nextsterpp
ดู Blog ทั้งหมด

ระบบการเลี้ยงไก่ชน

เขียนโดย nextsterpp
ระบบ การเลี้ยงไก่ชน
เป็น เรื่องราวของงานศึกษา การดูวิธีการเลี้ยงของคนในชุมชนใดชุมชนหนึ่ง และอธิบายภาพตามที่เห็น และปรากฏการณ์นั้นๆๆ
ผู้เขียน: สร้างโดย: kula - อนุญาติให้: แก้ไขได้โดยสมาชิกทุกคน ชมแล้ว: 9,623 ครั้ง
post ครั้งแรก: Fri 1 June 2007, 3:19 pm ปรับปรุงล่าสุด: Fri 1 June 2007, 3:29 pm
อยู่ในส่วน: ไม่ได้ระบุว่าให้อยู่ห้องใด

หน้าที่ 1 - ระบบการเลี้ยงไก่ชน
บทที่ 4
ผลการศึกษา และวิจารณ์ผลการศึกษา

1 ข้อมูลพื้นฐานของพื้นที่ศึกษา

สภาพลักษณะทั่วไปของพื้นที่
ตำบลบ้านหว้า เป็นตำบลที่ตั้งอยู่ในพื้นที่อำเภอเมืองจังหวัดขอนแก่น(ภาพที่1) ไปทางทิศตะวันตกของ ตำบลในเมือง ระยะทาง 18 กิโลเมตร(ภาพที่2) มีพื้นที่ประมาณ 28,281.25 ไร่ (45.25 ตารางกิโลเมตร) 1 บ้านเหล่านาดี หมู่ 2 บ้านหว้า หมู่ 3 บ้านหนองทุ่ม หมู่ 4 บ้านโคกสูง หมู่ 5 บ้านทองหลาง หมู่ 6 บ้านทองหลาง หมู่ 7 บ้านเหล่าโพนทอง หมู่ 8 บ้านหนองดู่ หมู่ 9 บ้านหนองเต่า หมู่ 10 บ้านเหล่านางาม หมู่ 11 บ้านเหล่านาดี หมู่ 12 บ้านโพนทอง หมู่ 13 บ้านดอนเงิน
ทิศเหนือ ติดต่อ ต.บ้านทุ่ม อ.เมือง จ.ขอนแก่น
ทิศใต้ ติดต่อ ต.พระยืน, ขามป้อม อ.พระยืน จ.ขอนแก่น
ทิศตะวันออก ติดต่อ ต.ดอนช้าง อ.เมือง จ.ขอนแก่น
ทิศตะวันตก ติดต่อ ต.บ้านเหล่า อ.บ้านฝาง จ.ขอนแก่น
มีจำนวนประชากรทั้งสิ้น 10,332 คน เป็นชาย 5,200 คน เป็นหญิง 5,132 คน
(แผนพัฒนาองค์การบริหารส่วนตำบล ประจำปี 2546 ตำบลบ้านหว้า อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น)
ตำบลบ้านหว้า ยึดถือประเพณีปฏิบัติสืบทอดกันมาเช่นเดียวกันกับพื้นที่ชุมชนอื่นภาคตะวัน ออกเฉียงเหนือ คือ “ฮีตสิบสอง”
1. เดือนอ้าย บุญเข้ากรรม
2. เดือนยี่ บุญคูณลาน(ปัจจุบันไม่ค่อยมี)
3. เดือนสาม บุญข้าวจี่
4. เดือนสี่ บุญผะเหวด
5. เดือนห้า บุญสงกรานต์
6. เดือนหก บุญบั้งไฟ (ปัจจุบันพื้นที่นี้ห้ามไม่ให้มีการจัด เพราะอยู่ในเส้นทางสายการบิน )
7. เดือนเจ็ด บุญซำฮะ
8. เดือนแปด บุญเข้าพรรษา
9. เดือนเก้า บุญข้าวประดับดิน
10. เดือนสิบ บุญข้าวสาก
11. เดือนสิบเอ็ด บุญออกพรรษา
12. เดือนสิบสอง บุญกฐิน

ตำบลบ้านหว้า

1.1 บ้านหว้า
ข้อมูลพื้นฐาน
จากการเอกสารบันทึกการประชุมหมู่บ้าน และการสัมภาษณ์ผู้รู้ พบว่าบ้านหว้ามีการตั้งถิ่นฐานมาแต่เดิม ในเอกสารรายงานถึงการตั้งหมู่บ้านหว้ามีมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2328 สาเหตุที่หมู่บ้านมีชื่อบ้านหว้า เพราะเดิมในพื้นที่หมู่บ้านมีต้นหว้าขึ้นรอบหมู่บ้าน จึงนำชื่อต้นหว้ามาเป็นชื่อหมู่บ้าน กลุ่มคนอาศัยเป็นคนอยู่ในพื้นที่เดิม และมีการอพยพมาจากอำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี พิจารณาจาก ผู้ใหญ่บ้านขุนไซ เป็นคนบ้านยางน้อย อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อก่อนนี้บ้านหว้าขึ้นกับเขตการปกครองบ้านโต้น เป็นหมู่ที่13 ผู้ใหญ่บ้านคนแรกคือ ขุนสวา และต่อมาในสมัย ขุนอุ่น คำผาย เป็นผู้ใหญ่บ้านคนที่3 ก็มีการแยกหมู่บ้านเป็นบ้านหว้าหมู่ที่2 โดยขุนสาย กุม เป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรก อาณาเขตของหมู่บ้าน(ภาพที่3)
ทิศเหนือ จดกับ ห้วยน้อย/ถนนดำ
ทิศใต้ จดกับ บ้านเต่า/ห้วยใหญ่
ทิศตะวันออก จดกับ บ้านเหล่าโพนทอง
ทิศตะวันตก จดกับ บ้านเหล่านาดี
จำนวนประชากรทั้งสิ้นของหมู่บ้าน มี 748 คน มีครัวเรือนทั้งสิ้น 195 ครัวเรือนแบ่งเป็น เพศหญิง 381 คน และเพศชาย 367 คน ประชากรส่วนใหญ่อยู่ช่วงวัยแรงงาน 18 – 49 ปี คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 51.33 ของประชากรทั้งสิ้น (ข้อมูล จปฐ.2, 2546) การประกอบอาชีพ ประชากรร้อยละ 87 ยึดอาชีพทางการเกษตร (ทำนา, เลี้ยงสัตว์) ผลผลิตข้าวต่อไร่ ประมาณ 150 กิโลกรัม บ้านหว้ามีพื้นที่ทำนาทั้งสิ้น 1,500 ไร่ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 7.60 ของพื้นที่ตำบลทั้งหมด และพื้นที่พักอาศัยรวม 540 ไร่ โดยเอกสารสิทธิ์ส่วนใหญ่เป็น โฉนด สภาพทั่วไปของดินที่พบปัญหาในด้านคุณภาพ ได้แก่ หน้าดินถูกชะล้าง ดินดาน และ ดินเค็ม ปัญหาสำคัญที่ทำให้ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากดินได้ไม่เต็มที่ก็คือ การขาดแรงงานหลัก ปลูกพืชไม่คุ้มทุน และไม่มีความรู้ในด้านอื่น(กชช.2ค 2546) แรงงานในภาคการเกษตรเป็นวัยช่วงอายุ 40ปีขึ้นไป นอกจากนี้ยังมีประชากร ร้อยละ 21 ของครัวเรือนที่ประกอบอาชีพรับจ้างโดยมีการทำงานใน โรงงานแหอวน โรงงานเย็บผ้า เป็นต้น ซึ่งมีทั้งที่รับมาทำที่บ้าน และโรงงาน พร้อมทั้งมีกลุ่มอาชีพสตรี (ข้อมูล กชช.2ค, 2546)
จากการสัมภาษณ์พบว่า ที่ดินในบ้านหว้าส่วนใหญ่ได้มีการขายฝากนายทุน อาจเป็นเพราะพื้นที่หมู่บ้านอยู่ใกล้กับตัวเมืองขอนแก่นจึงทำให้ที่ดินมี ราคาสูง ประกอบกับแรงงานส่วนใหญ่มีการประกอบอาชีพที่หลากหลาย อาทิ รับจ้างในภาคอุตสาหกรรม, ค้าขาย, ข้าราชการ, รปภ.(รักษาความปลอดภัย) เป็นต้น
พื้นที่ในหมู่บ้านส่วนใหญ่เป็นพื้นที่นา ทรัพยากรป่าไม้มีน้อย ชาวบ้านมีการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากป่า 2 แห่งด้วยกัน
1. ป่าช้า(วัดป่าน้อย) อดีตเคยเป็นป่าช้า และได้มีการตั้งวัดขึ้นมีการใช้ประโยชน์จากป่านี้คือหาของป่า เช่น การเก็บเห็ด
2. ดอนปู่ตา หรือ ดอนตาปู่ เป็นป่าที่ได้รับการเคารพ และมีการอนุรักษ์ไว้ทั้งนี้มีการใช้ประโยชน์โดยหาอาหารป่า

บ้านหว้ามีแหล่งน้ำที่สำคัญ 5 แหล่งคือ
1. สระสนามฟุตบอล อยู่บริเวณกลางหมู่บ้าน มีน้ำตลอดปีใช้ทำการเกษตรริมขอบสระ ซึ่งมีการใช้ประโยชน์ร่วมกันน้อย
2. ชลประทาน อยู่บริเวณทิศใต้ของหมู่บ้าน มีน้ำในช่วงฤดูฝนถึงกลางฤดูหนาว ใช้ประโยชน์ที่ในด้านปศุสัตว์ และเกษตรกรรม
3. ห้วยน้อย อยู่ทางทิศเหนือของหมู่บ้าน มีน้ำตลอดปี (แต่ในฤดูแล้งน้ำในลำห้วยมีน้อย) มีการใช้ประโยชน์ ในด้านการเกษตรเป็นหลักปัจจุบันได้มีการนำถุงดินกั้นแนวเป็นฝายกั้นน้ำใช้ ให้เพียงพอต่อการใช้ประโยชน์
4. หนองอีเลิง(หนองใหญ่) อยู่ทางทิศตะวันออกของหมู่บ้าน ไม่สามารถกักเก็บน้ำได้เพียงพอตลอดปี มีการสร้างฝายขนาดเล็กกั้นกักเก็บน้ำมีการใช้ประโยชน์ร่วมกันหลายหมู่บ้าน เพื่อการเกษตรและอุปโภค
5. ห้วยใหญ่ อยู่ทิศใต้ของหมู่บ้านมีเป็นหนองน้ำใช้ประโยชน์ในด้านการเกษตร แต่ไม่สามารถกักเก็บน้ำได้เพียงพอตลอดปี
จากรายงาน กชช.2ค(2546) พบว่า ร้อยละ99 มีน้ำสะอาดไว้ดื่ม และ บริโภคเพียงพอตลอดปี พร้อมกันนี้การใช้น้ำในครัวเรือนมีเพียงพอใช้ได้ คิดเป็นร้อยละ 100 ส่วนน้ำที่ใช้ในการเกษตรนั้นพึ่งพาจากน้ำฝน

1.2 บ้านเหล่าโพนทอง
ข้อมูลพื้นฐาน
กลุ่มคนอาศัยในพื้นที่แบ่งได้เป็น 4กลุ่มคือ กลุ่มแรกเริ่มมาจากบ้านดอนหัน ที่อพยพหนีโรคระบาดมาอยู่ตามหัวไร่ปลายนาในราวปี พ.ศ.2420 (คุ้มหลุมป่าแฝก) กลุ่มที่สอง อพยพมาจาก จังหวัดอุบลราชธานี มาตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณคุ้มบ้านต้น(ปัจจุบัน อยู่หมู่12) ในราวปี พ.ศ.2425(คุ้มต้นตระกูลทอง) กลุ่มที่สาม อพยพมาจากเมืองเก่า ในราวปี พ.ศ.2455 อยู่คุ้มหนองเขียน
เมื่อมีคนอาศัยกันอยู่มาก จึงมีการจัดตั้งเป็นหมู่บ้าน สาเหตุที่ตั้งชื่อหมู่บ้านว่า บ้านเหล่าโพนทอง เนื่องมาจากพื้นที่หมู่บ้านเป็นที่ดอน และเป็นเหล่า(“เหล่า” คือพื้นที่ดอนที่มีต้นไม้ขึ้นอยู่ประปราย) ตอนเช้าประชาชนพากันออกไปประกอบอาชีพนอกบ้านแล้วมองกลับมายังตัวหมู่บ้านที่ เป็นที่ดอนถูกแสงอาทิตย์ส่อง เห็นเป็นสีเงินและสีทองสะท้อนออกมา ประชาชนประชุมกันเรื่องการตั้งชื่อหมู่บ้าน ต่างมีความคิดเห็นว่า ให้ชื่อบ้านเหล่าโพนทอง มาจนถึงทุกวันนี้ต่อ มาสมัยผู้ใหญ่บ้าน สุข พาวันทา ได้แยกออกเป็น 2 หมู่คือ หมู่ 12 บ้านเหล่าโพนทองเดิม อยู่ในเขตพื้นที่การปกครองท้องที่ ตำบล บ้านโต้น อำเภอ พระลับ จังหวัดขอนแก่นต่อมาจึงย้ายมา อยู่ในเขตการปกครองท้องถิ่น ตำบล บ้านหว้า อำเภอ เมือง จังหวัดขอนแก่น ซึ่งมีอาณาเขตติดต่อ(ภาพที่4)
ทิศเหนือ จดกับ บ้านโคกสูง ตำบลบ้านหว้า และ ตำบลบ้านเป็ด
ทิศตะวันออก จดกับ บ้านดอนช้าง ตำบลดอนช้าง
ทิศใต้ จดกับ บ้านบัวบึง ตำบลดอนช้าง
ทิศตะวันตก จดกับ บ้านหว้า ตำบลบ้านหว้า
ในหมู่บ้านมี จำนวนครัวเรือนทั้งหมด 295 ครัวเรือนมีประชากรทั้งสิ้นประมาณ 1,177 คน เป็นชาย 549คน เป็นหญิง 628 คน ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงวัยแรงงาน การประกอบอาชีพ ประชากรร้อยละ100 ยึดอาชีพการเกษตร (ทำนา, เลี้ยงสัตว์) ผลผลิตข้าวต่อไร่ ประมาณ 300 -450 กิโลกรัม มีพื้นที่ในการทำนาทั้งสิ้น 2,046ไร่ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 10.35 ของพื้นที่ตำบลทั้งหมด และ พื้นที่ของที่พักอาศัยรวมประมาณ 1,089 ไร่ โดยเอกสารสิทธิ์ส่วนใหญ่เป็น โฉนด สภาพทั่วไปของดินที่พบปัญหาในด้านคุณภาพ ได้แก่ หน้าดินถูกชะล้าง ดินดาน และดินเค็ม ปัญหาสำคัญที่ทำให้ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากดินได้ไม่เต็มที่ก็คือ การขาดแรงงานหลัก ปลูกพืชไม่คุ้มทุน และไม่มีความรู้ในด้านอื่น(กชช.2ค 2546) แรงงานในภาคการเกษตรเป็นวัยช่วงอายุ 40ปีขึ้นไป
จากการสัมภาษณ์เพิ่มเติมในการใช้ประโยชน์จากที่ดินพบว่า ในภาคการเกษตรมีการ ทำนา และเลี้ยงสัตว์ มีการขายที่ดินให้กับนายทุนไปเป็นส่วนใหญ่
ทรัพยากรแหล่งน้ำที่สำคัญในหมู่บ้าน
1. หนองเคียน อยู่ทางทิศเหนือของหมู่บ้าน มีพื้นที่ประมาณ 5 – 6 ไร่ใช้รดพืชผลทางการเกษตร มีน้ำตลอดปี
2. แก่งน้ำต้อน อยู่ทางทิศตะวันออกของหมู่บ้านเป็นกุด(กุดคือ บึง หรือลำน้ำที่ปลายด้วน) น้ำมาจากแม่น้ำชีไหลเข้ามาจึงเป็นแอ่งน้ำ มีน้ำตลอดปี และได้มีการขุดลอกเพื่อพักน้ำแต่ยังไม่มีการใช้ประโยชน์
3. สระใหญ่ อยู่ทางทิศตะวันออกของหมู่บ้านมีเนื้อที่ประมาณ 2 – 3 ไร่ปัจจุบัน มีน้ำตลอดปี มีการใช้ประโยชน์เพื่อการเกษตรเพียงเล็กน้อย
4. ห้วยน้อย อยู่ทางทิศตะวันออกของหมู่บ้านเป็นลำธารไหลผ่านประโยชน์โดยหลักคือการให้ สัตว์ดื่มกิน และทำการเกษตรในบริเวณใกล้เคียง มีน้ำตลอดปี
ป่าไม้ในหมู่บ้านมีเพียง ป่าช้าเหล่าโพนทอง (ศูนย์ปฏิบัติธรรม) มีเนื้อที่ประมาณ 46 – 47 ไร่ ไม่มีการใช้ประโยชนจากป่าเนื่องจากเป็นพื้นที่ๆ ประชาชนเคารพ

จากการศึกษาเอกสาร และการสัมภาษณ์ร่วมกับการสังเกตการณ์ของผู้ศึกษาพบว่า วิถีชีวิตของคนในชุมชนในบ้านหว้า และบ้านเหล่าโพนทอง มีพื้นฐานความรู้ในด้านเกษตรกรรมเป็นทุนเดิม พิจารณาจากสัดส่วนของประชากรที่ประกอบอาชีพทำนา (บ้านหว้าร้อยละ 87 และบ้านเหล่าโพนทองทั้งหมด) และมีการเลี้ยงสัตว์เป็นอาชีพเสริมโดย สัตว์เลี้ยงที่พบมากที่สุดคือ ไก่พื้นเมือง วัว สุกร และควาย
การเลี้ยงไก่พื้นเมืองว่ามีการเลี้ยงเกือบทุกหลังคาเรือน การเลี้ยงไก่พื้นเมืองของคนในชุมชนส่วนใหญ่ มีลักษณะการเลี้ยงแบบปล่อยธรรมชาติ และมีการหว่านอาหารให้กินในครั้งคราว ผู้เลี้ยงไก่พื้นเมืองบางส่วนมีการเลี้ยงไก่ชน ในปี พ.ศ. 2546 ตำบลบ้านหว้า ได้ขออนุญาตเปิดสนามชนไก่ขึ้น ที่ตั้งอยู่ในบ้านหว้า หมู่ที่2 ถนนเส้นบ้านหว้า - บ้านเต่า

2. การเลี้ยงไก่ชน

จากผลการศึกษาโดยการสัมภาษณ์จากผู้รู้ พบว่าการเลี้ยงไก่ชนมีมาตั้งแต่อดีตจากคำกล่าวที่ว่า “เกิดมากะเห็นโลด” หมายความว่าเกิดมาก็พบเห็น โดยนัยของความหมายคือการพบเห็นการเลี้ยงไก่ชนตั้งแต่เด็ก ผู้เลี้ยงบางรายได้เห็นพ่อของตนเองเลี้ยง บางรายเห็นเพื่อนบ้านเลี้ยง พร้อมทั้งได้นำไก่ชนมาปล้ำฝึกซ้อม และชนภายในหมู่บ้าน บางส่วนมีการนำไก่ชนออกไปชนที่บ่อนบ้าง บ่อนที่มีชื่อเสียงในท้องถิ่นคือ บ่อนบ้านคำไฮ และบ่อนท่าพระ เมื่อก่อนประชากรในพื้นที่มีไม่มากการเลี้ยงไก่ชนส่วนใหญ่ จึงคัดมาจากไก่พื้นเมืองตัวผู้ที่มีรูปร่างใหญ่ แข็งแรง แยกมาเลี้ยงโดยการขังสุ่ม ฝึกซ้อม และเอาออกไปชน
ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ไก่ชน เป็นไก่พื้นเมืองที่มีการนำมาพัฒนากระบวนการเลี้ยง เพื่อออกไปชนยังบ่อน

2.1 เหตุผลที่ผู้เลี้ยงไก่ชน ทำการเลี้ยงไก่ชน
จากการสัมภาษณ์ผู้รู้ ถึงเหตุผลในเรื่องการเลี้ยงไก่ชน พบว่าผู้เลี้ยงมีเหตุผลหลักในการเลี้ยงไก่ชนอยู่ 7 ประการดังนี้
1. เลี้ยงเพราะมีความพึงพอใจ ตลอดจนรวมไปถึงการเลี้ยงเพื่อผ่อนคลายความเครียด
2. เป็นรายได้เสริม เนื่องจากมีการจำหน่ายออกสร้างรายได้เพิ่มเติมจากการประกอบอาชีพหลัก
3. เพิ่มมูลค่าของไก่พื้นเมือง เพราะไก่ชนนั้นมีราคาสูงกว่าไก่พื้นเมืองหลายเท่า
4. เลี้ยงไว้เพื่อแข่งขัน หรือเดิมพัน(เน้นในเรื่องการพนันเป็นหลัก)
5. พัฒนาปรับปรุงสายพันธุ์คัดหาสายพันธุ์ที่เก่งในการชน ผู้เลี้ยงเป็นผู้หาสายพันธุ์ ซึ่งผู้เลี้ยงไก่ชนถือว่าเป็นการทดสอบฝีมือผู้เลี้ยงไก่ชน
6. เลี้ยงไว้เพื่อชนเป็นเกม สร้างความบันเทิง พร้อมทั้งเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของผู้เลี้ยงไก่ชน
7. เป็นรายได้ฉุกเฉินเวลาที่ต้องใช้จ่ายเงินฉุกเฉิน ผู้เลี้ยงไก่ชนนั้นเมื่อมีความจำเป็นที่ต้องใช้เงินในช่วงเวลาฉุกเฉิน หรือเร่งด่วนก็มีการบอกคนที่รู้จักกันในบรรดาผู้เลี้ยงไก่ชนด้วยกัน
ผลการศึกษาโดยการใช้แบบสอบถาม สามารถเรียงลำดับความสำคัญของเหตุผลได้ดังนี้ ผู้เลี้ยงไก่ชนส่วนใหญ่ (ร้อยละ 69.5) เพื่อผ่อนคลายความเครียด รองลงมาคือเลี้ยงเพื่อเป็นรายได้เสริม(ร้อยละ26.3) ซึ่งสอดคล้องกับ ธเนศน์(2545) ได้รายงานถึงอัตลักษณ์ของคนเลี้ยงไก่ชนในจังหวัดขอนแก่นว่า “รักเหมือนลูก” เนื่องจากผู้เลี้ยงไก่ชนทะนุถนอมไก่ชนของตนเอง เป็นอย่างดี สามารถแสดงให้เห็นถึงเหตุผลที่ผู้เลี้ยงไก่ชนได้ทำการเลี้ยงไก่ชน
จากการสัมภาษณ์ผู้รู้ได้กล่าวว่า “แม้นว่าเมือยๆ มาได้ยินเสียงไก่ขัน พ่มันแล่นนำเดิ่นเฮือนกะสำบายใจ” ในความหมายคือ ถึงแม้ว่าเหนื่อยกลับมา ได้ยินเสียงไก่ของตนเองขัน เห็นไก่วิ่งเล่นตามลานบ้านก็เกิดความสบายใจ พร้อมกันนี้ได้มีการเสริมความรู้สึกในการเลี้ยงไก่ชนลักษณะเดียวกันว่า “ก่อนไปเฮ็ดงานไก่กะสิได้กินเหยื่อก่อน เลิกงานกะสิฟ้าวมาให้เหยื่อมัน ไก่ได้กินข้าวก่อนคนโพ่นเด้” ความหมายคือ ก่อนไปทำงานไก่ต้องได้กินอาหาร โดยผู้เลี้ยงให้อาหาร และเลิกงานก็ต้องรีบกับมา เพื่อให้อาหารไก่ของตน ซึ่งทำการให้อาหารไก่
เรียบร้อยแล้วผู้เลี้ยงจึงได้รับประทานอาหาร จากคำกล่าวข้างต้นมีนัยแสดงถึงความใกล้ชิด ความผูกพันที่เกิดขึ้นระหว่างคนเลี้ยง และไก่ชน ส่งผลไปถึงเหตุผลที่ผู้เลี้ยงไก่ชนได้ทำการเลี้ยงไก่ชน

2.2 อิทธิพลที่มีผลกระตุ้นให้ผู้เลี้ยงไก่ชนตัดสินใจเลี้ยงไก่ชน
จากการสัมภาษณ์ผู้รู้ กับผู้เลี้ยงไก่ชนอายุอยู่ในช่วง 37 – 72 ปี พบว่าสาเหตุที่กระตุ้นให้ผู้เลี้ยง ทำการเลี้ยงไก่ชน มีอิทธิพลหลักอยู่ 2 ประการคือ
1. จากการพบเห็นบิดา คือได้เห็นพ่อของตนเองเลี้ยง และได้ติดตามออกไปตามสนามแข่ง หรือการนำไก่ไปปล้ำฝึกซ้อม จึงได้มีความชอบตาม
2. จากเพื่อนหรือคนรู้จัก คือติดตามไปดูการซ้อม และชนไก่ทำให้เกิดความชอบ และโดยฐานเดิมเคยพบเห็นตั้งแต่วัยเด็กแต่ในช่วงนั้นยังไม่มีความสนใจใน เรื่องการเลี้ยงไก่ชน ประกอบทั้งได้รับแรงจูงใจ ในเรื่องการจำหน่ายไก่ชนที่มีราคาที่สูงกว่าไก่พื้นเมืองทั่วไปมาก จึงเกิดความสนใจที่ทำการเลี้ยง
ผลจากการศึกษาข้างต้นแสดงให้เห็นว่า ปัจจัยที่มีการกระตุ้นผู้เลี้ยงไก่ชนอีกส่วนหนึ่งคือ ประสบการณ์จากการปฏิบัติและการได้พบเห็น เป็นปัจจัยที่ผลต่อความสนใจและการตัดสินใจในการการเลี้ยงไก่ชน

2.3 วัตถุประสงค์ของผู้เลี้ยงไก่ชน
เมื่อเชื่อมโยงความสัมพันธ์ ระหว่างเหตุผลที่ผู้เลี้ยงไก่ชนทำการเลี้ยงไก่ชน ร่วมกับอิทธิพลที่มีผลกระตุ้นให้ผู้เลี้ยงไก่ชนตัดสินใจเลี้ยงไก่ชน สามารถพิจารณาถึงวัตถุประสงค์ของผู้เลี้ยงไก่ชน ได้ดังนี้คือ
1. ผู้เลี้ยงที่ทำการเลี้ยงเพื่อชน แข่งขัน
2. ผู้เลี้ยงทำการเลี้ยงเพื่อสร้างรายได้
จากวัตถุประสงค์ดังกล่าวสามารถพิจารณาถึงความสัมพันธ์ ระหว่างผู้เลี้ยงไก่ชน กับวัตถุประสงค์ในการเลี้ยงไก่ชนได้(ภาพที่5)

2.4 ประเภทผู้เลี้ยงไก่ชนที่ปรากฏ
จากการศึกษาโดยการสัมภาษณ์ผู้รู้และผู้เลี้ยงไก่ชนพร้อมทั้งการสังเกตของ ศึกษา พบว่าผู้เลี้ยงไก่ชนสามารถแบ่งได้เป็น 4 ประเภท ดังนี้
1. ซื้อมาเลี้ยงเพื่อชน คือ ได้ชมลีลาไก่แล้วซื้อมาเพื่อชนแข่งขันแต่ไม่ชอบในการเพาะพันธุ์ เพราะไม่ทันใจ
2. เลี้ยงเอง และนำไปฝากเลียง คือ ผู้ที่เป็นเจ้าของไก่มีการเลี้ยงเองบ้าง และนำไปฝากคนอื่นดูแลบ้าง เนื่องด้วยตัวเองมีภาระงานอย่างอื่นที่ต้องทำ ทำให้ไม่มีเวลาเลี้ยงเองอย่างเต็มที่ คนที่รับดูแลเป็นผู้ที่รู้จัก สนิทสนมกัน
3. เพาะพันธุ์และแสวงหาสายพันธุ์ที่ดีและชนเก่ง คือผู้เลี้ยงที่คอยหาสายพันธุ์เข้ามาเพาะเลี้ยง หรือ การใช้สายพันธุ์ตัวเองที่มีอยู่เข้ามาปรับปรุง เพื่อให้ไก่ตัวเองตีดี ตีเก่ง ส่วนหนึ่งผู้เลี้ยงประเภทนี้มีการจำหน่ายไก่ชนของตนเองเรื่อยๆ เก็บไว้เฉพาะตัวที่ถูกใจ
4. รับจ้างเลี้ยง คือ เลี้ยงไก่ชนของตนเองด้วยและ รับเลี้ยงไก่ชนของผู้อื่นที่เขาเอามาให้เลี้ยงด้วย
ผู้เลี้ยงไก่ชนแต่ละประเภทมีส่วนที่เหลื่อม (Overlap) กันอยู่ในตัวเอง เช่นผู้ซื้อมาเลี้ยงเพื่อชน ก็สามารถที่นำมาเพาะหาสายพันธุ์ในรุ่นต่อไป หรือผู้ที่ทำการเลี้ยงเองมีการเพาะหาสายพันธุ์ของตนเอง และซื้อมาเพื่อชน เป็นต้น

2.5 ประสบการณ์ในการเลี้ยงไก่ชน
จากการสัมภาษณ์ผู้รู้ ถึงประสบการณ์ในการเลี้ยงไก่ชนพบว่า ส่วนมากรู้จักการเลี้ยงไก่ชนมาตั้งแต่สมัยเป็นเด็ก เนืองจากพบเห็นการเลี้ยงไก่ชนอยู่ในชุมชน พร้อมทั้งในครอบครัวก็มีการเลี้ยงไก่พื้นเมือง จึงทำให้มีพื้นฐานในการเลี้ยงไก่เป็นทุนเดิม จากผลการศึกษาโดยแบบสอบถาม(ผู้รู้และผู้เลี้ยงไก่ชน) พบว่าผู้เลี้ยงไก่ชนส่วนใหญ่ร้อยละ 57.1 มีประสบการณ์ในการเลี้ยงไก่ชนมากกว่า 20ปี รองลงมามีประสบการณ์ในการเลี้ยงไก่ชน ในช่วง 16-20ปี, 1-5ปี และ6 -10 ปี ร้อยละ19, 14 และ 9.9ตามลำดับ จากผลการศึกษาดังกล่าวแตกต่างจากรายงานของ อภิรัฐ(2546) ซึ่งได้การศึกษาการเลี้ยงไก่ชนของเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ชน อำเภอพล จังหวัดขอนแก่น พบว่าผู้เลี้ยงไก่ชนส่วนใหญ่ มีประสบการณ์ในการเลี้ยงไก่ชน อยู่ระหว่าง 16 – 20 ปี อีกทั้งแตกต่างจากรายงานของ สุภชัย(2545)ได้ทำการศึกษาการเลี้ยงไก่ชนในจังหวัดอำนาจเจริญพบว่า ประสบการณ์ในการเลี้ยงไก่ชนของเกษตรกรอยู่ ระหว่าง 6-15 ปี เป็นส่วนใหญ่
TentsTentsCamping TentsTentScreen TentsEureka TentsColeman TentsParty TentsTent CityFamily Tents6 Person Cabin TentTent TrailersFamily Camping TentsCanvas TentsTent CitiesTent TrailerPop Up TentsTent ReviewsTruck TentCabin TentsTruck TentsCamping TentEureka TentKelty TentsTent CampingA-frame TentsBackpacking TentsWenzel TentsTent CotColumbia TentsNorthwest Territory TentsCanopy TentsTent PolesPop Up TentMotorcycle TentsTent CampersCrib TentColeman TentEz Up TentsDiscount TentsScreen TentBeach TentsMilitary TentsBeach TentTent Camping CampgroundsCheap TentsParty TentTable TentsWall TentsArmy Surplus TentCabin TentWall TentFamily Size TentsTent CamperCanvas Cabin TentTent StakesTent HeatersTent Pole ReplacementUsed Tent TrailersLarge Family Cabin TentTents For SaleThe Red TentReplacement Tent PolesTent HeaterCanvas Wall TentsFamily Tent ReviewTruck Bed TentCamping Tent EquipmentCanopy TentCanvas Camping TentsLarge Family TentMsr TentsUsed Tent TrailerLarge TentsWenzel TentFamily TentCanvas Hunting TentsCanvas TentDiscount Party TentsInflatable TentMilitary TentBest Family TentBig Agnes TentsDome TentScreen House TentsBest Tents4 Person TentArmy TentBest TentTarp TentDiscount Camping TentsInflatable Camping TentsInflatable TentsSwiss Gear TentTent Camping FloridaCamping Tent ReviewsColeman Evanston TentFamily Cabin TentFamily Camping TentNorth Face TentsBlogBlogBlogBlog

ความคิดเห็น

ยังไม่มีความคิดเห็น