ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Got7] SDD : Sleep , Deep , Death [MarkBam]

    ลำดับตอนที่ #28 : Chapter 27

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.22K
      15
      11 พ.ค. 58




    ภายในร้านอาหารสไตล์คาเฟ่เล็กๆที่มุมโซฟาในสุดมีร่างของเด็กหนุ่มนั่งอ่านหนังสือพลางมองนาฬิกาไปด้วย กาแฟหมดไปไม่ถึงครึ่งแก้วบ่งบอกได้ว่าเขาเองก็เพิ่งมาถึงไม่นาน แต่ยังไม่ทันที่จะได้หยิบกาแฟมาจิบต่อก็ปรากฏร่างของคนที่นัดไว้ซะแล้ว

     

    “อะไรของแกฮะ คิมยูคยอม แจบอมเนี่ยนะที่แกอยากให้อาเจอ” ผู้มาใหม่หันไปถามเด็กหนุ่มที่เพิ่งเดินเข้ามาพร้อมกันก่อนจะนั่งลงตรงข้ามกับเจบีที่นั่งอยูก่อน


    “หวัดดีครับอา”  เจบีค้อมตัวให้ผู้เป็นอาเล็กน้อย


    “ผมบอกว่าอยากให้อาเจอใครบางคน แต่ไม่ได้หมายความว่าแค่คนเดียวซะหน่อย” ยูคยอมบอกพลางนั่งลงบ้าง


    “เหรอ? แล้วนี่เหลือใครอีก เจ้าแบมรึไง” แดเนียลหันไปถามยูคยอมแต่หลานชายได้แต่ไหวไหล่


    “เปล่าครับ เพื่อนผมเอง อาก็..น่าจะรู้จัก” เจบีตอบ


    “พวกแกยิ่งพูด อายิ่งอยากรู้นะ” แดเนียลบอกก่อนจะเรียกบริกรมารับออร์เดอร์


    “ไม่เป็นไรหรอกครับอา มันมานู่นละ”

    เจบีชี้ไปที่ประตูร้านที่ปรากฏร่างสูงหัวแดงกับเด็กหนุ่มตัวเล็กๆที่เดินข้างกัน ปากก็ขมุบขมิบบ่นเพื่อนที่เดินนำหน้าไปเรื่อย ก่อนที่ทั้งคู่จะหยุดที่เคาท์เตอร์หน้าร้านเพื่อสั่งเครื่องดื่มก่อนจะหันมาชี้บอกพนักงานว่าให้ส่งโต๊ะที่มีคนสามคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว



    .
    .

    “มาร์คเหรอ?” แดเนียลถาม หลานชายทั้งสองพยักหน้า

     


    มาร์คและจินยองเดินตรงมาที่โต๊ะของเจบี ก่อนจะโค้งให้แดเนียลแล้วตัดสินใจนั่งฝั่งเดียวกับเจบี ทั้งโต๊ะตกอยู่ในความเงียบ แดเนียลจ้องมาร์คไม่วางตาจนจินยองเองสังเกตได้ จึงสะกิดเพื่อนตัวเองที่ตั้งหน้าตั้งตาเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋า มาร์คสะดุ้งเล็กน้อยแต่เมื่อเห็นว่าแดเนียลจ้องอยู่ก็พอเข้าใจ

     


    “ขอโทษที่มาช้าครับ” มาร์คเอ่ยในที่สุด


    “ไม่หรอกครับ พวกผมก็เพิ่งมาเหมือนกันครับ” ยูคยอมบอก


    “แปลกใจนะที่คนที่แกอยากให้อามาเจอ......เป็นมาร์ค” แดเนียลหันไปถามยูคยอม


    “แล้วหนุ่มน้อยคนนี้?....” แดเนียลหันมาทางจินยอง


    “เอ่อ..ผม...ปาร์ค จินยอง เป็นเพื่อนมาร์คครับ” จินยองบอกเผลอไปวางมือบนแขนเจบีอย่างประหม่า


    .

    .

    .

    “แล้ว....เรารวมตัวกันวันนี้เพราะว่าอะไร” แดเนียลถาม


    “งั้นผมเริ่มเลยละกัน” มาร์คเริ่ม


    “คุณต้องสัญญาก่อนว่า ถ้าผมเริ่มพูดเรื่องของผม คุณจะยอมนั่งฟังมันจนจบและไม่โวยวาย ไม่ว่าคุณอยากจะเชื่อหรือไม่ก็ตามในสิ่งที่ผมกำลังจะพูด แต่ผมก็อยากจะขอให้คุณเชื่อมัน” มาร์คเอ่ยยาวเหยียดพลางจ้องหน้าแดเนียล ซึ่งคนที่เหลือก็จ้องหน้าผู้อาวุโสสุดไม่แพ้กัน


    “อ่าฮะ...ได้” แดเนียลตอบถึงแม้จะลังเล


    “ผมขอถามอีกครั้ง คุณเชื่อเรื่องวิญญาณมั้ย”  มาร์คถาม


    “นิดหน่อยน่ะ” แดเนียลตอบลังเลเล็กน้อย


    “นิดหน่อยทั้งๆที่อามองเห็นเนี่ยนะ” ยูคยอมขัดขึ้นมา


    “เห็นอะไร?” แดเนียลถามหลานชาย


    “อย่ามาโกหกผมน่า อาเห็นเธอ ผู้หญิงที่เกาะหลังผมอยู่” ยูคยอมบอก เจบีถึงกับอึ้งพลางมองไปที่ข้างหลังยูคยอมแปลกๆ


    “ฟังนะ...อาไม่เห็นอะไรทั้งนั้น และอายืนยันคำเดิมว่าอาเชื่อเรื่องแบบนี้แค่นิดหน่อยเท่านั้น” แดเนียลยืนยัน




    “แต่ผมเชื่อนะครับ!!” เป็นจินยองที่โพล่งออกมาขณะที่อาหลานเถียงกัน




    ทั้งโต๊ะหันมามองจินยอง


    “เอ่อ...คือ...ผม...ผมไม่รู้ว่าคุณจะเชื่อเรื่องแบบนี้ขนาดไหน แต่...คุณลองฟังสิ่งที่ผมกำลังจะเล่า แล้วลองคิดอีกทีนะครับ” จินยองบอกต่อ


    “ผมเป็นพ่อมด....เอ่อ....หมายถึงบรรพบุรุษผมเป็นแม่มด ส่วนไอ้บ้านี่มันเป็น...เอ่อ...พวกเราเรียกกันว่า นักล่า...มาร์คมันปราบผี กำจัดวิญญาณ ล่าปีศาจ ทำนองนั้นน่ะครับ” จินยองเว้นจังหวะเพื่อดูท่าทีของแดเนียล ซึ่งดูเหมือนเขาเองก็ไม่ได้ว่าอะไร


    “เราสองคนรู้จักกับเจบีเพราะว่า....ช่วงที่เขานอนอยู่ในโรงพยาบาล วิญญาณเขาออกจากร่าง แล้วบังเอิญมาเจอพวกเรา เราก็เลยช่วยให้เขากลับเข้าร่าง” จินยองเล่าต่อ



    .

    .

    “จริงเหรอ แจบอม”  แดเนียลหันไปถามหลานชาย


    “ครับ ผมไม่รู้ว่าอาจะสงสัยบ้างรึเปล่า แต่ช่วงที่ผมอยู่โรงพยาบาล ทีมแพทย์ก็เช็คร่างกายผมทุกอย่างซึ่งไม่พบสิ่งผิดปกติแต่ผมกลับไม่ตื่นอยู่เป็นเดือน นั่นเพราะวิญญาณผม...ล่องลอยอยู่ที่อื่น” เจบีต่อ


    “นี่มันบ้า” แดเนียลกุมขมับ


    “ครับ ชีวิตพวกผมมันก็บ้าๆบอๆแบบนี้แหละ” มาร์คบอก


    “แล้วทำไมถึงบอกเรื่องแบบนี้กับอา” แดเนียลถาม


    “เพราะเราสงสัยว่า เรื่องนี้มันอาจจะเกี่ยวกับคุณ”  มาร์คว่าต่อ


    “รถคันนั้นเคยเป็นของคุณมาก่อน หมอนสองใบที่อยู่ในกระโปรงหลังรถคุณ หนึ่งในนั้นมันมีเครื่องรางสาปแช่ง คุณได้หมอนสองใบนั้นมาจากไหน” มาร์คถาม


    “เอ่อ..ไม่รู้สิ มีคนส่งมันมาให้ที่บริษัทน่ะ อาจำไม่ค่อยได้ มันเป็นหนึ่งในของขวัญตอนรับตำแหน่งในบริษัทน่ะคิดว่า”


    “ถูกส่งมางั้นเหรอ? แล้วคุณไม่สงสัยรึไงว่ามันมาจากใคร” มาร์คถาม


    “ก็มันเป็นแค่หมอน อาก็คิดว่ามันอาจมาจากลูกน้องอาสักคน”


    "ผมกำลังหวังว่าคุณจะไม่โกหก" มาร์คจ้องอีกคนเขม็ง

    “ถ้าเป็นอย่างนั้นก็เยี่ยมเลย ไม่มีอะไรสาวไปถึงคนร้ายเลย” จินยองพูดพลางถอนหายใจ

    "อาไม่จำเป็นต้องโกหกหรอกนะ" แดเนียลชักจะหัวเสีย

     



     มาร์คเองก็ถอนหายใจ ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นบางอย่างที่นิ้วมือของแดเนียล แหวนสีขาวที่เคยสงสัยมานาน




    .

    .

    .
    “ผมขอดูแหวนนั่นได้มั้ย” มาร์คถามแดเนียลอีกครั้ง



    .

    .

    แดเนียลทำท่าลังเลเล็กน้อยแต่ก็ยอมถอดแหวนยื่นให้มาร์คอยู่ดี มาร์คหยิบมันพิจารณาสักครู่ สัมผัสได้ถึงพลังประหลาด แต่น่าแปลกที่มันไม่ได้รุนแรงเหมือนตอนที่เขาสัมผัสมันครั้งแรก ก่อนจะส่งมันให้จินยอง จินยองรับมันมาดูเหมือนจับของร้อนก่อนจะวางมันคืนลงบนโต๊ะ


    “ขะ..ขอโทษครับ” จินยองบอกเพราะคิดว่ามันเสียมารยาทที่วางกับโต๊ะ


    “ไม่เป็นไร” แดเนียลบอกพลางหยิบแหวนมาสวมคืน


    “ว่าไง” มาร์คหันไปถามจินยองอย่างขอความเห็น


    “มันไม่ใช่หิน มะ...มันคือกระดูก” จินยองบอก แดเนียลตาโตมองแหวนอย่างอึ้งๆ


    “กระดูกของสัตว์บางอย่าง คิดว่านะ” จินยองบอก


    “หมายความว่าไง” เจบีถาม


    “วูดูน่ะ เครื่องรางของวูดูมักทำด้วยไม้ ฟาง หรือกระดูกสัตว์” จินยองอธิบาย


    “บ้าว่ะ กูถามลุงควอนมาแล้วไม่มีใครในเกาหลีเล่นวูดู แต่ตอนนี้เรากำลังต่อสู้กับวูดูเต็มๆ” มาร์คตอบอย่างจนปัญญา


    “แล้วไอ้ จงอินล่ะ” เจบีถาม


    “ไม่ หมอนั่นห้อยดาวดาวิดประจำตัว หมอนั่นน่าจะเป็นพวก....” มาร์คชะงักเหมือนนึกอะไรออก


    “พวกอะไร” เจบีถาม


    “ซะ...ซาตาน” จินยองต่อจนจบ


    “บ้าเอ้ย ทำไมโง่อย่างงี้วะ” มาร์คทึ้งหัวตัวเองอย่างหัวเสีย


    “หมายความว่าไง” เจบียังสงสัยอยู่


    “เดิมทีวูดูเป็นลัทธิทางฝั่งแอฟริกา แต่ก็มีบางลัทธิที่ดัดแปลงวูดูมาใช้ในทางที่ไม่ถูกนัก หนึ่งในนั้นคือพวกบูชาซาตาน” จินยองอธิบาย

    “ทุกอย่างเป็นฝีมือหมอนั่น คิม จงอิน ทั้งเรื่องนาย แล้วก็เรื่องยูคยอม” มาร์คบอก


    “โอเค เรารู้ตัวคนร้ายแล้ว แต่นั่นมันจะเกี่ยวกับอาแดเนียลได้ยังไง” ยูคยอมถาม


    “จงอินอาจจะรับจ้างมาจากคนอื่น” มาร์คบอก

     

    “จินยอง โทรหาลุงควอน สืบเรื่องจงอินให้กูที” มาร์คหันไปบอกเพื่อน


    “ไม่ต้องบอกกูก็รู้น่า”  จินยองบอกก่อนจะลุกขึ้นขอตัวไปโทรศัพท์


    .

    .

    .

    “คุณได้แหวนมาจากใคร” มาร์คกลับหันไปถามแดเนียล เมื่อจินยองเดินไปแล้ว


    “จะ...จากเพื่อนเก่าน่ะ” แดเนียลอึกอัก


    .
    .
    .

    “ของอาจีซูใช่มั้ยครับ” เจบีถามหลังจากเงียบเพื่อรอฟังคำตอบของแดเนียล

     

    แดเนียลหันไปมองหลานชายอึ้งๆ เจบีเองก็ไม่ได้หลบตาอะไร

     

    “ผมเห็นอาจีซูเคยสวม” เจบีบอก เพียงแต่บอกไม่หมดว่าเคยเห็นในฝัน


    “ว่าไงครับอา” ยูคยอมเร่งอีกคน



    .

    .

    .

    .

     

    “ใช่ มันเคยเป็นของเธอ” แดเนียลบอกในที่สุด


    “เธอเป็นเหมือนนาย มาร์ค จีซูเป็นนักล่า” แดเนียลพูดต่อ



    ทั้งเจบีและยูคยอมถึงกับอ้าปากค้างไปตามๆกัน แต่ดูเหมือนมาร์คจะไม่ตกใจเท่าไร

     


    “ส่วนอาก็มองเห็นวิญญาณบ้าง เธอเป็นรุ่นน้องของเพื่อนอีกที”


    “คุณรู้มาตั้งแต่แรกมั้ยว่าเธอเป็นเหมือนผม”


    “ใช่ ตั้งแต่ก่อนคบกัน”


    “ผมอยากรู้ว่าเธอเป็นใคร มาจากไหน และตอนนี้เธออยู่ที่ไหน” มาร์คถามด้วยสีหน้าจริงจัง


    “นายจะอยากรู้ไปทำไม............หรือว่า...” แดเนียลถามก่อนจะมองสีหน้าที่จริงจังของอีกคน


    “คุณแค่บอกมา”


    “ไม่มาร์ค  ไม่ๆๆๆ เธอไม่มีทางจะทำร้ายใคร เธอไม่มีทางเกี่ยวกับเรื่องนี้” แดเนียลยืนยันเสียงหนัก


    “คุณแค่บอกทุกเรื่องที่คุณรู้ ฟังนะ ตอนนี้หลานชายของคุณโดนเล่นงานไปแล้วทั้งคู่ เหลือเพียงคนเดียวคือแบมแบม และผมจะไม่ยอมให้เรื่องบ้าๆแบบนี้เกิดขึ้นกับแบมแบมเด็ดขาด คุณอยากจะปกป้องชื่อเสียงของผู้หญิงที่คุณเลิกกับเธอไปแล้วก็เชิญ แต่ผมก็จะทำทุกวิถีทางที่จะปกป้องแบมแบมเหมือนกัน” มาร์คย้ำชัดเจน



    แดเนียลมองหน้ามาร์คก่อนจะพยักหน้ารับช้าๆ มาร์คพูดถูก หลานชายเขาโดนเล่นงานไปถึงสอง เขาไม่ควรให้มีอะไรเกิดขึ้นกับแบมแบม

     


    “เธอเป็นเด็กที่ถูกรับมาเลี้ยงจากบ้านเด็กกำพร้า...........เธอมองเห็นวิญญาณตั้งแต่เธอยังเด็ก คนที่รับเธอมาเลี้ยงฝึกเธอให้เป็นนักล่า เธอทำงานให้พวกเขามาตลอด...” แดเนียลเริ่มเล่า



    “เราคบกัน......อารู้มาตลอดว่าเธอทำอะไร และ.......รู้มาตลอดว่าเธอไม่ได้มีความสุขกับสภาพแบบนั้น พวกนั้น.....พ่อแม่บุญธรรมของเธอ.....เห็นเธอเป็นเพียงเครื่องมือที่ใช้ทำมาหากิน และพวกเขาไม่เห็นด้วยที่เราคบกัน”



    “แต่...เราก็คบกันมาเรื่อยๆ......จนกระทั่งวางแผนจะสร้างครอบครัวด้วยกัน ....อาพยายามจะดึงเธอออกมาจากโลกที่เธออยู่ อาไม่อยากเห็นเธอต้องอยู่กับอันตรายแบบนั้น ทุกอย่างทำท่าจะไปได้สวยแต่.......” แดเนียลเล่าด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก



    .
    .
    .

    “สุดท้ายเธอปฏิเสธมันน่ะ” แดเนียลปรับสีหน้าให้เป็นปกติ





    “แล้วตอนนี้อาจีซูอยู่ที่ไหนครับ” ยูคยอมถาม


    “อาไม่รู้จริงๆ เธอส่งแหวนนี่มาให้ทางไปรษณีย์หลังจากที่เราเลิกกันได้ไม่นาน ไม่มีข้อความอะไรแนบมานอกจาก ข้อความบนแหวนที่อาอ่านไม่ออก” แดเนียลบอก

     





    Ek het jou lief " จินยองที่เพิ่งเดินกลับมาที่โต๊ะพูดขึ้น


    ทั้งโต๊ะหันมามองจินยองเป็นตาเดียวกัน


    “เอ่อ บนแหวน มันอ่านว่า Ek het jou lief ภาษาแอฟริกัน” จินยองพูดต่อก่อนนั่งลง


    “คุณอ่านออกด้วยเหรอ” เจบีถามอึ้งๆ


    “ก็ถ้าเป็นประโยคง่ายๆก็พอจะจำได้บ้าง” จินยองบอก


    “แล้วมันแปลว่าอะไรน่ะครับ” เป็นยูคยอมที่ถาม


    “....แปลว่า.......'ฉันรักคุณ' น่ะครับ” จินยองบอกพลางมองไปที่แดเนียล

     

     

    แดเนียลมองข้อความในแหวนตาไม่กระพริบ 



    รักงั้นเหรอ?




    ถ้ารักแล้วทำไมถึงจากไปล่ะ?

     


    “เอ่อ..แล้วเรื่องจงอินได้ความว่าไง” มาร์คเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นสีหน้าของแดเนียล

    “อ่อ เออ..ลุงบอกว่า จงอินไม่ใช่หน้าใหม่ในวงการนี้ เดิมทีหมอนั่นเคยเป็นเด็กที่บ้านตระกูลลีรับมาเลี้ยง มึงน่าจะพอรู้จัก ตระกูลลีที่เชจู แต่ยังไงไม่รู้ หมอนั่นแยกตัวออกมาอยู่ที่โซล กลับไปใช้ชื่อเดิมที่เคยใช้ก่อนจะถูกรับไปเลี้ยง” จินยองเริ่มเล่า


    “แต่ที่น่าอึ้งกว่านั้น ลุงควอนบอกว่า ลัทธิซาตานในเกาหลีมีเพียงตระกูลลีที่ใช้อย่างโจ่งแจ้ง พวกนั้นรับเด็กมาเลี้ยงเป็นว่าเล่น เด็กที่สามารถมองเห็นวิญญาณจะถูกรับไปเลี้ยงแล้วถูกฝึกให้เป็นนักล่า เท่ากับว่าพวกนั้นไม่ได้ทำงานเอง แต่ใช้เด็กที่ตัวเองฝึกไปทำงานให้ ไม่เสี่ยงอะไรเลย และจงอินคงเป็นหนึ่งในนั้น” จินยองเล่าต่อจนจบ





    “ไม่จริงน่า...” แดเนียลเผลอพึมพำออกมา




    “มีอะไรงั้นเหรอครับ” ยูคยอมถาม





    “จีซู" แดเนียลเหมือนจะนึกอะไรออก






    ".......เธอ.....เธอนามสกุลลี....."








    "......และเธอเคยบอกว่า....บ้านของเธออยู่ที่เชจู”

     

     

    .........................................................................................................................

     


    “มันน่ากลัวจริงๆนะแบม” ยองแจกำลังเล่าเหตุการณ์ที่ตัวเองเพิ่งเจอเมื่อคืนให้แบมแบมฟัง


    “เออ แบมเชื่อแล้ว แต่เรายังไม่รู้เลยว่ามันเกี่ยวกับพี่มาร์ครึเปล่า อาจจะเป็นงานอื่นก็ได้” แบมแบมบอกพยายามให้ยองแจสบายใจ


    “โหย แบม ไม่รู้อ่ะ แต่แบมต้องเห็นหน้าเขา มันเลือดเย็นมากเลย ลองคิดตามดิหน้าแบบรุ่นพี่ คิม จงอิน หน้านิ่งๆแล้วปาดคอไก่” ยองแจทำท่าขนลุก

    “ไม่รู้สิ แบมไม่เคยเห็นหน้าเขา” แบมแบมสารภาพ ถึงจะรู้ว่าเป็นคนที่สงสัยว่าจะทำร้ายโจอี้ อยู่คณะเดียวกันกับพี่เจบีแต่ แบมแบมก็ไม่เคยเห็นหน้าเขาจริงๆ


    “แบมอ่า หัดออกจากคณะบ้างนะ วันๆอยู่แต่ในตึกคณะ มันจะไปเห็นหน้าใครได้ยังไง” ยองแจบ่น เพื่อนตัวเอง


    “รู้แล้วน่า เดี๋ยววันหลังจะถามพี่บีดู” เผื่อจะได้ระวังตัวไว้บ้าง


    “เออ แล้วนี่พี่แจบอมไปไหนล่ะ ไม่มารับเหรอ” ยองแจถามเพื่อนที่นั่งอ่านหนังสือตั้งนานไม่กลับบ้านสักที


    “เห็นว่ามีธุระ ให้กลับเองน่ะ” แบมแบมตอบแต่ตายังไม่ละจากหนังสือ


    “แล้วแบมกลับไงอ่ะ”


    “แท็กซี่สิ ถามแปลก” แบมแบมตอบ


    “นี่แบม...ทำไมไม่ลองโทรขอให้พี่มาร์คไปส่งล่ะ” ยองแจลองเสนอความคิด ใช่ว่าจะไม่รู้สักหน่อยว่าสองคนนี้มีซัมติงใส่กัน แถมวันที่ไปเยี่ยมโจอี้ ยองแจยังเจอช็อตเด็ดอย่างการที่มาร์คหนุนตักเพื่อนตัวเองอีก พี่มาร์คเองก็ทั้งหล่อ เรียนก็เก่ง บู๊ก็ได้ ทำไมจะไม่สนับสนุน


    “จะบ้าเหรอ เกรงใจพี่เขามั้ย” แบมแบมหน้าขึ้นสีเล็กน้อย


    “เกรงใจอะไร พี่มาร์คเต็มใจอยู่แล้ว”


    “พูดอะไรแบบนั้นเล่า” แบมแบมบอกยิ่งเขินหนัก


    “แบมอย่ามาเขินน่า พี่มาร์คเดินหน้าขนาดนี้แล้วนะ เมื่อไรจะเป็นแฟนกัน โอ้ย!!” ยองแจลูบบริเวณต้นแขน เมื่อเพื่อนปากแข็งใช้หนังสือฟาดเข้ามาที่แขนเขาไม่ยั้ง


    “แบมตีทำไมเนี่ย”


    “บะ..แบมไปดีกว่า อุตส่าห์นั่งรอพี่แจ็คสันเป็นเพื่อน” แบมแบมว่าก่อนเก็บกระเป๋า


    “เขินหนักมากอ่ะแบม รู้ตัวป่าว โอ้ย!!!” ยองแจร้องอีกครั้งเมื่อแบมแบมฟาดมาอีกที


    “ถ้านายแซวแบมอีกที แบมจะบอกให้พี่แจ็คสันแกล้งนายให้หนักๆ” แบมแบมบอกพร้อมสะพายกระเป๋าเตรียมจะไป


    “แค่คุยธรรมดาก็เหนื่อยแล้วป่ะ ไอ้พี่แจ็คสันน่ะ” ยองแจบอก


    “ฮะๆๆ งั้นแบมไปนะ” แบมแบมโบกมือให้เพื่อนสนิทก่อนเดินออกไป

     



    แบมแบมแอบนึกขำในใจ ยองแจมานั่งเชียร์เขากับพี่มาร์คเนี่ยนะ ไม่มองตัวเองเลยว่าพี่แจ็คสันกับยองแจน่ะดูเหมือนแฟนกันมากกว่าอีก ร่างเล็กเดินไปเรื่อยๆกะจะให้ถึงหน้ามหาลัยแล้วค่อยเรียกรถกลับบ้าน จริงๆมันก็เปลืองน่าดู ถ้าแบมแบมขับรถเป็นก็ดีสิ มอเตอร์ไซค์แบบพี่มาร์คก็ไม่เลวนะ เร็วดี


    แบมแบมหยิบโทรศัพท์เครื่องสวยขึ้นมาพิจารณาก่อนจะเข้าโปรแกรมแชทยอดฮิตแล้วกดเข้าไปที่แอคเคาท์ที่คุ้นเคยอย่าง M_Tuan

     







    พี่มาร์ค...จะยุ่งอยู่รึเปล่านะ

     








    แบมแบมทำท่าจะลองส่งข้อความทักไปแต่ก็ต้องชะงัก เมื่อเขามัวแต่มองโทรศัพท์จนเผลอชนกับใครบางคนเข้าอย่างไม่ตั้งใจ


    “อ๊ะ ขอโทษครับ” แบมแบมค้อมตัวเก้าสิบองศาขอโทษอีกฝ่าย


    “ไม่เป็นไรครับ ผมเองก็ไม่ได้มองต้องขอโทษเหมือนกัน” ร่างสูงตรงหน้าบอกยิ้มๆ


    “ไม่เป็นไรเหมือนกันครับ” แบมแบมยิ้มก่อนจะทำท่าเลี่ยงตัวออกมา


    “นั่นน้องชายอิม แจบอมใช่มั้ย” อีกฝ่ายท้วงไว้ก่อนที่แบมแบมจะออกมา


    “ครับ รู้จักพี่ชายผมด้วยเหรอครับ” แบมแบมหันกลับไปถาม


    “พี่อยู่คณะเดียวกันน่ะ พอดีเลย แจบอมบอกให้พี่มาตามน้องน่ะ” อีกคนบอกยิ้มอยางเป็นมิตร


    “ตามผมเหรอ? แต่...พี่บีบอกว่ามีธุระนิ่ครับ” แบมแบมบอกพลางขมวดคิ้ว


    “พอดีงานเสร็จเร็วน่ะ แต่ยังเหลือนิดหน่อยมันเลยเคลียร์ที่ห้องสโมน่ะ มันกลัวน้องกลับก่อนเลยให้พี่มาตาม” อีกคนอธิบายยาวเหยียดแบมแบมได้แต่พยักหน้ารับ


    “งั้นทำไมพี่บีไม่โทรมาหาผมเองล่ะครับ” แบมแบมถามด้วยน้ำเสียงจับผิดเล็กน้อย


    สายตาแบมแบมเหลือบไปเห็นสร้อยคอรูปดาวของอีกคนและจะไม่รู้สึกตะหงิดใจเลยถ้าอีกคนไม่ได้ห้อยตุ๊กตาวูดูไว้ที่กระเป๋าเป้ตัวเอง รู้สึกไม่ปลอดภัยยังไงก็ไม่รู้

     

    “ไม่รู้สิ มันบอกพี่มาแค่นี้” อีกคนบอกแต่รอยยิ้มเริ่มหายไปจากใบหน้า



    ความรู้สึกไม่ไว้วางใจก่อตัวขึ้นในใจของแบมแบม ทำให้ร่างเล็กค่อยๆถอยห่างอีกคนอย่างไม่รู้ตัว ปากที่เหมือนจะยิ้มแต่ตาไม่ยิ้มนั่นมันดูแปลกๆ ไหนจะสัญลักษณ์พวกนั้น ถ้าแบมแบมไม่รู้จักมาร์คแบมแบมคงคิดว่ามันคงเป็นเครื่องประดับเท่ๆ แต่เวลานี้มันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว


    “พี่...พี่ชื่ออะไรครับ” แบมแบมตัดสินใจถามออกไป



    อีกฝ่ายได้แต่มองใบหน้าน่ารักเงียบๆก่อนจะเอ่ยออกมา



    “เรียกว่า ไค ก็ได้” ร่างสูงยิ้มให้อีกครั้ง



    “ผมไม่ได้สนิทกับรุ่นพี่ขนาดนั้น ขอเป็นชื่อจริงได้มั้ยครับ” แบมแบมเสียงแข็งพลางถอยห่างออกมาเมื่ออีกคนก้าวเข้ามาใกล้


    “งั้นเหรอ...ถ้างั้นก็....” ร่างสูงลูบคางก่อนจะเดินมาใกล้คนตัวเล็กที่ถอยห่างเขาทุกก้าวเหมือนกัน


    “พี่ชื่อ คิม จงอิน” ร่างสูงบอกพลางยิ้มเจ้าเล่ห์


    .

    .

    .

    ไม่ปลอดภัย! คนคนนี้ไม่ปลอดภัย!! สัญชาตญาณทำให้แบมแบมรู้ว่า เขาต้องหนี!!!


    .

    .

    .

    “ถ้างั้นฝากบอกพี่บีด้วยครับว่าผมขอกลับเองดีกว่า” พูดจบแบมแบมทำท่าจะวิ่งหนีไปจากตรงนั้นแต่อีกคนกลับคว้าแขนเขาไว้ได้ แบมแบมพยายามสะบัดออก แต่บ้าเอ้ย แขนเล็กๆแค่นี้จะทำอะไรได้


    “ไปด้วยกันเถอะนะ....น้องแบมแบม” จงอินแสยะยิ้มก่อนจะหยิบผ้าผืนหนึ่งขึ้นมาโปะจมูกอีกคน




    และรอยยิ้มร้ายกาจนั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่แบมแบมได้เห็นก่อนจะหมดสติไป

     


    ..............................................................................

     


    มาร์คเปิดประตูกลับมาที่อพาร์ทเม้นท์หลังจากหารือเรื่องงานพาร์ทไทม์เสร็จ นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่ม  สิ่งแรกที่เห็นคือร่างของน้องชายกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องครัว มาร์คหันไปมองบริเวณเตียงของน้องชายที่เริ่มมีลังใส่ของแพ็คไว้บ้างแล้ว โจอี้หันมามองเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงคนเปิดประตูก่อนจะหันไปอ่านหนังสือต่อ

     

    “จะสอบแล้วเหรอ” มาร์คทักน้องชาย


    “อืม” โจอี้บอกไม่ยอมมองพี่ชาย


     มาร์คพยักหน้าน้อยๆก่อนจะเดินไปเก็บกระเป๋า พลางมองข้าวของของน้องชาย


    “อันไหนที่มึงไม่ใช้บ้าง กูจะได้ฝากบริษัทไอ้แจ็คสันส่งไปก่อน” มาร์คหันมาถาม


    “ก็...อันที่ปิดเทปกาวไปแล้วน่ะแหละ” โจอี้บอกแต่ก็ยังไม่หันมามองพี่ชาย


    .

    .

    .

    “นี่ยังโกรธกูอยู่เหรอ” มาร์คถามเมื่อเห็นท่าทีของน้องชาย


    “เปล่า ผมจะโกรธเฮียทำไม”


    “มึงเข้าใจกูใช่มั้ย” มาร์คถามแต่โจอี้ไม่ตอบ



    .

    .

    .

    .
     

    “ผมไม่ไปได้มั้ย” โจอี้ถามมาร์คอีกครั้งแค่หวังว่าพี่ชายจะเปลี่ยนใจ




    คราวนี้กลายเป็นมาร์คที่ไม่ตอบ

     



    “ผะ..ผมรู้ว่า...ผมมันตัวปัญหา...ละ..แล้วเฮียก็เบื่อที่ต้องมาตามเช็ดตามล้างเรื่องที่ผมก่อ...ตะ...แต่ผม..ผมสัญญาว่า...” โจอี้พยายามพูดให้อีกคนรับฟังแต่


    “พอเถอะโจอี้....มึงอย่าสัญญาอะไรอีกเลย” มาร์คส่ายหน้าก่อนจะล้มตัวลงนอนที่โซฟายาว


    “ผมรู้ว่าเฮียยังโกรธผม แต่..”


    “กูไม่ได้โกรธมึงโจอี้ กูกลัว” มาร์คบอก



    .

    .
    .

    “กูขอโทษที่กูขี้ขลาด แต่กูคงทนไม่ได้ถ้าเห็นน้องชายกู......” มาร์คพยายามพูดต่อ


    “ผมเข้าใจแล้ว” โจอี้ขัดขึ้นมาก่อนที่พี่ชายจะพูดจบ


    .

    .
    “ผม..ขอโทษ” โจอี้พูดในที่สุด

     


    มาร์คไม่พูดอะไรต่อแต่หลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน โจอี้เองก็หันกลับไปจดจ่อกับหนังสือทั้งๆที่ก็ไม่ได้เข้าหัวมาตั้งแต่มาร์คกลับมาแล้ว ความเหนื่อยล้ากำลังถาโถมคนที่เป็นพี่ชายก่อนที่เปลือกตาจะปิดสนิท เสียงสั่นของเครื่องมือสื่อสารดังกระทบโต๊ะตัวเล็กทำในมาร์คตื่นจากอาการเคลิ้ม ร่างสูงเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ก่อนจะรับสายโดยที่ไม่ได้มองชื่อบนหน้าจอ

     



    “ครับ” มาร์คกรอกเสียงลงไป


    [มาร์ค กูเองนะ]


    “เออ ว่าไงเจบี” มาร์คจำเสียงเพื่อนตัวเองได้


    [มาร์ค แบมแบมอยู่กับมึงมั้ย] เสียงอีกฝ่ายร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด


    “ไม่นิ่ มีอะไรวะ” มาร์คลุกขึ้นนั่งสังหรณ์ใจไม่ดี


    [แบมแบมยังไม่กลับบ้าน โทรศัพท์ก็ไม่รับ กูโทรไปหายูคยอมกับยองแจ สองคนนั้นก็บอกว่าแบมไม่ได้อยู่ด้วย] เจบีเสียงเริ่มสั่น


    “ใจเย็นมึง แบมอาจไปติวกับเพื่อนก็ได้” มาร์คพยายามปลอบเพื่อนทั้งที่ใจก็เริ่มร้อนรน


    [แต่ยองแจบอกกูว่า แบมขอตัวกลับบ้านตั้งแตเย็นแล้ว มาร์คกูรอไม่ได้ น้องกู...] เจบีเริ่มเสียงขาดช่วง


    “โทรหาอาแดเนียล เดี๋ยวกูไปบ้านมึงเดี๋ยวนี้”


    [เร็วนะมึง ขอร้อง]

     



    มาร์ควางโทรศัพท์  ก่อนจะลุกพรวดพราดไปหยิบกระเป๋า

     



    “มีอะไรเปล่าเฮีย” เสียงโจอี้ดังขึ้นจากในครัวเมื่อได้ยินพี่ชายตัวเองดูร้อนรน
     


    มาร์คงุ่นง่านก่อนจะหันหน้ามามองน้องชาย มาร์คเดินเข้ามาหาอีกคนก่อนจะวางมือบนหัวโจอี้



    “ไว้เสร็จงานแล้วจะเล่าให้ฟัง เฝ้าบ้านนะมึง” มาร์คยีหัวโจอี้ก่อนจะเดินออกไป

     





    ให้ตายเหอะ นี่มาร์คกันเขาออกทุกทางจริงๆ คิดว่าคนเป็นน้องไม่มีสิทธิ์ห่วงพี่ชายรึไงวะ  โจอี้หยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมาก่อนจะกดหาเบอร์ที่น่าจะช่วยได้

     





    คิม ยูคยอม

     

    ................................................................................................

    มาช้าาาาาาาาาาา ขอโทษค่า ฮือออออออออออ ช่วงนี้มาช้านะบอกก่อน งานเราไม่เสร็จสักทีอ่ะ เร่งมาก พรีเซนต์วันที่ 19 สไลด์ยังไม่ได้ทำเลย ฮรือออออ หนังสือก็ไม่ได้อ่าน อาจจะแบบอาทิตย์ละครั้งนะ ขอเคลียร์งานหลวงก่อน เพลียตัวเอง ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ยอมรับผิดทุกประการ 

    แบมแบมจะเป็นอะไรมั้ยอ่า ตอนหน้าท่าจะบู๊หนัก มั้งนะ รอเค้าก่อนนะ 

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×