ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Yaoi] The Goat's Howling by Lingbahh

    ลำดับตอนที่ #3 : Chapter Three : The Companion (ลงครบแล้ว)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.14K
      24
      2 ส.ค. 56

    TALK : ส่วนที่สอง ลงไปอ่านตรงที่เป็นอักษรสีน้ำเงินค่ะ (2/7/56)

     

    ลิงกี้

     

     

     

    THE GOAT’S HOWLING BY LINGBAHH

     

    Chapter three : The companion 

     

     

     

     

     

     

    นาฬิกาตั้งพื้นรุ่นโบราณบอกเวลาเที่ยงตรงแม้จะเป็นกลไกจากยุคเก่าแต่ก็สามารถทำงานได้ตรงเวลาไม่มีที่ติ  มันเป็นเฟอร์นิเจอร์หนึ่งในหลายชิ้นที่ดูเหมือนจะรอดผ่านสงครามโลกมาได้  นับว่าเป็นผู้รอดชีวิตเลยก็ว่าได้ และสีน้ำตาลไหม้จนเกือบดำของมันที่ตั้งอยู่ในมุมห้องช่วยให้บรรยากาศหม่นหมองอึมครึมของสถานีตำรวจหนึ่งเดียวของเขตพื้นที่นี้ดูหดหู่หม่นหมองมากยิ่งขึ้น เสียงโทรศัพท์ดังไม่ขาดสายในขณะที่นายตำรวจในเครื่องแบบสีเขียวเหมือนหลุดมาจากยุคสังคมนิยมต่างหัวหมุนอยู่กับงานเอกสารและหนีบหูโทรศัพท์ไว้กับคอราวกับว่ามันเป็นเครื่องตกแต่งร่างกายชนิดหนึ่ง  บนโต๊ะของทุกคนมีชั้นวางเอกสารกองพะเนินเทินทึกและแก้วกาแฟที่ยังไม่ได้เอาไปล้างอย่างต่ำๆคนละสองแก้ว  เสียงเครื่องพิมพ์เอกสารแบบหัวเข็มดังแกรกกรากแทรกระหว่างเสียงชายขี้เมาที่ถูกจับกุมข้อหาเมาแล้วขับ

     

    “มาอีกแล้วสินะเอมิล”

     

    นายตำรวจพุงพลุ้ยคนหนึ่งเอ่ยทักทายผมด้วยน้ำเสียงอิดหนาระอาใจ ผมยักไหล่แค่นยิ้มให้ “ผมไม่คิดว่าผมอยากมาหรอกนะครับจ่า”

     

    “โอ้ มันน่ายินดีมากหากเธอจะโผล่หัวมาที่นี่แบบไม่มีคดีติดตัวน่ะ” จ่าคนเดิมบอกพร้อมคนแก้วกาแฟไปด้วย  ผมได้กลิ่นของนมและน้ำตาลที่มากเกินไปซึ่งจะไปอุดตันอยู่ในเส้นเลือดของเขาตอนวันตรวจสุขภาพประจำปี “อยากเล่าอะไรให้ฉันฟังเพิ่มเติมไหมล่ะ”

     

    ผมยักไหล่อีกครั้ง  มือปัดผมไม่ให้ปรกตาแล้วเบนหน้าไปทางอื่น “ไม่”

     

    “ฉันอยากเห็นนายที่นี่เป็นครั้งสุดท้ายเสียจริง”

     

    ผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน น่าดีใจที่นานๆทีผมกับตำรวจที่นี่จะมีความคิดเห็นตรงกันสักเรื่อง 

     

    มีใครคนหนึ่งบอกห้องสอบปากคำว่างแล้ว คิวต่อไปคือผม  แม้จะเป็นที่แน่ชัดว่าผมกับเจ้าของมือนั้นไม่เกี่ยวข้องอะไรกัน ผมรู้สึกถึงร่างกายที่เกร็งขึ้นมา หัวใจหล่นวูบไปอยู่ที่ปลายเท้าเช่นเดียวกับช่องท้องที่โหวงว่างเปล่า

     

    คำให้การของผมเป็นไปดังนี้

    (เล่าเรื่องของเธอมาสิ เอมิล) เมื่อเช้านี้ผมแวะขึ้นไปกินอาหารเช้าที่ห้องของเดรโก 

    (ทำไม) ก็เดรโกเป็นเพื่อนของแมทเทียสพี่ชายผม เราสนิทกันดี 

    (แล้วยังไงต่อ) เดรโกบอกผมว่า เขารอพัสดุอยู่ ยังไงถ้าผมจะลงไปข้างล่างช่วยรับขึ้นมาให้ด้วย  ผมไม่มีอะไรจะทำก็เลยลงไปรอให้ 

    (ทำไมไม่ไปโรงเรียน) ผมลาออกมาแล้ว 

    (ทำไมล่ะ) ไม่รู้จะเรียนไปทำไม เสียเวลา ถ้าผมไปเรียนหนังสือก็ไม่มีใครไปเยี่ยมแม่ที่โรงพยาบาลสิ (แล้วยังไงต่อ) ผมลงไปรอคนเดียว 

    (แถวนั้นมีคนอยู่ไหม) คิดว่าไม่ ผมไม่ได้สังเกต 

    (บุรุษไปรษณีย์มาตอนไหน) ลุงแดเนียลมาถึงตอนเก้าโมงกว่าๆ มีพัสดุมาสองกล่อง จ่าหน้าถึงเขาทั้งสองกล่อง ผมไม่รู้ว่าใครส่งมาเพราะไม่ระบุชื่อผู้ส่ง 

    (ว่าต่อสิ) ผมสงสัยว่ามันคืออะไร เพราะกล่องมันมีกลิ่น กลิ่นเหม็นแปลกๆ ผมเลยถือวิสาสะกรีดเปิดกล่องดูเสียเลย 

    (พัสดุมีสองกล่อง ทำไมเธอเลือกเปิดกล่องนี้) มันมีกลิ่น กลิ่นเหม็นนี่นา ส่วนอีกกล่องไม่มีกลิ่น 

    (แล้วอีกกล่องมีอะไร) ไม่รู้ ถามเดรโกสิ 

    (เธอไม่ได้เปิดเหรอ?) ไม่ 

    (ใครเปิด) เดรโกมั้ง จะใครเสียอีกล่ะ 

    (กลับมาที่กล่องที่มีมือ  พอเปิดเจอมือแล้วเธอทำยังไง) ผมตกใจแล้วก็โยนทิ้งไว้ให้ห้องซักรีด คว้าอีกกล่องที่ยังไม่ได้เปิดแล้ววิ่งขึ้นมาหาเดรโกเลย 

    (เดรโกตกใจไหม) คงงั้น 

    (เธอเจอหน้าเดรโกแล้วพูดว่ายังไง) จำไม่ได้ ผมร้องไห้ มันน่าสยดสยองมาก ผมห้ามตัวเองไม่ให้ร้องไห้ไม่ได้ คุณไม่เคยเจอศพเหรอ มันน่าสะอิดสะเอียดจะแย่ 

    (เดรโกทำยังไงต่อ) เขาลงมาดูตามที่ผมบอกแล้วให้ผมนั่งรอในห้องเขา จากนั้นก็ขึ้นมาบอกผมว่า หน่วยตรวจสอบที่เกิดเหตุจะมา ให้ผมเตรียมตัว 

    (เขาสั่งให้เธอพูดอะไรบ้างไหม) เปล่า เขาไม่พูดอะไรเลย 

    (ไม่เลยเหรอ) ไม่ เขาเป็นคนไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว 

    (ย้อนกลับมาตอนเช้าหน่อย ฉันจำได้ว่าเธอกับเดรโกออกจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากัน ทำไมจึงไปนั่งกินข้าวเช้ากับเขา) เราไม่ต้องทะเลาะกันตลอดนี่ 

    (งั้นเหรอ ดีกันตั้งแต่เมื่อไร) ไม่ได้ดีกัน ผมแค่ไปกินข้าวเช้าให้อิ่มท้อง 

    (กินอะไร) กินแค่นมกับซีเรียลนิดหน่อย 

    (หน้าเธอไปโดนอะไรมา) ....  

    (ตอบคำถามฉันสิเอมิล) โดนตบ 

    (ใครทำ?) ผมพูดจาไม่เข้าหูเดรโกนิดหน่อย เขาบอกให้ผมหยุดร้องไห้แล้วพูดให้รู้เรื่อง  ผมไม่หยุดก็เลยโดนตบ 

    (....เขามักลงไม้ลงมือกับเธอเหรอ) ไม่หรอก แต่เขาใจร้อนและไม่ชอบคนพูดจาไม่รู้เรื่อง คุณก็รู้ 

    (เธอยอมรับที่ถูกตบ) ผมยอมรับเพราะผมรู้จักเขามาตั้งแต่ผมลืมตาดูโลกในฐานะเพื่อนสนิทของแมทเทียส ไม่ว่าผมจะพอใจหรือไม่พอใจผมก็เปลี่ยนแปลงนิสัยของเขาไม่ได้ 

    (งั้นก่อนที่เธอจะลงไปรับพัสดุ เขาคุยกับเธอบ้างไหม เรื่องอะไร) เขาอยากรู้ว่าพี่ชายผมหายหัวไปไหน ผมก็อยากรู้เหมือนกัน ผมเลยตอบไม่ได้  

    (แมทเทียสหายไปไหนล่ะ เขายังประจำการที่แอฟริกาหรือเปล่า) ไม่รู้ 

    (เธอไม่รู้ได้ยังไง) ไม่รู้ก็คือไม่รู้  คุณรู้ก็ช่วยบอกด้วย 

    (เอมิล เธออย่ามายอกย้อนผู้ใหญ่) ก็คุณถามคำถามวนไปวนมา  ถามกี่ทีผมก็ไม่รู้อยู่ดี 

    (เดรโกก็ไม่รู้หรือ) ถ้าเดรโกรู้ ผมคงไม่ได้ขึ้นไปกินอาหารเช้าที่ห้องเขาไง พวกคุณที่แปลกจริง ตำรวจนี่พูดไม่รู้เรื่องทุกคนหรือไง เสียเวลา  เรียกคนที่คุยรู้เรื่องเข้าใจอะไรง่ายๆ มาคุยกับผมแทนได้ไหม 

    (เอมิล เธอกำลังหยาบคายกับฉันนะ) งั้นหรือครับท่าน 

    (เอมิล!) ครับท่าน? มีอะไรให้ผมแจ้งข้อมูลเพิ่มเติมไหมครับ หากไม่มีผมขออนุญาตจบการสนทนา ขอบคุณที่ใช้บริการ 

    (พี่ชายเธอต้องเสียใจแน่ๆ ที่เธอทำตัวแบบนี้) งั้นหรือครับ ท่านอย่าลืมพกผ้าเช็ดหน้าไปซับน้ำตาให้เขาด้วยนะครับ ตอนที่ท่านแจ้งข่าวน่าสะเทือนใจนี้ให้คุณพี่ของกระผม 

    (มากเกินไปแล้ว!) (ยิ้ม) กระผมจะกลับบ้านได้หรือยังครับท่าน  ตอนนี้ได้เวลารับประทานอาหารมื้อกลางวันของกระผมแล้ว 

     

    ปัง!! ฝ่ามือหนาอวบอูมของเขากระแทกโต๊ะดังสนั่นหวั่นไหว ที่จริงผมอยากจะแค่เลิกคิ้วสูงมองอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร แต่ผมจำเป็นต้องทำเป็นหวาดผวา หลบตาและเอ่ยขอโทษเหนียมๆ ถ้าผ่านการสอบปากคำวันนี้ไปได้ด้วยดี  ผมขอเสนอชื่อเดรโกเข้าประกวดรางวัลลูกโลกทองคำฐานะผู้ฝึกสอนการแสดงดีเด่นเสียเดี๋ยวนี้

     

    คนเจ้าเล่ห์.... ผมคิดถึงดวงตาสีฟ้าอมเทาที่จ้องมองผมด้วยสายตาไร้อารมณ์ ในขณะที่สอนวิธีเอาตัวรอดจากการสอบปากคำไปด้วย  น้ำเสียงของเขานิ่งสงบ ออกจะเบื่อๆด้วยซ้ำไป หนำซ้ำยังจุดบุหรี่มวนต่อมวนขณะที่กำชับให้ผม ‘แสดง’ ให้แนบเนียน  ผมได้เรียนรู้ว่าแทนที่จะพยายามทำตัวสบายๆ เพราะผมไม่ใช่คนผิด ผมกลับจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีท่าทีกังวล หวาดผวา  หลีกเลี่ยงการให้ปากคำ  ให้รายละเอียดที่ขมุกขมัวไม่แจ่มชัด  เพราะการให้การที่ละเอียดเกินไป ก็เหมือนกันผูกมัดตัวเองด้วยคำโกหกที่ปั้นแต่งขึ้น  ผมได้รับอนุญาตให้ทำตัวน่าสงสาร  น่าเห็นใจ  รวมไปถึงการคงเอกลักษณ์ประจำตัวของผมที่ตำรวจทั้งโรงพักนี้รู้จักกันดี คือความดื้อด้าน  กวนโมโหและยะโสโอหังไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่ นั่นเป็นสิ่งหนึ่งที่ผมมั่นใจว่าเป็นเหตุให้ตำรวจทุกคนที่รู้จักผม ค่อนไปทางเกลียดมากกว่าชอบ  แต่ผมจะสนใจทำไม ตำรวจหรือใครก็ตามบนท้องถนนไม่ใช่แม่ผม ไม่ใช่แมทเทียส ผมไม่สำคัญกับใครก็ย่อมไม่มีใครสำคัญกับผม

     

    ผมเคยเป็นคนสำคัญ เคยเป็นที่ยอมรับ แต่นั่นมันของจอมปลอมเพราะมันต้องแลกมาด้วยเงิน คนเราถ้าไม่มีเงินคำพูดก็ไร้น้ำหนัก เศรษฐีที่โกหกก็น่าเชื่อถือกว่ายาจกที่พูดความจริง ผมเรียนรู้เรื่องนี้ตอนที่ในบัญชีไม่มีเงินเหลือสักแดงแล้ว

     

    ผมมองโลกในแง่ร้ายเกินไปงั้นรึ ไม่หรอก ผมแค่พูดความจริงออกมาดังๆ ความจริงที่อัปลักษณ์และไม่มีใครอยากจะยอมรับ เอมิลคนนี้ไม่ใช่พวกปั้นแต่งคำพูดสวยหรูและเอมิลไม่ใช่เด็กดี  เขาเคยเป็น แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว....  แม้ทุกคนยังอยากจะเชื่อแบบนั้นก็ตามที ท้องถนนให้บทเรียนกับชีวิตของผมมากกว่าห้องเรียน และโลกนี้มีคนชั่วๆ มากกว่าคนดีในสัดส่วนที่ห่างกันลิบลับ  ผมจะทำตัวแตกต่างทำไมในเมื่อการเป็นเด็กดีมันช่างอยู่ยาก และมันไม่อิ่ม

     

    เป็นคนดีแล้วไม่มีอะไรตกถึงท้อง มันจะมีประโยชน์อะไร 

     

    เดรโกก็คงคิดเหมือนกัน  ผมรู้มาว่าเขาเคยเป็นตำรวจที่ดี  เคยเป็นที่ยกย่องนับหน้าถือตา  เคยเป็นวีรบุรุษ แต่แล้วไง.... ผมกับเขาเดินอยู่บนถนนของชีวิตที่ยากลำบากและทุกสายล้วนชี้นำสู่ความเลวร้ายที่มากขึ้นทุกวัน  ทำไมเราจะต้องพยายามเป็นคนดีกันล่ะ  เป็นคนดีแล้วไม่ได้อะไร เป็นคนดีแล้วโดนรังแก นั่นเป็นสัจธรรม  

     

    บทเรียนแรกของการเข้าชั้นเรียน ‘หัดเป็นคนเลวกันเถอะ’ ก็คือ การโกหก เพราะการโกหก คือการขโมยสิทธิ์ที่จะรับรู้ความจริงไปจากตนเองและผู้อื่น อีกแง่หนึ่งบนโลกเบี้ยวๆนี้ การโกหก คือองค์ประกอบหนึ่งในการเอาตัวรอด  ผมโกหกเสมอ  จนบางครั้งผมก็ชักจะลืมๆว่าความจริงคืออะไร และผมโกหกเรื่องอะไรไปบ้าง  แต่ผมก็มีเหตุผลของผม  จะอะไรบ้างขี้เกียจจะสาธยาย เอาเป็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมลงทุนโกหกไป มันต้องให้ผลทางบวกกับกระเป๋าสตางค์ของผมก็พอ

     

    ทุกคนคงมีเหตุผลของตัวเอง เดรโกสั่งให้ผมโกหก  ผมยอมตามโดยไม่มีเงื่อนไข สำหรับเขาคงไม่ใช่เรื่องเงินแต่เป็นสิ่งอื่นที่เขาไม่สนใจจะบอกผมหรอก หมอนี่เกลียดผมและแสดงออกชัดเจนทั้งสีหน้า แววตา คำพูด การกระทำจนผมรู้สึกปลื้มใจในความตรงไปตรงมานั้นนิดหน่อย อย่างไรก็ตาม ในกรณีนี้ การโกหกไม่ได้ส่งผลร้ายน้อยไปกว่าการพูดความจริงหรอก พนันได้เลย ไม่รู้ว่านี่เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วที่ตำรวจสอนผู้ต้องสงสัยให้โกหกตำรวจด้วยกันเอง ผมมั่นใจพอสมควรว่า นี่คงไม่ใช่ครั้งแรกและไม่ใช่ครั้งสุดท้าย ไม่ใช่ว่าผมเห็นดีเห็นงามอะไรกับเขา  แต่ผมเคยได้ยินแว่วๆมา ว่าบางครั้งความซื่อสัตย์ตรงไปตรงมานั้นให้ผลที่ร้ายแรงยิ่งกว่าการโกหก เดรโกคงเลือกแล้วว่าอะไรที่ดีกับชีวิตของเขามากกว่า

     

    คำเท็จฆ่าคนได้

    คำสัตย์ก็เช่นกัน

     

    ถ้าต้องให้เลือกระหว่างสองสิ่งนี้ ผมจะเลือกข้อที่ทำให้ผมอยู่รอดได้นานที่สุด สิ่งนั้นคือ ส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างการโกหกและการพูดความจริง  แน่นอน  มันต้องให้ประโยชน์กับผมทางใดทางหนึ่ง  ทำไมผมต้องทำเพื่อใครในเมื่อไม่มีใครทำเพื่อผม

     

    ไม่มีสักคน โลกทั้งใบเหลือแค่ผมตัวคนเดียว

     

     

    ยังไม่ทันที่จะมีการสอบปากคำรอบต่อไป จู่ๆทุกคนถูกเรียกไปประชุมด่วนเพราะมีคดีฆาตกรรมใหม่เกิดขึ้นในอาคารสำนักงานของรัฐแห่งหนึ่งหนำซ้ำยังมีผู้เสียชีวิตถึงสามคนชนิดจับมือใครดมไม่ได้และที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือ คนหนึ่งเป็นถึงผู้พิพากษาคดีแพ่งที่กำลังตรวจสอบคดีสำคัญอยู่  ทันใดที่ทุกคนรู้ข่าวก็เหมือนผึ้งที่ถูกตีรังจนแตกฮือกันไปคนละทิศละทาง  กลิ่นชื้นๆอับๆของสถานีตำรวจแปรเปลี่ยนเป็นกลิ่นของอะดรีนาลีนที่เกิดจากความตื่นเต้นและกังวลของสมาชิกแทบทุกคนในนี้ ซึ่งพร้อมใจลดระดับความสำคัญของคดีมือปริศนาลงทันที และยังจงใจทิ้งสำนักงานชั้นสองไว้ให้ผมเฝ้ายามกับสเมียนคนหนึ่งที่คอยอยู่รับโทรศัพท์หน้าเคาน์เตอร์ด้วย 

     

    อาชญากรรมซับซ้อนไม่ใช่ข่่าวดีของใครเลย ทว่าผมอดรู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่งไม่ได้ที่ได้ยืดเวลาหายใจเต็มปอดไปอีกหน่อย ผมมองไปยังประตูห้องสอบปากคำผู้ต้องหาที่ปิดสนิทอยู่ด้วยความรู้สึกขุ่นมัวที่เป็นส่วนผสมระหว่างความกลัวและความกังวล  ผมยันข้อศอกของตัวเองกับโต๊ะแล้วเท้าคาง  มืออีกข้างคว้าปากกามาหมุนเล่นแก้เซ็ง   ในสมองหมุนติ้วหาทางต่อรองเพื่อที่จะไม่ต้องเข้าไปนั่งอยู่ในห้องแช่แข็งนั้นก็กลับมีมืออุ่นๆ เอื้อมมาแตะจากด้านหลังพร้อมกับดวงตาสีฟ้าสุกใสที่คุ้นเคยเสียก่อน

     

    “เอมิล มาทำอะไรที่นี่”

     

    โคลตัน นายตำรวจหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับเดรโกและแมทเทียสเอ่ยทักทายพร้อมกับรอยยิ้มสว่างไสวราวกับสปอตไลท์สนามฟุตบอลและห่อใส่ขนมปังหอมกรุ่นที่เลื่อนมาวางตรงหน้าผม  

     

    ผมหน้างอใส่ เลื่อนสายตาไปมองทางอื่นและไม่ตอบคำถามซึ่งนั่นจะทำให้เขาเลื่อนเก้าอี้มานั่งข้างๆ พร้อมยัดขนมปังใส่มือผม  และโคลตันก็ทำเช่นนั้นจริงๆ  เขาเลื่อนมือมาลูบหัวของผมอย่างอ่อนโยน  เกลี่ยแก้มของผมด้วยข้างนิ้วของตัวเอง  แบบเดียวกับที่เขาเคยทำเมื่อวันก่อนนั้น  ดวงตาสีฟ้าวับวาวด้วยอะไรบางอย่างที่มากกว่าคำว่า ‘เอ็นดู’ 

     

    “นายผอมลงไปมากนะ  ผอมกว่านี้ก็เป็นกระดูกเดินได้แล้ว”

     

    “ไม่ยักรู้ว่าตำรวจต้องคอยดูแลสุขภาพอนามัยประชาชนด้วย”

     

    มือข้างนั้นเลื่อนจากแก้มมาเชยคางขึ้น ผมแกล้งทำเป็นปัดมือออกโดยไม่ได้ตั้งใจ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มือคู่นี้จงใจสัมผัสตัวผมโดยเอาคำว่า ‘เป็นห่วง’ มาอ้าง ผมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เมื่อเห็นสายตาขัดใจฉายบนดวงตาของเขา ใต้หน้ากากของรอยยิ้มโอบอ้อมอารีมีบางอย่างที่ซ่อนอยู่ และผมก็ใช่ว่าจะไม่รู้ทันเพียงแต่ผมเองก็มีหน้ากากอีกอันเรียกกันว่า ‘เอมิลน้องชายเด็กดีของแมทเทียส’ ที่จะต้องสวมไว้เช่นกัน จึงต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นความเอ็นดูที่ออกจะเกินเลยของเพื่อนพี่ชาย

     

    แต่นั่นล่ะ เราก็ควรจะทำตัวแกล้งโง่เซ่อซ่าไร้เดียงสาบ้าง  มันดูน่ารักจะตายไปเหมือนกับหนูแฮมสเตอร์ในกรงนั่นล่ะ ใครจะรู้ว่าวันใดผมอาจจะต้องการความช่วยเหลือจากโคลตันโดยที่แลกเปลี่ยนเป็นตัวเงินไม่ได้  หน้ากาก ‘เอมิลเด็กดี’ จึงยังจำเป็นอยู่เสมอในหมู่เพื่อนๆ ของแมทเทียสและคนรู้จักอื่นๆ ยกเว้นก็แต่เพียงเดรโกผู้ใช้สายตาเย็นชามองเข้าไปถึงข้างในได้อย่างทะลุปรุโปร่ง หน้ากากแบบไหนก็ใช้ไม่ได้ผลกับเขา ผมจึงไม่เสียเวลาสวมมันด้วยซ้ำ

     

    “เราคุยเรื่องอื่นกันได้นะ ฉันไม่ได้จะมาสอบปากคำนาย รองสารวัตรบอกว่า คดีนี้เกี่ยวกับนักสืบเดรโก  ฉันคงจะไม่หาเหาใส่หัวด้วยการล้ำเส้นคดีที่เขาดูแลหรอก” โคลตันว่าอย่างนั้น  สายตาจับจ้องแต่หน้าของผมจนรู้สึกเขินขึ้นมาดื้อๆ “มองหน้านี่มีอะไรติดอยู่เหรอ?”

     

    “แปลก”

     

    “อะไรที่แปลก”

     

    “นานๆทีจะเห็นนายทำสีหน้ากังวลแบบนี้ ไม่ใช่ท่าทางระวังตัวแจเหมือนทุกที” โคลตันพูดยิ้มๆ “หัดทำหน้าตาให้เหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วไปบ้างสิเอมิล ไม่ใช่เจอหน้าฉันทีไรก็ทำตาเศร้าอย่างกะลูกแมวไร้บ้าน”

     

    ถึงผมมีบ้านอยู่ดีกินดี เป็นลูกแมวมีปลอกคอ พนันได้ว่าโคลตันก็ไม่เลิกล้มความตั้งใจที่จะ‘หิ้ว’กลับหรอก นี่ที่ยังยั้งได้ก็คงเพราะเกรงว่าวันไหนพี่ชายกลับมาแล้วจะเป็นเรื่องใหญ่ต่างหาก ผมอดคิดค่อนแคะในใจ แต่สีหน้าก็ยังไร้เดียงสาอยู่เช่นนั้น  ก็พวกเขาชอบนี่ ผมก็สวมให้ดู

     

    “เอาอีกแล้ว มันน่าจริงๆ”

     

    “ไม่ได้จะทำหน้าเศร้าเสียหน่อย ผมแค่หิวข้าวเท่านั้น” เรื่องนี้เป็นความจริงที่ไม่ต้องใช้มารยา ผมหมายความอย่างนั้นและกระเพาะก็เป็นพยานว่ามันพร้อมที่จะดูดกลืนทุกอย่างที่หล่นลงไปแล้ว แน่นอนว่าโคลตันรีบกุลีกุจอเปิดถุงขนมปังที่ตัวเองซื้อมาเป็นมื้อกลางวันให้กับผมแล้วถามต่อว่าอยากดื่มอะไรด้วยไหม ผมหยิบขนมปังออกจากถุงแล้วงับให้รสหวานของแป้งละลายบนลิ้น รสชาติดีแฮะ นี่โคลตันชักจะมีแต้มขึ้นมานิดหน่อยแล้วสิ อย่างน้อยรสนิยมเรื่องอาหารของหมอนี่ก็ไม่เลว 

     

    “น้ำอัดลม  ถ้ามี”

     

    “น้ำอัดลมไม่มีหรอก มีแต่น้ำผลไม้”

     

    “พอใช้ได้ ขอบคุณ”

     

    ”ว่าแต่ทำอะไรให้ฉันอย่างหนึ่งก่อนสิ”

     

    “หือ?” 

     

    ดวงตาสีฟ้าพราวระยับ “ยิ้มให้ฉันเห็นเป็นบุญตาเสียทีจะเป็นไรไหม เห็นนายทำตาเศร้าๆ หน้าซึมๆแบบนี้มันรู้สึกกังวลยังไงอยู่นะ”

     

    ขออะไรเนี่ย! ทำไงดีล่ะ! ผมขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วพยายามจะยิ้มเสแสร้งอะไรก็ได้ออกมาให้มันจบๆ กันไป แต่ว่ากลับดูเหมือนจะแยกเขี้ยว  คงเป็นภาพที่ประหลาดน่าดูชม

     

    “ถ้าไม่ยิ้ม จะขอเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นนะ”

     

    สายตาเจ้าชู้พราวพรายแบบนั้น เด็กสามขวบก็คงจะดูออกว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ยังไม่ทันจะปัดป้องตัวเอง ริมฝีปากที่เจือด้วยกลิ่นขนมปังจางๆนั้นก็ฉกฉวยจูบไปจากผมพร้อมๆกับฝ่ามือที่จงใจวางบนหน้าขาอย่างหมิ่นเหม่  ผมรู้สึกร้อนรนขึ้นมาทันทีแม้ว่านี่จะไม่ใช่จูบแรกที่ผมมีให้กับมนุษย์โลกที่มีโครโมโซม XY เหมือนๆกันและนี่ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตเพศผู้คนแรกที่พยายามจะยุ่งกับซิปกางเกงของผม ปลายลิ้นร้อนๆแทรกผ่านริมฝีปากของผมเข้าไปจุดประกายร้อนฉ่าหวามไหวที่ทำให้หัวใจกระตุกหล่นลงไปอยู่ที่ช่องท้อง ไม่ใช่ว่าผมรู้สึกร้อนแรงไปกับสิ่งที่ได้รับแต่ตรงกันข้ามผมกลับตกใจมากกว่าที่โคลตันเป็นฝ่ายเปิดฉากจู่โจมก่อนในที่ทำงานโดยไม่แยแสต่อเครื่องแบบตำรวจที่สวมใส่อยู่ รวมไปถึงการจับจ้องของสายตาเย็นเยียบไร้อารมณ์ของดวงตาสีฟ้าอมเทาโผล่มาจากด้านหลัง  ผมรวบรวมสติได้ก็เตะเก้าอี้ของโคลตันให้ถอยห่างออกไปสองฟุตได้ทันเวลาก่อนที่ร่างสูงใหญ่ในเสื้อเชิ้ตสีขาวเนคไทสีกรมท่าปักตราสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะมากระชากผมร่วงลงไปกองอยู่กับพื้นด้านล่าง 

     

    เสียงกระแอมของเดรโกเรียกสติของชายหนุ่มรุ่นราวกันเป็นเชิงตำหนิ ดวงตาคมกริบปรายตามองเพื่อนด้วยหางตาคล้ายจะหยาม “คนทั้งสน.เขาตามหาเจ้าหน้าที่หน่วยพิสูจน์หลักฐานอยู่ ไม่คิดว่าจะมาตามเจอที่หน้าห้องสอบปากคำ” จะเรียกชื่อตรงๆก็ไม่ทำ เดรโกจงใจเรียกโคลตันด้วยชื่อแผนกซึ่งผิดธรรมชาติของคนที่เคยขึ้นชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทกันอย่างยิ่ง

     

    “อ้อ นักสืบเดรโก ขอบคุณที่ช่วยบอก ไม่ยักมีใครแจ้งว่ามีประชุม”

     

    “ถ้าเข้าใจไม่ผิด คนเขารู้กันทั้งถนนว่ามีคดีใหญ่เกิดขึ้นและเจ้าหน้าที่ควรย้ายก้นตัวเองไปนั่งให้ห้องประชุมแทนที่จะมัวมาทำอะไรที่สุ่มเสี่ยงผิดวินัยกับเด็กอายุไม่ถึงสิบแปดแบบนี้” ดวงตาคมตวัดมองมาทางผมที่แอบเอาหลังมือป้ายปากของตัวเองคล้ายจะกลบเกลื่อนความผิด  นี่มันความผิดของผมเรอะ!

     

    “เป็นเกียรติจริงๆที่นักสืบสละเวลามาตามหาผม” ใช่ว่าโคลตันจะยอมเป็นฝ่ายถูกจิกกัดผ่ายเดียวเสียเมื่อไร  ดวงตาที่ระยับพราวพรายในทีแรกกลับฉาบด้วยความเย็นชาปั้นปึ่งต่อฝ่ายตรงข้ามชนิดไม่คิดจะปิดบัง “หวังว่าคราวนี้ไปแล้ว หลักฐานจะไม่ถูกทำลายเพื่อประโยชน์ของใครไปคนไปเสียก่อนแล้วล่ะ”

     

    “ถ้าสงสัยเรื่องนั้นก็ไม่มีใครห้ามไม่ให้รายงานเบื้องบนนี่” เดรโกทำเสียงยวน “นายอย่าเอาอคติไปเปื้อนที่เกิดเหตุก็แล้วกัน หลักฐานมันจะเปลี่ยนเสียเปล่าๆ”

     

    “ถ้าคุณสองคนหมายถึงคดีมือลึกลับล่ะก็  มีแต่ผมนั่นล่ะที่อยู่ในที่เกิดเหตุ ไม่เกี่ยวอะไรกับเดรโกหรอก โคลตัน คุณรีบไปเถอะ มีคดีใหญ่เกิดขึ้นจริงและคนอื่นคงรอคุณอยู่” ผมตัดสินใจพูดขัดจังหวะทั้งสอง ทำเสียงปกติทั้งทีหัวใจยังเต้นไม่เป็นจังหวะ ซึ่งผมเองยังไม่รู้แน่ชัดดีว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่ คงต้องเกี่ยวกับนักสืบหน้าหงิกที่ยืนห่างออกไปสามสี่ฟุตนี่ล่ะ ผมไม่กล้ามองเดรโกเต็มๆตาคล้ายถูกจับได้ว่าทำความผิด พอเหลือบตาไปมองก็ต้องแกล้งทำเป็นไม่ได้ตั้งใจ และขอบคุณที่โคลตันยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลงอีกด้วยการทำเสียงตัดพ้อทำนองว่า หากว่าผมโทรหาเขาแทนที่จะวิ่งไปหาเดรโก อะไรๆก็คงง่ายขึ้นกว่านี้   ผมคิดไม่ออกจริงๆว่าโคลตันจะทำเรื่องที่แย่สุดขีดให้แย่น้อยลงกว่าที่เป็นอยู่ได้อย่างไร เขาจะช่วยผมกำจัดลายนิ้วมือหรือหาวิธีซ่อนกล่องโคเคนรึ?  ผมยิ้มเจื่อนรู้สึกได้ว่านักสืบที่ยืนอยู่ใกล้ๆ อยากจะกระชากคอเสื้อของเจ้าหน้าที่ฝ่ายพิสูจน์หลักฐานแล้วตั๊นหน้าให้ดั้งหักเต็มแก่แล้ว ร่างสูงในเครื่องแบบสีเขียวยอมเป็นฝ่ายล่าถอยออกไปก่อนแม้จะยังมีสีหน้าไม่พอใจนัก  

     

    เราสองคนมองตามโคลตันที่หายออกจากห้องไปท่ามกลางความโล่งอกของผม ผมคว้าขนมปังที่กินค้างอยู่ครึ่งหนึ่งขึ้นมากินเงียบๆจนหมด  นึกแปลกใจว่าทำไมเดรโกยังไม่เข้าประชุมแถมยังหอบลังกระดาษขนาด 40 นิ้วสองกล่องขึ้นมาด้วย  เขาเดินผ่านผมไปยังห้องทำงานที่ถูกกั้นด้วยกระจกขุ่น ก้มๆเงยๆ อยู่อย่างนั้น    ผมจึงค่อยๆย่องไปใกล้แล้วชะเง้อดูก็เห็นแผ่นหลังกว้างของอีกฝ่ายชะงักไป

     

    “คิดจะทำอะไร” ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยโดยไม่คิดจะหันมามองหน้า

     

    “อุตส่าห์ขึ้นมาเรียกโคลตันให้เข้าประชุม ทำไมตัวเองไม่ไป”

     

    “ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของนาย” ว่าแล้วก็หยิบเอกสารตั้งใหญ่เรียงใส่ลังอย่างเป็นระเบียบ แต่ละแฟ้มมีตราของสำนักงานตำรวจแห่งชาติและกระดาษทุกแผ่นประทับตราประเภทที่ว่า ‘เอกสารภายในห้ามเปิดเผย’ ‘เร่งด่วนระดับสาม’ ‘ลับที่สุด’อยู่ทั้งนั้น  เดรโกจะเก็บของลงลังไปทำไมกันนะ

     

    “เก็บของอย่างกับถูกไล่ออก” ผมว่าอย่างนั้นโดยไม่ได้สนใจจะฟังคำตอบ แล้วนั่งยองๆ อยู่ด้วย  ห้องทำงานของเดรโกเป็นห้องทำงานที่รกแต่ความเป็นระเบียบอย่างแปลกๆอยู่ในตัวเอง บนชั้นเอกสารด้านหลังมีทั้งเหรียญตราต่างๆ ธงชาติ รูปถ่ายที่ไม่มีเจ้าของห้องติดอยู่ในรูปเลยสักชิ้น ยกเว้นแต่เพียงรูปเดียวคือ รูปของเขากับแมทเทียสที่ถ่ายในงานปาร์ตี้อะไรสักอย่างเมื่อปีก่อน  ผมลุกขึ้นคิดจะเดินไปหยิบมาดูใกล้ๆ กลับถูกขัดขึ้นเสียก่อน

     

    “อย่ายุ่งเรื่องส่วนตัวของคนอื่นให้มากนัก”

     

    “ก็มันว่างไม่มีอะไรทำนี่” ผมแก้ตัวน้ำขุ่นๆ “ตกลงจะมีคนมาสอบปากคำผมเพิ่มเติมหรือเปล่า”  

     

    เดรโกยืดตัวขึ้น มองนาฬิกาข้อมือและปราดไปมองกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งอยู่ไม่ไกลนัก เขาหันหน้ามามองผมเต็มๆตา  รอยยิ้มที่มุมปากนั้นเจ้าเล่ห์เจ้ากล “ของพวกนั้น นายส่งมาจากอัลเท็มไฮม์ใช่ไหม”

     

    ผมพยักหน้า อัลเท็มไฮม์เป็นเมืองเล็กๆแห่งหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือติดกับชายแดนของประเทศเพื่อนบ้านที่เคยเป็นกลุ่มประเทศในสหภาพโซเวียตที่เป็นพื้นที่ภูเขาสูงที่คดเคี้ยวและห่างไกลคำว่าได้รับการดูแลอย่างดีของรัฐบาล ในพื้นที่ที่พอจะมีผู้คนอาศัยอยู่และเป็นจุดข้ามพรมแดนนั้นก็มีทหารแล้วเจ้าหน้าที่คอยสอดส่องเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมงแต่ห่างจากจุดข้ามพรมแดนไปไม่ถึงหนึ่งร้อยไมล์นั้นกลับเรียกได้ว่าเป็นจุดบอดของการตรวจตราอย่างแท้จริง ถ้าไม่ตาบอดใครๆก็ข้ามพรมแดนมาได้อย่างง่ายดายเพียงแค่รอคอยช่วงทหารรักษาการณ์ผลัดเวรเพียงเท่านั้น  และด้วยเหตุนี้เองที่พรมแดนกลายเป็นจุดส่งต่อของเครือข่ายยาเสพติดขนาดใหญ่จากประเทศเพื่อนบ้าน ก่อนที่จะได้มันมาผมอาศัยเครือข่ายใต้ดินของลูอิสและไปที่นั่นในฐานะตัวแทนของเจ้ามืดสมองเล็กนั่น  ดังนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะง่ายดายเสียทีเดียวหากไม่มีคนที่คอยหนุนหลังอยู่

     

    เดรโกคงจะถามเพราะอยากรู้ในฐานะตำรวจ ซึ่งในฐานะตำรวจกับผู้ต้องหาแล้ว ข้อมูลนั้นเป็นสิ่งเดียวที่ผมจะใช้งัดข้อกับเขาได้  ดังนั้นให้ตายก็ไม่บอกง่ายๆหรอก

     

    หากผมจะพูดว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเดรโกนั้นดีเยี่ยม  พี่ชายผู้เป็นทหารฝากฝังน้องชายไว้กับเพื่อนรักและเขาก็ดูแลเอาใจใส่ประคบประหงมเป็นอย่างดีจนกระทั่งพี่ชายปลดประจำการกลับมา  ขอโทษที พล็อตเรื่องแบบนี้รอวอลต์ดิสนีย์เอาไปทำการ์ตูนเด็กเถอะ   ความเป็นจริงก็คือ  ความสัมพันธ์ของเราราบรื่นประมาณเดียวกับถนนลูกรังที่ขาดการบูรณะมาครึ่งศตวรรษ  แววตา  น้ำเสียง  สีหน้า  การกระทำ  ทุกอย่างสรุปได้ความว่า เดรโกไม่ได้เห็นผมเป็นน้องของแมทเทียส  แต่เป็นเด็กเลวเจ้าปัญหาที่สุดท้ายแล้วตัวเขาเองก็โดนหางเลขทุกทีไป…เช่นคดีมือปริศนาเมื่อเช้านี้ เป็นต้น

     

    ผมเกลียดสายตาของเขา สายตาที่ดูเหมือนจะมองทุกอย่างทะลุปรุโปร่งไปแม้แต่ในส่วนที่เก็บซ่อนไว้เป็นความลับที่สุด

     

    เขาจ้องหน้าผมอย่างครุ่นคิด ดวงตาสีเทาจ้องหน้าผมไม่วางตาแต่ทว่ามันไม่มีอะไรที่ใกล้เคียงกับคำว่าเป็นห่วงเป็นใยเลยสักนิด

     

    เป็นห่วงเป็นใยเหรอ น่าตลกนะ ทำไมผมต้องคาดหวังกับผู้ชายใจหินคนนี้ด้วยก็ไม่รู้  ผมคาดหวังอะไรกับเขามากมายเหลือเกินทั้งๆที่ผมเองก็รู้ตัวดีอยู่แล้วว่าทั้งหมดทั้งปวงนั้นเป็นความเพ้อฝัน คำสัญญาที่ผู้ชายคนนี้พูดกับแมทเทียสก่อนที่เขาจะเดินทางไปร่วมทัพว่า ‘จะคอยดูแลเอมิลให้อย่างดีที่สุด’ ก็คงจะไม่มีความหมายอะไรมากไปกว่าคำสัญญาปากเปล่า  กระนั้นผมกลับยึดมั่นถือมั่นว่ามันจะเป็นเรื่องจริงขึ้นมาสักวันและเป็นผมเองอีกนั่นแหละที่ไม่เคยได้รับบทเรียนเลยว่าคนสำคัญที่แท้จริงของเขาก็คือ แมทเทียส ไม่ใช่ตัวผม  ผมเป็นแค่น้องชายของเพื่อนสนิทและมันไม่เคยมีความหมายอะไรมาตั้งแต่แรกและจะไม่มีตลอดไป ไม่มีใครหรืออะไรจะเปลี่ยนแปลงความจริงในข้อนั้นได้

     

    “มือข้างนั้นไม่ได้ถูกส่งมาสั่นประสาทเฉยๆหรอกนะ รู้ไว้เสียด้วย” เดรโกยังคงจ้องมองผมไม่วางตา “เราต้องไปอัลเท็มไฮม์เพื่อหาต้นตอของเรื่องนี้”

     

    “ทำไมเป็นเรา”

     

     

     

    ใบหน้าของเขายังนิ่ง แต่สายตาจ้องมองผมเหมือนกันว่าคำถามนั้นโง่เสียเต็มประดา “อีกไม่เกินสิบนาทีทุกคนจะประชุมเสร็จ  แล้วใครสักคนจะมาสอบปากคำนายอีกครั้ง” ไม่พอใจจะตอบก็เปลี่ยนเรื่องดังเคย

     

    “จะเอาอะไรกับผมอีกล่ะ ก็ไม่รู้เรื่อง”

     

    “แต่พวกเขารู้ว่านายรู้ ไม่มีคนแก่เจนโลกที่ไหนจับคำโกหกของไอ้หนูน้อยอายุสิบหกสิบเจ็ดอย่างนายไม่ได้หรอกนะเอมิล  อย่าทะนงตัวไปนัก”

     

    ผมหน้าชาเหมือนถูกตบ เดี๋ยวสิ ผมโกหกไม่แนบเนียนพอเหรอ ใบหน้าของผมคงมีแต่คำถามแต่เดรโกไม่เสียเวลาอธิบาย 

     

    “ฉันมีเรื่องต้องคุยกับนายเรื่องแมทเทียส แต่ไม่ใช่ที่นี่และไม่ใช่ตอนนี้ เมื่อมีคนมาสอบปากคำแล้ว นายปล่อยให้เขาพูดไปซักสิบนาที หลังจากนั้นนายจะปวดฉี่แล้วก็อยากออกไปห้องน้ำ จะมีคนเดินประกบนายไปด้วยแต่เขาจะไม่ระมัดระวังเพราะเขาเป็นตำรวจโง่ๆ   ห้องน้ำห้องในสุดที่มีพัดลมระบายอากาศอยู่  พัดลมไม่ได้ถูกใช้งานและก็ไม่ได้ขันสกรูไว้  นายมีเวลา 5 นาทีที่จะปีนออกไปแล้วตรงดิ่งกลับไปที่บ้านโดยที่ไม่ให้ใครพบเห็นเลย  เก็บข้าวของที่จำเป็นให้พร้อมแล้วไปรอฉันที่รถทะเบียน  KH-09878C ที่จอดไว้ใต้อพาร์ทเมนต์”

     

    ผมแทบไม่เชื่อหูตัวเอง  “ไปนั่งรอในรถคุณน่ะเหรอ”

     

    “กระโปรงหลังรถต่างหาก” พูดออกมาหน้าตาเฉยราวกับเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย

     

    “แล้ว....ถ้าผมหนีออกไปเฉยๆ พวกเขาจะไม่ออกหมายจับเหรอ?”

     

    “เพ้อเจ้อ หมายจับอะไร ตอนนี้นายเป็นพยาน ไม่ใช่ผู้ต้องสงสัยแต่ถ้าฉันปล่อยให้นายถูกพวกเขาสอบปากคำมากกว่านี้ มีหวังได้หลุดเรื่องจริงออกมาแน่ จำใส่กะโหลกไว้ นายเป็นพยานและยังเป็นเยาวชนอยู่ จะทำอะไรกับเยาวชนมันไม่ใช่เรื่องง่ายนักหรอกนะ ฉันถึงเกลียดนักเวลาที่เจอนายมานั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่ที่นี่” น้ำเสียงฟังดูหงุดหงิดรำคาญพอๆกับสายตาที่มองผมราวกับเห็นตัวทาก “รีบๆ ใช้ช่องโหว่ของกฎหมายแล้วทำตามที่ฉันสั่งซะ! อย่าสะเออะไปนั่งเสนอหน้าอยู่ข้างคนขับเชียวนะ ถ้าฉันไม่เห็นนายนอนนิ่งๆเหมือนปลาตายในกระโปรงหลัง  นายจะเดือดร้อนกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้ชนิดคิดไม่ถึงทีเดียว”

     

    ขอสาบานว่า คำพูดนี้เป็นของคนที่สัญญากับแมทเทียสว่า จะดูแลน้องชายของเขาอย่างดีที่สุด  ผมขยับปากจะปฏิเสธแต่ในสมองของผมคล้ายจะตอกตะปูตรึงเอาไว้   แม้จะมีเงินเป็นปึกอยู่ในกระเป๋ากางเกง แต่บางสิ่งในหัวคอยย้ำเตือนว่าผมจำเป็นต้องพึ่งเดรโก...ไม่ว่าเขาจะฉุดกระชากลากถูไปทางไหนก็ตาม  ขอให้พ้นสถานการณ์บ้าๆนี้ไปก่อนเถอะ  ผมจะเอาคืนให้สาสม  ‘จะดูแลเป็นอย่างดี’ พอๆกันเลย....

     

    “ตกลงว่าเข้าใจไหม  ไม่ได้หูแตกก็ตอบมา”

     

    ผมพยักหน้า  ทั้งๆที่กล้าพูดเต็มปากเต็มคำว่าไม่เข้าใจอะไรเลย

     

    “กลับไปนั่งที่เดิมได้แล้ว”

     

    “แล้วคุณล่ะ”

     

    เสียงใครบางคนผลักประตูเข้ามาอย่างเร่งรีบ  เราสองคนหันไปมองตามเสียงก็ปรากฏร่างของผู้ชายผิวขาวรูปร่างกะทัดรัดคนหนึ่งหน้าตาซีดเผือดเดินตรงมายังจุดที่เราสองคนยืนอยู่ ผมก้าวถอยหลังปลีกตัวออกมาเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเร่งร้อนขนาดไหน

     

    “ไอ้หนู”

     

    คำนั้นย่อมหมายถึงผม เพราะทั้งห้องเหลือแค่ผมกับเดรโกเท่านั้น  ชายหนุ่มผมสีดำร่าเล็กในเสื้อนอกสีเทาอมน้ำเงินชี้นิ้วมาที่ผม “ไปนั่งรถโต๊ะข้างๆ เดี๋ยวฉันจะออกมาคุยด้วย”

     

    ใครกัน มาออกคำสั่งกับผม แต่ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรในเมื่อเขาดูสนใจเรื่องอื่นมากกว่า  “เดรโก  นักสืบเดรโกครับ”

     

    เจ้าของชื่อไม่ได้ขานตอบแต่ใบหน้าที่ปั้นปึ่งเย็นชาคลายลงเล็กน้อย  สายตาคู่นั้นก็ดูเหมือนอ่อนลงด้วย “มีอะไร”

     

    “ทำไมคุณไม่บอกกันสักคำว่าวันนี้เป็นวันทำงานวันสุดท้าย”  น้ำเสียงตัดพ้ออยู่กลายๆ ผมทำเป็นเดินหนีกลับไปนั่งโต๊ะ แต่ก็ลอบมองทั้งสองคนไม่วางตา  คนที่มาใหม่มีเหงื่อเต็มหลังทั้งๆที่อากาศเย็น  สีหน้าของเขาซีดเผือดราวกับถูกสูบเลือดออกไปหมด

     

    “ฉันจำเป็นต้องทำอย่างนั้นด้วย? เพิ่งรู้นะเนี่ย”

     

    “เรื่องนี้ไม่ยุติธรรม คุณไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบทุกอย่างคนเดียว  ในเมื่อคุณก็รู้ว่าคดีที่เพิ่งปิดไปนั้นมันมีการเมืองเข้ามายุ่งด้วย  ทำไมคุณต้องลาออก แล้วทำไมคุณไม่เคยบอกอะไรสักคำ  ทำไมผมต้องรู้เรื่องนี้เป็นคนสุดท้าย”

     

    เดรโกลาออก? ผมหันขวับทันควันด้วยความตกใจ 

     

    “รู้คนแรกกับคนสุดท้ายก็คงไม่ต่างกัน  ผลลัพธ์มีเพียงอย่างเดียว”

     

    “คุณจะเย็นชากับทุกคนบนโลกก็ไม่มีใครว่าหรอกนะ แต่แม้กระทั่งกับผมเหรอ? ผมเนี่ยนะ?”

     

    “ทำไมฉันต้องยกเว้นนายด้วยล่ะ กอร์ดี้”

     

    นายตำรวจคนนั้นชื่อกอร์ดี้  ผมเพิ่งสังเกตว่าชายคนนั้นสวมเสื้อเชิ้ตผูกเนคไทแบบเดียวกันกับเดรโกและถ้าเข้าใจไม่ผิดล่ะก็...

     

    “เพราะผมเป็นคู่หูของคุณน่ะสิเดรโก!! ไอ้บ้าเอ๊ย!!” กอร์ดี้แผดเสียงดังลั่น ผิวหน้าขาวๆของเขาเป็นสีแดงก่ำราวกับมีแอลกอฮอล์อยู่ในเลือดมากเกินไป นักสืบคู่หูของเดรโกกำหมัดที่สั่นระริกของตัวเองแน่นคล้ายอยากจะต่อยอีกฝ่ายให้คว่ำแต่ก็ทำไม่ลง “ทำไมไม่เคยบอกอะไรผมเลย”

     

    “เพราะนั่นเป็นบทเรียนของนายที่จะได้รู้จักสังเกตพฤติกรรมคนรอบข้างให้มากเข้าไว้” คนจะลาออกตอบกลับเรากับว่าประโยคคำถามนั้นไร้ซึ่งเยื่อใยต่อกัน “และเรื่องนี้พิสูจน์แล้วว่านายพลาดไปหลายอย่างในฐานะนักสืบ  อย่างน้อยที่สุดฉันไม่ได้ลาออกลับๆ เอกสารก็วางหราอยู่ในห้องสารวัตร  อย่างที่สอง นายไม่ฝึกตัวเองให้หูไวตาไวมากเพียงพอที่จะจับสังเกตคนรอบข้างแม้กระทั่งคนที่เจอหน้าทุกๆวันอย่างฉัน คนเขาปิดกันให้แซดทั้งโรงพัก ทำไมนายถึงไม่ระแคะระคายอะไรบ้าง อย่างที่สาม ตอนนี้เรียกว่าพักงานชั่วคราวเป็นเวลาสองเดือน  ใบลาออกของฉันมีผลในวันที่ 31 มกราคมปีหน้า  ดังนั้นอย่าโวยวายให้มันมากนัก มีงานก็ทำให้ดีๆ คดีรออยู่อีกเป็นร้อย”

     

    “ถ้าคุณบอกผมสักคำ  ผมก็คงพยายามมากกว่านี้” กอร์ดี้โอดครวญแต่คงยากที่จะได้รับความเห็นใจ เดรโกยกมือโบกห้ามไม่ให้พูดต่อเป็นทำนองว่าเรื่องเล็กน้อยอย่าใส่ใจ

     

    “คนที่จะออกคือฉัน ไม่ใช่นาย  ที่เหลือก็แค่พยายามใหม่ด้วยตัวเอง”

     

    กอร์ดี้อ้าปากค้างคล้ายจะเถียงแต่ก็ไม่มีคำพูดคร่ำครวญอะไรหลุดออกมาอีก  เขาคงรู้สึกเหมือนโดนค้อนปอนด์ทุบเข้าที่กกหูเมื่อคู่หูนักสืบทิ้งไปอย่างไม่ไยดี  สีหน้าของชายหนุ่มดูสิ้นหวัง   แขนขาไร้เรี่ยวแรง  ผมนึกสงสัยว่าเวลาที่เจอเหตุฆาตกรรมร้ายแรงนั้นกอร์ดี้จะมีอาการอย่างไร จะอ่อนปวกเปียกแบบนี้ไหม หรือว่าการลาออกของเดรโกสร้างความสะเทือนใจให้กับเขายิ่งกว่าศพเน่าเหม็น

     

    “โอเค...ผมจะพยายาม....จะ.....จะพยายาม โดยที่ไม่มีคุณ” เสียงของเขาสั่นใกล้จะร้องไห้เต็มทน เดรโกเพียงแค่พยักหน้าครั้งหนึ่งรับรู้ความเป็นไป  แม้สายตาจะอ่อนลงอย่างเห็นอกใจแต่ก็ไม่มีคำพูดปลอบโยนหลุดออกมา  

     

    “นายจะได้ครูที่ดีกว่าฉัน กอร์ดี้”

     

    “ไม่มีทาง”

     

    เดรโกยักไหล่ “ใครจะรู้  วันหนึ่งนายอาจจะพบว่า ฉันไม่ได้เป็นแค่คู่หูงี่เง่า คาดเดาไม่ได้และเอาแต่ใจจนปวดหัวแต่ยังเป็นครูที่ห่วยบรมก็ได้  อย่าประเมินอนาคตไว้แย่ขนาดนั้น”

     

    “ไม่มีวันนั้นเสียหรอก ผมไม่ได้สมัครเข้าเป็นตำรวจเพื่อดูใครถูกการเมืองรังแก” กอร์ดี้เสียงแข็งขึ้น สายตาที่เศร้าโศกกลับเป็นประกายแข็งกร้าว 

     

    เดรโกจุดยิ้มบาง เมื่อประกอบกับดวงตาสีฟ้าอมเทาคู่สวยใต้แพขนตาสีบลอนด์หม่นของเขา  กลับรู้สึกได้ว่าข้างในหัวใจที่ไม่มีใครรู้ว่าคิดอะไรอยู่ อาจจะมีเศษเสี้ยวของความอ่อนโยนอยู่บ้างก็ได้

     

    “นายจะเป็นตำรวจที่ดี  ดียิ่งกว่าฉันมาก”

     

    เมื่อจบคำพูดนั้นก็มีแต่ความเงียบงัน กอร์ดี้เม้มปากแน่นคล้ายหักห้ามตัวเองไม่ให้พูดอะไรออกมา  ในขณะที่อีกฝ่ายบ่ายหน้าไปมองห้องที่เก็บของค้างอยู่ “ฉัน---” “หากคุณต้องการความช่วยเหลืออะไร จะโทรหาผมใช่ไหม”

     

    “หือม์ ก็คงจะใช่... ถ้าไม่รังเกียจ”

     

    “โทรหาผม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือร้ายอะไร  สัญญาสิว่าคุณจะไม่แกล้งทำเบอร์โทรศัพท์ของผมหาย”

     

    เดรโกพยักหน้าเป็นการสั่งลาสุดท้ายและทำให้กอร์ดี้ยอมล่าถอยออกมาโดยดี  ผมอดรู้สึกโล่งใจไปด้วยไม่ได้ที่ทั้งคู่แยกจากกันด้วยดี  ทั้งๆที่เรื่องนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวกับผมเลยสักนิด  อาจจะเป็นเพียงความอิจฉาของเด็กเล็กๆ ผมรู้ว่าเดรโกรักแมทเทียส  รักแค่ไหน เท่าไหน แบบไหนก็ไม่อาจจะระบุเจาะลงลงไปได้ แต่เรื่องนี้เป็นความจริงเช่นเดียวกับพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกหรือโลกหมุนรอบตัวเองเลยทีเดียว  ผมอาจจะเพียงอยากให้เดรโกถนอมความรู้สึกห่วงหาอาทรคนอื่นไว้ให้เพียงแค่พี่ชายผมคนเดียวเท่านั้นและถ้าเผื่อมาถึงผมบ้่างก็คงจะดีหรอก....  ถ้ามันจะมีเศษเหลือๆอยู่ล่ะก็

     

    กอร์ดี้เดินย้อนกลับมาทางผมแล้วยิ้มเจื่อนให้ “ไอ้หนู ชื่ออะไร”

     

    “เอมิล”

     

    “นามสกุล?”

     

    “เอมิล  มาร์เควิคช์”

     

    คนฟังขมวดคิ้ว “ผู้อพยพ?”

     

    “ครอบครัวของเราลี้ภัยสงครามมาตั้งแต่แม่ยังสาว ผมถือสัญชาติเดียวกับคุณและพี่ชายผมจ่ายภาษีเต็มเม็ดเต็มหน่วย เผื่อคุณอยากจะรู้” กอร์ดี้เผลอขมวดคิ้ว เขาคงไม่คิดมาก่อนว่าหน้าอย่างผมจะตอบคำถามเขาแบบนี้ “ตกลงใครจะสอบปากคำผมกันแน่ ถ้าไม่มีจะกลับบ้านแล้วนะ”

     

    “ใจเย็นๆ ฉันแค่ถามนายดูเฉยๆ ไม่ต้องกลัวนะ”

     

    “ผมไม่ได้กลัว ผมเบื่อที่จะรอ” ผมย้อนทันควัน “ผมให้เวลาพวกคุณอีกห้านาที ถ้าไม่มีใครโผล่ขึ้นมาสอบปากคำรอบที่สอง ผมจะได้ไปทำธุระอื่นๆเสียที”

     

    “ได้ข่าวว่าเธอไม่ได้ไปโรงเรียน”

     

    “ผมจะไปเยี่ยมแม่ที่โรงพยาบาล  ผมต้องไปเยี่ยมเธอวันเว้นวันและวันนี้ต้องอ่านหนังสือให้แม่ฟังด้วย”

     

    “แม่เธอเป็นอะไรถึงต้องอยู่ที่โรงพยาบาล

     

    เห็นได้ชัดว่าตำรวจทุกคนที่นี่มีปัญหากับการจัดการพยานที่เป็นเยาวชนและรับมือได้ยากอย่างผม ซึ่งนั่นทำให้ผมรู้สึกบันเทิงพอสมควรในการดูตำรวจวิ่งหัวปั่นแต่ทำอะไรไม่ได้ “คุณจะสอบปากคำผมเหรอ ให้ผมไปขอสำเนาจากรองสารวัตรให้ไหม? จะได้ไม่เสียเวลา”

     

    กอร์ดี้ทำคิ้วพันกัน “ฉันก็มีคำถามของฉันน่า เข้าไปนั่งในห้องนั่น แล้วเราจะเริ่มคุยกัน”

     

    “ยกตัวอย่างมาสักห้าคำถามก่อนแล้วผมจะบอกคุณว่าผมตอบไปหรือยัง” ไม่รู้ยังไงผมนึกอยากกวนประสาทให้เขาวุ่นวายใจเล่นทั้งๆที่เห็นได้ชัดว่านักสืบกอร์ดี้ต้องการความร่วมมือจากพยานหนุ่มน้อยหัวอ่อนผู้อ่อนน้อมถ่อมตนและประสงค์จะให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในทุกวิถีทางจนกระทั่งจับมาตรกรใจเหี้ยมได้สำเร็จ พอเถอะ เสียเวลา

     

    “เอมิล!! หุบปากแล้วเข้าไปนั่งในห้องนั้นดีๆ” เสียงตวาดดังมาจากด้านหลังทำเอาสะดุ้งโหยงทั้งสองคน  นักสืบเดรโกโผล่หน้ามาจากห้องทำงานแล้วจ้องผมดุๆ “อย่าปากดีให้มากนัก ไม่ใช่หน้าที่ก็ไม่ต้องพูด”

     

    ผมจิ๊ปากอย่างขัดใจแต่หูที่ไวนรกของอีกฝ่ายคงจะได้ยินเข้าเต็มๆจึงแผดเสียงขึ้นมาอีกรอบ

     

    “ไม่อยากถูกโยนเข้าไปข้างในก็ใช้ขาสองข้างให้เป็นประโยชน์ซะ”

     

    นักสืบกอร์ดี้ยักไหล่ให้ผม แล้วบุ้ยหน้าไปทางห้องสอบปากคำที่ว่างอยู่ “เชิญ”  ผมกระทืบส้นเท้าเดินเข้าห้องอย่างหงุดหงิด วินาทีสุดท้ายเดรโกก็ยังเข้าข้างกอร์ดี้  เหอะ...  พนันมาสิว่านักสืบหน้าเด็กคนนี้ไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับนักสืบรุ่นพี่

     

    ผมสบตากับเดรโกแล้วรู้สึกกังวลขึ้นมา....  พูดง่ายแต่ทำยาก

     

    ฉันมีเรื่องต้องคุยกับนายเรื่องแมทเทียส .....ห้องน้ำห้องในสุดที่มีพัดลมระบายอากาศอยู่  พัดลมไม่ได้ถูกใช้งานและก็ไม่ได้ขันสกรูไว้  นายมีเวลา 5 นาทีที่จะปีนออกไปแล้วตรงดิ่งกลับไปที่บ้านโดยที่ไม่ให้ใครพบเห็นเลย  เก็บข้าวของที่จำเป็นให้พร้อมแล้วไปรอฉันที่รถ.... ถ้าฉันไม่เห็นนายนอนนิ่งๆเหมือนปลาตายในกระโปรงหลัง  นายจะเดือดร้อนกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้ชนิดคิดไม่ถึงทีเดียว

     

    ข่มขู่และลักพาตัวพยาน? เดรโกเป็นตำรวจประเภทไหนกันแน่ !?!





    To be continue.....

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×