ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Got7] SDD : Sleep , Deep , Death [MarkBam]

    ลำดับตอนที่ #26 : Chapter 25

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.26K
      14
      26 เม.ย. 58

     

    แบมแบมและยูคยอมมาถึงที่บ้านจินยองแล้ว ทั้งสองคนทักทายเจ้าของบ้าน ก่อนที่แบมแบมจะตัดสินใจช่วยคุณนายปาร์คกับจินยองเคลียร์ข้าวของภาชนะที่ใช้ปรุงยาให้โจอี้ และเก็บครัวที่มันรกๆ ส่วนยูคยอมขอตัวไปดูโจอี้ที่ห้องใต้ดินแทน


    “แบมแบมไม่ลงไปข้างล่างเหรอ เดี๋ยวพวกนี้พี่ทำเองก็ได้” จินยองถาม


    “เดี๋ยวค่อยไปก็ได้ครับ แบมว่าแบมอยู่ตรงนี้จะมีประโยชน์กว่า” แบมแบมบอก เขาไม่อยากเข้าไปกวนพี่มาร์คตอนกำลังเครียด


    “พูดอะไรอย่างนั้นล่ะแบม” จินยองบอก


    “จริงนะครับ พวกแบมน่ะรบกวนพวกพี่มาตั้งเยอะ แค่นี้ให้แบมช่วยเถอะ” แบมแบมบอก ทั้งเรื่องเจบี เรื่องยูคยอม พวกพี่มาร์คต้องเสี่ยงกันตั้งเท่าไร แต่เขากลับไม่เคยช่วยอะไรได้เลย


    จินยองได้แต่ยิ้มให้กับคนตรงหน้า แอบดื้อเหมือนกันแฮะน้องชายเจบีเนี่ย ทั้งสองคนรวมทั้งคุณนายปาร์คช่วยกันจัดข้าวของในครัวทีละเล็กทีละน้อย พอได้แบมแบมช่วยงานก็เสร็จเร็วกว่าเดิมเยอะ

    เจบีที่เห็นยูคยอมเดินลงไปข้างล่างแล้วแต่ยังไม่เห็นน้องชายตัวเอง เลยเดินขึ้นมาข้างบน แล้วก็เห็นแบมแบมกำลังช่วยครอบครัวปาร์คเก็บของอยู่ข้างบน

     

    “แบม” เจบีเรียก คนเป็นน้องเงยหน้าขึ้นมามองก่อนยิ้มให้ ส่วนจินยองเงยหน้ามามองเล็กน้อยแล้วก้มไปทำงานตัวเองต่อ


    “ไม่ลงไปข้างล่างล่ะ” เจบีถาม


    “เดี๋ยวไปครับ แล้วโจอี้เป็นไงบ้าง”


    “เหมือนจะตัวอุ่นขึ้นแต่ยังไม่ตื่น” เจบีบอก


    “แล้ว...พี่มาร์คล่ะ” แบมแบมถาม


    “ไม่ลงไปดูด้วยตัวเองล่ะ” เจบีถาม


    “ก็..ถามก่อน...จะได้ทำตัวถูก”


    “โทรม...มาก มันไม่นอนมาตั้งแต่เมื่อคืน กินก็ไม่ค่อยกิน แบมไปพูดกับมันหน่อยสิ” เจบีบอก บางทีแบมแบมอาจจะช่วยเพื่อนเขาได้


    “แบมเนี่ยนะ” แบมแบมชี้มาที่ตัวเอง


    “แบมน่ะแหละเหมาะสุดแล้ว พวกพี่พูดมันไม่ฟัง อย่างน้อยก็ไปโน้มน้าวให้มันนอนสักงีบก็ยังดี” จินยองบอก


    "ไปเถอะจ้ะ พวกน้าพูดตามาร์คยังดื้ออยู่เลย ลองเปลี่ยนคนบ้างน้าว่าน่าจะดีนะ"


    เมื่อโดนบีบคั้นจากผู้ใหญ่ทุกฝ่ายแบมแบมจึงไม่มีทางเลือก นอกจากพยักหน้า ก่อนจะขอตัวไปห้องใต้ดิน

    เจบีเมื่อห็นน้องชายเดินไปแล้วก็เดินไปหาจินยองที่ยังเช็ดโต๊ะอยู่ แถมตั้งแต่มายังไม่ยอมพูดกับเขาสักแอะ ไม่รู้ว่าเป็นอะไร 

     

    “เนียร์ เดี๋ยวแม่กับพ่อไปส่งของข้างนอกนะ เฝ้าบ้านหน่อยนะลูก” คุณนายปาร์คบอกลูกชายก่อนจะเดินมาหาเจบี ซึ่งจินยองก็ยิ้มๆพยักหน้าแต่โดยดี

    “แจบอม น้าฝากเนียร์ด้วยนะ” เธอยิ้มให้กับเพื่อนลูกชาย เจบีพยักหน้ารับคำอย่างดี



    หลังจากที่คุณและคุณนายปาร์คหอบข้าวของออกไปจากบ้านแล้ว เจบีก็เดินไปหาจินยองที่ยืนเช็คความเรียบร้อยในครัว โดยไม่ได้สังเกตว่าเจบีเดินมาข้างหลังตัวเอง จินยองที่ไม่ระวังตัวหันกลับมาเตรียมจะออกจากห้องก็ต้องตกใจเล็กๆเมื่อปะทะเข้ากับอกแกร่งของอีกคน

     

    !!!


    จินยองตกใจแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา ร่างเล็กตัดสินใจเดินเลี่ยงอีกคนมา แต่เหมือนเจบีจะเดาการกระทำของอีกคนออกจึงรั้งแขนไว้ได้ทันซะก่อน

     

    “ปกติคุณต้องด่าผม แล้ววันนี้เป็นอะไร” เจบีถามเพราะถ้าเป็นเวลาปกติ จินยองต้องบอกว่า คุณมายืนขวางทำไมเนี่ย หรือไม่ก็ เกะกะ

    “เปล่านิ่”จินยองบอกพลางพยายามแกะมือออก แต่อีกคนใช่จะยอม


    “โกหกไม่เนียนเลยจูเนียร์”


    “ใครใช้ให้คุณเรียกผมแบบนั้น” จินยองชักสีหน้า


    “นั่นไง ต้องแบบนี้สิ” เจบีบอก พลางจิ้มไปที่คิ้วที่ขมวดอยู่

    “นี่คุณ ผมไม่ว่างมาเล่นหรอกนะ” จินยองใช้แรงทั้งหมดสะบัดแขนออก


    “ผมไม่ได้เล่น แต่แค่สงสัยว่าคุณโกรธอะไรผมรึเปล่า” เจบีถามพลางจับไหล่อีกคนให้มาคุยกัน


    “แล้วคุณทำอะไรให้ผมโกรธหรือเปล่าล่ะ”


    “คุณลองบอกมาสิ ผมไม่ฉลาดนักหรอก” เจบีว่า


    “ก็ได้....งั้นบอกผมมา ตอนที่คุณพามาร์คไปหาจงอิน เกิดอะไรขึ้น ขอละเอียด” จินยองถาม อันที่จริงจินยองก็รู้คำตอบอยู่แล้ว ข่าวลือมหาลัยไวยิ่งกว่าจรวดนาซ่า แถมเหตุยังเกิดคณะข้างๆอีก จะไม่รู้ได้ไง


    “ก็...มีเรื่องนิดหน่อย” เจบีสารภาพตามตรง

    “นิดหน่อยคือ” จินยองจ้องหน้าอีกคน


    “มาร์คมันต่อยจงอินน่ะ ผมห้ามมันไม่ทัน” เจบีสารภาพ


    "ผมบอกว่าขอละเอียด"

    "จะยังไงใจความมันก็เหมือนกันแหละคุณ" เจบีบอกพลางกลอกตา

    “ผมก็บอกคุณแล้วว่าจะไปด้วย ทำไมคุณไม่เชื่อผมฮะ” จินยองพูดพลางฟาดไปที่แขนเจบี


    “โอ้ย เจ็บนะคุณ” เจบีร้องเสียงหลง เมื่อมือเล็กๆฟาดมา


    “อย่าเยอะได้มั้ย ผมไม่ได้ตีแรงขนาดนั้น


    “คุณไม่ได้ตีแรง แต่รอยจ้ำที่ไอ้มาร์คมันทำผมอ่ะดิที่เจ็บ” เจบีพูดพลางถลกแขนเสื้อให้อีกคนดูที่ตอนนี้แขนขาวกลายไปจ้ำแดงๆ บางอันออกเขียวด้วยซ้ำ


    “ไอ้มาร์คน่ากลัวโคตรๆเลย เหมือนหมาบ้าเลยเวลามันโมโหเนี่ย นี่ขนาดผมทุ่มสุดตัวยังห้ามมันเกือบจะไม่อยู่ แรงเยอะชิบ” เจบีบ่น ทั้งดึงทั้งดันแต่กลายเป็นไอ้บ้านั่นทั้งบีบทั้งดันแขนเขาออก แรงแค่ไหน ก็เอาจนแขนคนห้ามเขียวอ่ะ


    “แหยะ รอยน่าเกลียดมากอ่ะ” จินยองว่าก่อนจะรูดแขนเสื้ออีกคนลง


    “ลองเป็นแขนคุณ กระดูกคงหักไปแล้วมั้ง” เจบีบอกพลางจิ้มไปที่แขนเล็กๆของอีกคน


    “พูดมาก เจ็บตัวแล้วยังจะพูดมากอีก” จินยองบอก


    “ปากคอเราะร้ายจริงๆเลยนะคุณพ่อมด” เจบีบ่นอุบอิบ ทำขนาดนี้ยังไม่ได้แม้แต่คะแนนสงสาร


    “ใจร้ายอีกด้วยใช่มั้ยล่ะ” จินยองพูดต่อให้แทน


    “แล้วแต่เลย” เจบีไหวไหล่อย่างไม่สนใจ


    “คุณนั่งตรงนี้ก่อนแปบนึงนะ เดี๋ยวผมมา”  จินยองหันไปสั่งเจบี


    “ไปไหนล่ะคุณ”


    “แปบนึง หนึ่งนาที อย่าถาม” จินยองบอก ก่อนที่ร่างเล็กจะวิ่งออกจากห้องครัวไป

     


    เจบียอมเชื่อฟังอีกคนแต่โดยดี ร่างสูงยันตัวขึ้นนั่งบนเคาท์เตอร์ห้องครัวที่เพิ่งถูกเช็ดสะอาดเอี่ยมอ่อง ตั้งแต่ช่วงที่เป็นวิญญาณเขาก็ชอบมานั่งอยู่บนเคาท์เตอร์นี้ประจำ เพราะทุกครั้งที่นั่งจินยองมักจะบ่นๆๆ ทั้งที่คุณนายปาร์คไม่เห็นว่าอะไร แถมยังชอบชวนเขาดูอาหารในหม้อ แล้วบอกว่าพอตื่นขึ้นก็ไปขอให้คุณแม่ทำนะ หรือไม่ก็ รีบๆตื่นนะลูกจะได้มากินด้วยกัน บางทีช่วงที่เป็นวิญญาณก็ไม่ได้มีแต่เรื่องแย่ๆเสมอไป อย่างน้อยก็เข้าออกบ้านนี้ได้ตามใจเสมือนลูกชายอีกคนโดยที่จินยองไม่ขัดขวาง

    หลังจากไปไม่นานนัก จินยองก็กลับมาพร้อมกับถือหลอดยาบางอย่างมาด้วย


    “ลงมาจากเคาท์เตอร์เลย ต้องให้ผมบอกกี่ครั้งเนี่ย” มาถึงก็บ่นก่อนเลย


    “อะไร ก็เคาท์เตอร์มันสะอาดแล้วนิ่ แล้วก็ไม่ได้เตรียมอาหารอะไรตอนนี้ด้วย” เจบีบอกพลางมองที่รอบๆเคาท์เตอร์


    “ก็มันไม่ใช่ที่นั่งป่ะวะ ลงมาดิคุณ” จินยองพูดพลางดึงอีกคนลงมา


    “โอ้ยๆๆ เบาๆคุณ” เจบีร้องโอดโอย ที่จินยองดึงแขนเขา จนร่างเล็กต้องปล่อยมือออกอย่างรู้สึกผิด แต่สิ่งนึงที่จินยองไม่รู้ นั่นคือ เจบีสำออย!!


    “เจ็บเหรอ ผมขอโทษ” จินยองบอก


    “ผมลงดีๆก็ได้น่า” เจบีบอกพลางลงมาจากเคาท์เตอร์


    “ก็คุณน่ะ ผมบอกให้ลงมาก็ไม่ลง ผมก็ต้องลากสิ” จินยองบอก ก่อนจะยันตัวเองนั่งบนโต๊ะกินข้าว ย้ำ!! บนโต๊ะกินข้าว


    “แล้วนั่นคุณทำอะไร” เจบีถามยิ้มๆ เมื่อเห็นจินยองนั่งบนโต๊ะกินข้าว


    “ก็นั่งไง”


    “คุณเพิ่งบอกผมว่าเคาท์เตอร์ไม่ใช่ที่นั่ง แล้วคุณมานั่งบนโต๊ะกินข้าวเนี่ยนะ” เจบีพูดกลั้วหัวเราะ


    “ก็....ไม่เห็นเป็นไรนิ่” จินยองเพิ่งสำนึกได้บ่ายเบี่ยง


    “นี่คุณ ที่ผมไม่ให้คุณนั่งบนเคาท์เตอร์ เพราะข้างบนมันเป็นตู้ เห็นป่ะ เกิดหัวโขกไปก็เจ็บตัวอีกป่ะ แล้วอีกอย่าง....” จินยองเฉไฉ


    “อีกอย่างคือ” เจบีถาม


    “นี่บ้านผม ผมจะออกกฎยังไงก็ได้” จินยองว่าต่อพลางยิ้มๆอย่างผู้ชนะ

    “อย่าให้คุณไปบ้านผมอีกนะ คราวนี้ผมจะออกกฎให้คุณมานั่งตักผมเลย” เจบีขู่ยิ้มๆ ทำเอาอีกคนถึงกับหน้าขึ้นสี กลายเป็นแพ้ราบคาบเลย

    “พะ..พูดมากจริง  ผมอุตส่าห์หวังดีเอายามาให้ทาแท้ๆ” จินยองว่าพลางโยนหลอดยาไปให้เจบี

     

    ร่างสูงรีบรับหลอดยาบรรเทาอาการปวดมาไว้ในมือ ก่อนจะมองหลอดยาสลับกับหน้าจินยองที่แดงไปถึงไหนต่อไหนกะอีแค่ประโยคหยอดเบสิกที่เลียนแบบมาจากไอ้มาร์คอีกที ถ้ารู้ว่าได้ผล กูยอมเสี่ยวแบบไอ้มาร์คตั้งนานแล้ว

    แต่คนอย่างเจบีไม่หยุดแค่นั้นหรอก ร่างสูงเดินถือหลอดยามาหาคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะพลางจ้องหน้าอีกคน

    “อะ..อะไร” จินยองถาม ตอนนี้ระดับสายตาเขากับเจบีตรงกันยิ่งทำให้เขินไปใหญ่ มันจะจ้องเพื่อ?!?


    “ทาให้หน่อย” เจบียื่นหลอดยาให้คนตัวเล็กกว่า


    “ไม่มีมือรึไงคุณ ทาเองไปสิ” จินยองบอก


    “นะ” เจบีขอร้องพลางยื่นหน้ามาใกล้ เล่นเอาจินยองหน้าร้อนผ่าว


    “เออ ก็ได้!!” จินยองผลักหน้าอีกคนออกพลางคว้าหลอดยามา


    ร่างเล็กค่อยๆบีบยาลงบนนิ้วตัวเองก่อนจะกดลงไปที่รอยช้ำเบาๆ ถูวนๆจนยาทั่วรอยช้ำ ก่อนจะทำซ้ำๆกันในรอยอื่น จนครบทั้งสองแขน เจบีเองก็ได้แต่มองใบหน้าน่ารักๆนั่น ถึงปากจะบอกว่าใจร้าย แต่เอาจริงๆจินยองนี่แหละใจดีที่สุดสำหรับเขาแล้ว


    “เอานี่ เสร็จแล้ว” จินยองเงยหน้าขึ้นมาแต่ก็ต้องตกใจเมื่อสายตาดันไปประสานกับอีกคนที่จ้องมองอยู่ก่อนแล้ว

    .

    .

    .



    ใบหน้าร้อนผ่าวอย่างควบคุมไม่ได้เมื่อเห็นดวงตากับรอยยิ้มอ่อนๆของอีกคนในระยะประชิดขนาดนี้  ไม่มีเสียงใดๆเล็ดลอดมาจากคนทั้งคู่นอกจากเสียงลมหายใจ และถ้าหูดีกว่านั้นอาจจะได้ยินเสียงหัวใจของคนทั้งคู่ที่เต้นระรัว เจบีค่อยๆเคลื่อนใบหน้าเข้าหาอีกคน เหมือนที่เขาเคยแอบทำเมื่อตอนเป็นวิญญาณ แต่คราวนี้กลับต่างกันสิ้นเชิง เจบีรับรู้ได้ถึงลมหายใจของอีกคนเมื่อใบหน้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ หัวใจเต้นจนแทบจะออกมาข้างนอก ความรู้สึกร้อนผ่าวบนใบหน้า ดวงตาคมเริ่มหรี่ลงอัตโนมัติเมื่อริมฝีปากเขาเคลื่อนเข้าใกล้ริมฝีปากอีกคนที่ก็ได้แต่นั่งนิ่งเป็นหินอยู่กับที่เหมือนโดนสะกด




    แต่ดูท่ามนต์สะกดอาจจะไม่แรงพอสำหรับคุณพ่อมดตัวน้อย...






    “ผะ..ผมขอไปดูโจอี้ก่อน” จินยองหันหน้าหนีพร้อมดันไหล่อีกคนก่อนที่ริมฝีปากทั่งคู่จะแตะกัน






    ร่างสูงผละออก ก่อนจะมองร่างเล็กที่รีบเดินออกไปจากครัว ถึงจะแอบเสียดายแต่ถ้าอีกฝ่ายยังไม่พร้อมเขาก็ไม่คิดจะรุกต่อ แค่นี้ก็ข้ามขั้นจะแย่ ยังไม่ได้เป็นแฟนกันแต่ดันไปเกือบจะจูบซะแล้ว

     








    เจบีได้แต่ถอนหายใจยาวๆก่อนจะตามอีกคนไป

     

     

    .......................................................................................................................

     


    แบมแบมเดินมาถึงห้องใต้ดินแล้ว ร่างเล็กค่อยๆแง้มประตูเข้าไปก่อนจะเห็นว่าในห้องมีพี่มาร์คนั่งหน้าเครียด คู่กับยูคยอมที่เครียดไม่แพ้กัน แบมแบมค่อยๆเดินไปแบบเงียบๆเพราะไม่อยากทำลายสมาธิของมาร์ค แต่ยูคยอมทีเห็นแบมแบมเดินเข้ามากลับไม่คิดอย่างนั้น


    “อ้าว แบม เสร็จแล้วเหรอ?” ยูคยอมทักเพื่อนตัวเล็กที่ขอช่วยเก็บของข้างบนก่อนลงมา


    “อะ..อืม” แบมแบมพยักหน้า


    “ไงแบม” มาร์คยิ้มอ่อนๆเพราะความเหนื่อยล้าทักทายคนตัวเล็ก


    “สวัสดีครับพี่มาร์ค เป็นไงบ้างครับ” แบมแบมบอกพลางเดินเข้าไปหาโจอี้ที่หลับอยู่


    “เหมือนจะดีขึ้นหน่อยน่ะ” มาร์คฝืนยิ้ม ดวงตาอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด ไรหนวดที่เริ่มขึ้นเพราะขาดการดูแล พี่มาร์คโทรมมากจริงๆ


    “แล้วพี่มาร์คล่ะครับ” แบมแบมถามอย่างเป็นห่วง


    “พี่สบายดีน่ะ” มาร์คยังคงฝืนยิ้มให้อีกคน


    “แต่แบมว่าพี่มาร์คดูโทรมสุดๆไปเลยนะครับ”


    “ผมพูดจริงๆนะ พี่ไปนอนพักบ้างเถอะ เดี๋ยวผมดูให้” เป็นยูคยอมที่บอกพลางมองไปที่ขวดยาที่ต้องหยดเข้าปากโจอี้ทุกชั่วโมง


    “ก็บอกว่าสบายดีน่า” มาร์คว่าพลางนวดหัวตาตัวเอง


    แบมแบมยืนมองท่าทางอีกคน ถึงจะบอกว่าถ้าเป็นแบมแบมพูดมาร์คอาจจะฟังก็ตาม แต่ดูท่างานนี้ก็คงไม่ง่ายนักหรอก


    “เอ่อ พี่มาร์คครับ” แบมแบมเรียกอีกคน


    มาร์คไม่ตอบแต่หันหน้าไปมองพร้อมรอยยิ้มแทน


    “พี่มาร์คพอจะมีเวลาแปบนึงมั้ยครับ พอดีแบมอยากปรึกษาอะไรนิดนึง” แบมแบมถาม


    “ได้สิแบม ว่ามาเลย” มาร์คตอบ


    “เอ่อ...คือ...เราไปคุยกัน...ข้างบนได้มั้ยครับ” แบมแบมถามพลางชี้ขึ้นข้างบน


    “อ่า...ได้สิ” มาร์คบอกก่อนจะเหล่มองไปที่ร่างน้องชาย


    “ไปเหอะ ผมดูให้” ยูคยอมบอก พี่มาร์คนี่ก็ขี้กังวลจัง ทั้งที่ตอนเช้ายูคยอมก็เป็นคนดูร่างเล็กนี่ให้แท้ๆ


    “งั้น ฝากด้วยนะ” มาร์คบอก ยูคยอมพยักหน้าเล็กน้อย

     


    มาร์คเดินตามร่างเล็กขึ้นไปจากห้องใต้ดิน สวนกับจินยองที่เดินกลับมาโดยมีเจบีตามมาด้วย

     

    “อะ..อ้าว..ไปไหนกัน” จินยองที่ยังคงอยู่ในอาการเขินถามตะกุกตะกัก


    “เอ่อ...คือ” แบมแบมอึกอัก


    “แบมมีเรื่องจะคุยกับกูน่ะ มึงมาก็ดีละ ฝากดูน้องกูแปบนึงดิ” มาร์คตอบแทน


    “เหรอแบม” เจบีหันไปถามน้องชาย


    “ครับ” แบมแบมพยักหน้า


    “ไปเหอะ เดี๋ยวพวกกูดูให้” จินยองบอก


    เจบีเองก็พยักหน้ารับปากก่อนที่จะเดินสวนลงไปห้องใต้ดินทั้งคู่  แบมแบมพามาร์คขึ้นมาบริเวณที่เป็นห้องนั่งเล่นเล็กๆของบ้าน มีโซฟายาวหนึ่งตัวกับอาร์มแชร์ตัวนุ่ม แบมแบมตัดสินใจนั่งที่โซฟายาว ส่วนมาร์คกลับยืนมองอีกคนไม่ยอมนั่ง


    “พี่มาร์ค...นั่งก่อนมั้ย” แบมแบมบอก


    ร่างสูงเดินมานั่งข้างอีกคน ซึ่งแบมแบมก็ขยับตัวให้อีกฝ่ายนั่งพอมีระยะห่าง


    “แบมจะคุยเรื่องอะไรเหรอ” มาร์คถามเข้าประเด็น


    “คุยเรื่องพี่มาร์คนั่นแหละ” แบมแบมตอบพลางจ้องหน้าอีกฝ่าย


    “เรื่องพี่เนี่ยนะ?” มาร์คชี้มาที่ตัวเอง


    “ครับ” แบมแบมพยักหน้า


    “ที่แบมถามพี่มาร์คไปว่าพี่มาร์คเป็นยังไงบ้าง.....พี่มาร์คลองตอบคำถามใหม่อีกรอบสิครับ” แบมแบมยังคงจ้องหน้าอีกคน


    “พี่สบายด...” มาร์คทำท่าจะตอบเหมือนเดิม


    “ตอบใหม่ครับ เอาความจริง” แบมแบมขัดอีกคนขึ้นมา


    “พี่โอเคแบม”


    “พี่มาร์คไม่โอเคก็บอกว่าไม่โอเคสิครับ” แบมแบมบอกสีหน้าจริงจัง


    “พี่มาร์ครู้มั้ยว่าแบมมาที่นี่ทำไม” แบมแบมเริ่มถามคำถามกับมาร์ค


    “ก็...แบมมาเยี่ยมโจอี้นิ่” มาร์คตอบแต่ไม่ยอมมองหน้าแบมแบม


    “นั่นส่วนนึงครับ แต่อีกส่วนคือ.....แบมเป็นห่วงพี่มาร์คนะ”

     


    คำพูดของร่างเล็กที่จริงจังทำให้มาร์คอึกอัก สายตาที่จ้องมาทำให้มาร์คไม่กล้าหันหน้าหนีคนตัวเล็กซะอย่างนั้น



    “แบมรู้ว่าพี่มาร์คเป็นห่วงน้อง แต่ยิ่งพี่มาร์คฝืนตัวเองมากเท่าไร ทุกคนก็ยิ่งไม่สบายใจนะครับ พี่มาร์คต้องห่วงตัวเองบ้างสิครับ ถ้าเกิดพี่เป็นอะไรมาอีกคนมันจะยิ่งแย่นะ” แบมแบมบอกต่อ


    “พี่ไหวจริงๆแบม ไม่ได้ฝืน” มาร์คบอก ความกังวลทำให้เขานอนไม่หลับ ไม่หิว ไม่อะไรทั้งนั้น ความเหนื่อยล้าของร่างกายถูกบดบังด้วยความรู้สึกทางจิตใจไปซะหมด


    “พี่มาร์คไปส่องกระจกบ้างนะ ตาโหลขนาดนี้ นี่พี่ไม่ได้นอนเลยใช่มั้ยครับ แล้วคนที่ปกติแล้วโกนหนวดหน้าเกลี้ยงทุกวันเนี่ยเขาไม่ปล่อยให้เคราขึ้นอย่างนี้หรอกนะ แล้วดูมือไปโดนอะไรมาครับทำไมถลอกแบบนี้ เนี่ยนะที่พี่มาร์คว่าโอเค” แบมแบมว่าพลางยกหลังมืออีกคนมาดู


    “เอ่อ..” มาร์คเมื่อโดนบ่นเป็นชุดถึงกับไปไม่ถูก ไม่เคยคิดเลยว่าแบมแบมจะบ่นใครได้ยาวขนาดนี้ แบมแบมเองก็เหมือนกัน ถ้าไม่นับเจบี มาร์คอาจจะเป็นคนแรกที่ทำให้แบมแบมบ่นได้ยาวขนาดนี้




    .

    .

    .


    “ตอนที่พี่บีหลับอยู่อ่ะ แบมก็บอกทุกคนเสมอเลยว่าแบมไม่เป็นไร มันเหนื่อยมากเลยนะที่ต้องฝืนยิ้มให้คนที่มาเยี่ยม พอกลับไปบ้านแบมก็ร้องไห้คนเดียว ร้องจนเผลอหลับไปตั้งหลายครั้ง” แบมแบมเล่าพร้อมกับสำรวจรอยถลอกที่มือและแขนมาร์ค



    .

    .

    .

    “แบมพอจะเข้าใจนะว่าพี่มาร์ครู้สึกยังไง ถึงปากพี่มาร์คจะบอกว่าโอเคแต่แบมดูก็รู้ว่าไม่” แบมแบมบอกพลางยิ้มให้อีกคน


    .

    .

    .
    “เอ่อ...พี่มาร์ค.....อยากลองร้องไห้ดูมั้ย มันช่วยนะ” แบมแบมลังเลที่จะถามแต่ก็ยังยิ้มกว้างให้มาร์คที่นั่งอึ้งๆมาตั้งแต่เมื่อกี้



     ร่างสูงยังจ้องอีกคนตาไม่กระพริบจนแบมแบมต้องเลี่ยงไปมองทางอื่นแทน ตั้งแต่เกิดมามาร์คที่เป็นพี่คนโตแทบไม่เคยได้รับการดูแลแบบนี้จากใครเลย มาร์คเองก็บอกไม่ถูกว่ารู้สึกยังไงตอนนี้ เขาชินกับการที่ต้องดูแลและปกป้องคนอื่น เรื่องร้องไห้ไม่ต้องพูดถึง ตั้งแต่เกิดมามาร์คแทบนับครั้งที่เขาร้องไห้หนักๆได้เลย จำได้ว่าครั้งสุดท้ายคือตอนงานศพคุณปู่ เขารู้สึกว่าเขาต้องการที่จะเป็นคนเข้มแข็งและเป็นที่พึ่งมาตลอด แต่ตอนนี้คนตัวเล็กตรงหน้ากลับทำให้เขารู้สึกอยากอ่อนแอ



    .

    .

    .




    “เฮ้อ...ร้องไห้อะไรล่ะแบม....เสียฟอร์มหมด” มาร์คถอนหายใจก่อนจะเอาหัวพิงไปที่ไหล่คนตัวเล็กกว่าในที่สุด


    แบมแบมที่ไม่ทันตั้งตัวทำท่าจะขยับ แต่ก็ไม่กล้าเมื่อเห็นอีกคนเอียงหน้าซบลงมาที่ไหล่ลาดก่อนจะหลับตาลง


    “ขอพี่อยู่แบบนี้แปบนึง” มาร์คบอกเชิงขอร้อง



    แบมแบมเองก็ไม่ได้ว่าอะไรแต่กลับยิ้มออกมาด้วยซ้ำเมื่อเห็นหลังของคนที่แสนจะเข้มแข็งเมื่อกี้สั่นน้อยๆตามแรงสะอื้น ความรู้สึกเปียกๆบริเวณไหล่เล็กพร้อมกับเสียงฟึดฟัดเล็กน้อย ขนาดจะร้องไห้ยังต้องมีฟอร์มเลยคนอะไร

    แบมแบมไม่ได้ขยับหนีกลับใช้มืออีกข้างลูบไปที่แขนอีกคนอยากปลอบประโลม สัมผัสอบอุ่นของอีกคนทำให้มาร์คไม่สามารถห้ามตัวเองได้  ความกลัว ความกังวล ถูกถ่ายทอดไปยังคนตัวเล็กด้วยน้ำตา ซึ่งแบมแบมก็ยินดีที่จะแบ่งมันมา




    เวลาผ่านไปสักพัก แรงไหวสั่นของอีกคนเริ่มเบาลง อารมณ์ทุกอย่างเริ่มสงบ มาร์คเพิ่งรับรู้ได้ว่าตอนนี้เขาเพลียมากเหลือเกิน



    “เมื่อยมั้ย” แบมแบมถามอีกคนที่นั่งซบอยู่ตั้งนาน ปวดคอมั้ยล่ะนั่น


    “นิดหน่อย” มาร์คเงยหน้า ดวงตาที่แดงก่ำพยายามปรับสีหน้าให้ปกติ พลางลูบต้นคอไปมา


    “แต่แบมเมื่อยนะ” แบมแบมทุบไปที่ไหล่ตัวเอง มาร์คเองก็ได้แต่ยิ้มกับท่าทางน่ารักของอีกคน


    “ง่วงยัง” แบมแบมถามต่อ


    “ก็...ชักจะง่วงๆ” มาร์คบอก นี่สินะร้องไห้จนหลับของแบมแบม พอได้ระบายสิ่งที่อัดอั้นมันก็เหมือนจิตใจโล่งขึ้นจนรับรู้ถึงความอ่อนล้าของร่างกาย


    “นอนมั้ยครับ” แบมแบมถามอีกครั้ง


    “นอนไหนล่ะแบม” มาร์คถาม เพราะตอนนี้โซฟาตัวยาวเขากับแบมแบมนั่งอยู่ส่วนอาร์มแชร์ตัวเล็กก็คงนอนไม่ได้มั้ง


    “ก็นี่ไง แบมไปนั่งตรงนั้น พี่มาร์คก็นอนตรงนี้ไปสิ” แบมแบมบอกพลางชี้ไปที่อาร์มแชร์ มาร์คเห็นอย่างนั้นกลับหยิบนิตยสารบนโต๊ะโยนไปไว้ที่อาร์มแชร์


    “ตรงนั้นไม่ว่างแล้ว แบมนั่งนี่แหละ” มาร์คยิ้มทะเล้น ก่อนจะดึงแบมแบมให้นั่งที่เดิม


    “อะไรเนี่ยพี่มาร์ค” แบมแบมงงกับการกระทำของอีกคน


    มาร์คไม่พูดอะไรกลับเอนตัวนอนลง เอาหัวไปวางที่ตักอีกคน พี่มาร์คขี้เต๊าะกลับมาแล้ว


    “แบบนี้ดีกว่าเยอะเลย” มาร์คว่าพลางหลับตาพริ้ม


    “ดีตรงไหน ตักแบมแข็งจะตาย”


    “พี่ชอบหมอนแข็งๆ” มาร์คว่าตายังหลับต่อไป


    “แต่แบมเมื่อย” แบมแบมว่าไม่จริงจังนัก


    “เงียบก่อนแบม พี่ง่วงแล้ว” มาร์คทำปากจุ๊ๆก่อนตั้งหน้าตั้งตาหลับจริงจัง มันน่าเอาหมอนมาอุดให้ขาดอากาศตาย



    แบมแบมยิ้มน้อยๆพลางส่ายหน้ากับท่าทางของอีกคน ใครว่าพี่มาร์คคูล พี่มาร์คเท่ แบมแบมอยากจะเถียงคนทั้งมหาลัย แบมแบมจับมืออีกคนยกขึ้นมาดูรอยถลอกที่หลังมือ ก่อนหน้าจะมาที่นี่แบมแบมโทรคุยกับเจบีก่อนเลยพอจะรู้เรื่องการทะเลาะวิวาทของวันนี้บ้าง



    “พี่มาร์คลุกก่อนดิ เดี๋ยวแบมเอายามาทาให้” แบมแบมบอก


    “ไม่ต้องหรอกแบม แค่ถลอกเอง” มาร์คบอก


    “แบมไม่หนีหรอก ลุกก่อนเร็ว”


    “พี่ง่วงแล้ว แบมแค่จับไว้อย่างนี้แหละ เดี๋ยวมันก็หายเอง” มาร์คบอก แบมแบมได้แต่ถอนหายใจกับความดื้อของอีกคน แต่ก็ไม่อยากเถียงอะไรมาก ให้มาร์คพักผ่อนไปเถอะ

     

    แบมแบมถือวิสาสะลูบผมอีกคนเป็นการกล่อมเพลินๆจนกระทั่งร่างสูงเริ่มหายใจเข้าออกสม่ำเสมอเหมือนเข้าสู่ห้วงนิทรา








    แค่แบมแบมทำให้มาร์คแค่นี้มันก็เกินจะพอสำหรับมาร์คแล้วล่ะ

    ...........................................................................................................................


    ยูคยอมนั่งนับเวลามองนาฬิกาพลางคนยาในขวดไปมาอย่างเลื่อนลอย ในห้องที่อับทึม มีเพียงเสียงของเจบีและจินยองที่กำลังถกอะไรงุ้งงิ้งแต่ยูคยอมก็ไม่ได้ใส่ใจ สิ่งเดียวที่เขาใส่ใจตอนนี้คือร่างที่หลับไหลอยู่ตรงหน้ามากกว่า อยากจะกระชากคอเสื้ออีกคนมาถามจริงๆว่าคิดจะตื่นตอนไหนกัน แต่ก็คงไม่ได้อะไรนอกจากความเงียบ เล่นหลับสบายไม่คิดถึงจิตใจคนที่มาเฝ้าเลยนะเปี๊ยก

    "นี่เปี๊ยก โตแล้วอย่าต้องให้ปลุกยากได้มั้ยเนี่ย" ยูคยอมพูดเสียงแผ่วเบา ไม่รู้ว่ากี่ประโยคแล้วที่เขาพูดกับคนตัวเล็กตั้งแต่หลับไป ถึงจะพอรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ยิน แต่ก็อาจจะเผื่อว่าอีกคนลุกขึ้นมาเถียงเขาได้เป็นฉากๆ ก็แค่นั้น


    แค่หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น



    จินยองที่เห็นยูคยอมเฝ้าโจอี้ได้สักพักโดยไม่ลุกไปไหน เดินมาหารุ่นน้องช้าๆพร้อมกับแตะที่ไหล่เบาๆ


    "อยากยืดเส้นยืดสายมั้ย เดี๋ยวพี่ดูให้" จินยองยิ้ม


    ยูคยอมยิ้มตอบน้อยๆก่อนจะส่งขวดยาให้จินยอง จริงๆก็ไม่ได้คิดอยากจะยืดเส้นอะไรหรอก แต่คิดว่ามันอาจจะดีกว่าถ้ายาอยู่ในมือของผู้เชี่ยวชาญอย่างจินยอง ร่างสูงลุกขึ้นให้รุ่นพี่ตัวเล็กนั่งแทนก่อนจะค่อยๆเดินไปหาพี่ชายคนสนิทที่ยืนกอดอกมองสถานการณ์ห่างออกมาหน่อย



    "ไง ดูอยู่ไม่สุขนะเรา" เจบีถามยูคยอม

    "จะให้อยู่สุขได้ไงล่ะ ผมทำให้เขาเป็นแบบนั้นนะ พี่อย่าลืม" 

    "นายไม่ได้ทำสักหน่อย" เจบีตบไหล่น้องชายเบาๆ

    "ผมไม่ได้ทำแต่ก็เหมือนทำนั่นแหละ ผมไม่เข้าใจเลยว่าใครที่พยายามจะทำร้ายพวกเรา" ยูคยอมบอกอย่างหัวเสีย

    "พวกเรา?" เจบีเลิกคิ้วอย่างสงสัย

    "ก็พี่กับผมไง พี่มาร์คไม่ได้บอกพี่เหรอว่า....เรื่องของพี่กับผมอาจจะเกี่ยวข้องกัน" ยูคยอมอธิบาย

    "อ่อ...มาร์คบอกนายแล้วสินะ" เจบีพยักหน้า

    "ผมคิดไม่ออกเลยว่าใครเป็นคนทำ...คือผมหมายถึง คนที่อยู่เบื้องหลัง" ยูคยอมบอก

    "พี่ก็คิดไม่ออก แต่....รู้อะไรมั้ย....บางทีเรื่องนี้อาจจะไม่ได้เกี่ยวกับแค่เราสองคน" เจบีบอกคนเด็กกว่า

    "พี่หมายความว่าไง"

    "มันอาจจะเกี่ยวข้องกับคนที่เรารู้จักน่ะ" เจบีลังเลที่จะบอก

    "พี่บอกมาเลยก็ได้นะว่าใคร ถ้าพี่รู้"

    "ฟังนะ...พี่รู้ว่ามันฟังดูไม่ดีเท่าไร.....โดยเฉพาะกับนาย...เออกับพี่ด้วย แต่ นายลองคิดดูนะว่ารถของพี่ที่ชนต้นไม้ มันเคยเป็นรถของใครมาก่อน" เจบีถามจริงจัง

    "พี่หมายถึงอาแดเนียล?" ยูคยอมขมวดคิ้ว

    "พี่สงสัยอาเนี่ยนะ?" ยูคยอมที่ยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อถาม

    "พี่ไม่ได้สงสัยอะไรทั้งนั้น พี่แค่คิดว่าอาอาจจะรู้อะไรบางอย่างที่ทำให้เราสาวตัวไปถึงคนร้าย"


    เจบีพูดเสียงจริงจัง ทั้งสองคนต่างฝ่ายต่างจ้องหน้ากันอย่างใช้ความคิด




    "พี่ถามหน่อย ทำไมนายถึงรู้ว่ามีวิญญาณตามหลัง" เจบีถามต่อ

    "นั่นเพราะโจอี้เห็นน่ะ" ยูคยอมชี้ไปที่โจอี้ที่หลับสนิท

    "ก่อนหน้านั้นล่ะ แม่นายเป็นคนจ้างโจอี้ไม่ใช่รึไง" 

    "ก็เพราะว่าแม่ได้ยินเสียงคนเดินในบ้าน ก็เลยสงสัยว่ามีอะไรในบ้าน แต่กลับกลายเป็นว่า ในบ้านไม่มีอะไร แต่เป็นผมเองที่มี" ยูคยอมอธิบาย

    "ถ้าวิญญาณอยากทำร้ายนายเพียงคนเดียว ทำไมไม่ทำซะตั้งนาน ป้วนเปี้ยนในบ้านนายอยู่ได้ อย่างกับว่า....รอใครบางคน"

    "พี่เป็นโคนันรึไง" ข้อสันนิษฐานของเจบีทำให้ยูคยอมเองก็ต้องคิดเหมือนกัน

    "ฟังนะยูคยอม ไม่ใช่แค่ฉันกับนาย แต่พวกเราทุกคนไม่ปลอดภัย ครอบครัวเราก็ด้วย" เจบีจับไหล่น้องชาย

    "เราต้องคุยกับอาแดเนียลตรงๆ" เจบีบอกสายตามองผ่านยูคยอมไปที่โจอี้กับจินยอง ยูคยอมเองก็มองตามเหมือนกัน

    ยูคยอมพรูลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน มันยากนะที่จะคุยเรื่องบ้าๆพวกนี้กับอาโดยตรง เพราะในเมื่อทุกอย่างมันเป็นแค่ข้อสันนิษฐาน อาแดเนียลอาจจะไม่เชื่อเลยก็ได้ และที่สำคัญคือยูคยอมเองก็ไม่อยากจะปักใจเชื่อว่าอาจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ทำให้พี่เจบีและโจอี้เกือบตาย

    ร่างสูงค่อยๆเดินผละออกเจบีพลางใช้ความคิดก่อนจะมาหยุดที่ร่างโจอี้ สายตามองอีกคนด้วยอาการเป็นห่วงปนรู้สึกผิด




    .
    .
    .

    "ยังไงผมก็ยังไม่ปักใจเชื่อว่าอาแดเนียลมีส่วนเกี่ยวข้อง" ยูคยอมบอกออกมาพลางมองหน้าเจบีที่อยู่ไกลออกมา






    "แต่.....ถ้าการไปถามอาตรงๆเป็นสิ่งเดียวที่ผมจะทำได้...."




    ยูคยอมมองใบหน้าของรุ่นน้องที่หลับตาพริ้ม






    "ผมจะทำครับ"


    ...................................................................................................................

    มาอัพแล้วววววววววว ตอนนี้แบบว่าให้บีเนียร์ กับ มาร์คแบมได้พักเรื่องเครียดบ้าง หนักบ้างเบาบ้างว่ากันไปสลับๆกัน แต่เหนือสิ่งอื่นใด...................

    ................ โจอี้ยังไม่ฟื้นเจ้าค่า!!!!! (เอี้ยวตัวหลบรองเท้าแบบ เดอะแมทริกซ์)

    ใจเย็นนะรีด เพิ่งผ่านไปได้หนึ่งคืนหนึ่งวันเอง แต่อิไรท์มันเวิ่นเว้อเขียนให้เป็นสองตอนเองแหละ แล้วประเด็นคืออะไร ช่วงนี้ไรท์ขี้เกียจไง อ่านนิยาย งานการก็ไม่ค่อยจะทำ ฟิคก็ไม่ค่อยจะพิมพ์ อยากจะซื้อหุ่นยนต์หรือจ้างใครก็ได้มาพิมพ์ตามคำบอกที ปวดไหล่เหลือหลาย จริงๆตอนนี้ในหัวคิดอยากแต่ง SF แต่คือยั้งใจอยู่ว่า มึงเอาเรื่องยาวให้จบก่อนมั้ย 55555 ยังไงก็ขอบคุณทุกเม้น ทุกการติดตาม เห็นรีดลุ้นเราก็แบบดีใจ (มีความสุขบนความทุกข์คนอื่นชัดๆ) ขอบคุณค่า


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×