย ผมโทรเป็นสิบๆสายแล้ว พี่อยู่ไหนเนี่ย!!]


    “เฮ้ยๆ ใจเย็นได้มั้ยเนี่ย มีอะไร” มาร์คเริ่มกังวล


    [ผมขอโทษ ผมไม่คิดว่ามันจะเป็นแบบนี้] ยูคยอมกระวนกระวายมาก


    “เกิดอะไรขึ้น” มาร์คถามกลับพยายามให้อีกฝ่ายคุมสติ


    [พี่อยู่ไหน ผมต้องไปหาพี่ด่วน] ดูเหมือนปลายสายจะคุมสติไม่ได้


    “คิม ยูคยอม ตั้งสติ! แล้วบอกมาว่าเกิดอะไรขึ้น!!” มาร์คเสียงดัง

     



     

    [โจอี้...โจอี้เขา...]





    .........................................................................................................................................

    ฮัดช่า!!! TBC นะจ้ะ ช่วงนี้อัพเร็ว (มั้ยนะ) โจอี้เป็นอะไร (หมดสติอยู่ไง) ฮือออออออ ปมกำลังจะคลายนะ (คิดว่า) คงจะอีกไม่กี่ตอนก็จบนะคะ เราไม่ได้จะแกล้งรีดนะ แต่เราชอบอ่ะเวลารีดแบบ เอ๊ะ? สรุปใครเป็นคนร้าย เดากันต่อไปให้รีดเป็นหนึ่งในทีมพี่มาร์คละกัน ขอบคุณที่ติดตามนะคะ 

    ปล. ใครที่กังวลเรื่องโจอี้ตอนก่อนหน้านี้อย่าเพิ่งเอารองเท้ามาขว้างไรท์นะ
    ปล.อีกที ไรท์ชอบอ่านคอมเม้นท์นะเออ ^^

    รู้สึกได้ถึงรองเท้าที่ถูกปามาหลังจากตัดฉึบ ^3^


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×