คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #42 : ศึกการประลองที่เขาจันทรา
มาแว้ววววววว มาตามคำเรียกร้อง ขออภัยที่ไรเตอร์มาอัพช้านะจ้ะ และไรเตอร์มีข่าวจะแจ้งให้น้องๆแฟนคลับทุกคนให้รับทราบ ตอนนี้นิยายเรื่อง ขอบคุณถ้าฟ้าฝนจะเป้นใจ ใกล้จะจบลงเต็มที่แล้ว ไรเตอร์ก็เลยอยากอัพให้มันจบไปเลย จะได้มีเวลามาอัพเรื่องนี้ได้อย่างเต็มที่นะจ้ะ คงอีกหลายวันกว่าพี่จะอัพตอนใหม่ แต่ไม่นานเกินรอแน่นอนจร้า...ไปลุยกานเลย
การเดินทางด้วยฮอลิคอปเตอร์ของสกุลจางเพื่อมุ่งสู่มณฑลเหอเป่ย ซึ่งมันก็สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับรัตเกล้าไม่น้อย เพราะนี่เป็นการเดินทางด้วยฮอลิคอปเตอร์ส่วนตัวเป็นครั้งแรกของเธอ มินจูมองหญิงสาวที่ทำตัวเป็นเด็กน้อยอยากรู้อยากเห็นอะไรๆไปเสียหมดจนนั่งอยู่ไม่ติดที่ ก็นึกอยากจะคว้าตัวเข้ามากอดจะได้หายเป็นลิงเป็นข้างเสียที รัตเกล้ามองออกไปยังเบื้องล่างที่เขียวชอุ่มไปด้วยป่าไม้และภูเขามากมาย ประเทศจีนเป็นประเทศที่มีแผ่นดินกว้างใหญ่ที่สุดในทวีปเอเชีย จึงแบ่งการปกครองในแต่ล่ะท้องที่เป็นมณฑล ซึ่งแต่ละมณฑลก็มีพื้นที่กว้างขวางมาก เทียบเท่ากับประเทศไทยทั้งประเทศเลยก็ว่าได้ อีกทั้งประชากรก็ไม่หนาแน่นเหมือนกับประเทศบ้านเกิดของเธออีกด้วย การเดินทางที่จะข้ามผ่านไปยังอีกมณฑลหนึ่งจึงเป็นเรื่องที่ยากลำบากอยู่พอสมควร
ฮอลิคอปเตอร์ค่อยๆร่อนลงสู่พื้นเบื้องล่าง รัตเกล้าสังเกตพื้นที่รอบๆก็รู้ว่าขณะนี้พวกเธอกำลังลงจอดที่ยอดเขาลูกหนึ่ง มินจูช่วยปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากกายสาว เมื่อเห้นว่าเธอมัวแต่สนใจธรรมชาติของขุนเขา
“ไปกันเถอะ ปล่อยให้ท่านอาจารย์รอนานมันไม่ดี”มินจูเอ่ยเตือนหญิงสาว
รัตเกล้าในชุดเสื้อยึดกางเกงผ้าแพรสีขาวแบบสบายๆ เดินออกมาจากฮอลิคอปเตอร์พร้อมด้วยถุงผ้าสีดำทรงยาวที่เธอถือมันไว้ไม่ห่างตัว มินจูพาเธอเดินผ่านแนวไม้ที่กั้นระหว่างลานจอดฮอลิคอปเตอร์กับสิ่งปลูกสร้างแบบจีนโบราณ รัตเกล้าถึงกับอึ้งในสิ่งที่ตนได้เห็น ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าบนยอดเขาสูงเสียดฟ้าจะมีสถาปัตยกรรมใหญ่โตอลังการสร้างอยู่บนนี้ได้ มินจูพารัตเกล้าเดินผ่านซุ้มประตูไม้ต้นใหญ่จนเธออดคิดในใจไมได้ว่าตอนนี้เธออยู่ในโลกปัจจุบัน หรือว่ากำลังหลงอยู่ในยุคของจิ๋นซีฮองเต้กันแน่นะ
หญิงสาวถึงกับชะงักฝีเท้าเมื่อก้าวผ่านพ้นประตูก็พบว่า มีชายหลายร้อยคนยืนเรียงแถวเป็นแนวยาวจนไปสุดอยู่ที่ตัวอาคารไม้โบราณ ที่ตั้งตระหง่านยู่ตรงหน้าพวกเธอ และทุกย่างก้าวที่มินจูเดินผ่านชายเหล่านั้นก็จะโค้งคำนับให้เธออย่างนอบน้อม เหมือนกับพวกบอดี้การ์ดในบ้านสกุลจางไม่ผิดเพี้ยน ทำเอารัตเกล้าไม่กล้าเดินเทียบเสมอกับมินจู ได้แต่เดินก้มหน้าก้มตาสงบเสงี่ยมเจี่ยมตัวตามร่างสูงต้อยๆ
“ขอต้อนรับ หัวหน้าตระกูล ท่านจางมินจู”เสียงตะโกนต้อนรับของชายทั้งหมดดังขึ้น เมื่อร่างสมาจนถึงตัวอาคาร
ประตูบานใหญ่เปิดออกพร้อมกับร่างเล็กเกือบจะแคระของผู้เฒ่าสูงวัยอู๋ฟาน ตามมาด้วยศิษย์เอกคนปัจจุบันตงอาจาเดินออกมาจากด้านใน
“คาราวะ ท่านอาจารย์”มินจูโค้งทำความเคารพผู้เป็นอาจารย์ของตนอย่างนอบน้อม
“โฮะๆ มาแล้วหรอ มินจู หวังว่าวันนี้เจ้าคงจะเตรียมการทุกอย่างมาพร้อมนะ”เสียงแหบต่ำๆของอู๋ฟานเอ่ยขึ้น ดวงตาเล็กเรียวที่ถูกปกปิดด้วยขนคิ้วสีขาวโพล่นที่ยาวจนถึงโหน่งแก้ม กำลังเหลือบไปมองร่างหนาที่ยืนอยู่ด้านหลังมินจูอย่างพิจารณา พร้อมกับลูบเคราที่ยาวจนเกือบจะถึงพื้นไปด้วย
“ค่ะ ทุกอย่างที่ท่านอาจารย์ได้สั่งมา ศิษย์ได้เตรียมไว้พร้อมแล้ว”มินจูเอ่ย
“ไหนเงยหน้าให้ข้าได้ยลโฉมเจ้าชัดๆสิ”อู๋ฟานเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่ต่างอะไรจากคุณลุงใจดี รัตเกล้าค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาตามคำสั่งของผู้เฒ่าสูงวัย และนาทีแรกที่เธอได้เห็นอู๋ฟานก็ทำให้เธอนึกถึง อัลบัส นัมเบอร์ดอล แห่งแฮรรี่ พอตเตอร์
“อืม...โห่วเฮ้งดีไม่เลวนะเจ้า”
“ขอบคุณค่ะ”เธอเผยรอยยิ้มสดใสออกมา
“เจ้าชื่ออะไรรึ”
“ชื่อโรสค่ะ”
“เจ้าคงจะเตรียมตัวมาพร้อมแล้วสินะ”
“ค่ะ”เธอพยักหน้ารับพร้อมกับคำตอบ
“อืม...งั้นก็คงถึงเวลาแล้วที่จะเปิดศึกการประลอง อาจา เจ้าเพิ่มโรสลงไปในรายชื่อผู้ท้าชิงตำแหน่งแล้วรึยัง”อู๋ฟานหันไปเอ่ยกับศิษย์เอกคนปัจจุบันที่ยืนอยู่ด้านหลัง
“เรียบร้อยแล้วครับ ท่านอาจารย์”ตงอาจาตอบ
“งั้นข้าขอเชิญผู้ท้าชิงทั้งหมด ออกมาด้านหน้า เราจะได้เริ่มการประลองกันได้แล้ว”อู๋ฟานประกาศ
“ประลอง? ประลองอะไร”รัตเกล้าขยับไปกระซิบถามมินจู
“ถ้าเธออยากแข็งแกร่ง จนเอาชนะกระจกเงามรณะได้ เธอต้องฝ่าด่านจอมยุทธ์ของสกุลจางทั้งหมดนั้นให้ได้”มินจูเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย
“อ่อ! อย่างนี้นี่เอง”รัตเกล้าพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
“โรส เธอห้ามแพ้เจ้าพวกนั้นเด็ดขาดเข้าใจมั้ย แม้แต่คนเดียวก็ไม่ได้ ถ้าเธอทำไม่ได้ล่ะก็ นอกจากเธอจะไม่สามารถเอาชนะโจวจ้าวสื่อได้แล้ว เธอก็จะถูกฉันขังไว้ในห้อง ไม่ต้องออกไปไหนอีกตลอดไป”คำขู่ของมินจูทำให้ไฟในการต้อสู้ของรัตเกล้าลุกโชติช่วงชัชวาลขึ้นมาทันที
“ใครจะไปยอมให้เป็นอย่างนั้นกันเล่า”รัตเกล้าหันไปมองบรรดาผู้ท้าชิงที่เดินออกมาจากลุ่มชายที่เปลี่ยนไปยืนเรียงแถวหน้ากระดานด้วยแววตาที่แข็งกร้าว
อู๋ฟานรู้สึกชอบอกชอบใจในดวงตาที่ดูเอาเรื่องของหญิงสาวไม่น้อย ไม่แน่ว่าวันนี้อาจจะเป็นการประลองที่เยี่ยมยอดที่สุดเท่าทีเคยมีมาก็ได้
ตงอาจาประกาศเรียกให้ผู้เข้าประลองทั้งสิบออกมาแสดงตน รัตเกล้าก็เดินออกไปรวมกลุ่มกับพวกผู้ชายที่มาจากเชื้อสายของตระกูลจางทั้ง9คน สายตาของผู้ท้าชิงทุกคนหันไปมองรัตเกล้าเป็นตาเดียวกัน แต่เธอก็ไม่หวั่นเกรงต่อสายตาของชายผู้ท้าชิง เสียงตีกลองเป็นจังหวะดังสนั่นไปรอบๆขุนเขาเพื่อประกาศศึกการประลองอันยิ่งใหญ่ของตระกูลจาง
“การแข่งขันจะเป็นแบบแบทเทิลรอยัล ผู้ท้าประลองอยากจะสู้กับใครก็ได้จนเหลือผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียว และการประลองในครั้งนี้คนที่บาดเจ็บจนหมดสภาพการต่อสู้จะถูกคัดออกทันที”ตงอาจาประกาศลั่น
เมื่อผู้เข้าประลองทั้งสิบรู้ถึงกฎกติกามารยาทแล้วก็ถึงเวลาจะต้องเปิดศึกการประลองยุทธ์ศึกชิงจ้าวตระกูลจางเสียที จอมยุทธ์ทุกคนลงสนามประลอง เสียงรัวกลองในจังหวะเร้าจำให้การประลองในครั้งนี้ดูยิ่งใหญ่เหมือนการแข่งศึกชิงจ้าวยุทธภพก็ไม่ปาน และเมื่อเสียงกลองหยุดลงการต่อสู้ก็เริ่มขึ้น
ชายทั้งแปดคนต่างก็จบคู่ประลองยุทธ์คงเหลือก็แต่รัตเกล้ากับจางเบียงคุ ชายหนุ่มผิวขาวร่างสูงพอๆกับมินจูใบหน้าเนียนสะอาดราวกับหญิงสาวที่กำลังมองร่างหนาอย่างพิจารณา เมื่อเห็นเธอคลายถุงผ้าหยิบเอาอาวุธคู่กายออกมา
“อาวุธของเธอแปลกดี ปกติผมเคยเห็นแต่กระบองยาวกับกระบองคู่สั้นๆ อาวุธของเธอคืออะไรบอกหน่อยได้มั้ย”เบียงคุถามอย่างสนใจ
“อ่อ...สิ่งนี้คือคมแฝก มันเป็นอาวุธและวิชาที่มีมาแต่โบราณของประเทศไทย”รัตเกล้าว่าพลางควงคมแฝกไปด้วย
“เธอเป็นคนไทยงั้นสิ แปลกจริงที่นายหญิงจางมินจูส่งเธอออกมาประลองแทน แต่ก็เอาเถอะ ผมขอแนะนำตัวก่อนนะ ผมชื่อ จางเบียงคุ เป็นทายาทผู้มีสิทธิ์สืบทอดตระกูลอันดับห้า”ชายหนุ่มโค้งให้เธออย่างเป็นทางการ
“เรียกฉันว่าโรสก็ได้ค่ะ”เธอโค้งตอบ
“จริงๆแล้วการประลองในวันนี้ ผมเองก็ไม่อยากประลองสักเท่าไหร่ แต่ก็ขัดกฎของที่บ้านไม่ได้ เช่นนั้นแล้วเราก็มาเริ่มประลองกันเลยดีกว่า ถือซะว่าเป็นการแลกเปลี่ยนศิลปะวิชาการต่อสู้ระหว่างประเทศก็แล้วกันนะครับ”เบียงคุเอ่ยพร้อมกับหยิบกระบี่ของตนออกมา
“งั้นฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะค่ะ”เธอควงคมแฝกตั้งท่ารับ สายตาก็จับจ้องไปที่ร่างสูงนั้น
“เช่นนั้นแล้ว ผมไม่เกรงใจล่ะ”เบียงคุเอ่ยออกมาพร้อมกับวาดกระบี่ของตน
ทันทีที่เบียงคุได้จับกระบี่สายตาของเขาก็เปลี่ยนไป ร่างสูงพุ่งทะยานเข้ามาหาร่างหนาที่ยืนปักหลักนิ่ง แก๊ง! เสียงกระบี่ปะทะกับเนื้อไม้ดังขึ้นทุกครั้งที่เบียงคุเข้าโรมรันใส่รัตเกล้า การต่อสู้แบบประชิดตัวของทั้งสองเป็นที่สนใจของอู๋ฟาน ผู้เฒ่าสูงวัยจับตาดูการต่อสู้ของเบียงคุกับรัตเกล้าและความแปลกของอาวุธและกระบวนท่าที่ตนไม่เคยเห็น การต่อสู้ของเธอกับเบียงคุไม่ได้เป็นที่สนใจแต่อู๋ฟานเท่านั้น ผู้เข้าชมการประลองทุกคนต่างก็จับจ้องคนทั้งคู่ไม่กระพริบ
การดวลกันระหว่างกระบี่กับคมแฝกเริ่มจะเผ็ดร้อนขึ้นทุกทีเมื่อต่างก็ไม่มีใครอ่อนกำลังลงเลย รัตเกล้ารู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของตัวเอง จากเมื่อก่อนหากดวลกันนานขนาดนี้เธอซึ่งเป็นผู้หญิงมักจะแพ้กำลังของผู้ชาย แต่คงเป็นเพราะการฝึกพิเศษของมินจูจึงทำให้เธอไม่รู้สึกเหนื่อยเลย แถมยังมีแรงมากพอที่จะอัดพลังสู่ปลายคมแฝก ฝ่ายเบียงคุเริ่มรู้สึกว่าการต่อสู้ของตนมันจะยืดเยื้อเกินไปจึงตัดสินใจจะเผด็จศึกเธอ คมประบี่ปะทะกับคมแฝกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะดีดตัวเองหมุนคว้างอยู่กลางอากาศ ก่อนที่จะถลาร่อนลงสู่พื้นพร้อมกับตั้งท่าเตรียมจู่โจม
“เพลงกระบี่มายนาจันทร์!”
เบียงคุถ่ายทอดพลังลมปราณสู่ปลายกระบี่ก่อนที่จะฟาดฟันออกไป บังเกิดเป็นใบมีดอากาศเส้นยาวๆหลายเส้นพุ่งเข้าหาร่างหนาอย่างรวดเร็ว แต่แทนที่รัตเกล้าจะหลบเธอกลับกำคมแฝกแน่น พร้อมกับเหวี่ยงปลายคมแฝกตีปัดใบมีดอากาศกระเด็นออกไป ใบมีดอากาศถูกรัตเกล้าตีปัดออกไปได้หมดสร้างความตื่นตะลึงกับทุกคนไม่น้อย เบียงคุเห็นว่ารัตเกล้าสามารถสกัดใบมีดอากาศของตนได้ก็คิดแผนโจมตีเธออีกครั้ง ด้วยการตวัดกระบี่สร้างใบมีดอากาศขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนที่จะพุ่งตัวเข้าหาหวังอาศัยจังหวะที่เธอมัวแต่ตีสกัดใบมีด แต่ทว่าเพียงแค่แวบเดียวร่างทั้งร่างของเธอก็หายไป เบียงคุเบิกดวงตากว้างอย่างตกใจเมือสัมผัสได้ถึงอันตรายจากดวงตาคู่หนึ่ง
“พิฆาตเวนไตย!”
รัตเกล้าอาศัยจังหวะที่ใบมีดอากาศเส้นสุดท้ายพุ่งเข้ามาเบี่ยงตัวหมุนหลบ พร้อมกับตวัดคมแฝกเข้าที่กลางหลังของเบียงคุอย่างแรง จนทำให้ร่างชายหนุ่มกระเด็นออกไปกระแทกกับพื้นปูนก่อนที่เขาจะกระอักเลือดออกมา ทุกคนถึงกับอึ้งเมื่อเพียงแค่กระบวนท่าเดียวของเธอ ก็สามารถทำให้เบียงคุหมดสภาพจนต้องถูกคัดออกจากการประลอง
“ไม่อยากจะเชื่อเลย เจ้าเบียงคุจะแพ้ผู้หญิง”หนึ่งในคุณชายสกุลจางเอ่ยขึ้น
“หือ! อาวุธก็แค่ไม้ธรรมดา เห็นทีแบบนี้คงจะยอมไม่ได้ซะแล้ว ย้าก!!!”คุณชายสกุลจางอีกคนหนึ่งรู้สึกเหมือนว่าตนถูกผู้หญฺงอย่างเธอหยามศักดิ์ศรี ทิ้งคู่ต่อสู้ของตนกระโดดตัวลอยขึ้นไปบนอากาศด้วยวิชาตัวเบาพุ่งเข้าหาร่างหนาหร้อมกับหอกปลายแหลม
รัตเกล้าเบี่ยงตัวหลบปลายหอกได้ทัน ก่อนที่จะตวัดคมแฝกตีกดตรงกลางหอก ทำเอาคุณชายสกุลจางถึงกับเสียหลักเซไปไม่น้อย
“อย่านึกว่าเป็นผู้หญิงแล้วพวกเราจะอ่อนให้นะ”คุณชายสกุลจางคนนั้นเอ่ยออกมาอย่างเจ็บใจ
“ถ้าอย่างนั้นก็เข้ามาพร้อมๆกันทั้งหมดนั้นแหละ จะได้จบๆกันซะที”รัตเล้าส่งสายตาท้าทาย ทำเอาบรรดาคุณชายทั้งหลายรู้สึกไม่พอใจในตัวหญิงสาวเป็นอย่างมาก ต่างก็กรูกันเข้ามาหวังจะใช้อาวุธสั่งสอนเธอ รัตเล้ากระตุกยิ้มที่มุมปากก่อนที่จะพุ่งเข้าหาชายหนุ่มเหล่านั้นพร้อมกับตวัดวาดคมแฝกใส่ร่างที่ถลาเข้ามาหาเธอ ก่อนที่จะจรดปลายคมแฝกลงกับพื้นกวาดร่างชายหนุ่มทั้งหมดให้กระเด็นออกไปด้วยกระแสลมอันรุนแรง
“อัคคีสาดแสง!”
ร่างที่ล้มกลิ้งลงไปกับพื้นถึงกับอึ้งเมื่อถูกระบวนท่าที่ตนไม่รู้จักเล่นงาน แต่แทนที่พวกเค้าจะยอมแพ้กลับลุกขึ้นมาหมายจะโรมรันเธออีกครั้ง คนที่หนึ่งใช้ดาบใหญ่หมายจะฟาดฟันเธอพร้อมกับชายอีกสองคนที่ต่างก็มีกระบี่และมีดสั้น วิ่งเข้าหารัตเกล้าเหมือนจะมารุมทำร้าย แต่เธอก็มิได้หวั่นเกรงต่ออันตรายที่กำลังเข้ามา เธอกระตุกยิ้มอีกครั้งก่อนที่จะปราดเข้าใส่ชายทั้งสาม รัตเกล้าเหวี่ยงคมแฝกสกัดดาบใหญ่ก่อนที่เธอจะย่อกายหลบคมกระบี่ที่ฟาดหวิดปลายเส้นปม พร้อมกับวาดคมแฝกตีเจาะยางที่ขาของชายทั้งสามกระเด็นพ่ายออกไป
“เอราวัณยสตรา!”
เสียงฮือฮาดังไปทั่วลองประลอง มินจูถึงกับหลบยิ้มออกมาเมื่อเพลงคมแฝกของรัตเกล้าได้แสดงพลังที่แท้จริงออกมาให้ได้เห็น อู๋ฟานเหลือบไปเห็นอดีตศิษย์เอกของตนก็เผยรอยยิ้มออกมาอย่างรู้ทันความคิดของหญิงสาว คุณชายสกุลจางที่เหลือเห็นฤทธิ์เดชของรัตเกล้าก็เริ่มขลาดกลัว แต่ด้วยศักดิ์ศรีของคุณชายจางทำให้คุณชายที่เหลือตัดสินใจสู้ตายกับเธอ
รัตเกล้าควงคมแฝกสายตาก็มองไปยังชายหนุ่มที่เหลือที่กำลังวิ่งเข้ามาหมายจะโรมรัน เธอเหวี่ยงคมแฝกฟาดเข้าที่ท้องน้อยชายหนุ่มคนแรกจนจุก คนที่สองวิ่งมาทางด้านหลังพร้อมกับกระบี่ที่หมายจะทำร้ายเธอ แต่ก็ถูกรัตเกล้าใช้ท่าเหลียวหลังหันไปตีสกัดกระบี่ ก่อนที่จะเหลียวไปอีกข้างพร้อมกับเหวี่ยงคมแฝกฟาดใส่ที่แขนซ้าย แล้วหันหลังกลับไปพุ่งปลายคมแฝกใส่ที่หน้าอกของชายคนนั้นเข้าอย่างจัง จนร่างนั้นกระเด็นออกไปกระแทกกับเสาหินสลบเหมือบ
“ครุฑาถลาลม!”
เมื่อจัดการกับชายคนนั้นได้แล้ว รัตเกล้าก็หันกลับไปสู้กับชายคนเดิมที่เพิ่งเสียทีให้กับเธอ เขาใช้ไม้พลองกระหน่ำตีใส่รัตเกล้า แต่เธอก็สามารถใช้คมแฝกสกัดไว้ได้ทุกท่า รัตเกล้าจับปลายคมแฝกทั้งสองด้านรับปลายไม้พลองที่หมายจะตีแสกหน้า เธอก็โต้ตอบด้วยการกระแทกไม้พลองกลับไปจนเขาเสียหลัก และมันก็เป็นโอกาสให้เธอเผด็จศึกกระหน่ำตีไปทั่วทั้งร่างจนกระทั้งเขาล้มลงไป
“สุบรรณบันนาคี!
กลุ่มผู้ท้าประลองที่เหลือ คุณชายผู้ใช้มีดสั้นโค้งงุ้มเหมือนพระจันทร์เสี้ยวขวางมีดสั้นของตนออกไป รัตเกล้าสัมผัสได้ถึงอันตรายที่กำลังพุ่งเข้าหามาอย่างรวดเร็ว ใบมีดจันทร์เสี้ยวร่อนเข้ามาหาร่างหนาแบบซิกแซกเพื่อหลอกล่อให้เธอมึนงง ดวงตากลมตากรอกไปมาเพื่อตามความเร็วของมีดสั้น แม้ว่าเธอจะพยายามจับโฟกัสให้เห็นใบมีดจันทร์เสี้ยวแล้วก็ตาม แต่ก็ยังตามความเร็วของมันไม่ทัน รัตเกล้าหลับตาลงและใช้โสตประสาทของตนฟังเสียลมที่ถูกใบมีดจันทร์เสี้ยวตัดผ่าน
“เจอแล้ว อยู่ตรงนั้นไง!”รัตเกล้าลืมตาโพล่งเหวี่ยงคมแฝกขึ้นตีปัดใบมีดจันทร์เสี้ยวที่ทะยานมาหาเธอกระเด็นออกไปได้ ก่อนที่ตัวเองจะพุ่งเข้าไปโจมตีคุณชายท่านนั้นจนแตกพ่ายออกไป
คุณชายที่เหลืออีกสองคนถึงกับกลืนน้ำลายดังเฮือก เมื่อสายตาอันแข็งกราวของเธอหันควับไปมองพวกตน
“เอ่อ...พวกเราขอยอมแพ้ ท่านจอมยุทธ์หญิง”คุณชายทั้งสองสละอาวุธของตนออกพร้อมกับโค้งคาราวะเธออย่างนอบน้อม
“ผู้ชนะในการประลองในครั้งนี้ได้แก่ คุณโรส”ตงอาจาประกาศจบการประลอง เมื่อเหลือผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียวคือ รัตเกล้า
“โฮะๆๆ เยี่ยมยอดมาก ข้าไม่เคยคิดเลยว่าการประลองในวันนี้จะสนุกระทึกใจสุดๆเช่นนี้”เสียงหัวเราะและเสียงปรบมือของอู๋ฟานดังกังวานจนทุกคนที่อยู่ ณ ลานประลองหันไปมองผู้เฒ่าสูงวัยอย่างอึ้งๆ เพราะทุกคนต่างก็รู้ดีว่าผู้เฒ่าอู๋ฟานจะไม่ชื่นชมผู้ใดง่ายๆ
“ขอบคุณค่ะ ท่านอาจารย์อู๋ฟาน”รัตเกล้าเดินเข้ามาพร้อมกับโค้งคำนับ
“ผลแพ้ชนะในวันนี้เป็นเอกฉันท์แล้ว มีใครจะคัดค้านอีกมั้ย”อู๋ฟานเอ่ยพร้อมกับกวาดสายตามองทุกคน และไม่มีเสียงใดเอ่ยคัดค้าน ผู้เฒ่าสูงวัยจึงประกาศก้อง
“พรุ่งนี้ เราจะจัดพิธีสาบานตนเข้าบ้านสกุลจางให้กับโรส และทุกคนสนุกกับการร่วมงานรื่นเริงในครั้งนี้นะ โฮะๆๆ”ผู้เฒ่าสูงวัยหัวเราะร่วนก่อนที่จะกลับเข้าไปข้างใน
“ยินดีด้วยนะครับ คุณโรส”เบียงคุที่เพิ่งฟื้นจากอาการบาดเจ็บเดินเข้ามาแสดงความยินดีกับเธอ
“คุณเบียงคุ ไม่เป็นไรนะค่ะ”
“แค่นี้ไม่เป็นหรอกครับ พวกเราชาวยุทธ์สามารถฟื้นตัวได้เร็ว แต่ก็...หนักเอาการนะครับ”เขาพูดพลางลูบไปที่กลางหลังของตนที่ยังคงมีอาการเจ็บแปลบอยู่ ก่อนที่จะเอ่ยออกมาอีกว่า
“น่าเสียดายจัง ถ้าผมเจอคุณโรสก่อนก็คงจะดี”
“ตอนนี้เราก็เป็นเพื่อนกันแล้วนี่ค่ะ”เธอเอ่ยพร้อมกับรอยยิ้ม
“แต่ตอนนี้ใจของผมไม่ได้อยากเป็นเพื่อนกับคุณ ถ้าเป็นไปได้ผมอยากได้คุณมาเป็นเจ้าสาวของผมเสียด้วยซ้ำ แต่เห็นคุณชนะการประลองเพราะอยากเป็นเจ้าสาวผู้นำตระกูลจางผมคงต้องถอย”
“คุณเบียงคุพูดแบบนี้หมายความว่ายังไงค่ะ”รัตเกล้าขมวดคิ้วมองหน้าชายหนุ่มอย่างงุนงง
“อ้าว! นี่คุณโรสไม่รู้หรือครับ ว่าการประลองยุทธ์ในสกุลจาง คือการเลือกเฟ้นหาผู้ที่เหมาะสมมาเป็นคู่ปกครองสกุสจางร่วมกับผู้นำตระกูล”
“ห๋า!~ ว่าไงนะ”รัตเกล้าถึงกับร้องลั่น
“ถูกอย่างที่เบียงคุพูดนั้นแหละ พ้นพิธีสามบานตนเมื่อไหร่ เธอก็จะเป็นคนของสกุลจางอย่างเต็มตัว”มินจูเอ่ยขึ้น
รัตเกล้าหันไปมองหน้าร่างสูงที่ยืนอยู่เบื้องหลังตนด้วยใบหน้าที่ซีดเผือก
ความคิดเห็น