เก่งภาษาอังกฤษด้วยหลักอิทธิบาท 4 ของพระพุทธเจ้า
เขียนโดย
nextsterpp
การเรียนภาษาอังกฤษให้เก่ง ไม่ใช่เรื่องยาก หากเรารู้จักหลักการเรียน หรือวิธีการเรียนอย่างถูกต้อง อายุไม่ใช่เรื่องสำคัญ สถาบันไม่ใช่เรื่องใหญ่ ปัจจัยเงินทองไม่ใช่ประเด็นนัก หากเรานำหลักของพระพุทธเจ้ามาใช้ให้ถูกกาลเทศะ และตรงตามวัตถุประสงค์
ผู้เขียนเป็นเด็กบ้านนอก เริ่มรู้จัก A B C เมื่ออายุประมาณ 15 ปี จบการศึกษาระดับประถมปีที่ 4 ก็ออกจากโรงเรียนไปเลี้ยงควาย ทำไร่ไถ่นา มีโอกาสได้เรียนหนังสืออีกทีก็อายุประมาณ 14 – 15 ปี ตอนไปอยู่วัด บวชเป็นสามเณร ดูหนังสือเองเป็นส่วนใหญ่ ถึงเวลาก็ไปสอบเทียบวัดความรู้เอา ทำอย่างนี้ไปจนจบประกาศนียบัตรพิเศษมัธยมศึกษา (พ.ม) เทียบเท่าอนุปริญญา สามารถเป็นครู – อาจารย์โรงเรียนมัธยมศึกษาได้ พอไปเรียนระดับปริญญา ก็เข้าเรียนชั้นปีที่ 3 ได้เลย เรียนอีกแค่ 2 ปีก็จบปริญญาตรีด้วยคะแนนเฉลี่ยระดับเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง และเรียนต่อยาวไกลไปอีก จนจบปริญญาเอก เป็นด็อกเตอร์กับเขาอีกคนหนึ่ง
หากมองย้อนรอยอดีตของตนเอง พบว่าความสำเร็จทางด้านการศึกษาของตนเองทั้งหมด เป็นผลพวงมาจากการนำหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เรียกว่า “อิทธิบาท 4 ” หรือเคล็ดลับแห่งความสำเร็จ 4 ประการ มาประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสม กับเป้าหมายและอย่างทันเวลา ทั้งๆที่พี่น้องทุกคนเรียนจบ แค่ประถมศึกษาปีที่ 4 เท่านั้น มันสมองปานกลาง ผู้เขียนเรียนจบประถมศึกษาปีที่ 4 ได้คะแนนเฉลี่ยเพียง 75 % ความประพฤติเรียบร้อย การเรียนอยู่ในขั้นพอใช้ (คุณครูใหญ่ท่านบันทึกไว้อย่างนั้นจริงๆ) ไม่มีแววเป็นเด็กฉลาดด้วยซ้ำไป ความจริงหลักอิทธิบาท 4 สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ในหลายแง่มุมของชีวิต โดยเฉพาะการศึกษาและการทำงาน หากจะมองให้แคบลง และตรงกับหัวข้อที่กำหนดไว้ เราสามารถนำหลักการของพระพุทธเจ้ามาประยุกต์ใช้เพื่อให้เก่งภาษาอังกฤษได้ ดังนี้
หลักอิทธิบาท 4 ประการ
1. ฉันทะ มีฉันทะหรือชอบใจ พอใจกับสิ่งที่เรียน เรียกว่าชอบในสิ่งที่ทำ และทำในสิ่งที่ชอบหากเราไม่มีธรรมะข้อนี้เสียแล้วเป็นการยากที่จะทำอะไรให้ ประสบความสำร็จได้ เรียกว่าเป็นบันไดขั้นแรกเลยทีเดียว ถ้าไม่ผ่านขั้นนี้เสียก่อน ก็ไม่มีทางที่จะขยับไปขั้นต่อไปได้ เพราะฉะนั้น จงเริ่มต้นการเรียนภาษาอังกฤษ ด้วยความชอบ ด้วยความพอใจ มองเห็นประโยชน์และคุณค่าของมัน เรียนด้วยความรัก ด้วยความชอบ และอย่างมีเป้าหมาย อย่าเรียนแบบฝืนอกฝืนใจ อย่างไร้เป้าหมายหรือขาดวัตถุประสงค์ที่แน่ชัด
2. วิริยะ มีความเพียรพยายามในสิ่งที่ทำ รู้จักวางแผน ปฏิบัติตามแผน ไม่ย่อท้อหรือหมดกำลังใจ เติมไฟแห่งความพยายามให้ตัวเองตลอดเวลา รู้จักค้นคว้า แสวงหาความรู้ด้วยตนเองไม่หวังพึ่งครูบาอาจารย์จนเกินไป ให้นึกอยู่เสมอว่าความสำเร็จเริ่มต้นและจบลงที่ตัวเราเอง ไม่ใช่คนอื่น ในแง่ของการเรียนภาษาอังกฤษ ต้องพยายามเรียนรู้ให้ครอบคลุมครบทุกด้านไม่ว่าจะเป็น การฟัง การพูด การอ่าน การเขียน และต้องเตรียมความพร้อมในด้านคำศัพท์ ไวยากรณ์ การออกเสียง หลักการเขียน วิธีการอ่าน ให้อยู่ในระดับที่ใช้งานได้ และต้องหมั่นฝึกฝนตนเองอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา จากแหล่งการเรียนรู้หลากหลายรวมทั้งรู้จักใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ อย่างเหมาะสม
3. จิตตะ มีความสนใจและรู้จักเอาใจใส่ในสิ่งที่เรียนไม่เรียนแบบครึ่งๆกลางๆ หรือเรียนอย่างเดียวมิได้ รู้จักใช้สมองอย่างสมดุลและมีคุณภาพ ไม่เรียนแบบเคร่งเครียดจนเกินไป มองเห็นความสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างสิ่งที่ทำกับเป้าหมาย ระหว่างเหตุกับผล มีสมาธิแน่วแน่ในการเรียนรู้ ไม่หวั่นไหววอกแวก จนกลายเป็นการเรียนแบบสะเปะสะปะ ไร้ทิศทางและเป้าหมาย รู้จักสร้างกำลังใจให้ตนเอง และมองจิตใจเป็นเป็นพลังขับเคลื่อนที่ยิ่งใหญ่ ความสำเร็จหรือความล้มเหลวทั้งหมดขึ้นอยู่กับจิตใจของเราทั้งสิ้น
4. วิมังสา รู้จักทบทวน ใคร่ครวญ เพ่งพินิจ ในสิ่งที่ทำว่าดีพอหรือยัง มีจุดด้อยตรงไหนที่ต้องแก้ไขปรับปรุงบ้าง และจะปรับปรุงพัฒนาตนเองอย่างไรให้ดีขึ้นเรื่อยๆ แบบต่อเนื่อง รู้จักเปิดโลกทัศน์เปิดหูเปิดตาตัวเอง ไม่มองอะไรในมิติเดียว แบบแคบๆ รู้จักมองให้ลึก นึกให้ไกล สนใจให้กว้าง การเรียนภาษาอังกฤษ เหมือนการแหวกว่ายในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาล มีอะไรที่ต้องสั่งสมเรียนรู้อีกมากมาย ขึ้นอยู่กับเราว่าจะตักตวงเติมเต็มให้ตนเองมากน้อยแค่ไหน อย่างไร เป็นสำคัญ การเรียนรู้เกิดได้ทุกหนทุกแห่ง ทุกเวลา ไม่จำเป็นว่าจะต้องอยู่ในห้องเรียน ห้องทดลอง หรือกับครูอาจารย์เท่านั้น
นอกจากนั้นยัง ต้องรู้จักประยุกต์ใช้ “หัวใจนักปราชญ์”หรือเทคนิคการเรียนรู้อีก 4 ประการเป็นตัวช่วยหรือตัวเสริมให้ประสบผลสำเร็จเร็วยิ่งๆขึ้นไปอีก คือหลักการของ สุ - จิ – ปุ – ลิ คือรู้จักฟัง (สุตะ) รู้จักคิด(จิตตะ) รู้จักซักถามแก้ข้อสงสัย (ปุจฉา) และรู้จักเขียนบันทึกเอาไว้เป็นหลักฐานเพื่อการทบทวน (ลิขิต)
หากเราเรียนวิชาภาษาอังกฤษหรือวิชาอื่นๆโดยการน้อมนำเอาหลักอิทธิบาท 4 ของพระพุทธเจ้ามาประยุกต์ควบคู่ไปกับหัวใจนักปราชญ์ 4 ประการดังกล่าวแล้ว ผู้เขียนกล้ารับรองได้เลยว่าการเรียนภาษาอังกฤษให้เก่งเป็นเรื่องง่ายนิด เดียว ไม่ยากเย็นแสนเข็ญอะไรเลย ให้ท่องคาถา อัตตา หิ อัตตโน นาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งของตนเอง ให้ขึ้นใจ แล้วนำไปปฏิบัติด้วย ข้อสำคัญอย่าลืมหลักการและละทิ้งเป้าหมายเสียก่อน ก็แล้วกัน
แจ้ง Blog ไม่เหมาะสม
16 มี.ค. 53
870
0
ความคิดเห็น