ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ชายาวิปลาส

    ลำดับตอนที่ #7 : หนึ่งวิวาห์สะเทือนหกตำหนัก5

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.47K
      10
      23 ต.ค. 66

    ฟากตำหนักฉางชุน ที่ประทับของลิ่วหวงกุ้ยเฟย เจ้าของตำหนักผู้มีใบหน้าพิลาศลักษณ์แม้จะเลยวัยสาวมานานแล้ว กำลังกรีดนิ้วเรียวขาวดั่งหยกสำรวจหีบขนาดย่อมที่เต็มไปด้วยอัญมณีน้ำงามอยู่เต็มอย่างสุขใจ ใบหน้าเปื้อนยิ้มอารมณ์ดีเป็นที่สุด ครั้นนางกำนัลขั้นสูงคู่ใจเดินเข้ามาด้วยใบหน้าสงบนิ่ง นางจึงปรายตามขณะหนึ่งก่อนหันมาสนใจอัญมณีล้ำค่าในมือต่อ

    “ได้ความว่าอย่างไรบ้าง” นางถามโดยที่มิได้ละสายตาสิ่งที่อยู่ในมือ

    “ใต้เท้าเจินเสนอเรื่องการออกเรือนของเล่าองค์ชายในท้องพระโรงเพคะ โดยเฉพาะการออกเรือนของเว่ยอ๋อง ฝ่าบาทยังไม่ตัดสินพระทัย แต่คิดว่าน่าจะไม่นานนัก เพราะเหล่าขุนนางกดดันหนักนักเพคะ” ฟังความแล้วพระนางเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ

    “ใต้เท้าเจิน เจ้ากรมอากรน่ะหรือ เขากล้าถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ” 

    เจ้ากรมอากรผู้นี้รับราชการมายาวนาน น่าจะเข้าใจว่าการไปแตะต้องกล่องดวงใจของฮองเฮานั้นจะนำหายนะมาสู่ตนได้มากเท่าใด แล้วเหตุใดจึงกล้า

    “คาดว่าน่าจะมีการเตรียมการมานานแล้วเพคะ มิเช่นนั้นไทเฮาคงมิเห็นชอบด้วยโดยง่าย ว่ากันว่ามีสนมร่วมมีด้วย แต่หม่อนฉันยังสืบไม่แน่ชัดว่ากลุ่มใดเจ้าค่ะ ”

    ลิ่วหวงกุ้ยเฟยเพียงแค่นยิ้ม

                “หากไม่ใช่ตำหนักเสียนฝู ก็คงจะเป็น ตำหนักจงชุ่ย ” ซุนกูกูชะงักมองพระพักตร์งามที่ไม่ละสายตาออกจากเครื่องประดับงามแม้แต่เพียงนิด สองตำหนักนั้นคือตำหนักของอิ่นเฟย และซ่งเฟย 

    ทั้งสองพระองค์นั้นเป็นพระสนมที่ถวายตัวมาทีหลังสุด มิใช่อย่างกุ้ยเฟยทั้งสองที่ถวายตัวเมื่อครั้งฮ่องเต้พึ่งครองราชย์ หรือมิใช่ดังนางและฮองเฮาที่แต่งตั้งแต่ทรงยังเป็นองค์ชาย ที่ตำแหน่งเฟยของพวกนางมั่นคงมาโดยตลอดก็ด้วยมีโอรสให้แก่ฝ่าบาททั้งคู่ ทั้งยังเป็นที่โปรดปรานของไทเฮาด้วยสกุลเจียงของไทเฮามีความสำพันธ์อันดีกับสกุลอิ่นและสกุลซ่ง

    ที่ผ่านมาอยู่อย่างสงบเสงี่ยมมาตลอดแท้

    อยู่ว่าง ๆ คงจะเบื่อ ถึงได้หาเรื่องไปเยี่ยมเยียนอารามหลวงเช่นนี้

    “แล้วทางตำหนักคุนหนิงเล่าเป็นเช่นไร มิใช่จอมมารสกุลเถียนผู้นั้นเผาตำหนักแล้วหรือ”

    ครั้งรัชทายาทอภิเษกครานั้นนางอาละวาดเสียจนตำหนักคุณหนิงจวนจะลุกเป็นไฟ ครั้งองค์หญิงใหญ่และองค์หญิงรองออกเรือนพร้อม ๆ กันด้วยความสมัครใจนางยังทำลายข้าวของเสียจนต้องเปลี่ยนเครื่องเรือนแทบจะหมดตำหนัก ครานี้บุตรชายสุดรักสุดหวงของนางโดยกดดันให้ออกเรือนหากนางจะโกรธเกรี้ยวจนลุกขึ้นมาเผาตำหนักก็หาได้เกินจริงไม่

    “ฮ..ฮองเฮาทรงกริ้วมาก ตำหนักคุนหนิงยามนี้ก็เสียหายไม่น้อยเพคะ นางกำนัลขันทีวิ่งวุ่นให้จ้าละหวั่น ฝ่าบาทเองก็ประทับอยู่ที่ตำหนักคุนหนิงด้วยเพคะ พระนางจึงพอสงบพระทัยลงได้บ้าง ” หากฝ่ายบาทไม่อยู่ยามนี้นางอาจจะเผาตำหนักขึ้นมาจริง ๆ ก็เป็นได้สินะ เห็นนางดิ้นพล่าน อารมณ์เสียเช่นนี้ลิ่วหวงกุ้ยเฟยรู้สึกสุขใจยิ่งนัก เจ้าของใบหน้างามบิดยิ้มพรายอย่างสาแก่ใจ เพียงไม่นานก็หันมาทอยิ้มหวานหยดย้อยทอดสายตาอ่อนโยนให้กับซุนกูกู

    “เจ้ามาช่วยข้าแต่งตัวที พี่หญิงอารมณ์เสียเช่นนี้ ข้าคงต้องไปช่วยทำให้นางอารมณ์ดีขึ้นมาบ้างเสียแล้ว” ซุนกูกูหมดสิ้นคำกล่าว ได้แต่ถอดถอนใจมองนายของตนปิดบังสายตาสนุกสนานเอาไว้ไม่มิดอย่างอ่อนอกอ่อนใจ ก่อนเริ่มลงมือประทินโฉมให้กับผู้เป็นนาย

    อีกฝากหนึ่งของวังหลวงก็ยังมีอีกตำหนักหนึ่งที่ติดตามสถาการณ์นี้อย่างใกล้ชิดเช่นกัน

    “ว่าอย่างไรนะ นางถึงขั้นทำลายข้าวของเชียวหรือ” ฉางกุ้ยเฟยชะงักมือที่จับพู่กันค้างไว้มองใบหน้างามของจางกุ้ยเฟยอย่างตกตะลึง

    ทันทีที่รับข่าวมาจางกุ้ยเฟยก็คันยุกยิกในใจจึงรีบเร่งมาเล่าความให้ฉางกุ้ยเฟยผู้สงบเสงี่ยมฟัง

    “เจ้าจะตกใจอะไร นางก็เป็นแบบนี้ของนางมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่ได้ดั่งใจก็อาละวาดวุ่นวายไปทั้งวังหลวง ครานี้ไม่ลุกขึ้นมาเผาตำหนักก็ว่าดีเท่าไหร่แล้ว นางคงจะหัวเสียไม่น้อยเพราะขุนนางผู้ใหญ่หลายคนก็กดดันเรื่องนี้ทั้งยังมีไทเฮาให้ท้ายแล้วด้วย ฝ่าบาทเองก็ยากจะรับมือ ”

    “เช่นนี้เว่ยอ๋องเห็นทีจะปฏิเสธยากแล้วงั้นหรือ” ฉางกุ้ยเฟยรำพึงกับตัวเองแผ่วเบา เหล่าขุนนางก็เหลือเกินเพื่ออำนาจล้วนทำได้ทุกอย่าง สงสารเพียงแต่เว่ยอ๋อง ผู้ใดมองก็มองออกว่าอ๋องผู้นี้ไม่สนใจสตรียังจะกดดันให้ออกเรือนให้ได้

    จางกุ้ยเฟยได้ยินดังนั้นจึงแค่นหัวเราะ น้ำเสียงติดจะเย้ยหยัน

    “ทำราวกับไม่รู้จักเถียนเมิ่งและเว่ยอ๋อง บุรุษเช่นเว่ยอ๋องหากตบแต่งจริง ๆ เจ้าสาวอาจจะอยู่ไม่ครบปีเสียด้วยซ้ำ ทั้งงูพิษเถียนเมิ่งนางทำได้ทุกอย่างเพื่อลูกอยู่แล้ว ฝ่าบาทก็เอาใจนางเสียยิ่งกว่าอะไร นางไม่ให้แต่งมีหรือจะแต่งได้ ครั้งนี้ก็คงทำได้เพียงกวนน้ำให้ขุ่น ดียิ่ง เห็นนางทุกข์ใจเช่นนี้ข้ามีความสุขจนอกจะระเบิด เห็นทีจะต้องไปซ้ำเติมนางให้สาแก่ใจกว่านี้เสียแล้ว ข้ามาบอกเจ้าเท่านี้แหล่ะ ขอตัวก่อน ” 

    ว่าจบจางกุ้ยเฟยก็กรีดกรายออกไปจากตำหนักฉู่ชิวอย่างอารมณ์ดี ขณะที่ฉางกุ้ยเฟยมึนงงอยู่ชั่วครู่จากคำพูดที่ยืดยาวจนจับใจความไม่ทันของฉางกุ้ยเฟย นางนิ่งไปอึดใจก่อนวางผู้กันในมือและตามจางกุ้ยเฟยออกไปอย่างเร่งรีบจนนางกำนัลถลาตามไปจวนจะไม่ทัน ปากงามก็พร่ำร้อง

    “พี่หญิง รอข้าก่อน! เต๋อกงกง เตรียมสิ่งนั้นให้ข้าด้วย ”

    วังหลวงก็เป็นเช่นนี้ เจ้าพลาดข้าเหยียบซ้ำเป็นเช่นนี้มาเนิ่นนานเหนือการเวลา ด้วยเหตุนี้หลังจากที่ฝ่าบาทกลับตำหนักเพื่อจัดการงานราชการตำหนักคุนหนิงจึงมีผู้มาเยี่ยมเยียนเนื่องแน่น ผู้แรกที่มาถึงคือลิ่วหวงกุ้ยเฟยที่ประทินโฉมใหม่งดงามหมดจดทั้งยังประโคมเครื่องประดับมากมายราวกับจงใจ เถียงฮองเฮาเห็นดังนั้นก็หงุดหงิดขึ้นมาอีกครา ตรัสถามเสียงห้วน

    “จะโผล่มากวนอารมณ์ข้ารึ ”พระนางมองเครื่องประดับที่หวงกุ้ยเฟยประโคมใส่มาอย่างไม่สบอารมณ์นัก เครื่องประดับเหล่านี้ล้วนเคยเป็นของนางทั้งสิ้น ยิ่งมองยิ่งแสลงตา จิ้งจอกสกุลลิ่วนางนี้จงใจมาเยาะเย้ยนางอย่างเห็นได้ชัด นางต้องหาทางเอาคืนให้จงได้ !

    “พี่หญิงช่างใส่ร้าย เห็นท่านอารมณ์ไม่สู้ดีน้องสาวจึงมาช่วยให้พี่สาวอารมณ์ดีขึ้น ” ลิ่วหวงกุ้ยเฟยกรีดกรายนั่งลงตรงข้ามฮองเฮาโดยพละการ ไร้ซึ่งความเกรงใจและความเคารพตามที่สนมชายาพึงกระทำต่อฮองเฮา กระนั้นกูกูคนสนิทของฮองเฮาก็รินชาให้ผู้มาเยือนเป็นอย่างดี

    หวงกุ้ยเฟยคนงามหยิบบางอย่างออกมาจากแขนเสื้อ วางลงตรงหน้าฮองเฮา ก่อนจะระบายยิ้มพรายพราวระยับงดงามจับตา

    เป็นไพ่นกกระจอก

    “ลิ่วหลิ่งนางจิ้งจอกเจ้าเล่ห์! เห็นข้าอารมณ์ไม่ดี ใจไม่อยู่เลยจะฉวยโอกาสนี้ดวลไพ่กับข้าใช่หรือไม่ หนอยแน่ ! เป็นนางจิ้งจอกไม่พอยังจะเป็นจิ้งจอกผีพนัน เมื่อวานได้ไปเป็นหีบ ๆ ไม่พอหรือ เจ้าจะปล้นข้าหรืออย่างไร ” พระนางจึงเข่นเขี้ยวฟันอย่างเจ็บใจ มองพระสนมคนงามอย่างแค้นเคือง เจ็บใจยิ่งนัก เสียไพ่เพียงหนึ่งตานางถึงกับเสียเครื่องประดับรักเป็นหีบ ๆ 

    ยิ่งมองใบหน้างามที่ลอยหน้าลอยตาไม่สะท้านนั้นนางยิ่งเจ็บใจจึงได้โผตัวเข้าไปจะดึงหูนางติดเพียงซุนกูกูที่เอาตัวบังนายของตนเอาไว้ได้ก่อน ปากก็ร้องห้ามฮองเฮา เหล่ากงกงและกูกูคนอื่น ๆ ได้เพียงละล้าละหลังทำตัวไม่ถูก เป็นภาพวุ่นวายชวนหัวเราะยิ่งนัก จางกุ้ยเฟยมาทันเห็นเข้าจึงระเบิดเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานต่อภาพที่เห็น

    “ตายจริง หยอกล้อกันน่าสนุกเชียวเพคะ ” พระนางเอื้อนเอ่ยเสียงหวานที่เต็มไปจริตนั้นอย่างสนุกสนานกึ่งยียวน เพียงไม่ถึงอึดใจฉางกุ้ยเฟยก็ตามเข้ามาถึงนางหายใจเหนื่อยหอบเล็กน้อย 

    “พวกเจ้าจะขนกันมาทำไมเยอะแยะ ลูกเต้าไม่มีให้ดูแลกันรึยังไง ” เถียนฮองเฮาเพ่งมองกุ้ยเฟยทั้งสองตาเขียว

    “มาเยาะเย้ยน่ะสิ ฮ่า ๆ สาระรูปท่านตอนอารมณ์เสียเช่นนี้น่ะบันเทิงตาบันเทิงใจข้าที่สุด ลูกข้าออกเรือนหมดแล้วด้วยข้าเลือกเองกับมือ” เสียงเล็กแหลมเหมือนนกแก้วเอ่ยด้วยความสาแก่ใจไม่ปิดบังประโยคท้ายนางเชิดหน้าเหยียดหยามแก่ฮองเฮา  

    ผู้คนทั้งวังหลวงต่างก็รู้ดีว่าจางกุ้ยเฟยนั้นชอบตีฝีปากกับผู้อื่นเป็นที่สุดและบางครั้งก็เป็นพระนางเสียเองที่โดนตีจนปากแตกโดยฮองเฮาหรือหวงกุ้ยเฟยเพราะเสียงเล็ก ๆ จีบปากจีบคอพูดจ้อไม่หยุดของนางที่ชอบสร้างความขุ่นเคือง รำคาญใจให้ผู้ที่ตำแหน่งสูงกว่านั้นสองเสียเรื่อยไป

    “และข้าในตอนนี้ก็ทำให้ตาเจ้าหลุดออกมาจากเบ้า ควักหัวใจของเจ้าออกมาเล่นได้เช่นกัน อยากลองหรือไม่ ” เถียนฮองเฮามองอย่างหาเรื่อง 

    “ไม่เอาน่าพี่หญิง ใจเย็นกันก่อนเถิด ค่อย ๆ พูดจากันเถิดเพคะ อายุก็ปูนนี้กันแล้ว” ฉางกุ้ยเฟยจัดแจงให้พี่หญิงทั้งสองนั่งลงและส่งสัญญาณให้เต๋อกงกงยกบางสิ่งเข้ามา 

    เป็นไหสุรา 

    ลิ่งหวงกุ้ยเฟยเห็นดังนั้นก็ผงะไป 

    “แต่หัววันเชียวรึ ” 

    “สถานการณ์เช่นนี้มันต้องสุราเท่านั้นเพคะ ถึงจะดีขึ้น เต๋อกงกง รินสุรา” ฉางกุ้ยเฟยจัดแจงทุกอย่างเสร็จสรรพราวกับตำหนักของตนเอง 

    เพียงไม่นานจึงบังเกิดภาพเหล่าสี่ ผู้เป็นใหญ่ในวังหลังมือหนึ่งถือของจอกสุรา มือหนึ่งจับไพ่ให้เหล่ากงกงและกูกูคนสนิทเห็นแล้วได้แต่ถอนหายใจ 

    “หนอยแน่ใต้เท้าเจินรึ แส่หาเรื่องนักสงสัยเจินผินจะอยู่สุขสบายเกินไปบิดานางถึงได้มีเวลามาใส่ใจลูกของข้า คงต้องให้นางไปเที่ยวเล่นทางแดนใต้เสียหน่อยเผื่อเจ้ากรมอากรจะได้ไม่ว่างมาใส่ใจเรื่องของคนอื่นมากนัก”กล่าวจบฮองเฮาก็ดื่มสุราหมดจอก ครั้นเมื่อดื่มจนหมดจอกก็มองจอกสุราอย่างไม่พอใจ

    “อั้ย ! ! ฉางไป๋ฮวา เสียทีเป็นเซียนสุราใยพกจอกสุราเล็กเพียงนี้มาเล่า เบี้ยหวัดข้าให้ไปเยอะแยะใยไม่ลงทุนกับจอก ชามสุราบ้าง อาเพ่ย! ไปเปลี่ยนเอาชามสุรามา แล้วก็ส่งชุดชามสุราจากต้าเหลียงไปตำหนักฉู่ชิว ”

     “พ...เพคะฮองเฮา”เพ่ยกูกูได้ยินดังนั้นก็คล้ายกลืนยาขมแต่ต้องตอบรับอย่างเสียมิได้ ได้แต่รำพังรำพันในใจอย่างท้อแท้ คราวก่อนเป็นชุดกาสุราที่ได้รับบรรณาการมาจากแคว้นหนาน ครานี้เป็นเป็นชามสุราโบราณจากต้าเหลียงที่ล่มสล่ายไปแล้วเชียวหรือหรือ

     ฮองเฮาของนางยามปกติว่าหน้าใหญ่ใจโตแล้ว ยามเมานั้นยิ่งกว่านั้นไปมาก ครั้นจะทัดทานพระนางก็จะทรงกริ้วหนัก พวกนางจึงทำได้เพียงตอบรับด้วยความกล้ำกลืนฝืนทน

    ฝ่ายฉางกุ้ยเฟยลอบยิ้มอย่างสมใจ นางเล็งชุดชามสุราโบราณชุดนั้นมานานแล้ว มอมเหล้าฮองเฮามาตั้งหลายหนก็มิทรงหลุดปากยกให้นางเสียที ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง เห็นทีว่าวันนี้นางน่าจะโกรธจนสติแตกอย่างเช่นที่จางกุ้ยเฟยคาดเดา

    แต่ถึงกระนั้นฉางกุ้ยเฟยก็ซ่อนยิ้มเอ่ยกับฮองเฮาอย่างเกรงใจไปว่า

    “รบกวนพี่หญิงแล้วเพคะ ” ฮองเฮายิ้มหัวเราะร่า ลิ่วกุ้ยเฟยกรอกตาหน่ายใจ จางกุ้ยเฟยนั้นมือไวหยิกแขนฉางกุ้ยเฟยไปหนึ่งที ก่อนกล่าวไปอย่างหมั่นไส้ 

    “มารยาสาไถนัก” 

    “แล้วอิ่นเฟยกับซ่งเฟยเล่าจะทำเช่นไรกับพวกนาง ครานี้คิดไม่ถึงว่าพวกนางจะร่วมมือกันผลักดันเรื่องนี้”ลิ่วหวงกุ้ยเฟยเอ่ยขณะทิ้งไพ่ในมือ 

    “เฉ่า !  ข้ารออยู่แล้วเชียวขอบคุณลิ่วหวงกุ้ยเฟย ฮ่า ๆ ๆ ข้าบอกไปหลายครั้งแล้วเชียวว่าอิ่นเฟยกับซ่งเฟยไว้ใจไม่ได้ ให้กำจัดทิ้งไปตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็ยังดันทุรังเก็บพวกนางไว้จนปีกกล้าขาแข็ง มีไทเฮาคุ้มหัว ซ้ำยังปล่อยให้นางมีอ๋องเจ็ด อ๋องแปดมาอีกแทนที่จะให้ยาห้ามครรภ์พวกนางไปตั้งแต่แรก เป็นอย่างไรเล่าสุดท้ายก็หาเรื่องมาให้ปวดหัวเสียจนได้ เรื่องใหญ่มากเสียด้วย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพวกนางกำลังหวังสิ่งใดอยู่กัน ” 

    จางกุ้ยเฟยหยิบไพ่ที่ลิ่วหวงกุ้ยเฟยทิ้งไว้แล้วหงายไพ่จากกำแพงไพ่ 3 ใบทำให้ใบหน้างามของหวงกุ้ยเฟยบึ้งตึงขึ้นแต่กระนั้นผู้มีเสียงราวนกแก้วนกขุนทองก็มิสนใจพูดน้ำไหลไฟดับกระทบกระแทกฮองเฮาอย่างอัดอั้น

    “จะมาเสียดสีข้าตอนนี้ให้มันได้อะไรเล่า ” ฮองเฮาว่าพลางกระดกสุราไม่หยุดโดยมีฉางกุ้ยเฟยเป็นผู้คอยรินสุราให้มิขาด 

    “อาไป๋ ตาเจ้าแล้ว เร็วเข้า ...อยากรู้นักว่าพวกนางเป่าหูไทเฮาว่าอย่างไรบ้าง ไทเฮาถึงได้มีท่าทีต่อเรื่องนี้หนักแน่นนัก ” ลิ่วหวงกุ้ยเฟยตายังมองไพ่ ปากก็ยังเอ่ยไปตามเรื่องราว คล้ายไม่ใส่ใจมากนัก 

    “อ๋องเจ็ดและอ๋องแปดเองก็อยู่ในวัยออกเรือนได้แล้ว พวกนางก็คงไม่แคล้วหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดให้สะกิดใจไทเฮาเข้าล่ะมั้ง ผู้ใดก็รู้ว่าไทเฮาอยากเห็นเว่ยอ๋องออกเรือนเพียงใด ” จางกุ้ยเฟยเอ่ย

    “ว่าไปแล้วก็แปลก พวกนางจะได้อะไรจากการออกเรือนของเว่ยอ๋องเล่า เว่ยอ๋องก็มิได้สนใจการเมืองการปกครอง พี่หญิงเองก็ยังมิได้อยากให้เว่ยอ๋องแต่งออกไปยามนี้ ทำเช่นนี้ก็นับว่าหาเรื่องให้พี่หญิงโกรธเกรี้ยว ดีไม่ดีตำแหน่งเฟยก็มิอาจรักษาไว้ได้ นี่ไม่นับว่าหาเรื่องใส่ตัวหรอกหรือ ” ฉางกุ้ยเฟยทิ้งไพ่ในฝั่งตนพร้อมทั้งพูดยืดยาวเป็นครั้งแรกของวัน 

    “ไม่ใจการเมืองการปกครองแล้วอย่างไร อำนาจและผู้หนุนเว่ยอ๋องนั้นประมาทได้หรือ  ” ลิ่วหวงกุ้ยเฟยเอ่ยเสียงเรียบ 

    เว่ยอ๋องเบื้องหน้ามีฮองเฮาออกหน้า เบื้องหลังยังมีรัชทายาทและตระกูลเถียนคอยให้ท้ายไหนจะน้ำหนักในใจของไทเฮา ไหนจะกองกำลังที่ฝ่าบาทพระราชทานให้เล่าไหนจะการสนับสนุนอย่างลับ ๆ ของคนบางกลุ่มเล่า 

    ไม่สนการเมืองแล้วอย่างไร 

    ไม่สนใจสตรีแล้วอย่างไร 

    ต่อหน้าขุมอำนาจเหล่านี้แล้วจะนับเป็นอะไรได้

     ในเมื่อมีอำนาจห้อมล้อมถึงเพียงนี้เหล่าผู้ที่โลดแล่นอยู่ในวังวนของการเมืองอันเหม็นเน่าเต็มไปด้วยขวากหนามและอันตรายมากมายเพียงเพราะความเย้ายวนของคำว่าอำนาจ จะกล้าเมินหน้าหนีหันหลังให้กับเนื้อชิ้นโตที่เป็นโอกาสให้พวกเขาปืนป่ายเข้าใกล้หรือได้รับสิ่งที่เรียกว่าอำนาจมากขึ้นเชียว

    หรือนางผินใบหน้างามหมดจดเพ่งบอกฮองเฮาก่อนกล่าวหนึ่งประโยค    

    “ฮองเฮาวางชามสุราแล้ววางไพ่เสียทีเถิด” 

    “ไม่ต้องห่วงไปหรอก ข้าดูดวงมาแล้ว ตำราบอกว่าคู่ครองของเว่ยอ๋องนั้นจะเป็นหงส์เหนือหงส์เหนือกว่าพญาหงส์นางใด  ดุดันกว่าพญาหงส์ทางใต้ เฉียบขาดกว่าพญาหงส์ทางเหนือ ทิศใต้สกุลเจียง ทิศเหนือสกุลเถียน สตรีที่ใจทรามกว่าท่านและไทเฮารวมกันน่ะหรืออย่าว่าแต่แคว้นนี้เลย ใต้หล้านี้จะมีรึเปล่าเถิด ซ้ำยังบอกว่าจะมาจากบูรพาทิศ ทิศบูรพามีแต่ทะเลและป่าเขามันจะไปมีได้ยัง...” จางกุ้ยเฟยยังกล่าวไม่จบดี ฮองเฮาเผลอทำไพ่ตกจากมือไปตัวหนึ่ง 

    แต่ผู้ที่กล่าวเสียงสั่นหวาดระแวงกลับเป็นฉางกุ้ยเฟย  

    “ม ...มีอยู่นางหนึ่งมิใช่หรือ ” 

      “อุ่ย...” จางกุ้ยเฟยหน้าเหลอหลา

    “ซ้ำยังอยู่ที่แคว้นนี้และเป็นตัวเลือกแรก ๆ ของฮ่องเต้เสียด้วย ”

     ฮองเฮาเหม่อลอยทอดสายตาสิ้นหวัง อับจนหนทาง เมื่อทบทวนความจำแล้วเล่าสนมชั้นสูงพลันเกิดอาการขนลุกชันทั่วร่าง  

    “หากแต่งเข้าจวนเว่ยอ๋องขึ้นมามิเท่ากับว่าเวรกรรมที่ก่อไว้กับมันจะย้อนกลับมาหาพวกเราหรอกรึ ! ” จางกุ้ยเฟยมีสีหน้ารวดร้าว  

    “แย่แล้ว ๆ  ” ฉางกุ้ยเฟยพึมพำราวคนไร้สติ  

    “จะเป็นนางไม่ได้เด็ดขาด ! ”   

    “จะเป็นนางไม่ได้เด็ดขาด ! ” ลิ่วหวงกุ้ยเฟยส่ายหน้าด้วย ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงดุดันและจริงจัง  

    “ต้องขวาง ต้องขวางไว้ให้ได้เท่านั้น แต่จะด้วยวิธีใดนั้นช่างก่อนเถิด ตอนนี้ข้า...ชนะแล้ว!! ฮองเฮาท่านรวยสุด ส่งไข่มุกแดนใต้มาให้ข้าหนึ่งหีบ  ส่วนพวกเจ้าสองคนส่งอัตถ์มาให้ข้าคนละหมื่นตำลึง  ”  

    “ลิ่วหลิ่ง ฮองเฮาให้เบี่ยหวัดเจ้าไม่พอหรืออย่างไร

     เจ้าถึงต้องมาปล้นข้าหน้าด้าน ๆ เช่นนี้ ! ”  

    “พี่หญิงท่านมันจิ้งจอกเจ้าเล่ห์”  

    “เบี่ยหวัดก็ส่วนเบี้ยหวัดสิ เกี่ยวกันรึ! พวกเจ้าอย่ามาโย้เย้ จ่ายมาซะ! ”

    หวงกุ้ยเฟยจะเอาของพนัน สองกุ้ยเฟยจะให้ฮองเฮาจ่าย ฮองเฮาก็มิยอมจะจ่ายลำพัง และไม่นานเสียงวิวาทของฮองเฮาและสนมชั้นสูงจึงดังลั่นไปทั่วตำหนักคุนหนิง จนขณะหนึ่งฮองเฮากริ้วหนักสะกดอารมณ์ไม่ไหว ตั้งท่าจะไล่ตีสนมทั้งสามนางแต่เพราะฤทธิ์สุราจึงได้พลาดท่าแตะเตากำยาน ควันคลุ้งไปทั่วตำหนัก เป็นที่ปั่นป่วนไปทั่วตำหนัก 

    วังหลังของเยี่ยนหลงฮ่องเต้เป็นเช่นนี้มาเนินนาน หลายสิบปีที่ผ่านมาสนมชายามากหน้าหลายตาผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนตำแหน่งกันวังหลังแห่งนี้ บ้างถูกยกสูง บ้างถูกปลด  บ้างถูกเนรเทศ บ้างล้มตาย แต่ตำแหน่งสูงสุดสี่ตำแหน่งนี้ไม่เคยแปรเปลี่ยนเลยซักครั้งเดียว

    ยิ่งกว่านั้นสองในสี่นาง หนึ่งคนไม่มีโอรส หนึ่งคนไม่มีทั้งโอรสทั้งธิดาแต่ตำแหน่งกลับมั่นคงยิ่งนัก ลำพังตระกูลเดิมหรือจะส่งเสริมพวกนางได้ถึงเพียงนั้น ผู้มีสายตากว้างไกลต่างมองเห็นบางอย่าง ท่ามกลางการฟาดฟันของพวกนาง ต่างฝ่ายต่างคิดว่าหากเจ้าจะตาย ต้องตายด้วยมือข้า หากเจ้าจะทรมานก็ต้องทรมานด้วยมือข้า ผู้อื่นอย่าได้สอดมือ ด้วยเหตุนี้เองจึงมีให้เห็นบ่อยครั้งที่สนมชายามากหน้าหลายตาที่คิดลองดีเป็นศัตรูกับคนในคนหนึ่งในพวกนาง หายไปเพราะคนใดคนหนึ่งในพวกนางเช่นกัน 

    นางสนมกุ้ยเฟยนางหนึ่งเอาแต่ร่ำสุรา นางหนึ่งเพียรแต่ทำนายดวง ถ่วงดุลกันเองเช่นนี้ย่อมดีกว่าฆ่าฟันให้ตาย แล้วปล่อยให้ผู้มาใหม่เข้าสู่สังเวียน รบราใหม่ ไม่หยุดหย่อน วังหลังแห่งนี้สมดุลอย่างยิ่ง วุ่นวายนิดหน่อย แต่ก็ยังคงสมดุลและมั่นคงมากว่าแคว้นรอบ ๆ นักเช่นนี้แล้วขุนนางน้อยใหญ่จะทำอย่างไรได้ จะหาข้ออ้างอะไรมาเล่นงานเหล่าสี่ยอดชายาได้เล่า 

     แต่ถึงกระนั้นฮองเฮาก็มิวายหาทางส่งลิ่วกุ้ยเฟยไปเที่ยวเล่นอารามหลวงได้เป็นนานสองนาน  ครั้งนั้นเองที่เหล่าขุนนางต้องประเมินความฉลาดของจอมนางทั้งสี่ใหม่ ความชังนั้นก็มี แต่ความฉลาดมีมากกว่า 

    นับว่าน่าเศร้าโดยแท้ที่บางคนมีสายตากว้างไกลถึงเพียงนัั้น แต่กลับไม่กว้างมากพอจะเห็นว่าสายใยแห่งผลประโยชน์ที่คิดว่าบางเบามีสายใยเส้นหนึ่งที่เหนียวแน่นเกินกว่าที่จะคาดการณ์ได้อยู่

     ด้วยเหตุนี้ในเช้าวันถัดมาจึงมีข่าวลือหนาหูไปทั่วเมืองหลวงว่าหวงกุ้ยเฟย กุ้ยเฟยและฮองเฮา มีปากเสียงกันจนฮองเฮากริ้วจุดไฟเผาตำหนัก  

     

    …………………………………………………………………………………

     ยาวหน่อยค่ะตอนนี้ ไม่รู้จะตัดยังไง แฮ่ะๆ 

    ตอนใหม่มาพรุ่งนี้เช้าจ้า 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×