คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #41 : ฝึกวิชา(ลับคมมีด+คมแฝก)
ท่ามกลางสายลมที่หอบเอากลิ่นหอมของดินและใบไผ่ พัดพาไปต้องร่างของสองสาวที่กำลังยืนนิ่งอยู่กลางวงล้อมของป่าไผ่อันอุดมสมบูรณ์ รัตเกล้ามองร่างสูงที่ยืนนิ่งไม่ยอมไหวติงก่อนที่จะเริ่มควงคมแฝกพร้อมกับตั้งท่ารับ เพื่อเตรียมความพร้อมในการต่อสู้ระหว่างเธอกับจางมินจู ดวงตาเรียวเล็กจับจ้องไปที่ร่างหนาด้วยท่าทีที่สงบเหมือนอย่างเคย แต่ก็คอยระวังตัวอยู่ตลอดเมื่อรัตเกล้าเริ่มควงคมแฝกเพื่อข่มขวัญ รัตเกล้าค่อยๆย่างสุมเข้ามาในท่วงท่าที่พร้อมจะโรมรันใส่ร่างสูงได้ทุกเมื่อ มินจูกระตุกยิ้มน้อยๆก่อนที่จะขว้างมีดสั้นของตนออกไปเพื่อลองหยั่งเชิง
ใบมีดคมวาวพุ่งตัดอากาศเข้าหาร่างหนาอย่างรวดเร็ว รัตเกล้าเหวี่ยงคมแฝกตีปัดมีดสั้นหัวมังกรกระเด็นออกไปเพื่อให้พ้นรัศมีการย้อนกลับของมีดสั้นจนไปปักอยู่ที่ลำต้นไผ่ที่อยู่ในป่า มินจูเผยรอยยิ้มที่พอใจออกมา เมื่อรัตเกล้ารู้จักใช้วิธีป้องกันตัวเองจากผลสะท้อนกลับของคมมีด นี่แค่หยั่งเชิงเท่านั้นรัตเกล้าก็แสดงถึงพลังและความสามารถในการโต้ตอบอย่างดีเยี่ยมให้มินจูได้ชื่นชม แล้วถ้าเป็นพลังที่แท้จริงของคมแฝกล่ะมันจะเยี่ยมยอดขนาดไหน เพียงแค่คิดมินจูก็รู้สึกเร่าร้อนและกระหายในการต่อสู้ขึ้นมาทันที มินจูดีดตัวกระโดดตัวลอยกลางอากาศด้วยวิชาตัวเบาถลาเข้าหารัตเกล้าอย่างรวดเร็ว แต่รัตเกล้าก็ไม่ยอมให้มินจูเข้าถึงตัวเธอได้ก่อน ร่างหนาขยับกายดีดตัวพุ่งเข้าใส่มินจูเหมือนจงใจจะเข้าปะทะ แต่ทว่าเธอกลับเบี่ยงตัวหมุนหลบร่างที่กำลังพุ่งเข้ามาหาแล้วตวัดคมแฝกฟาดเข้าที่กลางหลังมินจู ในจังหวะที่เธอหมุนได้ครบรอบพอดี
“พิฆาตเวนไตย!”
มินจูถูกรัตเกล้าเล่นงานได้ก่อน ถึงมันจะทำให้เธอเสียหลักไปบ้างแต่เธอก็แก้เกมได้ทัน มินจูถลาดีดตัวไปตามแนวป่าไผ่จนไปถึงต้นที่มีดสั้นของตนปักอยู่ เธอดึงมีดสั้นที่ถูกรัตเกล้าสะกดเอาไว้ออกมาได้ ก่อนที่จะดีดตัวถลากลับมาโจมตีรัตเกล้าด้วยมีดสั้นทั้งสองอีกครั้ง รัตเกล้าใช้มืออีกข้างที่เหลือจับปลายคมแฝกยึดจนมั่นยื่นออกไปรับแรงปะทะของมีดสั้น
แก๊ง! เสียงคมมีดกระทบกับเนื้อไม้แข็ง สองร่างก็เหมือนถึงตรึงไว้ให้อยู่กับที่เมื่อต่างก็ไม่มีใครยอมถอนอาวุธของตนออก ตอนนี้ร่างกายของรัตเกล้ากำลังหลั่งสารอดีนาลีนออกมา ทำให้เธอมีพลังมากพอที่จะรัยแรงกดดันของร่างสูงไว้ได้ แต่ก็ต้านไว้ได้ไม่นานนัก ร่างหนาก็ถูกมินจูที่มีพลังเหนือกว่ามนุษย์อัดกระแทกใส่จนเธอต้องล่าถอยออกไปก่อน แต่แทนที่รัตเกล้าจะหวาดกลัวต่อพลังอันลึกลับนั้นกลับรู้สึกตื่นเต้นและกระหายที่จะต่อสู้กับมินจู โดยลืมไปว่าตนนั้นเป็นเพียงแค่มนุษย์ธรรมดาๆคนหนึ่ง ทันทีที่ตั้งหลักได้รัตเกล้าก็พุ่งตัวเข้าไปโจมตีร่างสูงอย่างรวดเร็ว
การต่อสู้อันดุเดือดของทั้งสองสาวทำให้คนที่ยืนเฝ้าอยู่ห่างๆถึงกับอึ้ง จิงสงดูการต่อสู้ของนายหญิงทั้งสองรู้สึกตื่นเต้นจนไม่รู้ว่าจะเชียร์ข้างไหนดี เพราะการต่อสู้ในครั้งนี้มันไม่ต่างอะไรกับการได้ดูศึกชิงจ้าวยุทธจักร ทั้งสองสาวสู้กันอย่างไม่มีใครยอมอ่อนให้กันเลย แม้รัตเกล้าจะด้อยกว่ามินจูในเรื่องของพละกำลัง แต่ทักษะไหวพริบในการใช้คมแฝกโต้ตอบมินจูได้อย่างฉับพลันนั้นยอดเยี่ยมไม่แพ้ใคร ไม่น่าเชื่อเลยว่าหญิงสาวจะมีพลังและความสามารถเกือบจะเทียบเท่านายหญิงของตนได้มากขนาดนี้
“มังกรฟ้าขยี้พสุธา!”
มินจูควงมีดสั้นไปมาก่อนที่จะปักปลายมีดลงบนพื้นดิน ทันใดนั้นก็เกิดเป็นระลอกคลื่นที่พื้นดินเหมือนกับว่ามีสิ่งมีชีวิตเคลื่อนไหวอยู่ที่พื้นดินนั้น รัตเกล้าอึ้งเล็กน้อยเมื่อต้องเจอวิชาที่ของมินจูที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน แต่เธอก็ต้องรีบรวบรวมสติให้กลับมาโดยเร็วเมื่อระลอกคลื่นนั้นกำลังพุ่งมาหาเธออย่างรวดเร็ว
“แบบนี้ก็สวยสิ คุณมินจู อัคคีสาดแสง!”
รัตเกล้าควงคมแฝกอีกครั้งสายตาก็จับจ้องไปที่ระลอกคลื่นดินที่กำลังเคลื่อนจนใกล้จะถึงตัวเธออย่างรวดเร็ว และทันใดนั้น เมื่อปลายคมแฝกถูกวาดสไลดลงบนพื้นดิน ระลอกคลื่นดินก็ปะทะเข้ากับกระแสลมที่ล้อมกายของรัตเกล้าอย่างแรง
ฟู้ม! ระลอกคลื่นดินระเบิดแตกออกจากกันแต่ด้วยพลังอนุภาพที่รุนแรง ทำให้ร่างหนาถูกแรงอัดกระแทกจนกระเด็นออกไปไถลลงบนพื้นดิน
“โรส!”มินจูตกใจที่เห็นร่างหนาล้มเกลือกกลิ้งบนพื้น ก็รีบปราดเข้าไปหาเธอทันที
“เธอเป็นยังไงบ้าง”มินจูถามเธออย่างเป็นห่วงพร้อมกับช่วยประคองร่างหนาให้ลุกขึ้นนั่ง
“โอย...ฉันไม่เป็นไรค่ะ แค่...แขนรู้สึกว่าจะชา”รัตเกล้าว่าพลางบีบนวดแขนขวาที่ใช้ถือคมแฝก
“ไหนให้ฉันดูหน่อย”มินจูคว้าแขนของเธอมาดูอาการ
“โอ้ย! เจ็บ”รัตเกล้าถึงกับทำหน้าเหย่เกเมื่อถูกมินจูบีบที่แขน
“นายหญิง เป็นอะไรบ้างรึเปล่าครับ”จิงสงที่ยืนชมการต่อสู้ของพวกเธออยู่บนศาลารีบวิ่งมาดูอาการของเจ้านายสาวทั้งสอง เมื่อการต่อสู้จบลงรัตเกล้าเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
“จิงสง เอารถออกฉันจะพาโรสกลับเข้าบ้าน”มินจูหันไปสิ่งบอดี้การ์ดคู่ใจ
“ครับ นายหญิง”
รถไฟฟ้าแล่นมาจอดที่หน้าบ้านหลังใหญ่ มินจูอุ้มรัตเกล้าเดินตัวปลิวเข้าบ้านไปอย่างรีบเร่ง แม่นมเหวินที่มายืนรอรับเห็นใบหน้าที่ซีดเผือกของหญิงสาวก็ตกใจ ถลาเข้ามาเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
“นายหญิงน้อย ได้รับบาดเจ็บหรือค่ะ นายหญิงใหญ่”
“อุบัติเหตุระหว่างฝึกน่ะ แม่นม เดี๋ยวช่วยหยิบยาคลายเส้นมาให้ฉันด้วยนะ”สั่งเสร็จมินจูก็พาร่างหนาขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง
“ฉันไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกค่ะคุณมินจู อย่าทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ไปเลย”รัตเกล้าเอ่ยขึ้นระหว่างทางไปห้องนอน
“เธอรู้มั้ย ถ้าฉันไม่รีบทำให้แขนเธอหายช้าโดยเร็วแล้วล่ะก็ แขนข้างขวาของเธอจะใช้การไม่ได้ไปตลอดชีวิตเลยนะ”มินจูเอ่ยเสียงเรียบ แต่คนฟังถึงกับหน้าถอดสี
แขนขวาของเธอจะพิการใช้การไม่ได้อย่างนั้นหรือ แค่คิดว่าเธอต้องถูกเลี้ยงอูยในบ้านหลังใหญ่ใช้ชีวิตเหมือนคนพิการ หญิงสาวก็รู้สึกกลัวขึ้นมาทันที เธอมองใบหน้าเนียนที่กำลังพาเธอกลับเข้าห้องพลางคิดในใจว่า ถ้าหากว่าเธอต้องมาอยู่ในสภาพของคนพิการจนไม่สามารถจับคมแฝกได้ มินจูจะยังต้องการให้เธออยู่ในบ้านหลังนี้ต่อไปอีกหรือเปล่านะ
รัตเกล้าถูกร่างสูงวางลงบนเตียงอย่างแผ่วเบา พร้อมกับจัดหมอนให้เธอหนุนในท่าที่สบาย แล้วแม่นมเหวินเข้ามาพร้อมกับกระปุกไม้หอมที่สลักลวดลายดอกโบตั๋นบนฝา พอเปิดฝากระปุกออกกลิ่นหอมเย็นๆของเนื้อครีมขุ่นๆก็ทำให้รัตเกล้ารู้สึกผ่อนคลายลง
“นี่คือยาสูตรลับของตระกูลจาง มันจะช่วยคลายกล้ามเนื้อ ตอนฉันฝึกวิชาเจ็บหนักยิ่งกว่าเธอ พอได้นวดยานี่เข้าไปก็หายเป็นปริทิ้ง เธอทนเจ็บหน่อยแล้วกันนะ”มินจูเอ่ยพร้อมกับยกแขนที่เริ่มมีอาการบวมของเธอออกมาทายาให้
รัตเกล้ารู้สึกร้อนตรงบริเวณที่ถูกของเหลวขุ่นๆหอมๆสัมผัสกับผิวหนัง มันคงจะเป็นเพราะฤทธิ์ของตัวยาที่เริ่มบรรเทาอาการเจ็บของเธอ มินจูถ่ายพลังสู่ฝ่ามือก่อนที่จะเริ่มลงมือนวดแขนให้เธอ รัตเกล้ามองการกระทำของมินจูที่แสดงถึงความห่วงใยและแคร์เธอมากกว่าคนที่เป็นคู่ขาธรรมดา มันยิ่งทำให้หัวใจของเธอสั่นไหวมากขึ้น
“เรียบร้อยแล้ว เธอพักการใช้แขนข้างนั้นไว้สักสองสามวัน อาการปวดก็จะหาย”มินจูเอ่ยเมื่อพันแขนเธอด้วยผ้าก๊อตเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“คุณมินจู ฉัน...อวดดี อยากเป็นคู่ซ้อมให้กับคุณ ทั้งๆที่ฉันเองก็ไม่ได้เก่งกาจอะไรเลย คุณเลยต้องลำบากมาดูแลฉันแบบนี้”รัตเกล้าเอ่ยเสียงอ่อย รู้สึกว่าตัวเองเป็นภาระสำหรับเธอ
มินจูหันไปมองใบหน้าหวานด้วยแววตาที่อ่อนโยน ถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนที่จะเอ่ยกับเธอว่า
“ไม่เลยฉันไม่เคยคิดว่าเธอเป็นพวกอวดดีอวดเก่งเลยสักนิด ในทางกลับกันแล้ว เธอเก่งมากเลยต่างหาก เพียงแต่ที่เธอต้องมาบาดเจ็บก็เพราะว่าเธอยังควบคุมพลังของตัวเองที่มันมากเกินไปของตัวเองได้เท่านั้นเอง”
“ฉันหรอค่ะ เก่ง ได้รับคำชมจากปากของจอมยุทธ์ตัวจริงอย่างคุณเนี่ย รู้สึกยังไงก็ไม่รู้”
“เธอไม่รู้รึไง ว่าคมแฝกที่เธอตีถูกฉัน มันมีผลกับฉันยังไง”
รัตเกล้าขมวดคิ้วมองร่างสูงที่ยันกายลุกขึ้นพร้อมกับเลิกเสื้อที่ด้านหลังให้เธอดู รอยช้ำสีแดงรอยยาวปรากฏขึ้นที่กลางหลังของรูปสลักมังกรพอดี
“ตายจริง! คุณมินจู คุณเจ็บมากมั้ย”รัตเกล้าร้องออกมาเมื่อได้รู้ว่าคมแฝกของตนได้ฝากร่องรอยไว้บนแผ่นหลังของมินจู
“ฉันไม่เป็นไรหรอก แต่ก็ปวดๆอยู่เหมือนกัน เธอนี่ก็ร้ายเอาเรื่องน่าดู ไว้หายดีเมื่อไหร่ ฉันจะสอนให้เธอรู้จักวิธีควบคุมพลัง ถ้าเธออยากจะเก่งมากกว่านี้ ฉันก็จะเป็นคนช่วยลับคมให้กับเธอเอง”มินจูหันกลับมาเอ่ยกับเธอด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความรักและศรัทธาในตัวเธอ
รัตเกล้าถึงกับหัวใจกระตุกวาบเมื่อได้เห็นรอยยิ้มนั้นของเธอ มินจูสบตาคมหวานของคนที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง ความรู้สึกพิเศษบางอย่างก็ก่อตัวขึ้น ความรู้สึกแบบนี้มันเป็นความรู้สึกที่มินจูไม่อยากจะยอมรับมัน แต่ทว่ามันก็เกิดขึ้นมาทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับรัตเกล้า ร่างสูงโน้มใบหน้าลงเอาริมฝีปากแตะที่หน้าผากมนของเธอเบาๆ
“เดี๋ยวฉันจะให้แม่นมเอาอาหารเช้าขึ้นมาให้นะ กินแล้วจะได้พักผ่อน”พูดจบร่างสูงก็เดินออกจากห้องไป โดยมีสายตาของรัตเกล้ามองตามแผ่นหลังบางด้วยความรู้สึกหวิวๆในหัวใจ
เมื่อได้อยู่ตามลำพังในห้องรัตเกล้าก็เอาแต่คิดทบทวนในทุกสิ่งทุกอย่างที่มินจูทำให้ ไม่ใช่ว่าเธอดูไม่ออกว่าการกระทำของมินจูนั้นมันมีความหมายว่าอย่างไร ความรู้สึกของเธอก็เริ่มหวั่นไหวและสับสนขึ้นมา แล้วความกลัวที่จะยอมรับในสิ่งที่มันเกิดขึ้นมาในใจของเธอก็เกิดขึ้น รัตเกล้าพยายามดึงตัวเองให้กลับมาพร้อมกับความคิดที่ว่า มันคงไม่มีทางเป็นไปได้ สะกดความรู้สึกที่เธอมีในใจนั้นไว้
...............................................................
รัตเกล้าหายจากอาการบวมที่แขนจนกลับมาจับคมแฝกได้อีกครั้ง มินจูจึงเริ่มฝึกพิเศษให้กับเธอ ด้วยการพาเธอไปนั่งสมาธิที่ใต้น้ำตกในสวนป่าซึ่งก็อยู่ในอาณาบริเวณบ้านสกุลจางนั้นเอง เพื่อฝึกให้เธอสามารถใช้พลังจิตควบคุมพลังกายของตัวเองให้ดีเสียก่อน และรัตเกล้าก็ทำให้มินจูต้องทึ่งเมื่อเธอใช้เวลาฝึกฝนได้ไม่นานก็สามารถแสดงอนุภาพของเพลงคมแฝก ชนิดที่เรียกได้ว่าหากผู้ใดถูกคมแฝกของรัตเกล้าเข้าไปแล้วล่ะก็ ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต
“เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ก่อน”มินจูตะโกนอกร่างหนาที่กำลังวาดเพลงคมแฝกใส่ต้นไผ่อยู่ไม่ไกลจากศาลาแปดเหลี่ยม ที่เธอนั่งจิบน้ำชาไปด้วยควบคุมการฝึกของรัตเกล้าไปด้วย
จิงสงรีบยกถาดที่ใส่ผ้าขนหนูส่งให้ร่างหนาที่กำลังเดินกลับมาที่ศาลา รัตเกล้าหยิบขึ้นมาซบเหงื่อที่ชื้นเต็มใบหน้าก่อนที่จะมานั่งลงตรงเก้าอี้หินอ่อนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับมินจูพร้อมกับเอ่ยถาม
“วันนี้ฉันเป็นยังไงบ้างค่ะ”
“แล้วเธอคิดว่าตัวเองเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหนล่ะ”
“ฉันรู้สึกว่า ฉันสามารถใช้คมแฝกได้ไหลลื่นกว่าเดิม แถมไม่เหนื่อยง่ายอีกด้วย”เธอเอ่ยเสียงใสออกมา
“นายหญิงน้อย สุดยอดสมเป็นจอมยุทธ์คมแฝกจริงๆครับ”จิงสงเอ่ยชมเจ้านายสาวอย่างชื่นชมในความสามารถ
“อย่าพูดชมกันแบบนี้สิค่ะ คุณจิงสง ถึงยังไงฉันก็ยังเทียบกับคุณมินจูไม่ได้อยู่ดี”เธอว่าพลางยกกระติกน้ำเกลือแร่ขึ้นมาดื่ม
“เธอรู้จักเจียมตัวไว้แบบนี้ก็ดีแล้ว”มินจูเอ่ยเสียงเรียบ
“แต่ถ้ามีโอกาสเมื่อไหร่ ฉันก็อยากโค่นคุณแล้วก็ก้าวขึ้นไปเป็นที่หนึ่งให้ได้ คอยดูเถอะ”เธอหันไปมองหน้าหญิงสาวอย่างเอาเรื่อง
“ไม่จำเป็นที่ฉันต้องคอย เพราะถึงยังไงมันก็คงไม่มีวันนั้นหรอก”คำพูดของมินจูทำเอาให้ต่อมจี๊ดของรัตเกล้าทำงาน
“งั้นมาลองกันสักตั้งมั้ยล่ะ”เธอหยิบคมแฝกขึ้นมาพร้อมกับส่งสายตาท้าทายมินจูที่ยังคงมีท่าทีที่สงบนิ่งเหมือนอย่างเคย
“เอะ! นะ นายหญิงน้อย ใจเย็นๆก่อนนะครับ เฮ้อ!~ เอาอีกแล้วไง”จิงสงเริ่มจะชินกับการที่ต้องเห็นเจ้านายสาวทั้งสองต่อล้อต่อเถียงกัน และตนก็ต้องเป็นฝ่ายที่ต้องคอยห้ามทัพทุกที
ขณะที่ศึกการปะทะคารมของทั้งสองนางพญาเพิ่งจะสงบลง ร่างสูงของบอดี้การ์ดมือขวาก็เข้ามาพร้อมกับชายหนุ่มอีกคน ชายหนุ่มคนนี้แต่งกายด้วยชุดเสื้อคอจีนแขนยาวกางเกงขาก๊วยสีกรมท่าเดินเข้ามาโค้งให้พวกเธอ
“นายหญิง นี่คือ ตงอาจา ผู้ส่งสารจากท่านอาจารย์อู๋ฟาน”เฉินลองแนะนำชายผู้มาเยือน
“หือ...มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้นหรอ ท่านอาจารย์ถึงได้ส่งสารมา”มินจูรู้สึกแปลกใจไม่น้อย เมื่อตงอาจาส่งม้วนกระดาษขนาดพอดีมือส่งให้ตน
“ท่านอาจารย์สั่งผมมาว่า ให้ผมส่งสิ่งนี้ให้ถึงมือของนายหญิงจางมินจูด้วยตัวเองให้ได้ครับ”
มินจูรับม้วนกระดาษนั้นพร้อมกับคลี่ออกเพื่ออ่านข้อความข้างใน รัตเกล้าหันไปมองเธออย่างสนใจเมื่อใบหน้าที่เรียบเฉยของมินจูคิ้วเริ่มขมวดเข้าหากัน
“อืม...ฉันเข้าใจแล้ว ฝากบอกท่านอาจารย์ด้วย ว่าฉันจะทำตามความประสงค์ของท่าน”มินจูเอ่ยหลังจากที่อ่านข้อความจากม้วนกระดาษเรียบร้อยแล้ว
ตงอาจาโค้งให้มินจูอีกครั้งก่อนที่จะกลับออกไปพร้อมกับเฉินลอง เพื่อนำคำตอบจากผู้นำตระกูลจางไปส่งให้อาจารย์อู๋ฟาน
“มีอะไรหรือเปล่าค่ะคุณมินจู ดูท่าทางคุณซีเรียสจัง”รัตเกล้าถามอย่างเป็นห่วง
“โรส...เธอคิดว่าคมแฝกของเธอคมพอรึยัง”มินจูถามเธอกลับเสียงเรียบ
“ยัง ฉันต้องการให้มันคมกว่านี้ คุณถามแบบนี้เนี่ย จะฝึกพิเศษให้ฉันอีกหรอค่ะ”รัตเกล้าตอบ ขมวดคิ้วมองใบหน้าเนียนอย่างสงสัย
“พรุ่งนี้ฉันจะพาเธอไปเหอเป่ย ท่านอาจารย์อู๋ฟานต้องการพบเธอ”
“ห๋า! ท่านอาจารย์อู๋ต้องการพบนายหญิงน้อย”จิงสงตกใจจนร้องออกมา
“คงเพราะเห็นข่าวพวกสกุลโจวไปพังงานวันเกิดของฉันล่ะมั้ง ท่านถึงอยากจะพบเธอ”มินจูว่า
“เดี๋ยวก่อนค่ะ แล้ว...อาจารย์ฮู๋ฟานคนนี้ เค้าเป็นใครค่ะ ทำไมถึงอยากพบฉัน”
“เอ่อ...คือว่า ท่านอาจารย์อู๋ฟาน เป็นอาจารย์ที่สอนเคล็ดวิชามีดสั้นให้กับทายาทมังกรแห่งตระกูลจาง พูดง่ายๆท่านอาจารย์อู๋ก็คืออาจารย์ของนายหญิงใหญ่นั้นเองครับ”จิงสงอธิบาย
“โห...อาจารย์สอนวิชาของทายาทสกุลจาง แบบนี้อายุก็ปาไปหลายร้อยปีแล้วสิ อยู่มาได้ยังไงเนี่ย”รัตเกล้าถึงกับอึ้ง
“เพราะท่านอาจารย์ สำเร็จเคล็ดวิชาอมตะแล้วน่ะสิ ท่านสามารถควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจของตนให้ช้ากว่าปกติได้ ทำให้ในหนึ่งปีของโลกมนุษย์เท่ากับหนึ่งวันของท่าน มันเป็นวิชาที่ยากมาก ผู้ฝึกจะต้องบำเพ็ญตนให้จิตอยู่คงที่ตลอดเวลา”มินจูอธิบายให้เธอฟังบ้าง
“สุดยอดเลย ท่านอาจารย์อู๋ต้องเป็นเซียนแล้วแน่ๆเลย นอกจากเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกมนุษย์แล้ว ฉันว่าอาจารย์อู๋ฟานนี่แหละต้องเป็นสิ่งมหัศจรรย์อันดับแปดของโลก”รัตเกล้าเอ่ยออกมาด้วยสายตาที่เปล่งประกายจนทำให้มินจูเผลอมีรอยยิ้มออกมา
“ท่านอยากพบเธอ ในฐานะที่เธอเป็นผู้หญิงของฉัน เพราะฉะนั้นจงเตรียมตัวไว้ซะ”พูดจบมินจูก็เดินออกจากศาลาไป
“อ่ะ ห๋า!”รัตเกล้าถึงกับอ้าปากค้าง เริ่มกังวลกับการพบกันเป็นครั้งแรกระหว่างตนกับอาจารย์อู๋ฟาน
อีกด้านหนึ่งของความชั่วร้ายไอหมอกสีดำปกคลุมไปทั่วบริเวณบ้านสกุลโจว ร่างชายฉกรรจ์กว่าสิบคนนอนเรียงรายเกลื่อนพื้นที่ชื้นแฉะ ใบหน้าของทุกคนเป็นสีม่วงคล่ำมีเลือดออกจากทวารทั้งเจ็ดจนเสียชีวิต ซูซานทดลองปรุงยาเพิ่มพลังซึ่งเป็นสูตรลับที่เฒ่ายาได้คิดค้นเอาไว้ ทว่าในวันนี้ศิษย์เอกที่เฒ่ายาไว้ใจกลับทรยศหักหลังอาจารย์ เพียงเพื่อต้องการสูตรยาให้ตนได้ขึ้นเป็นหนึ่งในยุทธภพ และในที่สุดซูซานก็ปรุงยานั้นได้สำเร็จ
จ้าวสื่อกับซูซานดื่มยาเพิ่มพลังพร้อมกับฝึกฝนวิชาของตนเองไปด้วย จนในวันนี้อรสพิษดำของซูซานได้คร่าชีวิตเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายที่พวกเขาจับมาเป็นหนูทดลองไปหลายสิบคนแล้ว และกระจกเงามรณะบานใหม่ของจ้าวสื่อก็แข็งแกร่งเสียจนต้าอี้ ที่เป็นคู่ฝึกซ้อมให้จ้าวสื่อรับมือเขาไม่ไหวพ่ายแพ้ย่อยยับจนตัวเองบาดเจ็บสาหัส จ้าวสื่อกับซูซานจึงฉลองความสำเร็จที่วิชาของตนพัฒนาได้อย่างรวดเร็วจนถึงไร้ขีดจำกัด และเพื่อแผนการโค่นล้มตระกูลจางก็กำลังจะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้
“ในที่สุดพวกเราก็ฝึกวิชาสำเร็จ ซูซานถ้าไม่ได้เธอช่วยฉันไว้ กระจกเงาของฉันก็คงไม่แข็งแกร่งมากถึงขนาดนี้หรอก”จ้าวสื่อโอบร่างระหงของคู่ขาสาวเข้าหาตัว
“หึหึ เพื่อความยิ่งใหญ่ของตระกูลโจวและเพื่อนายท่าน ซูซานคนนี้จะทำทุกอย่าง เพื่อให้ได้ชัยชนะ”หล่อยเยียดยิ้มส่งตาหวานให้หนุ่มใหญ่
“คิดแล้วฉันยังแค้นนังนั้นไม่หาย คราวนี้แหละจะได้แก้แค้นมันด้วยกระจกบานใหม่ของฉันนี่แหละ”จ้าวสื่อเอ่ยเสียงลอดไรฟันเมื่อนึกถึงรัตเกล้า
“ถ้านายท่านคิดจะจัดการนังนั้น ก็ต้องล่อให้จางมินจูมันออกจากถ้ำให้ได้เสียก่อน เพราะมันทั้งรักทั้งหวงเมียของมันอย่างกะอะไร แทบจะไม่ยอมให้ห่างจากตัวเลยด้วยซ้ำ”ซูซานว่า
“แล้วเธอพอจะมีทางล่อให้นังจางมินจูมันออกห่างจากเมียของมันได้มั้ยล่ะ”
ซูซานหันไปสบตากับจ้าวสื่อก่อนที่จะเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา
“ฉันคิดว่า พวกเราพอจะมีทางนะ คราวนี้แหละ นังมินจู แกไม่มีทางรอดจากอสรพิษดำของฉันไปได้หรอก”ซูซานเอ่ยเสียงเหี้ยม
จ้าวสื่อมองใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจของซูซานก็เผยรอยยิ้มออกมาบ้าง พร้อมกับชูแก้วไวน์ในมือเพื่อฉลองให้กับความสำเร็จที่กำลังจะเกิดขึ้นล่วงหน้า
ความคิดเห็น