ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Got7] SDD : Sleep , Deep , Death [MarkBam]

    ลำดับตอนที่ #5 : Chapter 4

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.94K
      20
      28 ม.ค. 58






    “แบมแบม”

    ร่างเล็กหันไปตามเสียงเรียก
     ก่อนจะพบร่างสูงของเพื่อนที่วิ่งกระหืดกระหอบมา ตอนนี้แบมแบมยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องไอซียูเช่นเคย ส่วนพ่อแม่ของเขากลับไปแล้วหลังจากที่แบมแบมมาเปลี่ยนเวร ร่างเล็กยิ้มให้กับผู้มาใหม่เล็กน้อย ก่อนจะทำมือจุ๊ปากเตือนอีกฝ่ายให้ระวังเรื่องการใช้เสียง

     

    “ไงยูคยอม” แบมแบมทักทายเพื่อนสนิทร่างยักษ์ของเขา


    “เป็นไงบ้าง พี่เจบีอ่ะ”  คนมาใหม่ถามก่อนพยักเพยิดไปทางประตูห้องไอซียู  แบมแบมได้แต่ส่ายหน้าน้อยๆ


    ตั้งแต่เกิดเหตุนี่ก็วันที่สามแล้วที่แจบอมเข้าห้องไอซียู ถึงคุณหมอจะบอกว่าสัญญาณชีพคงที่ คนไข้สามารถหายใจเองได้บ้างร่วมกับใช้เครื่อง แต่ยังไม่มีทีท่าที่พี่ชายเขาจะตื่นขึ้นมาเลย คุณหมอเจ้าของไข้เองก็ยังแปลกใจเพราะทั้งเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์สมองก็แล้ว อะไรก็แล้ว ยังไม่พบความผิดปกติอะไรเลย แต่คนไข้กลับไม่ตื่นซะนี่

     

    “เอาน่า...อาการอื่นๆยังคงที่นี่ พี่แกต้องฟื้นแน่ๆ” ยูคยอมตบไหล่เพื่อนอย่างปลอบใจ ถึงแม้ว่าในใจจะกังวลไม่น้อยเหมือนกัน ยูคยอมเองก็สนิทกับเจบีเหมือนพี่ชายคนหนึ่งเช่นกัน

     

    พ่อของแบมแบมและยูคยอมเป็นเพื่อนซี้กันตั้งแต่สมัยมหาลัย และเมื่อจบออกมาทั้งสองก็เริ่มเปิดบริษัทร่วมกัน เป็นบริษัทเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์อาหารซึ่งตอนนี้ใหญ่โตเป็นอันดับต้นๆของเกาหลีเลยทีเดียว แบมแบมกับยูคยอมจึงรู้จักและสนิทกันมาตั้งแต่เด็กๆรวมทั้งเจบีด้วย

     

    “เราก็หวังอย่างนั้นแหละ ก็ได้แต่รอ” แบมแบมว่า ยูคยอมพยักหน้าน้อยๆ


    “เออนี่......ยองแจฝากมา” ยูคยอมบอกก่อนล้วงไปหยิบสมุดเล็คเชอร์ออกมาจากกระเป๋า


    “นายไม่ได้ไป ม. มาสามวันแล้วนี่ เล็คเชอร์บานเลย ยองแจเลยฝากมาให้เผื่อนายจะได้ลอกเก็บไว้” ยูคยอมยัดสมุดใส่เพื่อนตัวเล็ก ส่วนสมุดตัวเองน่ะเหรอ ไม่อ่ะ ลายมือภาษาขอมชัดๆ


    “ฝากขอบใจยองแจด้วยละกัน” แบมแบมรับมา


    “ส่งไลน์ไปขอบคุณมันดิ มันเป็นห่วงนายมากนะ” ยูคยอมบอกเพื่อนตัวเล็ก


    “นั่นสินะ” แบมแบมล้วงกระเป๋าหยิบสมาร์ทโฟนเครื่องสวยเพื่อส่งข้อความไปขอบคุณเพื่อนอีกคน

     


    ยูคยอมมองร่างเล็กของคนข้างๆ รอยยิ้มที่ดูก็รู้ว่าอีกคนต้องฝืนขนาดไหนที่จะต้องทำตัวเป็นปกติ อยากจะดึงคนตัวเล็กเข้ามากอดให้อีกฝ่ายร้องไห้ระบายออกมา แต่ก็ไม่กล้า เพราะด้วยเส้นกั้นบางๆของสถานะที่เรียกว่า    เพื่อน

     
     

    “นายได้กลับบ้านพักผ่อนบ้างป่าวเนี่ย”  ยูคยอมพูดก่อนลูบหัวอีกฝ่ายเมื่อเห็นขอบตาคล้ำๆ


    “อืม กลับสิ ที่ไอซียูเขากำหนดเวลาเยี่ยมน่ะ นี่เราเพิ่งสับกับแม่นะเนี่ย” ร่างเล็กบอก รอยคล้ำๆไม่ใช่จากอดนอนหรอกแต่เป็นจากการร้องไห้มากกว่า


    “อืม แล้วพรุ่งนี้นายจะกลับไปเรียนมั้ย เล็คเชอร์เลื่อนเป็นเก้าโมงนะพรุ่งนี้”


    “ว่าจะไปแหละ  ถ้าพี่บีรู้ว่าเราโดดเรียนนะ เราตายแน่เลย” แบมแบมพูดติดตลก


    “ยังไงก็พักผ่อนบ้างนะ เดี๋ยวเป็นลมเป็นแล้งในห้องเล็คเชอร์ขึ้นมา เราขี้เกียจแบกนายมาส่งโรงบาล” ยูคยอมขยี้หัวอีกฝ่าย


    “โอ้ย..หัวยุ่งหมดแล้ว ใช่ดิ......นายไม่เคยจะห่วงเราหรอก” แบมแบมประชดน้อยๆก่อนหัวเราะออกมา


    “เออๆ งั้นเจอกันพรุ่งนี้นะ แม่เราไลน์มาบ่นละ ไม่กลับบ้านซักที” ยูคยอมเอ่ยพร้อมโบกมือให้ร่างเล็ก


    “ไม่เข้าไปดูพี่เจบีหน่อยเหรอ มาแค่เนี้ย” แบมแบมถาม

     

     อันที่จริงยูคยอมเองยังไม่พร้อมนักกับการมารับรู้สภาพของพี่ชายคนสนิทอย่างเจบี ยอมรับเลยว่าตอนที่รู้ข่าวเขาเองก็ตกใจมาก แต่ที่มาวันนี้จริงๆแค่อยากจะแน่ใจว่าแบมแบมไม่ได้เป็นอะไร และก็เอาสมุดมาให้


    "ไว้คราวหน้าละกัน เผื่อพ่อจะมาด้วย วันนี้ขอเยี่ยมผ่านกระจกก่อน" ยูคยอมว่าพลางชี้เข้าไปในกระจกบานเล็กๆที่ติดกับประตู พอส่องเห็นคนไข้ข้างในได้บ้าง



    "งั้้นกลับดีๆนะ" แบมแบมยิ้ม ร่างสูงโบกมือตอบก่อนจะหันหลังเดินไป

     

     


    "ใช่ดิ....นายไม่เคยจะห่วงเราหรอก" ยูคยอมเดินพลางคิดถึงประโยคล้อเล่นนั่น



     

    ไม่ห่วงเหรอ?

     

    นายไม่เคยรู้อะไรเลยสินะ?

     

    ว่าฉันห่วงนายมากแค่ไหน

     

    อาจจะมากเกินกว่าคำว่า เพื่อน ด้วยซ้ำ

     

     

     

     

    ...................................................................................................

     

    ปึก!!!

     

    “กูเจอแล้ว”  ร่างเล็กของจินยองทุ่มหนังสือเก่าๆใส่โต๊ะไม้ใต้ตึกเรียนที่ข้างหน้าติดป้ายใหญ่บะเริ่มเทิ่มว่า

     

    คณะวิทยาศาสตร์

     

    ตึกสีขาวสะอาด ที่ลานชั้นล่างประกอบด้วยต๊ะไม้หลายสิบตัวที่วางเป็นหย่อมๆกระจัดกระจาย ช่วงเวลาบ่ายค่อนเย็นขนาดนี้โต๊ะไม้ต่างๆมักจะเป็นที่หมายตาของเหล่านักศึกษา บางโต๊ะก็อ่านหนังสือ บางโต๊ะก็เม้ากันสนั่น บางโต๊ะก็แซวสาว แต่มีอยู่โต๊ะนึงที่ถูกลากมาให้อยู่ที่จุดอับของตึก ซึ่งใครก็รู้ว่าเป็นโต๊ะของแก๊งค์หนุ่มฮอตประสาทกลับของคณะ

    คนร่วมโต๊ะอีกสองคน....และ 1 ตน เงยหน้ามามองร่างเล็กที่ทุ่มหนังสือลงมาอย่างพร้อมเพรียง



    “วิธีกลับเข้าร่างไง...” จินยองนั่งลงที่โต๊ะก่อนจะหันไปมองเจบี


    “อื้อหือ พูดซะดัง เดี๋ยวเขาก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็นคณะไสยศาสตร์หรอก” แจ็คสันแขวะ จินยองหันมามองหน่อยๆแต่ก็ไม่ได้สนใจ


    “ทวดเขียนไว้ว่า การที่วิญญาณออกจากร่างนั้นมีสาเหตุ อาจเป็นจากความต้องการของเจ้าของร่างเอง หรืออาจจะเป็นเวทมนต์คาถาบางประเภท ซึ่งมีเวทมนต์หลายลัทธิมากที่สามารถทำให้วิญญาณออกจากร่างได้ ไม่ว่าจะ ลัทธิวูดู ลัทธินอร์ดิก ศาสตร์ของไคโร หรือแม้แต่ศาสตร์ทางตะวันออก ซึ่งแต่ละวิธีมีพิธีกรรมที่ต่างกันไป......” จินยองยังคงอ่านด้วยเสียงปกติ


    แจ็คสันชะโงกหน้าไปมองในหนังสือเล็กน้อย

     



    ภาษาเหี้ยอะไรเนี่ย กูอ่านไม่ออก

     


    “เพราะงั้นการจะกลับเข้าร่างย่อมจะใช้พิธีกรรมที่ต่างกันออกไปแล้วแต่ลัทธิ......”

     

    “คุณพูดอย่างกับผมโดนของ ผมรถชนแล้ววิญญาณกระเด็นออกมา แล้วอย่างนี้ผมต้องทำยังไง ชนซ้ำเหรอ” เจบีถามแทรกก็มันฟังดูเลอะเทอะยังไงไม่รู้

     

    “แม่ผมบอกว่าถ้าวิญญาณออกจากร่างโดยที่ร่างยังมีชีวิตอยู่ นั่นไม่ใช่เรื่องปกติ คุณอาจจะโดนของจริงๆก็ได้” จินยองว่าพร้อมเปิดหนังสือไปเรื่อยๆ


    “นี่มันออกจะบ้าไปหน่อย ใครจะมาทำของใส่ผมกัน” เจบีว่า


    “อาจจะมีก็ได้ ปากอย่างคุณสร้างศัตรูได้ไม่ยากหรอก” จินยองไหวไหล่น้อยๆ ใครกันแน่ที่ปากสร้างศัตรู


    “นี่คุณ...” เจบีชักจะขุ่นนิดๆ


    “เอาน่าๆๆ...เอาเป็นว่าตอนนี้เราต้องรู้ก่อนว่าเจบีมันออกจากร่างมาได้ยังไง ใช่ป่ะวะจินยอง” แจ็คสันตัดบทเพื่อไม่ให้เพื่อนผีและเพื่อนคนทะเลาะกัน


    “อืม” จินยองเอ่ยนิ่งๆ


    “แล้วจะรู้ได้ไง” เป็นมาร์คที่ถามหลังจากนั่งเงียบอยู่นาน

    “ก็ทำพิธี กูเคยเห็นแม่ทำครั้งสองครั้ง” จินยองว่าก่อนหยิบสมุดโน๊ตเล็กๆให้แจ็คสัน


    “มึงเตรียมของพวกนี้ให้กูหน่อย เอาเร็วที่สุด” จินยองว่าต่อ

     

    “อะไรอีกล่ะคราวนี้ ......เทียนขาวใหญ่ห้าเล่ม เอออันนี้ง่าย” แจ็คสันว่า จินยองพยักหน้า


    “ผงกำมะถัน...บ้านมึงมีใช่ป่ะมาร์ค” มาร์คพยักหน้า


    “ดินจากหลุมศพ สัส!!มึงไม่ไปเอาเอง”


    “เราตกลงกันแล้วว่าหน้าที่หาของเป็นของมึง อีกอย่างมึงมีรถยนต์ไปไหนมาไหนง่าย” จินยองว่า


    “เปลือกไม้จัน...เดี๋ยวกูลองไปดูสวนพฤกษศาสตร์หลังคณะ” จินยองพยักหน้า


    “และ........อิสัส!!!!” แจ็คสันโวยวาย


    “นั่นไม่ได้อยู่ในลิสท์ กูไม่ได้เขียนว่าอิสัส มึงอ่านดีๆ” จินยองบอก


    “ไม่ใช่เว้ย.....เหี้ยอะไรของมึงเนี่ย.....เลือดหงส์เนี่ยนะ” แจ็คสันว่าพลางชี้ไปที่บรรทัดสุดท้าย


    “ก็มันต้องใช้อ่ะ” จินยองว่า


    “บิดเบือนนิดหน่อยได้มะ เอาที่ง่ายกว่านั้นหน่อยได้มะ” อิห่า ให้กูหาเลือดหงส์


    “แม่กูบอกว่าใช้ไก่ฟ้าก็ได้” จินยองบอก   โถ..อิสัส ง่ายกว่ากันมาก


    “กูจะหาจากไหน!!! มาร์ค ช่วยกูบ้างดิ!!!!” แจ็คสันหันมาหาเพื่อนอีกคน



    “กูเชื่อในตัวมึง” เป็นมาร์คที่พูดพลางตบไหล่แจ็คสัน

     

     

     



    โอ้ยยยยยยย......อีแจ็คจิครายยยยยยยยย

     

    .................................................................................................................

     

     

    “ผมกลับค่ำหน่อยนะเฮีย ไปทำรายงานบ้านเพื่อน” โจอี้คุยโทรศัพท์กับพี่ชายขณะอยู่หน้าโรงเรียน


    [อ่ะเหรอ ให้กูไปรับมั้ย]

    “เออ เดี๋ยวดูก่อน เดี๋ยวโทรบอก”


    [เออๆ เอาไงก็โทรบอก]


    “ครับๆ” ร่างเล็กกดวางสายก่อนจะพรูลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก

     

    อันที่จริงโจอี้ไม่ได้มาทำรายงานหรอก  แต่มารับจ๊อบต่างหาก  คราวนี้เป็นบ้านคนมีเงินซะด้วย  ปกติมาร์คจะโกรธมากถ้ารู้ว่าโจอี้รับงานคนเดียว เพราะเคยมีครั้งนึงที่เขาแอบรับงานแล้วพลาดจนเกือบโดนฆ่าทิ้ง ถ้ามาร์คไม่สะกดรอยตามมาช่วยไว้เขาคงได้กลายเป็นผีจริงๆ จากนั้นมามาร์คจึงสั่งห้ามไม่ให้โจอี้รับงานคนเดียวอีกเด็ดขาด แต่ว่าครั้งนี้มันไม่เหมือนครั้งนั้น คราวนี้เป็นแค่งานปัดรังควาญขำๆ ตอนที่คนรับงานโทรมาหาเขา ไม่สิ โทรหามาร์คต่างหากแต่โจอี้แอบรับเอง เห็นให้ข้อมูลแค่ว่าเจ้าของบ้าน รู้สึกเหมือนมีคนอื่นอยู่ในบ้านด้วย ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจริงรึป่าว เจ้าของบ้านอาจจะรู้สึกไปเองก็ได้ หรือถ้ามีวิญญาณก่อกวนความไม่สงบในบ้านจริง ก็แค่ทำพิธีไล่หรือง่ายกว่านั้น  เป่าให้กระจุย  ยังไงซะช่วงนี้มาร์คมันก็ง่วนอยู่กับผีเพื่อนใหม่ของมัน มันคงไม่มารับงานหยุมหยิมแบบนี้แน่ ไอ้พี่มาร์คงี่เง่า งานง่ายๆแถมจ่ายดีแม่มไม่ชอบทำ

     

    โจอี้เหลือเวลาอีกประมาณ ครึ่งชั่วโมงก่อนจะถึงเวลานัดหมาย  ถ้าดูจากแผนที่ก็แอบไกลเอาเรื่อง ถ้าเดิน 20 นาทีน่าจะถึง แต่ก็เอาเหอะลองเดินดูก็ได้ ไหนๆก็ไม่มีอะไรทำ

     

    ขณะกำลังเดินไปเรื่อยๆ ร่างเล็กเริ่มรู้สึกถึงสิ่งที่ไม่ปกตินัก จะเรียกว่าอะไรดีล่ะ  ลางสังหรณ์มั้ง

    ความรู้สึกเหมือนว่าที่ตรงนี้ไม่ปลอดภัย รู้สึกอึดอัดอยากจะวิ่งหนีไปให้พ้นๆ ความรู้สึกกดดันถาโถมใส่ร่างเล็ก

    ยิ่งเดินไปข้างหน้ามากเท่าไร ประสาทสัมผัสทั้งหมดก็ยิ่งชัดเจน ขาทั้งสองข้างเหมือนหนักอึ้ง ขนลุกชันทั้งร่างกาย

    กลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ที่โจอี้รู้ดีว่ามันคืออะไร  กลิ่นอับๆผสมกับกลิ่นเน่าๆ เหมือนหนูตายลอยเข้าสู่จมูก

     


    แถวนี้มีวิญญาณแน่ๆ

     
     

    แถมดูจะเป็นวิญญาณที่ไม่ประสงค์ดีสักเท่าไร

     


    แม่มเอ้ย  อยู่ตรงไหนวะ

     

    โจอี้หันซ้ายหันขวาจนหันไปเจอร่างสูงของใครบางคนที่อยู่ห่างจากเขาไปไม่กี่เมตร ดูแล้วน่าจะเป็นนักศึกษา แต่สิ่งที่ทำให้โจอี้สนใจกลับไม่ใช่นักศึกษาหนุ่มคนนั้น แต่เป็นเงาดำๆที่ดูคล้ายผู้หญิงที่อยู่ข้างหลังนักศึกษาคนนั้นมากกว่า ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ กลิ่นก็ยิ่งแรง แถมยังสังเกตเห็นผู้หญิงคนนั้นชัดขึ้น ดวงตาสีแดงก่ำจ้องคนคนนั้นไม่วางตา

     



    ........................กูอยากให้มาร์คมาอยู่ด้วยจุงเบยยยยยย..........................

     

    ไม่ต้องสนใจโจอี้  เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับมึง รีบเดินให้พ้นๆ

     

    เหี้ย...แต่วิญญาณแม่มน่ากลัวเว่อ ผู้ชายคนนั้นอาจตกอยู่ในอันตรายก็ได้

     

    ร่างเล็กทึ้งหัวตัวเองกับความคิดที่ตีกันไปมาไม่หยุด


     

    ไม่ได้นะ เพื่อความสงบสุขของมนุษย์ มึงต้องทำ!!

     

    ทำไงดีวะ  เอากระสุนยิงแม่มเลยมะ

     

    ไม่ดีๆๆๆๆๆ เกิดพลาดเข้าทำยังไง อีกอย่างวิญญาณนี่ดูพลังมหาศาล กระสุนเกลืออาจไม่สะทกสะท้าน

     

    ถ้าไล่ไปเฉยๆอาจจะพอได้ แต่ให้กำจัดเลย ทำไม่ได้แน่ๆ โจอี้ไม่ได้เก่งเท่ามาร์คนะ

     

    และถ้าขืนบอกไปตามตรง ผู้ชายคนนั้นได้จับเขาส่งโรงบาลบ้าแน่ๆ

     

    เอาไงดีวะ

     

    ร่างเล็กเดินคิดสักพักก่อนจะปิ๊งไอเดียบางอย่างได้

     

    เอาวะ งี่เง่าไปหน่อย แต่เพื่อมนุษยชาติ!!!!

     



    “พี่ชายครับ!!!” โจอี้วิ่งตะโกนเรียกผู้ชายคนนั้น  ร่างสูงข้างหน้าหันกลับมามองพลางเลิกคิ้วงงๆ พร้อมกับวิญญาณตนนั้นเองก็จ้องมาที่โจอี้เช่นกัน

     

    “ขอโทษนะครับ!!!!” โจอี้ตะโกนก่อนล้วงเอาสเปรย์น้ำมนต์ที่มาร์คเคยขอให้จินยองทำให้โจอี้ออกมา แล้วพ่นใส่อีกคนอย่างไม่ยั้ง

     


    ฟึด....ฟึด.......ฟึด......ฟึด.....ฟึด

     

    กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

     

    เสียงโหยหวนที่มีแค่โจอี้ได้ยินดังพร้อมกับที่วิญญาณนั้นค่อยๆเลือนหายไป  แต่โจอี้รู้ว่านั่นก็แค่หายไปชั่วคราว

     

    “เฮ้ย!! เฮ้ย  อะไรของน้องเนี่ย!!” ร่างสูงถามพลางยกมือขึ้นมาป้องกัน แต่ถึงอย่างนั้นก็เปียกอยู่ดี

     

    “หะ...หายไปแล้ว” โจอี้พึมพำ ไม่ได้สนใจอีกคน

     

    “ไอ้เปี๊ยก ฉันถามว่านายทำอะไรของนาย” ร่างสูงจับไหล่อีกคนให้หันมาคุยกัน

     

    ซวยแล้วกู...เอาไงดีวะ

     

    “คะ..คือว่า...” โจอี้คิดสิคิด

     

    “ว่าอะไร สนุกมากเหรอฮะ เอาน้ำอะไรมาไล่ฉีดชาวบ้านเนี่ย!!” ร่างสูงยังถามไม่ยอมปล่อยอีกฝ่าย

     

    “คือ...เมื่อกี้พี่เหยียบขี้หมา!! เหม็นมาก!! ผมเลยฉีดสเปรย์น้ำหอมให้อ่ะ!! เนี่ยขี้หมายังติดรองเท้าพี่อยู่เลย!!” โจอี้ว่าพลางชี้ไปที่รองเท้าอีกฝ่าย อีกคนเผลอปล่อยมือแล้วก้มมองรองเท้าตัวเองเหมือนกัน

     

    โจอี้ได้จังหวะก็รีบวิ่งออกไปจากตรงนั้นอย่างเร็วที่สุดในชีวิต กูจะอยู่ให้โง่เรอะ!!!

     

    “ไหน...ขี้หมะ.......เฮ้ย..หยุดเดี๋ยวนี้นะเว้ย ไอ้เปี๊ยก!!!” ร่างสูงตะโกนไล่หลัง  วิ่งไวชะมัดเลยเว้ย

     

     

     

    ชุดฟอร์มแบบนี้มันโรงเรียนข้างๆมหาลัยนี่หว่า  ไอ้เด็กนี่ 

     

    เล่นกับใครไม่เล่น มาเล่นกับ คิมยูคยอม คนนี้ซะได้

     

    เจอเมื่อไรจะเล่นให้หนักเลย

     

    ....................................................................................


    แก๊งคนอวดผีแห่งคณะวิทยาศาสตร์ทำงานแล้วนะ

    ความหวังการกลับเข้าร่างของบีเพิ่มมาสองเปอร์เซ็นต์ 55555

    ตัวละครโผล่มาเกือบครบละนะ อย่างน้อยน้องยูคก็มาละนะ

    ขอบคุณที่ติดตามและคอมเม้นท์นะค้าาาาา



     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×