ลำดับตอนที่ #28
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #28 : Nor Like 24 - Lovesick
Nor Like By HS Black Ranger 24 Lovesick ฝนตกอีกแล้ว... ร่างสูงโปร่งอิงกายแนบผนังห้องเย็นเฉียบ แก้มขาวซีดห่างจากกระจกใสที่เกาะพราวไปด้วยหมอกฝนไม่ถึงคืบ ดวงตาคมไล่มองไปตามหยาดหยดฝนอย่างไร้จุดหมาย ในขณะที่ความคิดก็ล่องลอยไปไกลแสนไกล ป่านนี้...หมอนั่นจะเป็นยังไงบ้างนะ ...ยูยะ จะตอบตกลงรึเปล่า...ถ้าตกลงก็ดีสิ หน้าที่ของเขาจะได้จบลงเสียที... คิดได้แค่นั้นก้อนอะไรบางอย่างก็พุ่งขึ้นมาจุกบริเวณลำคอ บริเวณอกซ้ายเกิดเจ็บแปลบขึ้นมากระทันหันจนเขาต้องนิ่วหน้า...ทรมานชะมัด...เขาควรจะไปหาหมอตรวจร่างกายบ้างท่าจะดี... สึโยชิทิ้งตัวลงบนที่นอนแล้วปิดเปลือกตานิ่งสนิท มือเรียวเอื้อมคว้าหมอนมาปิดใบหน้า ซ้ำยังจิกมันแรงๆปลดปล่อยความทรมานซึ่งไม่ยอมคลายลงโดยง่าย... เด็กหนุ่มสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงร้องของโทรศัพท์มือถือ ร่างโปร่งค่อยๆยันกายลุกขึ้นเนิบช้า เหลียวหลังกลับไปมองมือถือขนาดกระทัดรัดที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง...ไม่อยากรับ...ความรู้สึกตอนนี้มันเหมือนมีระเบิดอยู่ในกา ยและพร้อมจะจุดชนวนได้ทุกเมื่อ แต่คนโทรเข้าก็ไม่ยอมเลิกราง่ายๆ โทรศัพท์ส่งเสียงดังๆหยุดๆอยู่เกือบสิบนาที จนเด็กหนุ่มต้องทำใจเอื้อมไปคว้ามันมาไว้ในมือ กะจะปิดเครื่องตัดความรำคาญ แต่เมื่อเห็นชื่อคนโทรเข้า เขาก็ต้องกดรับอย่างเสียไม่ได้ “ว่าไงมิสึรุ มีอะไรเหรอ?” สึโยชิพยายามทำน้ำเสียงราบเรียบและปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้ในใจจะไม่อยากคุยกับปลายสายเท่าไหร่นัก “สึโยชิ” น้ำเสียงของมิสึรุติดจะสั่นเทาเล็กน้อย แถมยังฟังแทบไม่รู้เรื่องเพราะมีเสียงฝนตกแทรกอยู่ตลอดเวลา “....” “ฮัลโหล มิสึรุ ฉันไม่ค่อยได้ยินเลย ว่าอะไรนะ?” สึโยชิกดโทรศัพท์แนบหู เพ่งสมาธิไปกับคำพูดของมิสึรุเพื่อให้ได้ยินชัดทุกถ้อยคำ... “สึโยชิ นารุมิเขา....” “จะไปไหนน่ะสึโยชิ” ชายวัยกลางคนไล่สายตามองลูกชายที่วิ่งทั่กๆไปหน้าประตูบ้านรวดเร็วจนเกือบล้มด้วยความตกใจระคนงุนงง เขาเดินไปใกล้ๆร่างโปร่งที่ใส่รองเท้ายังไม่ทันจะเรียบร้อยดีแต่ทำท่าจะวิ่งออกไปนอกบ้านอย่างไม่เข้าใจนัก “ฝนยังตกอยู่เลย จะไปไหน?” “มีธุระด่วนน่ะครับพ่อ ผมขอร่มไปด้วยนะครับ” ประโยคสุดท้ายเด็กหนุ่มรีบเสริมอย่างรวดเร็วเมื่อสังเกตเห็นร่มใสวางพิงอยู่ข้างชั้นใส่รองเท้า มือเรียวเอื้อมคว้ามันมาไว้ในมือแล้วพุ่งออกประตูไปโดยไม่แม้แต่จะเหลียวหลังกลับ... สายฝนที่ตกมาได้หลายชั่วโมงยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ ท้องฟ้าขมุกขมัวเป็นสีเทาเข้ม สายฟ้าแล่บแปลบปลาบยังผลให้อาณาบริเวณโดยรอบสว่างวาบเป็นระยะ...อากาศค่อยๆเย็นลง เย็นลงทุกขณะ ...ไม่ต่างอะไรไปจากร่างสูงสง่าที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่บนพนัก ปล่อยให้น้ำฝนชะผ่านร่างตนราวกับไม่มีความรู้สึกใดๆ แม้อุณหภูมิรอบด้านจะเริ่มลดต่ำลงเรื่อยๆ... ปอยผมสีเหลือบน้ำตาลลู่ลงเคลียใบหน้าได้รูป ปิดบังแววตาอ่อนแสงซึ่งทอดมองไปอย่างไร้จุดหมาย...ผิดหวัง...เสียใจ... นารุมิไม่รู้ตัวเลยว่าเขารู้สึกยังไงกันแน่ รู้เพียงแค่ว่า ตรงหัวใจ มันเจ็บ... ราวกับถูกบีบจนแหลกด้วยมือล่องหน และยิ่งทรมานเป็นเท่าทวีเมื่อนึกถึงภาพ ยามที่ร่างบอบบางของยูยะวิ่งไปจนลับสายตา... ความผิดหวังครั้งแรกในชีวิตของเขา ...คือสิ่งที่อยากได้ที่สุด เขากลับไม่ได้มันมาครอบครอง ทั้งๆที่อยากได้เหลือเกิน ร่างกายของเขาเหมือนจะไร้เรี่ยวแรง ไม่อยากทำอะไรทั้งสิ้นนอกจากนั่งนิ่งๆ ให้สายฝนชะล้างพาเอาความรู้สึกสูญเสียทั้งหมดนี้ไป...ให้หายไป รวมถึงไอ้ความรู้สึกโล่งใจที่แทรกมานี่ด้วย... สายฝนซึ่งเคยสาดซัดใส่ร่างของเขาถูกกั้นด้วยร่มคันเล็กที่ยื่นมาบังให้ ความรู้สึกที่เลื่อนลอยไปไกลแสนไกลถูกกระชากกลับมาในทันทีที่รู้สึกถึงความอบอุ่นของใครคนหนึ่ง “นั่งตากฝนน่ะคิดว่าดูดีนักรึไง หืม ไอ้คุณชายคาวามูระ” เสียงราวกับน้ำใสที่รินรดกลางใจของนารุมิ... ความรู้สึกบางอย่างพุ่งวูบไปจนจรดปลายนิ้วทันทีที่ดวงหน้าคมเข้มซึ่งบัดนี้เริ่มจะซีดเซียวหันมาพบต้นเสียง ...และเมื่อสบสายตา... รอยยิ้มบางๆก็ประดับที่ดวงหน้าของอีกฝ่าย “ไป นั่งบื้ออยู่ได้ กลับบ้านสิวะฝนตกหนักทางการเขาก็ประกาศอยู่โต้งๆว่าพายุเข้า เร็ว! อย่าโอ้เอ้” คำพูดก็ไม่หวานหู ทั้งอากัปกิริยายังแข็งกระด้างตามเอกลักษณ์ของสึโยชิ.....แต่ยามที่มือขาวซีดนั่นยื่นมาตรงหน้าของนารุมิ... เขาก็รู้สึกเหมือนมียาวิเศษที่ช่วยให้หัวใจที่เกือบจะหยุดเต้นของเขา มีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง... “นี่ยังเป็นแค่จุดเริ่มต้นนารุมิ” สึโยชิกระซิบเสียงแผ่วขณะทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างรถแท๊กซี่ บรรยากาศยังคงมีเพียงความเงียบงันจนเด็กหนุ่มไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี “อย่างน้อย...การที่นายบอกออกไปตอนนี้ก็สามารถทำให้เขา ...รู้สึกว่านายน่ะเปลี่ยนไป ไม่ต้องการเป็นแค่เพื่อนอีกแล้ว เป็นโอกาสดีที่นายจะก้าวข้ามความเป็นเพื่อนไปให้ได้” “ฉันเชื่อว่ายูยะน่ะ ชอบนาย...” แต่อีกฝ่ายยังคงเงียบจนผิดสังเกต... สึโยชิจึงตัดสินใจเหลียวหลังกลับไปมองช้าๆและค้นพบว่านารุมิกำลังมองออกไปนอกหน้าต่าง ดูเหมือนจะไม่ได้ยินที่เขาพูดสักคำเดียว... งี่เง่าชะมัด! สึโยชิสบถกับตนเองด้วยความหงุดหงิดรู้สึกว่าตนเองเหมือนไอ้งี่เง่านั่งพล่ามคนเดียวมาได้นานสองนานทั้งๆที่อีกฝ่ายก็ไม่ได้สนใจ เขาสักนิด อาจจะโกรธเขาด้วยซ้ำ...ที่ยุ่งไม่เข้าเรื่องจนทำให้เพื่อนที่ ‘รัก’ กันมานานขนาดนี้ต้องมาผิดใจกัน เขามันทั้งโง่ และงี่เง่า โง่ชะมัด... “เลี้ยวทางซ้ายข้างหน้าด้วย...” น้ำเสียงเรียบเฉยเย็นชาของนารุมิดังขึ้นเป็นครั้งแรกหลังจากขึ้นรถมาได้เกือบชั่วโมง นัยน์ตาคมนั่นเหลือบมาทางสึโยชิเล็กน้อยแล้วเบือนหนีแทบจะทันที “จอดตรงนี้ล่ะ” รถหยุดหน้าประตูรั้วสูงหนาที่สึโยชิต้องเขม่นมองอย่างงงงัน เขาจำได้ว่ารั้วของที่นี่ยาวโอบล้อมระยะทางมาหลายร้อยเมตรจนเขานึกว่ามันเป็นสวนสาธารณะเสียอีก?! “ขอบคุณมากนะ” น้ำเสียงกระซิบจากด้านหลังเรียกเอาเด็กหนุ่มหลุดจากห้วงภวังค์ ตวัดกลับไปด้านหลังรวดเร็วและนิ่งสนิททันทีเมื่อค้นพบว่าดวงหน้าหล่อเหลานั่นอยู่ห่างจากเขาไม่ถึงคืบ เรียวปากบางของอีกฝ่ายขยับเล็กน้อยคล้ายจะเอ่ยถ้อยคำแต่ก็กลับหุบนิ่งลงแบบชั่งใจ เป็นอย่างนั้นอยู่เพียงครู่ก่อนที่ดวงตาสีดำเข้มราวรัตติกาลนั่นจะหม่นแสงลงทันควัน... “แล้ว...เจอกัน” คำบอกลาที่ฟังแล้วหัวใจของสึโยชิปวดแปลบ มันไม่ใช่ถ้อยคำที่เขาอยากได้ยินเลย ไม่ใช่คำๆนี้... “อืม แล้วเจอกัน”เด็กหนุ่มตัดใจตอบกลับทั้งๆที่น้ำตาเหมือนจะไหล รอยยิ้มเซียวซีดปั้นขึ้นอย่างช้าๆ และนารุมิก็รับรู้ได้ อ้อมแขนแข็งแรงตวัดรัดร่างผอมบาง โอบกอดแน่นพยายามถ่ายทอดความรู้สึกที่เจียนจะล้นทะลักให้อีกฝ่ายรับรู้ ทั้งความอบอุ่นจับขั้วหัวใจนี่ด้วย อบอุ่น ทุกครั้งที่เห็นรอยยิ้มของสึโยชิ... “แล้วเจอกันพรุ่งนี้ ...ฉันเชื่อนายนะ” คำพูดสุดท้ายก่อนที่ร่างสูงจะคลายอ้อมกอดแล้วก้าวลงจากรถ ทิ้งความสับสนให้ตกอยู่กับสึโยชิที่ได้แต่นั่งนิ่งอึ้ง และใจเต้นแรงกว่าทุกคราว... วันนี้นารุมิไม่มาโรงเรียน.... สึโยชิได้แต่ทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่างที่เปิดกว้าง สูดกลิ่นเย็นชื้นของอากาศหลังฝนตกเผื่อความร้อนรุ่มในหัวใจจะจางลงบ้าง ...เขาไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมต้องเป็นห่วง...เจ้าของที่นั่งว่างเปล่า คู่ปรับตัวฉกาจของเขาจนไม่เป็นอันเรียนขนาดนี้ หมอนั่นจะหยุดเรียนเพราะป่วยหรืออะไรก็ตามมันไม่ใช่เรื่องของเขาสักหน่อย แต่ทำไมถึงหยุดเป็นห่วงไม่ได้ก็ไม่รู้... ดวงตาคมปลาบเผลอสบกับนัยน์ตากลมใสที่หันกลับมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ยูยะรีบหลบสายตาเขาทันควันแล้วหันกลับไปรวดเร็วจนสึโยชินึกหงุดหงิดรำคาญใจ เพราะหมอนั่นล่ะ นารุมิถึงได้หยุดไปวันนี้ เพราะหมอนั่นคนเดียว! “สึโยชิ”น้ำเสียงแผ่วหวิวกล้าๆกลัวๆของยูยะเรียกให้สึโยชิเงยหน้าขึ้นมอง เด็กหนุ่มประสานสายตากับยูยะก่อนจะเบนลงให้ความสนใจกับกล่องข้าวต่อ คล้ายไม่ใส่ใจกับการมาถึงของร่างเล็กบางตรงหน้า “สึโยชิ...นั่งด้วยคนนะ?”เมื่อไม่มีคำตอบเขาก็เลยถือซะว่าอีกฝ่ายไม่ปฏิเสธ มือเล็กค่อยๆประคองกล่องข้าวตนเองลงฝั่งตรงข้ามของสึโยชิ แล้วเพียงทรุดกายลงนั่ง...เสียงใสๆอีกเสียงก็ดังขัดบทสนทนาที่ยังไม่ทันเริ่มขึ้นเสียก่อน... “สึโยะจัง”มิสึรุถลาเข้ามาหาสึโยชิที่ยิ้มกว้างรับ ...ภาพที่ยูยะเห็นแล้วปวดจี๊ดขึ้นมาที่หัวใจ เริ่มรู้สึกอยากจะหายไปเสียตอนนี้ด้วยซ้ำ แต่วันนี้มิสึรุไม่ได้มาคนเดียว... ข้างหลังของมิสึรุมีชายร่างสูงใหญ่ผมซอยยาวเดินตามมาติดๆ ร่างนั้นส่งยิ้มชืดๆให้สึโยชิที่ยิ้มตอบแบบจืดชืดไม่แพ้กัน “พี่มัตซึริจะมาปรึกษาเรื่องเข้าค่ายชมรมปิดเทอมนี้”ร่างเล็กตั้งประโยคสนทนาที่ดูเหมือนจะกันยูยะไปเป็นคนนอกโดยปริยาย ยูยะได้แต่ก้มหน้าก้มตากินข้าวเงียบๆ แทบจะไม่รู้สึกถึงความอร่อยของรสข้าวในปาก “ว่าแต่ วันนี้คาวามูระไม่มาโรงเรียนเหรอสึโยะจัง?”คำถามที่แทรกมาท้ายการสนทนาเล่นเอายูยะที่กำลังปิดกล่องข้าวถึงกับสะดุ้ง พวงแก้มใสขึ้นสีก่ำแต่หัวคิ้วนั้นกลับขมวดเป็นปม อากัปกิริยาของยูยะที่สึโยชิเห็นแล้วยิ่งหงุดหงิด ไม่ชอบใจขึ้นเป็นเท่าทวี! “คงเป็นไข้มั้ง”สึโยชิกระแทกเสียง ปรายตามองยูยะที่ยังเอาแต่ก้มหน้างุด “ไม่ไข้หวัดก็ไข้ใจล่ะ!” ร่างเล็กสะดุ้งโหยง ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงจัดกว่าเก่า ผิดกับคนพูดที่ใบหน้าบูดบึ้งด้วยความไม่สบอารมณ์อย่างยิ่งยวด “แล้วสึโยะจังกับเอจิซึไม่ไปเยี่ยมล่ะ?”ไม่รู้ว่ามิสึรุจงใจพูดรึไม่... แต่ดูเหมือนนั่นจะเป็นการสาดน้ำมันเข้ากองเพลิง เพราะคนโกรธยิ่งโกรธหนักยิ่งกว่าเก่าส่วนคนเขินก็ยิ่งเขินหนักขึ้น แม้คนพูดจะยังคงตีใสสื่อเหมือนไม่รู้สึกถึงบรรยากาศที่มาคุชอบกลๆ “นารุมิน่ะ...คงอยากให้ยูยะไปเยี่ยมอยู่แล้วล่ะไม่ว่าเจ้าตัวจะเป็นอะไรก็ตาม...จริงไหม?”สึโยชิปรายตามองพร้อมด้วยรอยยิ้มเย็น เยียบผิดวิสัย ราวกับว่าสมมุติฐานของยูยะได้รับการพิสูจน์...สึโยชิรู้เรื่องของเขากับนารุมิเมื่อวานแล้วแน่ๆ นารุมิคงเป็นคนบอก แล้วเขาต้องทำยังไงดี....เขารู้แต่ว่าตอนนี้ ยังไม่อยากเจอหน้านารุมิ ...มันทำหน้าไม่ถูก ไม่รู้จะวางตัวยังไง... “สึโยชิจะไม่ไปเยี่ยมนารุมิเหรอ?”ยูยะกลั้นใจถามพลางช้อนตาเงยขึ้นมอง แว่บหนึ่งที่ประกายตาของคนตรงหน้าไหวระริก ก่อนจะเบือนไปทางอื่นทันควัน “ก็มีนายไปแล้วนี่ ฉันจะไปทำไม?”น้ำเสียงตัดพ้ออยู่ในทีแต่ยูยะกลับจับไม่ได้ แต่บุคคลอีกสองคนที่นั่งร่วมวงสนทนาน่ะได้ยินชัดเต็มสองรูหู ได้แต่จ้องหน้าคนพูดที่เริ่มทำตัวงี่เง่าเป็นเด็กๆ “ฉัน...ไม่ไปหรอก”ยูยะพูดเสียงเบาหวิวคล้ายกระซิบ กระแสเสียงเจือความรู้สึกหลากหลายปนเปกันยุ่ง มือเล็กจิกแน่นลงไปบนกางเกงระบายความรู้สึกอึดอัดท่วมท้นหัวใจให้คลายลง... เขายังไม่พร้อมจะเจอกับนารุมิ ไม่พร้อมที่จะเจอ...ไวขนาดนี้ เหตุผลที่บรรยายออกมาไม่ได้ของยูยะทำให้ขีดความอดทนของสึโยชิขาดผึง นัยน์ตาคมเรียววาวโรจน์ ไม่เหลือเค้าคนขี้เล่นคนเก่า “พวกนายเป็นเพื่อนกันมาตั้งหลายปีแต่นายกลับหนีปัญหาด้วยการหลบหน้า คิดบ้างรึเปล่าว่าอีกคนจะรู้สึกยังไง? ไม่คิดว่านั่นจะเป็นการเห็นแก่ตัวเกินไปหน่อยเหรอยูยะ ฉันผิดหวังในตัวนายจริงๆ”พูดเพียงแค่นั้นร่างสูงโปร่งก็ผุดลุกขึ้น สึโยชิกวาดของใส่กระเป๋าลวกๆก่อนยกขึ้นพาดบ่าแล้วเดินดุ่มๆออกไปโดยไม่รอใครทั้งสิ้น ทิ้งบุคคลสามคนที่ได้แต่จ้องตะลึงค้างไว้เบื้องหลัง “เอจิซึ...”นานเกือบนาทีกว่าที่มิสึรุจะเริ่มเอ่ยทำลายความเงียบงัน ยูยะช้อนนัยน์ตากลมใสซึ่งมีน้ำตาคลอหน่วยมองหน้าคนเรียก ใบหน้านวลซีดเผือดแต่ก็ฝืนยิ้มแห้งๆให้ “ฉันว่า...ถ้านายไม่รักเขาจริงๆก็ตัดให้ขาดซะดีกว่านะ ไม่งั้นคนที่เจ็บน่ะ...”ทิ้งไว้เพียงแค่นั้น...ร่างเล็กของมิสึรุก็ลุกพรวดขึ้นแล้วส่งยิ้มเย็น “แต่วันนี้นายควรจะให้เวลานารุมิทำใจ ไม่ไปน่ะดีแล้ว...” มัตสึริเดินตามมิสึรุซึ่งจ้ำไปตามทางอย่างเงียบๆ คิ้วสวยขมวดเข้าด้วยกันอย่างชั่งใจไม่รู้ว่าควรพูดออกมาดีรึเปล่า แต่ในที่สุด ความอยากรู้ก็เป็นฝ่ายชนะ เขารั้งแขนของร่างบางตรงหน้าให้หันกลับมา ซึ่งอีกคนก็หยุดอย่างง่ายดาย “มีอะไรเหรอครับ รุ่นพี่?”รอยยิ้มของมิสึรุหวานใส แต่เขารู้สึกว่ามันมีลับลมคมในยังไงชอบกล “เรื่องเมื่อกี้...นายจงใจให้วาคาบายาชิไปหาคาวามุระสองต่อสองใช่ไหม?”คำถามของเขาเรียกให้ร่างเล็กเลิ่กคิ้วขึ้น แต่ก็เพียงครู่เดียว ดวงหน้าน่ารักนั่นก็ประดับรอยยิ้มกว้างกว่าเก่า “รุ่นพี่ฉลาดกว่าที่ผมคิด”นัยน์ตากลมเป็นประกายวาบ แต่คนเห็นกลับเพียงยิ้มแหย ทั้งๆที่ตัวโตกว่าแต่เขารู้สึกเหมือนตนเองกำลังจนตรอก “งั้นแผนใหม่ของผม เราคงคุยกันง่ายหน่อย” ฟังๆแล้ว... มัตสิริชักรู้สึกอยากจะโง่ซะแล้วสิ! To be continue ja! | |||
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น