ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เพลิงรักมาเฟีย

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ ๑ แรกพบสบตา (๓)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 813
      3
      6 ส.ค. 59



    เพลิงรักมาเฟีย มีจำหน่ายในรูปแบบอีบุ๊ค ตามลิงค์ด้านล่างค่ะ
    https://www.mebmarket.com/ebook-45467-%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%9F%E0%B8%B5%E0%B8%A2


    สี่ทุ่มของค่ำคืน ร่างสูงใหญ่ซึ่งแต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตแบรนด์ดังสีขาว ช่วงขากำยำนั้นอยู่ภายใต้กางเกงยีนราคาแพง กำลังเดินลิ่วๆ ลงบันได ปลายนิ้วเรียวหนาควงกุญแจรถคันโปรดพร้อมฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี นำพาตัวเองมุ่งตรงไปยังประตูบ้าน หากขยับไม่กี่ก้าว เสียงคุ้นชินของใครบางคนก็ร้องถาม

    “คุณฟาบี้จะออกไปไหนคะ ดึกดื่นขนาดนี้”

    “คืนนี้ผมไม่กลับนะครับป้าเรซาน ผมคงค้างที่ทาวน์เฮาส์”

    เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาไม่ได้ใส่ใจในประโยคคำถามของแม่บ้านเก่าแก่เลยสักนิด บอกออกไปแค่นั้นก็เดินเร็วตรงดิ่งไปยังรถซีตรองคันโปรด ทว่ายังไม่ทันได้ติดเครื่องกลให้ทำงาน กระจกรถก็ถูกเคาะหนักๆ ซะก่อน มือหนากดปุ่มอัตโนมัติให้กระจกรถเลื่อนลง พลางจ้องมองใบหน้าของคนที่มาขัดจังหวะตาไม่กะพริบ

    “พรุ่งนี้คุณท่านจะกลับจากอังกฤษ คุณฟาบี้ควรมารับประทานมื้อค่ำกับท่านนะคะ”

    “แด็ดจะกลับแล้วหรอ นึกว่าจะย้ายบ้านไปอยู่ที่นั่นถาวรซะอีก”

    “เดี๋ยวเถอะค่ะ”

    มือหนายกขึ้นเป็นการห้ามปรามคำต่อว่า แล้วเอ่ยออกมาเบาๆ

    “ถ้าผมว่าง พรุ่งนี้ป้าเรซานก็คงเห็นหน้าหล่อๆ ของผมเองนั่นแหละ แต่ถ้าไม่ แด็ดก็ทานคนเดียวได้ ในเมื่อผมก็ทานคนเดียวมานานนับเดือน”

    ยังไม่ทันที่เรซานจะเอ่ยอะไร กระจกรถคันหรูก็เลื่อนปิด แม่บ้านอายุวัยห้าสิบต้นๆ ทำได้แค่ยืนมองตัวรถที่เคลื่อนออกจากคฤหาสน์คาร์มิโออย่างช้าๆ จนมองไม่เห็นไฟท้าย ถึงได้หมุนกายกลับเข้าตัวคฤหาสน์อย่างเงียบๆ มาถึงเชิงบันไดก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อเห็นใครบางคนยืนกอดอกมองมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย

    “คุณป้าคะ ทำหน้าแบบนั้น เดี๋ยวก็แก่ขึ้นอีกสิบปีหรอกค่ะ”

    คำพูดที่หลุดออกมาจากปากเชลล์ หลานสาวคนเดียววัยสิบเจ็ดปี ทำให้แม่บ้านวัยชราอ่อนอกอ่อนใจ

    “พอแล้วแม่เชลล์ ฉันรบกับเจ้านายน้อยก็เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว อย่าหาเรื่องให้ฉันแก่ไปมากกว่านี้เลย”

    บอกปัดแค่นั้นก็ก้าวตรงไปยังห้องพักของตัวเอง โดยมีเด็กสาวเดินตามไปอย่างเงียบๆ ปล่อยให้คฤหาสน์ที่ยิ่งใหญ่และกว้างขวางกลับกลายเป็นเงียบเหงาและว้าเหว่ เมื่อเจ้าของคฤหาสน์ทั้งสองคนทิ้งมันไว้ให้เป็นเพียงอนุสรณ์สถาน เป็นโบราณวัตถุที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ ทว่าไม่เหมาะแก่การปักหลักใช้ชีวิตอย่างถาวร เรียกได้ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ยึดเหนี่ยวหัวใจของสองพ่อลูกไม่ให้ทอดทิ้งกันและกันเท่านั้นเอง

     

     

    ถซีตรองคันหรูเคลื่อนตัวเข้าสู่เมืองแห่งแสงสีด้วยอัตราความเร็วไม่มากนัก ผู้คนรอบด้านเริ่มเดินตามท้องถนนกันอย่างพลุกพล่าน มีตึกสูงรูปทรงต่างๆ ลดหลั่นกันงดงาม เป็นสถาปัตยกรรมที่สมบูรณ์แบบลงตัวและน่าหลงใหล ฟาบริช คาร์มิโอค่อยๆ เหยียบคันเร่งไปอย่างช้าๆ ตรงไปยังหัวมุมตึกของบล็อกอย่างคุ้นชิน

    เมื่อมาถึงตึกสูงเจ็ดชั้นกลางใจมหานครปารีส ชายหนุ่มก็หักเลี้ยวพวงมาลัยชิดริมฟุตปาท ดับเครื่องยนต์แล้วผลักประตูรถให้เปิดออกกว้าง ส่งกุญแจรถให้กับบอดี้การ์ดหนุ่ม ก่อนจะก้าวเข้าไปภายในผับ ซึ่งเป็นกิจการที่ตัวเองควบคุม

    ประตูทางเข้าของผับชื่อดังทำด้วยกระจกลายโค้งยาว เสริมด้วยกรอบบานไม้สีเขียวเข้มดูเย็นตา ด้านในตกแต่งด้วยโต๊ะไม้สีโอ๊กและเก้าอี้บุผ้ากำมะหยี่สีแดงเลือดนก มุมชั้นในสุดตกแต่งด้วยชุดโซฟากำมะหยี่เสริมบรรยากาศสบายๆ คล้ายอยู่บ้าน โดดเด่นด้วยเครื่องดื่มนานาชนิด ที่ผ่านการคัดสรรมาจากทั่วทุกมุมโลก มีค็อกเทลให้เลือกแบบคลาสสิกและแบบพิเศษ มีบรั่นดีและวิสกี้ชั้นนำไว้คอยบริการ อันเป็นเอกลักษณ์ของผับบรอดเวย์ หนุ่มสาวในเมืองต้องยกให้ที่นี่เป็นที่หนึ่ง เรียกได้ว่าเมื่อนึกถึงผับและบาร์ ก็ไม่มีใครเอ่ยถึงที่อื่น

    เจ้าของธุรกิจแทรกกายผ่านการ์ดหนุ่มที่ก้มหน้าให้ เดินรุดหน้าเข้ามาภายใน เวลานี้บรรยากาศในร้านค่อนข้างคึกคักทีเดียว บรรดานักท่องเที่ยวต่างครื้นเครงและดื่มด่ำกันอย่างสนุกสนาน ราวกับหลุดออกจากโลกที่แสนเหน็ดเหนื่อย มาที่นี่ทุกคนได้ผ่อนคลาย ปลดปล่อยตัวเองได้อย่างอิสรเสรี ไร้กฎหมายของประเทศผู้ดีควบคุม สาวๆ และหนุ่มๆ ต่างทุ่มเทเวลากลางคืนอยู่ที่นี่ จนถึงค่อนรุ่งสางถึงได้กลับไปผจญกับชีวิตประจำวันที่แสนวุ่นวาย

    เฮ้ย! เจ้านายมา”

    เสียงร้องของชายชุดดำดังขึ้น ในขณะที่การ์ดแต่ละนายค่อยๆ ขยับกายเปิดทางให้กับเจ้านายหนุ่มอย่างรีบร้อน จนผ่านเข้าไปถึงห้องผู้จัดการได้อย่างง่ายดาย เมื่อเข้ามาในห้องที่ปิดทึบ ไร้เสียงจากบุคคลภายนอกเข้ามากล้ำกราย ฟาบริช คาร์มิโอก็หย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้หลุยส์ตัวยาว ยกขาไขว่ห้างท่าทางดูสบายๆ ไม่เคร่งเครียด แขนทั้งสองข้างวาดไปตามพนักพิง พยักหน้าให้ลูกน้องของตัวเองเมื่ออีกฝ่ายร้องทัก ก่อนจะยกมือปัดไล่ผู้จัดการให้ออกไปรอด้านนอก สบตากับลูกน้องคนสนิททั้งสองของตัวเองนิ่ง เป็นเชิงบอกกล่าวว่าเรื่องนี้ไม่สมควรที่ผู้จัดการผับจะอยู่ฟังบทสนทนาด้วย เมื่อพ้นบุคคลส่วนเกิน จอห์น มาร์ดิ และดอม เคิร์ท ก็นั่งประจำบนเก้าอี้ตัวถัดไป รอคนเป็นนายเริ่มประโยคแรก

    “เป็นยังไงบ้าง ไอ้พวกเศษสวะนั่น มันมีความเคลื่อนไหวอะไรหรือเปล่า”

    เมื่อบุคคลอื่นก้าวออกไป ริมฝีปากได้รูปก็ขยับถาม พร้อมคว้าแก้ววิสกี้มากระดกเข้าลำคอ ไม่อนาทรร้อนใจกับรสชาติที่บาดลึกของมันเลยสักนิด การ์ดหนุ่มทั้งสองนายตีสีหน้าเยือกเย็น ก่อนดอมจะพยักพเยิดให้คู่หูเป็นฝ่ายเริ่มรายงาน

    “ได้เรื่องครับ ไอ้ไรอัน เคจน์นั่น มันเป็นลูกน้องมือดีของตาเฒ่าลอร์แกน เหยี่ยวข่าวของเรารายงานมาว่า มันต้องการยึดเขตพื้นที่ของยุโรปทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นดินแดนทางตะวันออก ทางใต้ รวมทั้งด้านตะวันตกของเราด้วย เห็นว่าจะรวมเป็นหนึ่งเดียวโดยที่มันเป็นผู้ควบคุม”

    จอห์นบอกเล่ายาวเหยียด มุมปากของคนเป็นนายกระตุกยิ้ม

    “ไอ้แก่นี่โลภมากชะมัด นายส่งลูกน้องของเราไปสืบด้วยว่า ดินแดนอื่นถูกรุกรานบ้างหรือเปล่า ไม่แน่ ไอ้พวกนั้นอาจจะร่วมมือกับตาเฒ่าก็เป็นได้ กัดเราเสร็จ พวกมันคงแว้งกัดกันเอง”

    เขตแดนที่ถูกเอ่ยถึงคือโซนยุโรปใต้ที่มีตระกูลโบนาดัคซี่ควบคุม รวมถึงยุโรปตะวันออกในการปกครองมุมมืดของตระกูลมาซิมอร์เลียน และยุโรปเหนือที่ถูกยึดอำนาจโดยตระกูลของลอร์แกน เลอมาร์ด ชายผู้มีอายุวัยห้าสิบเจ็ดปี ในอดีตเคยมีใครบางคนจะรวมอำนาจมืดนี้ให้เป็นหนึ่งเดียว แต่เมื่อตกลงและเจรจากันใหม่ ผลที่ได้ก็คือต่างเขตต่างควบคุมกันเอง ไม่ยุ่งเกี่ยวและบุกรุกอำนาจของแต่ละฝ่าย ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น แต่เวลานี้ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์กำลังวางแผนที่จะทำแบบนั้นอีกครั้ง ซึ่งไม่มีทางที่ตระกูลเก่าแก่ของแต่ละโซนจะยินยอม

    “เท่าที่คนของเราได้ข่าวมา เจ้าของดินแดนพวกนั้นก็คงไม่ยอมง่ายๆ ผมว่าไม่น่าห่วงอะไร” ดอมเอ่ยขึ้น หลังนิ่งเงียบอยู่สักพัก

    “อย่ามองโลกในแง่ดีสิไอ้สมอล”

    เสียงห้าวหาญของคู่หูร่วมชะตากันร้องท้วง เล่นเอาเจ้าตัวถึงกับต้องถลึงตาใส่

    “ฉันชื่อดอม เคิร์ท เรียกให้ถูกเว้ย!” เมื่อจิกกัดเพื่อนรักพอเป็นพิธี หนุ่มรูปร่างเล็ก หุ่นเพรียวยิ่งกว่าอิสตรีก็หันมาสบตาคนเป็นนาย

    “ไว้ผมจะไปจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยนะครับ”

    ฟาบริชพยักหน้ารับรู้ ยืดตัวเองลุกจากโซฟาหรู ทอดสายตามองผ่านกระจกโปร่งแสง ซึ่งปรากฏภาพบรรยากาศครึกครื้นของผู้คนนับร้อยชีวิต ไม่ถึงวินาทีก็เอ่ยออกมาแผ่วเบา

    “เรื่องที่เกิดขึ้นทุกคนอาจต้องเหนื่อยกันหน่อย เอาเป็นว่าคืนนี้ให้คนของเราสนุกได้เต็มที่”

    สิ้นเสียงของคนเป็นนาย สองหนุ่มหล่อต่างไซซ์ยกยิ้มที่มุมปากน้อยๆ จัดการกดปุ่มป่าวประกาศว่าให้แขกที่มาใช้บริการในค่ำคืนนี้ล่าถอยกลับไปดื่มด่ำที่อื่น เพราะนั่นหมายความว่าในค่ำนี้ผับบรอดเวย์จะให้บริการแค่เพียงคนของตระกูลคาร์มิโอเกือบสามสิบชีวิตที่อยู่ที่นี่เท่านั้น แม้จะสร้างความไม่พอใจให้กับใครหลายๆ คน แต่ทุกคนก็ยอมย้ายสะโพกก้าวออกจากผับโดยไร้เสียง เพราะนั่นหมายถึงค่าเครื่องดื่มที่กลืนเข้าไปในลำคอ ไม่ต้องควักเงินจ่ายแม้แต่ยูโรเดียว

    และอีกอย่างคงไม่มีใครกล้าต่อกรกับเจ้าของผับ เพราะขาประจำซึ่งเข้ามาใช้บริการที่นี่ย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจว่าตกอยู่ภายใต้อำนาจของใคร ยกเว้นคนที่หลุดโลกเพียงหนึ่งเดียวซึ่งคงไม่ค่อยได้มาที่นี่บ่อยนัก ถึงได้กล้าโพล่งออกมาเสียงดังลั่น

    “จะบ้าหรือไงวะ”

    ดัคซ์ คอร์เนอร์ นักดนตรีมือสมัครเล่นร้องท้วงด้วยน้ำเสียงค่อนข้างดัง เรียกความสนใจจากทุกคนจนเป็นจุดเดียว ไม่เว้นแม้กระทั่งเพื่อนสาวที่นั่งร่วมโต๊ะด้วยอย่างลิสซี่ เพิร์ลรัซ บรรณาธิการสาวแห่งนิตยสารแฟชั่นชื่อดัง ที่ต้องรีบยกมืออุดปากเพื่อน ไม่ให้เสียงโวยวายนี้เล็ดลอดไปกระทบโสตประสาทของใครบางคนเข้าให้ แต่รู้สึกว่าจะช้าไปนิด เมื่อบุรุษชุดดำสองหนุ่ม ผมเกรียนสั้น รูปร่างอ้วนล่ำ เดินตรงดิ่งเข้ามาใกล้ อึดใจต่อมาเสียงห้าวกดต่ำก็ดังขึ้น

    “แกมีปัญหาอะไรไอ้หน้าอ่อน ถ้ายังอยากใช้ชีวิตและมีลมหายใจกลับไปมีความสุขกับสาวเซ็กซี่ที่ควงมา ก็หุบปากและย้ายก้นเน่าๆ ของแกออกไปจากที่นี่ซะ อย่าหาว่าไม่เตือน”

    คนถูกปิดปากไว้รีบแกะไม้แกะมือเพื่อนสาวออกจ้าละหวั่น เมื่อหลุดพ้นก็โพล่งออกมาอย่างที่ใจคิด

    “เรื่องอะไร คิดว่าใหญ่คับปารีสหรือไง เจ้าของร้านอยู่ไหน ไล่ไอ้พวกอันธพาลนี่ไปให้ไกลๆ หน่อย ไม่อย่างนั้นเรื่องถึงตำรวจแน่ ให้มันรู้ไปว่าปารีสไม่มีกฎหมาย”

    ประโยคที่หลุดออกจากปากของเพื่อนหนุ่มเล่นเอาบรรณาธิการสาวแทบอยากกลั้นใจตาย มือบางรีบคว้าแขนล่ำสันให้ลุกจากเก้าอี้ หวังจะลากอีกฝ่ายไปให้พ้นกับบรรยากาศที่ชวนอึดอัดนี้

    “นี่ดัคซ์ ไม่เอาน่า กลับกันเถอะ ไปรอยัยแคทข้างนอกก็ได้ ไม่เห็นหรือไง พวกนั้นจ้องจนตาจะถลนอยู่แล้ว” เสียงหวานกระซิบบอก พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะไม่ให้เพื่อนรักได้รับบาดเจ็บ พร้อมขยิบตาให้อีกฝ่ายยอมทำตามและขยับเท้าก้าวไปตามแรงดึง แต่ก็ไม่ได้ดั่งใจเลยสักนิด เมื่อแรงขัดขืนนั้นเพิ่มมากขึ้น แถมนักดนตรีมือสมัครเล่นอย่างดัคซ์ยังก้มมากระซิบใกล้ๆ อีก

    “ไปยอมมันทำไมเล่าลิส ผับนี้มันเปิดบริการประชาชน ให้พวกเราเข้ามาดื่ม มาเต้น มาสนุกสนาน ถ้าพวกมันอยากใช้บริการแบบเป็นส่วนตัว ทำไมมันไม่ไปเปิดเอง เอาน่า...มันไม่มีสิทธิ์มาไล่พวกเรานะ”

    “แต่ฉันว่า...”

    ลิสซี่พยายามทักท้วง แต่อีกฝ่ายก็ยกมือขึ้นเป็นเชิงปราม

    “อย่าห่วงน่าลิส ไว้ฉันจัดการเอง สั่งเครื่องดื่มเตรียมให้เรียบร้อย เดี๋ยวแคทมาถึง เราจะได้ฉลองกัน”

    บอกเพื่อนสาวแค่นั้นก็ก้าวมาเผชิญหน้ากับสองร่างอ้วนล่ำอย่างไม่หวั่นเกรง ในขณะที่การ์ดของฟาบริชเตรียมพร้อมรอยำในอัตรารุนแรง เหตุการณ์นั้นทำให้ใครบางคนที่ก้าวออกมาจากห้องผู้จัดการเตรียมขึ้นชั้นสามโซนวีไอพีถึงกับหยุดชะงัก สายตาเพ่งเล็งไปเบื้องหน้า ก่อนจะหันมามองการ์ดมือซ้ายคนสนิท ผุดรอยยิ้มเย็นให้แล้วเอ่ยสั่งเบาๆ

    “อย่าหนักมือนะจอห์น ห้ามให้เลือดสดๆ ของไอ้ไก่อ่อนนั่นมันหยดลงมาเปื้อนผับของเรา จัดการเรียบร้อยก็ส่งเด็กขึ้นไปบริการฉันที่ห้องส่วนตัวด้วย นายรู้ใจฉันเสมอใช่ไหม”

    “ผมจะจัดการให้ครับ”

    จอห์นตอบรับแค่นั้นก็ค้อมตัวเดินไปทำหน้าที่ของตัวเอง โดยมีเพื่อนสนิทอย่างดอม เคิร์ทก้าวขายาวๆ รั้งท้าย แหวกฝูงลูกน้องนับยี่สิบชีวิตเข้าไปเผชิญหน้ากับบุคคลที่กล้าลุกขึ้นมาท้าทายอำนาจ เมื่อเห็นว่าร่างนั้นไม่คณามือคณาเท้าก็ได้แต่แสยะยิ้ม

    “ทำไมยังไม่ย้ายก้นออกไปจากที่นี่อีก ผับปิดแล้วหูแตกหรือไง”

    จอห์นตะคอกใส่อย่างเหนื่อยหน่าย ในขณะที่ดอมจับจ้องดูความเคลื่อนไหวอย่างไม่แยแส คว้าแก้วบรั่นดีมานั่งจิบฆ่าเวลาอย่างสบายอารมณ์ รอดูความหายนะของอีกฝ่ายเงียบๆ

    “ปิดยังไง เห็นอยู่เต็มตาว่ามันเปิดอยู่ พวกฉันจะดื่มที่นี่” ดัคซ์ยังคงยืนกรานเสียงแข็ง

    “แน่ใจ...”

    “แน่ยิ่งกว่าแช่แป้งอีก”

    สิ้นคำตอบของดัคซ์ จอห์นเงื้อกำปั้นขึ้นสูง หวังจะตะบันลงใบหน้าของชายหนุ่มเต็มแรง แต่ช้าไปเพียงนิด เมื่อเสียงสั่นๆ ของใครบางคนร้องห้าม

    ว้าย! หยุดนะ หยุด! อย่าเพิ่งต่อยเขา”

    ร่างเพรียวของลิสซี่กรีดกรายเข้ามาแทรกกลาง ก่อนจะคว้าแขนเพื่อนรักบีบไว้แน่น เขย่งปลายเท้ายืดตัวขึ้นสูง กระซิบเข้าที่ใบหูของอีกฝ่าย

    “นี่ดัคซ์ ไปกันเถอะ ไม่เห็นหรือไง คนอื่นๆ เขาทยอยออกจากร้านกันจนหมดแล้ว ไม่มีใครเขาหน้าด้านอยู่เหมือนเราหรอกนะ ที่นี่เป็นผับของตระกูลคาร์มิโอ”

    “แล้วไง” ดัคซ์ถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ

    “แล้วไงน่ะเหรอ ก็ลูกชายของมิสเตอร์เฟร์บริช คาร์มิโอเพิ่งก้าวขึ้นไปชั้นวีไอพีเมื่อกี้ ดูซะมั่งสิ ไม่ใช่มัวแต่ใช้อารมณ์เป็นใหญ่ เอะอะโวยวายเป็นที่หนึ่งไม่มีใครเกิน”

    ลิสซี่ทำหน้าเหนื่อยหน่ายแล้วตะคอกใส่หูของเพื่อนชายดังลั่น เล่นเอาดัคซ์รีบตะเบ็งเสียงตอบกลับมาแทบจะทันที

    “ทำไมเธอไม่บอกให้เร็วๆ กว่านี้ เกือบตายแล้วไหมล่ะ กลับกันเถอะ ป่านนี้แคทคงไม่มาแล้วมั้ง”

    ก่อนจะหมุนกายหันหลังยังอดไม่ได้ที่จะยิ้มแหยๆ ให้กับจอห์นที่พร้อมขย้ำตนอยู่ทุกเมื่อ แต่ทั้งคู่ขยับเพียงไม่กี่ก้าว ก็แทบจะกัดลิ้นตายพร้อมหักคอตัวเองให้แดดิ้น เมื่อมองเห็นร่างเพรียวบางในชุดกางเกงยีนสีเข้มกับเสื้อกล้ามสีน้ำตาล สวมด้วยรองเท้าผ้าใบสีดำ พร้อมปล่อยผมยาวสลวยจนถึงกลางหลัง ในมือนั้นมีกระเป๋าสะพายใบเก่งที่บ่งบอกว่าผ่านการใช้งานมาหลายปีพาดอยู่บนไหล่บาง ดวงตาสีน้ำทะเลกรีดด้วยอายไลเนอร์โทนเดียวกันอย่างลงตัว ริมฝีปากระเรื่อสีชมพูดูสดใสน่ามอง

    แคทเธอรีน เรอิชายิ้มกว้างให้เพื่อนสนิท หลังจากแทรกกายพ้นประตูซึ่งเต็มไปด้วยฝูงชนที่มุ่งเดินออก ไม่รู้ว่าจะรีบไปไหนกัน ทั้งๆ ที่ยังมีเวลาสำหรับความสนุกอีกเยอะ

    “เอ้า! ดัคซ์ ลิสซี่ จะไปไหนล่ะ แคทเพิ่งมาถึงเอง เหนื่อยจะแย่”

    เอ่ยแค่นั้นก็ลากแขนเพื่อนๆ ให้เดินกลับเข้ามาข้างใน โดยที่ทั้งสองคนได้แต่ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก อยากบอกแต่เหมือนปากจะหนักขึ้นเป็นกิโล ได้แต่เดินตามร่างระหงกลับเข้าสู่ด้านในอย่างเงียบๆ จนกระทั่งก้าวเร็วๆ มาหยุดอยู่ตรงบาร์ แคทเทอรีน เรอิชาในวัยยี่สิบห้าปีเต็ม ร้องสั่งเครื่องดื่มกับพนักงานในชุดทักซิโด้สีขาวก่อนจะหันมามองหน้าเพื่อนรักแล้วอมยิ้ม ในขณะที่คนถูกสั่งได้แต่ทำหน้ายู่ กวาดสายตามองหาผู้จัดการของร้านอย่างต้องการทางออก

    “ไปนั่งร้านอื่นกันเถอะแคท ลิสไม่ชอบบรรยากาศที่นี่สักเท่าไร” ลิสซี่รีบบอกไปด้วยน้ำเสียงที่บังคับไม่ให้สั่น แล้วทำท่าทางจะฉุดรั้งร่างเล็กให้ตรงไปยังทางออกอีกครั้ง โดยมีดัคซ์ คอร์เนอร์คอยเสริมอีกแรง

    “หยุด! จะลากไปไหนเนี่ย ดื่มที่นี่แหละ แคทเลือกแล้ว”

    สิ้นเสียงหวานที่ตะเบ็งแข่งกับดนตรีที่ดังคลอ ก็ออกแรงดึงรั้งเพื่อนให้กลับเข้ามาด้านในอีกครั้ง

    “นี่นาย เครื่องดื่มที่สั่งได้หรือยัง คอแห้งจะแย่อยู่แล้วนะ” หันไปเอาเรื่องกับพนักงานบาร์เทนเดอร์เสร็จ ก็หันมาสบตาเพื่อนรักนิ่งๆ ในขณะที่ลิสซี่และดัคซ์กำลังจะอธิบายเหตุผล

    “เอ่อ...แคท ไปกันเถอะ ที่นี่เขาสั่งปิดแล้ว เราสองคนกำลังจะออกไปนั่งร้านอื่น” ดัคซ์ คอร์เนอร์ขยับปากบอก

    “จะบ้าเหรอดัคซ์ ไม่เห็นว่าผับนี้จะปิดตรงไหน แล้วอีกอย่างนั่งที่นี่แหละดีแล้ว นักท่องราตรีจัดให้ผับบรอดเวย์เป็นลำดับหนึ่งของปารีส ไม่รู้กันหรือไง ว่าแต่...พวกเราไปนั่งตรงโน้นดีกว่านะ ห่างไกลคนพวกนี้ดี”

    ปากเล็กเจื้อยแจ้ว พลางพยักพเยิดไปยังมุมโซฟาที่อยู่ไม่ไกล ไม่สนความพยายามร้องเตือนจากเพื่อนสนิทแม้แต่น้อย ดวงตากลมหันไปจ้องบาร์เทนเดอร์หนุ่มที่ไม่ลงมือทำอะไรสักอย่างเป็นเชิงถาม เมื่อรอเครื่องดื่มแล้วไม่ได้อย่างที่ต้องการ ดวงตากลมโตก็ถลึงใส่อย่างนึกหมั่นไส้ แต่ทุกคนในที่นี้คงรู้จักแคทเทอรีน เรอิชาน้อยเกินไป ร่างบางไม่สนใจคำร้องเตือนจากเพื่อนๆ ปลายเท้านั้นก้าวไปยังจุดที่ต้องการ

    “แต่ฉันว่า...”

    ลิสซี่พยายามที่จะเอ่ยสักประโยค เมื่อเห็นบุรุษชุดดำหลายนายเริ่มมีความเคลื่อนไหว และเวลานี้บรรยากาศก็ชวนขนลุกขึ้น โดยมีดัคซ์คอยกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคออย่างยากลำบาก ยืนหน้าซีดขาสั่นอยู่ข้างๆ

    “พอเลยทั้งคู่ อย่าเอ่ยอะไรให้ขัดใจฉันอีก เซ็งจะแย่อยู่แล้ว วันนี้แคทเทอรีน เรอิชาจะอยู่ที่นี่ โอกาสแบบนี้หาได้ง่ายๆ ซะที่ไหน”

    แต่ดูเหมือนความพยายามของทั้งคู่จะไร้ผล เมื่อแคทเทอรีนไม่คิดจะสนใจฟัง ร่างเพรียวบางแทรกกายผ่านการ์ดหลายนาย ตรงไปยังโซฟามุมที่ต้องการ เสร็จสรรพก็ยิ้มหวานและดื่มด่ำไปกับบรรยากาศของผับ โยกตัวเบาๆ คลอกับเสียงเพลง ในขณะที่เพื่อนรักสองหนุ่มสาวกำลังทำหน้าทำตาอยากตายเพราะสบเข้ากับนัยน์ตาสีเพอร์ริดอตที่แข็งกร้าวจนน่าขนลุก

    “พวกเธอทั้งสามคนออกไปจากร้านของฉันเดี๋ยวนี้!

    ฟาบริช คาร์มิโอตะคอกใส่ดังลั่น หลังจากที่ได้รับรายงานว่ามีคนถือดี ทำตัวหน้าด้านหน้าทนอยู่ที่นี่ต่อ ชายหนุ่มก้าวลงจากห้องวีไอพีด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธ ไม่คาดคิดเหมือนกันว่าจะมีใครหน้าไหนกล้าท้าทาย หันไปมองหน้ามือขวาและมือซ้ายคนสนิท ทั้งสองก็ยิ้มบางๆ อย่างยอมแพ้ ปล่อยหน้าที่ให้คนเป็นเจ้านายออกหน้าเอง เพราะกลุ่มคนที่ก่อเรื่องมีร่างโสภาเย้ายวนรวมอยู่ด้วย ร่างเล็กที่นั่งหันหลังให้ค่อยๆ ลุกขึ้นจากโซฟาหรู หมุนกายกลับมาเผชิญหน้าอย่างไม่เกรงกลัว ดวงตาทั้งสองข้างของแคทเทอรีนวาววับบ่งบอกว่าชีวิตนี้ไม่เคยยอมใครหน้าไหน ต่อให้ยิ่งใหญ่คับฟ้าก็ตาม

    “ฉันก็เห็นว่ามันเปิดอยู่ ไม่ว่าจะเป็นประตูหรือว่าแสงไฟ”

    เจ้าหล่อนเชิดหน้าขึ้นอย่างถือดี พร้อมบอกออกไปอย่างไม่ใส่ใจท่าทีของคนฟังเลยสักนิด เล่นเอาอารมณ์กรุ่นโกรธของฟาบริชพุ่งขึ้นสูง ชายหนุ่มกวาดมองร่างบางตรงหน้าทุกส่วนสัดพร้อมย่นคิ้ว หลายสิบปีมานี้ไม่เคยมีสตรีใดกล้าขยับปากต่อต้านเลยแม้แต่น้อย ดวงตาที่เอาเรื่องอยู่ตรงหน้าค่อนข้างทำให้มาเฟียหนุ่มประหลาดใจ ชายหนุ่มยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะยกมือขึ้นส่งสัญญาณที่รู้กันภายใน

    “นี่นายจะทำอะไร” แคทเทอรีนร้องถาม แต่ชั่วครู่ก็ได้คำตอบ

    พึ่บ!

    แสงไฟของผับดับวูบ ดนตรีเงียบสนิท จนได้ยินเสียงลมหายใจของหลายชีวิต ฟาบริช คาร์มิโอใช้โอกาสนั้นขยับเข้ามาใกล้ร่างเล็กที่ยืนอยู่ใกล้ โน้มใบหน้าคมเข้มลงมาชิด สบสายตาผ่านความมืดมิดแล้วจับจ้องดวงตาสีน้ำตาลกลมโตของคนถือดี ชั่วครู่ถึงได้เอ่ยขึ้น ให้ลมหายใจและกลิ่นของวิสกี้ที่กระดกเข้าไปรินรดจมูกแดงเล็กให้เห่อร้อน

    “ก็ปิดผับไง”

    หญิงสาวได้แต่ยืนนิ่ง ดวงตาเบิกค้าง ไม่คิดฝันว่าจะเจอกับผู้ชายร้ายกาจขนาดนี้ วินาทีต่อมามือบางก็ยกขึ้นผลักอกกระด้างให้ออกห่าง อึดใจเดียวเสียงแปดหลอดก็ร้องดัง

    “นี่นายจะบ้าเหรอ มันมืดนะ สั่งเปิดไฟเดี๋ยวนี้ ไอ้เจ้าของผับเส็งเคร็ง หน้าไม่อาย ไม่มีจริยธรรม ไม่รู้จักหน้าที่บริการ ไม่รู้หรือไงว่าหน้าที่ของผู้ประกอบการก็คือทำให้ลูกค้าพึงพอใจ อ๊าย! ไอ้...ไอ้เห็นแก่ตัว”

    ทุกคนที่ได้ยินยกมือปิดหูแทบไม่ทัน ฟาบริชถอยร่นไปนับสามก้าว ตกใจไม่น้อยกับน้ำเสียงแม่ค้าตามตลาดสดนั่น ในขณะที่เพื่อนรักของแคทเทอรีนได้แต่ร้องบอกตัวเองในใจอย่างเงียบๆ

    ยัยแคทกลายร่างแล้ว...ซวยแน่ๆ

    เกือบนาทีเต็มเจ้าของผับรูปหล่อถึงได้ขยับกายมาประชิดร่างระหงที่ยังตะเบ็งเสียงต่อว่าปาวๆ มือหนาคว้าเข้าที่แขนเรียวบางแล้วกระซิบบอกให้เงียบ แต่คำตอบก็คืออาการพยศ หนำซ้ำยังร้องด่าเสียๆ หายๆ ให้อับอายลูกน้องนับสามสิบชีวิต เมื่ออีกฝ่ายไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ชายหนุ่มก็เลยคว้าร่างระหงแบกขึ้นบ่า หวังจะจับไปโยนทิ้งให้ไกลหูไกลตา ก่อนที่ประสิทธิภาพในการรับฟังจะเสื่อมก่อนวัยอันควร แต่มันไม่ง่ายอย่างที่คิด เมื่อเจ้าหล่อนทั้งดิ้น ทั้งเตะ ทั้งหยิก ทั้งข่วน จนร่างกายนี้เจ็บระบม

    ว้าย! ไอ้บ้า ปล่อยฉัน จะพาฉันไปไหน อ๊าย!

    “เงียบ!

    ฟาบริชตะคอกสั่ง พร้อมยกมือฟาดก้นนวลไปหนึ่งที ร่างระหงหยุดดิ้นไปชั่วขณะ ก่อนจะพยศอีกครั้ง พร้อมเสียงโวยวายที่แผดดังลั่น

    “นี่ปล่อยนะ ฉันไม่ยอมหุบปากหรอก จะตะโกนให้ลั่นเชียว ปล่อยฉัน! ไอ้ผู้ชายบ้าอำนาจ คนนิสัยไม่ดี ไอ้มาเฟียเถื่อน...”

    ยังร้องด่าไม่ทันจบประโยค ร่างบางก็ถูกปล่อยให้ร่วงลู่ลงบนพื้นด้วยแรงที่ไม่น้อยเลยสักนิด เกือบจะล้มก้นจ้ำเบ้าด้วยซ้ำไป ทว่าแคทเทอรีนก็รับรู้ถึงแรงโอบรัดรอบเอวบางของตัวเอง ซึ่งนาทีนี้กำลังแนบชิดกับอะไรบางอย่างที่บึกบึน และมันก็สามารถเรียกอาการร้อนวูบวาบอย่างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน

    “ปล่อยนะ...อื้อ...อื้อ...”

    คำตอบของชายหนุ่มก็คือแรงทาบทับของริมฝีปากหยักที่แนบสนิทกับเรียวปากอิ่มจนไร้ช่องว่าง ปิดปากคู่กรณีให้เงียบไร้ซึ่งถ้อยคำใดๆ ซึ่งมันก็ได้ผลเป็นอย่างดี เพียงจุมพิตแผ่วเบาก็ทำให้เสียงด่าทอต่างๆ หายไปภายในพริบตา คนถูกจู่โจมโดยไม่ทันได้ตั้งตัวได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อ เบิกตาโตในความมืดมิด อยากกรีดร้องแต่คล้ายเสียงนั้นดังอยู่แค่เพียงในลำคอ อยากยกมือตะบันหน้าอีกฝ่ายหากทว่าก็ควานหาเรี่ยวแรงไม่เจอ แม้แต่แข้งขาที่ยืนหยัดก็อ่อนแรงลงเรื่อยๆ ถ้าหากไม่มีอ้อมแขนแกร่งตระกองกอดไว้ เธอคงล้มพับไปแล้วแน่ๆ ความรู้สึกนานราวชั่วกัปชั่วกัลป์ทีเดียว กว่าแสงไฟของผับจะส่องสว่างเรียกสติของแคทเทอรีนให้กลับมา

    “จำไว้ ผมชื่อฟาบริช คาร์มิโอ”

    เอ่ยชิดปากอิ่มแค่นั้น ชายหนุ่มก็เดินถอยออกห่าง ทิ้งให้ร่างระหงของแคทเทอรีนยังคงยืนช็อก พอพ้นร่างสูงใหญ่ไป เพื่อนรักอย่างดัคซ์และลิสซี่ก็ก้าวเข้ามาหาพร้อมกับคำถามที่แสนห่วงใย

    “ยัยแคท เป็นยังไงบ้าง”

    กว่าแคทเทอรีนจะตั้งสติได้ก็กินเวลาราวหนึ่งนาทีเต็ม หญิงสาวได้แต่ส่ายหน้าแล้วเอ่ยชวนเพื่อนรักด้วยน้ำเสียงเบาหวิว

    “เรากลับกันเถอะ”

    สิ้นเสียงนั้น เพื่อนรักได้แต่หันมามองหน้ากันเลิ่กลั่ก ก่อนลิสซี่จะถามออกมา

    “ไม่เป็นไรใช่ไหมแคท”

    คำตอบก็คือการสั่นศีรษะอย่างรุนแรง เดินกลับไปคว้ากระเป๋าที่วางไว้บนโต๊ะ ตรงดิ่งไปยังทางออกอย่างเงียบๆ โดยมีสายตาสงสัยของเพื่อนสนิทที่จ้องมองอยู่ตลอดเวลาด้วยความห่วงใย พอพ้นออกจากผับบรอดเวย์ แคทเทอรีนและลิสซี่ก็มายืนนิ่งๆ บริเวณริมฟุตปาท ซึ่งเวลานี้ดัคซ์ คอร์เนอร์กำลังไปขยับรถมารับสองสาว หากอึดใจเดียวสาวสวยในชุดเสื้อกล้ามกางเกงยีนก็ตะโกนดังลั่นด้วยน้ำเสียงที่เดือดดาลทะลุขีดสุด

    กรี๊ด! ไอ้บ้าฟาบริช คาร์มิโอ ไปตายซะไป!

    บรรณาธิการสาวได้แต่ทำหน้าไม่อยากเชื่อ รีบคว้าแขนเพื่อนรักให้ตรงดิ่งไปยังตัวรถอย่างรวดเร็ว ก้าวขึ้นไปนั่งประจำที่ได้ ก็รีบร้องสั่งนักดนตรีหนุ่มให้เหยียบคันเร่งออกจากบริเวณนี้โดยเร็วที่สุด ก่อนที่ชีวิตของทุกคนจะต้องจบลงอย่างอนาถ และเวลานี้ดัคซ์ คอร์เนอร์ก็จัดการเหยียบทะลุไมล์เป็นครั้งแรกในชีวิต



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×