-- บันทึกความทรงจำ พลทหาร จาเร็ด -- - นิยาย -- บันทึกความทรงจำ พลทหาร จาเร็ด -- : Dek-D.com - Writer
×

    -- บันทึกความทรงจำ พลทหาร จาเร็ด --

    ผู้เข้าชมรวม

    261

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    261

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  สงคราม
    จำนวนตอน :  0 ตอน (จบแล้ว)
    อัปเดตล่าสุด :  3 ก.พ. 55 / 00:00 น.

    อีบุ๊กจากนิยาย ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    -- 12.05.1805 --


    -- บันทึกความทรงจำ พลทหาร จาเร็ด --



    ในตอนเช้า พวกเรารับหน้าที่ตรวจตราเส้นทางระหว่างเมือง กับ ฐานทัพ ระหว่างทางเป็นเส้นทางที่ต้องผ่านทุ่งข้าวสาลี ช่วงนี้รวงข้าวทอสีทองอ่อนๆ กลิ่นรำข้าวแตะจมูกพวกเราทุกครั้งที่มีสายลมพัดผ่าน ตำแหน่งตัวผมนั้นอยู่ข้าง รถม้าขนสเบียง อัลเฟรดนายกองของเราขี่ม้านำหน้าขบวน ชาลีคนที่ร่าเริงที่สุดในกลุ่มเรา วันนี้เขากลับดูสงบนิ่งผิดปรกติ

    "เป็นอะไร เกิดขวัญบินขึ้นมาหรือไงกัน?" จ้องดูอีกฝ่ายที่หันมาส่งยิ้มแห้งๆให้ ใช่ถ้าจะพูดไป พวกเราออกจะขวัญเสียไม่น้อย คงจะเป็นเพราะข่าวด่วนจากชายแดนเมื่อคืน

    "เฮ้ยเรื่องนั้นจริงหรือเปล่าน่ะ?" เสียงกระซิบถามดังจากด้านหลังขบวน

    "อ่า เห็นว่ากำลังส่วนที่เหลือยังหาไม่พบเลยว่ะ"

    "บ้าน่า ทหารตั้งสองพันคน โดนละลายหมดในสองชั่วโมงเนี่ยนะ?"

    "เอ่อ คนรอดมาลือกันให้แซดเลยว่า เจ้าพวกนั้นมันใช้อาวุธแปลกๆ จัดการพวกเราได้ทีล่ะเป็นสิบๆคน"

    "พวกเธอสองคนน่ะ เงียบเสียที เนี่ยนะหรือทหารของกองทัพจักรวรรดิ ออกอาการปอดแหกแบบนี้ได้ยังไง" นายกองหันมาตวาดเสียงดัง ทหารทั้งสองเงียบเสียงลง แต่ความรู้สึกไม่สบายใจกลับไม่จางหายไปกับเสียงตวาดดังกล่าว


    พวกเรายังคงเดินไปตามทางต่อไป ภูมิประเทศก็เปลี่ยนจากเนินทุ่งข้าวสาลี มาเป็นพื้นที่เลียบแม่น้ำ ที่อยู่ในเส้นทางข้างหน้าคือหมู่บ้านริมน้ำเล็กๆ แต่เมื่อเข้าถึงระยะสายตา พวกเราก็ตกตะลึงกับภาพที่เห็น

    ควันไฟนั้นยังโชนจากบ้านที่ไหม้ไฟ สภาพหมู่บ้านนั้นดูเหมือนพึ่งจะโดนวางเพลิงเผามาหมาดๆ เราต้องปิดปากปิดจมูกเมื่อเห็นว่ามีร่างดำตอตะโกถูกเผาเกรียมอยู่บนถนน หลายร่างนั้นยังดูออกว่าเป็นผู้หญิง และ ..... แต่จู่ๆม้าที่เดินมาปรกติมาตลอด ก็กลับออกอาการตระหนกขึ้นมาเสียดื้อๆ อัลเฟรดเริ่มจะเอะใจตั้งแต่เข้ามาในหมู่บ้าน ตะโกนสั่งขึ้นมาอย่างร้อนรน


    "เตรียมอาวุธ เตรียมอาวุธ!!" อัลเฟรดชักปืนของตนขึ้นมา ในขณะที่คนอื่นๆรวมถึงผมรีบเตรียมปืนยาวให้พร้อม

    "มีอะไรหรือครับ หัวหน้า"

    "ชั้นน่าจะรู้ตั้งแต่แรก รีบไปเร็ว!" อัลเฟรดสั่งอีกครั้ง ก่อนจะเร่งควบม้านำหน้าพวกเราไป ทุกคนมองหน้ากันอย่างงงๆ แต่ก่อนที่เราจะได้เร่งฝีเท้าตาม ....

    "กรรรรรร"


    ผมมองเห็นซากศพที่รายล้อมเรา จู่ๆก็ลุกขึ้นมา ทุกร่างในสภาพที่เกรียมดำหัวจรดเท้า ดูไม่ออกว่าใครเป็นใคร ฉับพลับดวงตาสีแดงเลือดก็เบิกขึ้นบนร่างพวกนั้น มีเสียงครืดๆเหมือนคนบ้วนน้ำดังขึ้น ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสียงเหมือนงู่ขู่เสียงฟ่อๆ เขี้ยวขาวยาวๆกับน้ำลายสายยาว ในตอนนั้นพวกเรารู้แล้วว่าสิ่งที่เห็นตรงหน้านั้นคืออะไร?


    "แวมไพร์ อุอ้ากกกก!!" พวกเราคนหนึ่งร้องเสียงหลง ตอนที่ต้นคอเขาโดนกระชากหลุดไปทั้งชิ้น ร่างดำสี่ห้าร่างเข้าร่วมกินโต๊ะทหารคนดังกล่าว

    "ยิง ยิง ยิงเข้าไป!!" เสียงปืนดังขึ้นไม่ขาดสาย ผมแน่ใจว่าจัดการยิงร่างดำๆพวกนั้นไปได้ห้าร่าง ก่อนที่กระสุนจะหมดแนบ



    พวกเราเริ่มจะแตกขบวน อัลเฟรดซัดปืนลูกโม่ใส่ร่างดำๆพวกนั้นไม่หยุด ชาลีใช้ด้ามปืนตันฟาดใส่ในระยะประชิด เขาจัดการพวกนั้นไปได้สามตัวก่อนที่ จะถูกหนึ่งในนั้นจับกดลงกับพื้น ก่อนที่ร่างดำๆจะรุมฉีกกระชากร่างเขา เสียงกรีดร้องดังไม่ขาดสาย เสียงปืนดังสลับกับเสียงกระดูกหัก ผมกับคนอื่นๆ พยายามเอาชีวิตรอดอย่างดีที่สุด แต่มันดูเหมือนจุดจบคงจะอยู่อีกไม่ไกลนัก ตัวผมกับคนอื่นๆที่เหลือรีบวิ่งไปหลบยังบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล โดยมีหัวหน้ากองวิ่งตามมาติดๆ โชคยังดีที่เจ้าพวกนั้นมัวแต่รุมกินโต๊ะอาหารตรงหน้า โดยไม่ทันได้สังเกตุพวกเรา จากที่มากันครั้งแรก25คน ตอนนี้พวกเราเหลือกันเพียง 4คนเท่านั้น


    แต่หลังจากที่พวกมันกินจนไม่เหลืออะไรจะให้กินแล้ว ร่างพวกนั้นก็ค่อยๆเดินตรงมายังโรงโม่แป้งที่เราหลบอยู่ อย่างไม่ต้องออกคำสั่งเป็นคำพูด พวกเราต่างยึดชัยภูมิแล้วเริ่มกระหน่ำยิงไปยังร่างพวกนั้น อัลเฟรดบอกกับพวกเราให้ยิงไปที่หัว ซึ่งนั่นก็ได้ผลกว่ายิงไปที่หัวใจอย่างที่พวกเราที่เหลือเคยได้ยินกันมา เรากำจัดพวกนั้นไปได้มาก แต่กระสุนของเราก็ใกล้จะหมดแล้วเหมือนกัน

    "พวกนายเหลือกระสุนเท่าไหร่บ้าง?"

    "ชั้นสองแหนบ" ผมตะโกนบอกไป ก่อนจะใช้ดาบปลายปืนแทงทะลุร่างดำๆที่ยื่นมือทะลุหน้าต่างเข้ามา

    "ของชั้นแนบสุดท้าย เหวอ~~~~~" ทหารคนถัดจากอัลเฟรดร้องเสียงหลงเมื่อ พวกแวมไพร์เริ่มทุบประตูบ้านอย่างแรง จนไม้กั้นถึงกับร้าวตามแรงทุบ

    "ระเบิดมือ ขว้างระเบิด" อัลเฟรดตะโกนสั่ง พลางเขวี้ยงระเบิดมือของตน ใส่ฝูงแวมไพร์ที่มาออกันตรงทางเข้า

    เกิดเสียงระเบิดดังขึ้น พร้อมๆกับเศษเนื้อที่กระจายไปทั่ว ซึ่งก็มอดไหม้เป็นขี้เถ้าในช่วงอึดใจ ตัวบ้านเองก็ดูจะเสียหายจากระเบิดไปมากเหมือนกัน ผมมองไปยังประตูหลังบ้านที่ล้มลงจากแรงระเบิด ก่อนจะตะโกนบอกคนอื่นๆให้รีบออกไปทางประตูนั้น ทันใดนั้นเอง ผมก็รู้สึกร้อนวาบที่ต้นคอ ก่อนที่ความรู้สึกเหมือนถูกอะไรบางอย่างกัดจะชัดเจนขึ้นมา เลือดอุ่นๆไหลจากซอกคอลงเปรอะคอเสื้อ แวมไพร์ตนหนึ่งพึ่งจะกัดคอผมเข้าอย่างจัง แต่มันก็ได้ดูดเลือดไปไม่กี่อึก ก่อนที่จะโดนปืนลูกโม่เป่าหัวกระจาย


    โซเซจากที่โดนสูบเลือดออกไปมาก แต่ก็ยังกัดฟันไล่ตามกลุ่มที่ออกไปจากบ้านได้ทัน ก่อนจะปิดท้ายด้วยการปาระเบิดอีกลูกเพื่อสกัดการไล่ตาม พวกเราทั้งสี่วิ่งแบบไม่คิดชีวิต ผมลองมองกลับไปมองว่าพวกมันยังตามมาอีกไหม ภาพที่เห็นทำเอาพวกเราอีกสองคนสติแตก ร่างไหม้เกรียมจำนวนสักสองโหลเห็นจะได้ กรีดร้องราวกับหมูโดนเฉือด วิ่งไล่ตามพวกเรามาติดๆ


    "บ้าเอ้ย ตายๆไปซะทีสิวะ" หนึ่งในพวกเรา ตะโกนลั่นก่อนจะหันกลับไปยิงปืนใส่เจ้าพวกที่ไล่ตามมา เขายิงไปได้ไม่กี่นัด ผมก็ได้ยินเสียงเขาร้องโหยหวนก่อนจะตามมาด้วยเสียงเคี้ยวเนื้อดังลั่น

    "มิเกล! บัดซบเอ้ย" ทหารอีกคนหนึ่งหมายจะจัดการพวกแวมไพร์ที่รุมกินโต๊ะเพื่อนของตน แต่เขาก็ตกเป็นเหยื่อตามไปติดๆ ทั้งผมและอัลเฟรดเห็นศีรษะของเจ้าตัว กลิ้งหลุนๆแซงหน้าพวกเราไป ก่อนที่เราทั้งสองจะวิ่งมาถึงบริเวณทุ่งนาที่เราพึ่งผ่านเมื่อสักครู่



    "จาเร็ด ระวังข้างหลังนาย" อัลเฟรดร้องลั่น แต่เขาก็ตึงมือเหมือนกัน แวมไพร์สองตัวพึ่งจะดันเขาติดกับต้นไม้ต้นหนึ่ง เขี้ยวตัวหนึ่งฝั่งกับต้นไม้ ส่วนอีกคู่กำลังบดลำกล้องปืน ที่เจ้าตัวชักขึ้นมายันเอาไว้

    ผมว่าจะชักปืนขึ้นมาตามคำเตือน แต่เมื่อรู้สึกตัวอีกที ผมก็อยู่ในสภาพนอนหงายลงกับพื้น เมื่อมองขึ้นไป แวมไพร์ตัวหนึ่งกำลังยืนอยู่เหนือตัวผม มันจ้องหน้าอยู่สักพักหนึ่ง ก่อนมือแกร่งของมันจะรวบคอแล้วค่อยๆยกร่างเหยื่อตรงหน้าขึ้น แยกเขี้ยวเตรียมจะเขมือบอาหารเย็น แล้วจู่ๆ....

    "อย่าขยับ" เสียงกร้านดังขึ้นมาจากทุ่งนา


    มีเสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด เลือดสายหนึ่งกระเซ็นจากตัวแวมไพร์มายังตัวผม มีรูเท่าปลายนิ้วอยู่กลางหน้าผากของมัน ร่างผมร่วงลงกับพื้นพร้อมๆกับที่เจ้าวแวมไพร์สลายกลายเป็นเถ้าถ่าน ผมมองไปยังอัลเฟรดที่กำลังโดนรุม เพียงพริบตาเดียวแวมไพร์อีกสองตัวก็โดนกระสุนปริศนาเข้ากันคนล่ะนัด อัลเฟรดเห็นดังนั้นก็รีบเข้ามาดูอาการผมที่ยังนอนอยู่ พวกแวมไพร์มีอาการชะงักเมื่อเห็นพวกตนนอนตายเกลื่อน มีเสียงปืนดังขึ้นอีกหลายชุด ถึงจะดังติดๆกันแต่จากเสียงปืนแล้ว พอจะบอกได้ว่าเป็นปืนไรเฟิลแถบเลื่อน รุ่นเดียวกับที่ทหารใช้ แวมไพร์ตัวสุดท้ายทำท่าจะหนีก็เมื่อตอนที่เสียงปืนหยุดลง มันหันซ้ายหันขวา ก่อนจะมองมายังเราทั้งสอง แสยะเขี้ยวขาวยาว แสดงให้เห็นว่าถึงจะกลัว แต่ความกระหายเลือดยังสังให้เจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้เลือกที่จะจู่โจม ผมมองอย่างตะลึงงัน เมื่อร่างที่มีขนปกคลุมทั่วร่าง กระโจนออกมาจากความว่างเปล่า เสียงเช้งของมีดสั้นชักออกจากฟัก ก่อนที่ปลายดาบจะตัดคอเจ้าแวมไพร์ขาดสะบั้นลง


    "พวกเธอไม่เป็นอะไรนะ?" เช็ดเลือดออกจากมีด เจ้าตัวถาม

    "ผมไม่เป็นไร แต่ช่วยดูเขาด้วย เขาโดนพวกนั้นกัด" อัลเฟรดกล่าว อีกฝ่ายตาลุกวาวเมื่อได้ยินว่า คนที่นอนอยู่บนพื้นโดนกัด

    ผมที่นอนอยู่ตรงนั้น เรี่ยวแรงจะขยับตัวแทบจะไม่เหลือ อีกทั้งการที่โดนบีบคออย่างแรงทำให้เส้นเลือดฉีกขาดมากกว่าเดิม อาการเสียเลือดกระทันหัน กำลังจะทำให้ผมหมดสติถ้าไม่ทำอะไรโดยด่วน สำลักเลือดของตัวเอง ปัดป่ายมือไปเกาะมือของอัลเฟรด แต่ผมแทบจะร้องเสียงหลงถ้าไม่ติดว่า ในคอผมมันมีแต่เลือด


    นายพรานแทนที่จะเข้ามาช่วยดูอาการผม แต่กลับกัน เจ้าตัวกลับจ่อปืนใส่หน้าผมแทน

    "ดะ เดี๋ยวก่อน นี่นายนะทำอะไร" อัลเฟรดสะท้านไปทั้งร่าง เมื่อเห็นอีกฝ่ายทั้งที่เมื่อสักครู่ยังช่วยชีวิตพวกเขาไว้ แต่ตอนนี้กลับจะปลิดชีวิตที่พึ่งช่วยไป

    "ช่วยให้พ้นทุกข์นะสิถามได้ ไม่ว่ายังไงเจ้าหนูนี่ก็จะกลายเป็นแวมไพร์ใน6ชั่วโมง แวมไพร์ชั้นต่ำ ไม่ต่างอะไรจากสัตว์ป่า อยู่ด้วยแรงกระตุ้นของเลือด จัดการเสียแต่ตอนนี้จะเป็นความกรุณาที่สุด" นายพรานร่ายยาว เขาขึ้นนกไกปืน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำอะไรแบบนี้ ด้วยว่าตระเวณผ่านชายแดนมาหลายปี เขาจัดการการกรณีแบบนี้มานักต่อนัก บางครั้งก็เป็นคนที่เขารู้จัก แม้กระทั่งเพื่อนของตน


    "เดี๋ยวอย่า......ไม่สิ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง อย่างน้อยให้ผมเป็นคนทำ เพราะผมเป็นหัวหน้ากองร้อย ทั้งคนในหน่วยที่ตายไปก็ดี ทั้งสภาพของเขาในตอนนี้ก็ดี ทั้งหมดผมต้องรับผิดชอบ " อัลเฟรดกล่าวอย่างหนักแน่น


    ทั้งเขาและนายพรานจ้องตากันไม่กระพริบ เป็นนายพรานที่ลดปืนของตนลง เขามองตาอัลเฟรดครู่หนึ่ง ก่อนจะใช้หยิบกระบอกใส่ดินปืนของตนออกมา ผมมองเลิ่กลั่กเมื่ออัลเฟรดใช้มือทั้งสองข้างกดผมลงกับพื้น เขาฉีกเศษผ้ามัดให้เป็นก้อนแล้วยัดก้อนผ้าอุดปากผมไว้

    "เจ้าหนู นี่มันจะเจ็บหน่อยนะ" นายพรานกล่าว ก่อนจะรอยผงดินดำใส่ปากแผลผม

    เสียงฟู่ดินปืนเกิดขึ้นหลังจาก กองดินปืนตรงคอถูกจุดด้วยไม้ขีด ลุกเป็นกองไฟกองใหญ่ในชั่วพริบตา ผมกรีดร้องสุดเสียงแต่ดีที่ว่ามีเศษผ้าในปาก ทำให้พอจะมีอะไรไว้บรรเทาความเจ็บที่เกิดขึ้นได้บ้าง เมื่อควันจางลงปากแผลที่เคยมีเลือดไหลไม่หยุด ก็ไหม้กรังปิดแผลได้ชั่วคราว แน่นอนว่าวิธีห้ามเลือดจากปากแผลขนาดนี้ ในสภาวะฉุกเฉินจะเป็นการใช้มีดเผาไฟทาบกับแผล แต่เพราะมันฉุกละหุกจริงๆนายพรานถึงใช้ดินปืนในการปิดปากแผล ถึงจะเสี่ยงต่อการระเบิด และ สร้างแผลเป็นที่ใหญ่กว่า แต่อย่างน้อยมันก็หยุดการไหลของเลือดได้อย่างชะงักงั้น

    ทั้งที่กลิ่นดินปืนยังไม่ทันจาง และสติของผมที่เกือบจะหลุดลอยไปกับการรักษาแผลนั่น แต่อัลเฟรดก็ช่วยประคองตัวผมลุกขึ้น ถึงจะเจ็บเจียนตาย แต่เราทั้งสองรู้ว่าถ้ากลับไปไม่ถึงเมืองก่อนพระอาทิตย์ตกดิน เราคงได้ตายจริงๆแน่ นายพรานเอง เมื่อเขาจัดแจงเก็บป้ายชื่อจากร่างทหารสองคน เขาก็ตามเราสองคนกลับสู่เมือง ผมสงสัยว่าจะมีอะไรรอพวกเราอยู่ที่เมืองบ้าง หลังจากเรื่องที่เกิดขึ้น พวกเราจะโดนสอบสวนไหม แล้ว นายพรานคนนี้เป็นใครกันแน่

    TBC

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    คำนิยม Top

    ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

    คำนิยมล่าสุด

    ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

    ความคิดเห็น