ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดวงใจเทพธิดาเครื่องหอม

    ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ ไฟไหม้ครั้งใหญ่ของฉีอัน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.88K
      13
      24 ธ.ค. 57

    ก่อนรัชสมัยจักรพรรดิ ฉี อวิ๋นหลง อาณาจักรฉีอัน

    คฤหาสน์ตระกูล เจ้า

    “ไฟไหม้!!!!!!!!!!! ดับไฟเร็วเข้า”

    “หาตัวนายท่านให้เจอเร็วเข้า”

    “ดับไฟก่อน”

    ทามกลางความโกลาหลของเหตุการณ์เพลิงไหม้ครั้งใหญ่ในเขตที่อยู่อาศัยของขุนนางระดับสูงแห่ง ฉีอัน ใกล้เขตวังหลวง คฤหาสน์ขุนนางขนาดใหญ่อันเป็นที่อยู่ของเหล่าอ๋องแลเชื้อพระวงศ์ที่แต่งานกับขุนนางไม่ก็ขุนนางยศใหญ่ในราชสำนักต่างตกอยู่ภายใต้กองเพลิงสีแดงฉานที่เผาไหม้ทุกสรพสิ่งราวกับอาเพศ เพลิงไหม้ยิ่งทวีความร้ายกาจด้วยกำลังลมที่หนุนเข้ามาอย่าต่อเนื่องทำให้อาณาเขตเพลิงไหม้ขยายใหญ่จนสามารถเห็นได้จากที่ไกลๆ เขม่าควันไฟมากมายพัดพาไอร้อนจากกองเพลิงไล่ทำร้ายผู้คนที่หมายจะพิทักษ์ที่อยู่ที่ซุกหัวนอนของตนเอง วังหลวงที่งดงามตระการตาบัดนี้ตกอยู่ภายใต้ควันไฟจนบดบังความงามที่มีอยู่จนมิด คฤหาสน์ตระกูลเจ้าเองก็ไม่อาจรอดพ้นเหตุอาเพศครั้งนี้ได้เช่นกัน

    “พ่อ!!  พ่อ!! เสี่ยวหลานอยู่กับนายท่านและคุณหญิงป้า ข้าเจอพวกเขาแล้ว เอาไงต่อ” น้ำเสียงเร่งร้อนของเด็กน้อยดังขึ้นจากอีกฝากหนึ่งของกองเพลิงที่กำลังเผาไหม้เรือนเมฆาของคุณขายหลิ่งซาน ไม่มีทางข้ามายังประตูใหญ่ด้านหน้าได้เลยเพราะไฟได้ลามจนหมดแล้ว

    “เจ้าเด็กบ้า ยังไม่เลิกเรียกนายหญิงแบบนั้นอีก พาพวกนายท่านออกไปข้างนอกเมืองก่อนเร็วเข้า ระวังตัวด้วย” พ่อบ้านฟู่วัยกลางคนตะโกนอย่างร้อนใจปนโลงใจที่เจอตัวเจ้านายทั้งสอง เขาได้แต่ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในใจ

    “แล้วพ่อละ จะตามไปไหม”เสียงของเด็กน้อยหงอยลงเสียจนใจของพ่อบ้านฟู่กระตุก หากให้คาดคะเนจากเหตุการณ์ตอนนี้เขาสามารถตามนายท่านทั้งสองแลลูกไปได้ แต่ว่า หาสิ่งที่เขาคิดไว้เป็นจริงเขาต้องรั้งตัวอยู่ที่นี่เพื่อทำอะไรซักอย่างให้นายเหนือหัวรอด เพราะเหตุเพลิงไหม้ครั้งนี้มันมากกว่าคำว่า อุบัติเหตุ เมืองหลวงแห่งอณาจักรฉีอันไม่เคยปล่อยปะละเลยให้ไฟไหม้ธรรมดากลายเป็นกองเพลิงขนาดใหญ่แบบนี้ได้

    “พ่อไม่รับปากเจ้า  ไปฟางเซียน ทำตามที่พ่อสั่ง ดูแลนายท่านให้ดี ไป!!! ออกทางประตูลับที่เจ้าใช้ประจำซะ”พ่อบ้านฟู่ตัดสินใจเด็ดขาดท่ามกลางกองเพลิงที่กำลังเผาไหม้คฤหาสน์งามและลูกน้องกว่าสามสิบชีวิตที่ช่วยกันดับไฟที่กำลังรุกลามจนเกือบจะถึงประตูใหญ่ ถึงแม้ในใจจะเจ็บปวดจากสิ่งที่ตัวเองกำลังจะทำแต่เพราะความหวังที่มากกว่านั้น เขาจึงเลือกทางนี้ แม้จะต้องทิ้งลูกสาวให้อยู่บนโลกนี้ต่อไปโดยที่ตนไม่ได้มีโอกาสเลี้ยงดู

    “พ่อ ข้าจะกลับมาหาท่านหลังจากที่พานายท่านไปไว้ในที่ปลอดภัยแล้ว”ฟางเซียนน้อยตะโกนผ่านกองเพลิงทั้งน้ำตา ทำไมนางจะไม่รู้พ่อกำลังคิดอะไร “พ่อท่านเป็นคนสำคัญในชีวิตข้า”

    “แต่เจ้านายทั้งสามก็สำคัญที่สุดในชีวิตข้าเหมือนกัน เด็กโง่” พ่อบ้านฟู่มองมือหยาบกร้านของตัวเองที่สั่นระริกอย่างห้ามไม่ได้ ข้าต้องจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จ ฟางเซียนพ่อรู้เสมอว่าลูกฉลาดตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้สบตา เจ้ากล้าหาญในแบบของตนเอง เจ้าต้องเข้มแข็งฟางเซียน ในใจของพ่อบ้านฟู่สวดอธิษฐานให้ลูกสาวผู้เป็นที่รักด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง

    “หยงเหลย เจ้าไปหาชุดของนายหญิงและนายท่านมาให้ข้าแล้วปลอมตัวจากนั้นรีบออกไปทางประตูใหญ่เร็วเข้าต้องออกไปก่อนที่ฟางเซียนจะพานายท่านออกไปทางประตูลับ” พ่อบ้านฟู่สั่งทุกคนให้ทำตามในสิ่งที่ตัวเองคิดก่อนจะปัดน้ำใสๆที่หางตาบนใบหน้าเข้มที่มักจะตีหน้าดุใส่ฟางเซียนอยู่เสมอ

    “พ่อบ้านฟู่”น้ำเสียงเหนื่อยอ่อนของหยงเหลยหรือแม่ครัวประจำตระกูลเรียกพ่อบ้านฟู่เพื่อเตือนสติ ลูกน้องกว่าสามสิบชีวิตที่กำลังดับไฟก็หยุดมือเช่นกัน ทุกครั้งที่พ่อบ้านฟู่สั่ง คำสั่งนั้นพวกเขาล้วนต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

    “มีคนจงใจฆ่านายท่าน และเจ้านายหลายๆตระกูลในกองเพลิง ถ้านายท่านไม่ตายพวกมันจะไม่หยุด นายน้อยเองก็คงกลับเมืองมาไม่ได้ ท่านคงอยู่กับกองทัพองค์ชายอวิ๋นหลง หากข้าเดาไม่ผิดในวังก็เกิดเหตุร้ายเช่นกัน”

    สิ้นเสียงของพ่อบ้านฟู่หลายคนที่หยุดมือมาฟังก็อุทานอย่างตื่นตระหนก พลางโวยวายหาทางรอดของตัวเองแต่กระนั้นก็ไม่ได้โวยวายจนเกิดความโกลาหล

    “ใครใคร่หนีจงหนีไปเสีย ข้าขอแต่คนที่สมัครใจทำเพื่อนายท่านแค่จำนวนหนึ่งเท่านั้นเร็วเข้า หากใครหนีแล้วถูกจับได้ให้บอกว่านายท่าหนีไปหากองทัพขององค์ชายอวิ๋นหลง”

    หลายคนทิ้งอุปกรณ์ดับเพลิงแล้วเข้ามาตบบ่าพ่อบ้านฟู่ก่อนจะออกไปจากคฤหาสน์ที่กำลังไหม้แห่งนี้ พวกเขาเลือกที่จะหนีก็เพราะพวกเขาเองยังมีภาระที่ทิ้งไม่ลงเช่นครอบครัวที่ยังอยู่

    “หยิบจับสิ่งใดได้ หยิบไป หากพวกเจ้าจะเอาไปให้ฟางเซียนแลนายท่านได้ข้าจะยินดียิ่ง”น้ำเสียงของพ่อบ้านอ่อนลง เขาหวังว่าคนพวกนี้จะเอาของมีค่าบางอย่างไปถึงมือนายท่านบ้างก็ยังดี

    “พ่อบ้านฟู่ เราก็มาจัดการให้เรียบร้อยกันเถอะ” หนึ่งในคนงานพูดขึ้นอย่างคนตัดสินใจแล้ว

    กรี๊ดดดดดดดดดดดดด !!!!!!!!!!

    เสียงกรีดร้องของผู้คนที่ดังมาจากที่ไกลๆทำให้ทุกคนเร่งมือ หลงเหลยพาร่างอวบอ้วนของตัวเองในวัยห้าสิบกว่าไปสวมทับชุดอย่างรวดเร็วก่อนจะเอาเขม่าทาตัวให้ดำยิ่งกว่าเดิมที่ได้จากการดับเพลิงขนาดตัวของนางอาจจะใหญ่กว่าฮู่หยินก็ได้แต่หวังว่าเสื้อผ้าราคาแพงพวกนี้จะช่วยตบตาได้ พ่อบ้านฟู่ก็เช่นกัน เหล่าข้ารับใช้ที่อยู่กับตระกูลมานานสองสามคนก็ตัดสิ้นใจอยู่เพื่อเล่นละครฉากสุดท้าย

    เหล่าคนรับใช้ที่ปลอมตัวเป็นอ๋องเจ้าและฮูหยินอวี๋หลานได้พากับหลบไปอยู่ที่ริมสระน้ำในตัวคฤหาสน์ ความร้อนของไฟเสียงลั่นของไม้ที่ถูกเผาไฟสร้างความเศร้าโศกในหัวใจของทุกคนตรงนี้ เพราะประตูใหญ่โดนไฟลามไปจนไม่สามารถจะก้าวล่วงออกไปได้ คนที่เลือกที่จะไปต่างพากันออกไปหมดแล้ว ประตูอื่นๆในตอนนี้ก็ถูกไฟไหม้เช่นกัน หวังแค่พวกมันจะไม่เห็นพวกนายท่านที่หนีออกไปก่อน

    ชิ้ง!!  เสียงบางเบาของอาวุธเรียกทุกสายตาให้มองไปยังด้านหลังของตน ณ กลางสระน้ำ

    เพชฆาตสีดำยอดยุทธยืนตระหง่านอยู่เหนือดอกบัวสีชมพูงามกลางสระน้ำที่ฮู่หยินสั่งขุดอย่างดีมือข้างขวาของมันมีดาบเล่มยาวที่ชะโลมไปด้วยเลือดแลไหลย้อยจนหยดลงในสระน้ำเขม่าควันไฟสีดำสนิทม้วนตัวตามแรงลมจนเป็นภาพพื้นหลังที่น่ากลัว

    ไม่มีการประกาศตัว ไม่มีคำเจรจาปราศรัย และจะไม่มีชีวิตใดจะรอดจากเงื้อมือเพชฌฆาตผู้เหี้ยมโหดตนนี้

    ฉับพลัน!ร่างของเหล่าคนรับใช้ที่ปลอมตัวร่วงหล่นเป็นใบไม้เพราะบาดแผลฉกรรจ์ที่บ่าจนถึงกลางลำตัว ถึงไม่ตายในทันทีแต่ก็ใช่ว่าจะรอดได้อย่างแน่นอน

                    “ช่างเก่งกาจยิ่งนัก”  พ่อบ้านฟู่ที่บาดเจ็บสาหัสจนไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ยังมีแก่ใจชมปีศาจตรงหน้า ก่อนกระอักเลือดออกมากองใหญ่ คมมีดของมันตัดผ่านกระดูกสันหลังถึงจะขยับไม่ได้และลมหายใจรวยระรินแต่เขาต้องรั้งมันไว้ ให้ได้มากพอ “พว...ก เจ้า.... ต้อ..ง       การอะ..ไร”

                    ปีศาจสีดำเดินกลับหาพ่อบ้านฟู่ก่อนจะพูดในสิ่งที่พวกมันต้องการที่ทำให้หัวใจคนทั้งหมดที่ยังไม่ตายหยุดเต้น

                    “หัวใจเทพธิดาเครื่องหอม”

                    ฟางเซียนพ่อบ้านฟู่คิดได้แค่นั้นก็สิ้นใจ แม่ครัวหลงเหลย และอีกหลายๆคนก็สิ้นใจตามๆกันในเวลาต่อมาเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว

                    “แต่เรื่องบัลลังก์นี้ ก็แค่ผลพลอยได้” ปีศาจสีดำทิ้งท้ายก่อนจะหายตัวไปทิ้งไว้ก็แต่ศพที่มันคร้านจะใส่ใจ

     

                    ประตูเหนือ อาณาจักรฉีอัน

                    ท่ามกลางผู้คนโกลาหลที่ต้องการจะออกนอกเมืองทางทิศประตูเหนือเพราะเหตุไฟไหม้ครั้งใหญ่ที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้น ร่างเล็กของเด็กน้อยวัยสิบขวบพาชายหญิงอายุประมาณสี่สิบปีและหญิงสาววัยสิบแปดปีลัดเลาะผู้คนไปยังทางออกอย่างชำนาญทาง

                    “เด็กโง่เจ้าพามาถูกทางแน่หรือ”ฮู่หยินฮวี๋หลานตวัดเสียงดุใส่เด็กน้อยผู้นำทางตรงหน้า

                    “เรียนป้าหลาน ถูกทางแน่ขอรับ ข้ามาเล่นบ่อยรับประกันได้” แม้จะใช้ถอยคำกวนประสาทเช่นเคยแต่น้ำเสียงกลับเข้มขึ้นเหมือนคนที่พยามจะอดกลั้นอะไรบางอย่างเอาไว้ไม่ได้สดใสหรือคอยจะหยอกล้อเหมือนเคย ฮู่หยินอวี๋หลานเองก็สังเกตได้และรู้สึกผิดในใจขึ้นมาลึกๆที่ยังคงเคยชินกับการดุด่าเด็กน้อยตรงหน้าที่กำลังเติบใหญ่เข้าสู่วัยรุ่น

                    “น้องหญิง ตั้งใจเดินเถิดเราต้องเชื่อฟางเซียนตอนนี้มีแค่เขาเท่านั้นที่รู้ทาง” อ๋องเจ้าให้กำลังใจภรรยาก่อนจะโอบกอดและพาเดินตามฟางเซียนไปโดยมีเสี่ยวหลานตามหลังมาอย่างกระชั้นชิด

                    พ้นจากผู้คนมากมายออกมาได้เบื้องหน้าคือพุ่มไม้ขนาดใหญ่ที่อยู่ติดกำแพงหนาของเขตเมืองหลวง ทางตรงนี้ไม่ค่อยมีผู้คนผ่านไปมามากนักเพราะมีแต่บ้านร้างที่ดูทรุดโทรมและข้าวของว่าระเกะระกะอย่างไม่เป็นระเบียบ กลิ่นสาปสางของอะไรบางอย่างก็ไม่เชิญให้คนดีดีมาตรงทางนี้ได้

                    ฟางเซียนจัดแจงโยกพุ่มไม้ไปมาจนเปิดให้เห็นทางลอดขนาดผู้ใหญ่คนหนึ่งลอดได้สบายๆ

                    “เร็วเข้า เข้าไปข้างใน” ฟางเซียนเร่ง “แล้วอย่าพึ่งโผล่ไปอีกด้านหากข้าไม่ได้เป็นคนมาเปิดพุ่มไม้อีกฝั่ง”

                    อ๋องเจ้า ฮู่หยิน และ เสี่ยวหลาน แม้ไม่ยินยอมเข้าไปในถ้ำสกปรกแต่ก็ต้องทำ ทันทีที่ย้ำเข้าไปก็เจอแอ่งน้ำเฉะที่สิ่งกลิ่นไม่อภิรมย์เท่าไหร่นักจนฮู่หยินหวีดร้องออกมาเบาๆ

                    “ฮู่หยินเจ้าคะ เดินดีดีนะเจ้าคะ” เสี่ยวหลานพยุงฮู่หยินอวี๋หลานแล้วพาไปหาที่แห้งที่ตนเจอเพื่อให้นั่งพักแล้วหันไปนำอ๋องเจ้ามานั่งที่เดียวกันกับฮู่หยิน ความคับแคบของมันทำให้ทุกคนอึดอัด

                    “ท่านอ๋อง ท่านยังสบายดีอยู่ใช่ไหมขอรับ”ฟางเซียนถามอย่างนอบน้อม

                    “อืม” ท่านอ๋องเจ้าส่งเสียงตอบกลับ และมองไปยังลูกชายบุญธรรมของพ่อบ้านฟู่ที่อยู่ด้วยกันมานานตั้งแต่จำความได้อย่างซาบซึ้งใจ ท่านอ๋องเองก็พอจะรู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้จึงได้เตรียมข้าวของไว้บ้างแต่ไม่คิดว่าพวกมันจะใช้ไฟเป็นเครื่องมือจนทำให้ผิดแผนไปหมดแบบนี้ “พ่อของเจ้า” ท่านอ๋องพูดถึงพ่อบ้านฟู่ด้วยน้ำเสียงโศกเศร้า เขาเองก็ใจหายและปวดใจไม่แพ้กันเพราะอยู่ด้วยกันมานานจนสามารถคาดเดาสิ่งที่เพื่อนยากคนนี้ต้องการจะทำได้

                    “เมื่อพวกท่านเรียบร้อย.. ฮืก.. ฮืก.. ข้าจะกลับไปตามหาท่านพ่อขอรับ” ฟางเซียนน้อยกลั้นเสียงสะอื้นอย่างเข้มแข็งแล้วหันหลังออกไปจากถ้ำกลับไปในเมืองก่อนจะนำพุ่มไม้โยกมาปิดไว้ดังเดิม เขาโตพอที่จะจัดการสิ่งที่ท่านพ่อฝากมาได้อย่างดี เขาเชื่อแบบนั้น

                    “ท่านพี่อย่าเศร้าใจไปเลย ข้าเองก็รู้จักพ่อบ้านฟู่มานานตั้งแต่แต่งเข้ามาในตระกูลเจ้าเขาทำทุกอย่างเพื่อท่านความหวังของเขาคือให้ท่านพี่มีชีวิตรอดเพราะท่านเพื่อนคนสำคัญของเขา”ฮู่หยินอวี๋หลาน หรือ ฮู่หยินเจ้า กุมมือสากของสามีอย่างให้กำลังใจ นัยน์ตาคู่สวยของตาจับจ้องไปที่สามีที่นางสาบานจะติดตามเขาไปชั่วชีวิต ความหมองเศร้าบนหน้าของอ๋องเจ้าก็ทำให้นางปวดใจเหมือนกัน

                    “ข้าเข้าใจ ขอบใจเจ้ามากอวี๋หลาน”อ๋องเจ้าตอบกลับเสียงแผ่วแต่ก็ทำให้ภรรยาคนงามของเขายิ้มออกมาได้บ้าง ใบหน้าคมกร้านแดดของอ๋องจ้าประดับรอยยิ้มน้อยๆแลดูข่มขื่นแต่อย่างน้อยเขาก็ยิ้มให้กับฮู่หยินของตน “ขอบใจมากเหมือนกันฟู่หลงซิน ข้าจะไม่ลืมเจ้าสหายคนสำคัญของข้า”

                    เสี่ยวหลานได้แต่มองภาพนายเหนือหัวทั้งสองปลอบใจกันและกันอย่างเศร้าหมอง ฟู่หลงซิน คือลุงของนางแม่และพ่อนางตายตั้งแต่นางเกิดเพราะเหตุพิพาทของสองสำนักใหญ่อย่างรุ่งอรุณแห่งซ่าง และ เงาอัคคี ตอนนี้นางเองก็ไม่เหลือใครนอกจากฟู่หลงฟางเซียนน้องสาวบุญธรรมของเธอที่ทุกคนในคฤหาสน์คิดว่านางเป็นชาย  

                    ร่างเล็กๆของเด็กน้อยวัยสิบขวบที่เปื้อนไปด้วยเขม่าควันไฟเสียจนดูไม่ได้ วิ่งไปที่ประตูเมืองทางเหนือแต่ก็ช้าไป มีทหารที่ไม่คุ้นตายืนเฝ้าเต็มไปหมดคอยคัดคนออก ใบหน้าเล็กเปื้อนเขม่าควันไฟยู่ลงอย่างใช้ความคิดหนัก

                    ฉันควรทำอย่างไรดีถึงจะออกไปได้ ทหารพวกนี้ก็ไม่คุ้นหน้าไม่ใช่พวกลุงๆที่สนิทกัน ถ้าพลาดขึ้นมามีหวังโดนจับแน่ๆ หวังว่าพวกทหารคงไม่จับตามองดูเด็กหลงแบบเราเหรอกนะ ฟางเซียนบ่นในใจยาวเป็นพรืดอย่างเป็นกังวล เด็กน้อยหันซ้ายหันขวาท่ามกลางผู้คนที่ร้องห่มร้องไห้จากการสูญเสียในเหตุการณ์ไฟไหม้ที่ลามจนถึงเขตที่อยู่อาศัยของคนธรรมดาและร้านค้า ขุนนางหลายคนต่างพากันปลอมแปลงตนเพื่อเอาชีวิตรอด ในที่นี้เธอเห็นเจ้ากรมการคลัง เจียงจือหย๋า ฮูหยินของเขาและ คุณหนูเหมยฮวาคนงามที่เป็นสหายกับนายน้อยละลอบปะปนไปกันผู้คนมากมายที่กำลังต้องการจะออกจากเมือง

                    “หากใครรั้งอยู่ในเมืองต่อทางการจะสร้างบ้านใหม่ให้ และ ให้เงินจำนวนหนึ่งเพื่อดำรงชีพเป็นเวลาสามเดือน หากใครค้าขายเราจะให้ทุนเพื่อทำการค้าอีกครั้ง” ทหารตะโกนเสียงดังเพื่อโปรโมทโปรโมชั่นให้คนอาศัยในเมืองต่ออย่างขยันขันแข็ง

                    “แล้วทรัพย์สิ้นของข้าที่เสียหายไปทางการจะชดใช้ให้หรือเปล่า” ชายวัยกลางคนท่าทางจะเป็นพ่อค้าตะโกนขึ้นมา

                    “ไปลงชื่อไว้เสียก่อนแล้วเราจะดูให้อีกที”น้ำเสียงเนิบนาบขัดกับบรรยากาศดังมาจากร่างสูงบนม้าศึกตัวงามที่กำลังเคลื่อนที่มาจากด้านหลังฟางเซียน

                    “เคารพองค์ชายสิบ”นายทหารหลายนายที่ประจำอยู่หน้าประตูเหนือต่างพากันทำความเคารพอย่างนอบน้อม

                    องค์ชายสิบ ฉี หมิงเจ๋อ ลูกชายขององค์จักรพรรดิกับสนมหลี่ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ เขาไม่ได้อยู่ในวังหลวงเหรอไง เหมือนคุณชายหวังจะเคยพูดว่าเขาร่างกายอ่อนแอจนสนมหลี่คร้านจะดูแลแล้วอย่างไรในเมื่อเขาออกมาแบบนี้เหตุการณ์ในวังจะใช่แบบที่เราคิดไว้ไหม ฟางเซียนครุ่นคิดอย่างหนักอีกครั้งจนไม่ทันได้หลบขบวนเล็กๆขององค์ชายสิบที่เคลื่อนมาจากทางด้านหลัง

                    “โอ๊ย!” ฟางเซียนถูกกระแทกจนล้มลงกับพื้น “บ้าจริง” ก่อนจะสบถออกมาเบาๆแล้วมองไปยังเจ้าของขบวนบ้าๆนี้ที่ทำให้เธอเสียเวลาอย่างหงุดหงิดก่อนจะต้องเบิกตากว้างเหมือนโดนมนต์สะกด

                    โอ้ พระเจ้า ฉันไม่เคยเห็นใครหล่อได้เทียบเคียงคุณชายแบบนี้มานานแล้ว ใบหน้าหล่อเหลาอย่างร้ายกาจติดจะหวานเล็กน้อยแต่มันกลับโดนข่มด้วยสายตาที่มองทุกสิ่งอย่างเมินเฉย จมูกโด่งเป็นสันคิ้วเข้มรับกับใบหน้าทำให้ดูคมสมชายขึ้นมา ริมฝีปากโหย อิจฉา เป็นสีชมพูแถมสวยได้รูปอีก เส้นผมสีดำสนิทปล่อยยาวครึ่งศีรษะทิ้งตัวอย่างงดงามราวกับม่านน้ำตกสีดำ สูงพอๆกันกับพวกองค์ชายไหล่กว้างผิวขาวเนียนละเอียดอีก พระเอกในละครจีนที่เธอชอบดูขัดๆเลย ฟางเซียนได้แต่ตะลึงในความหล่อขององค์ชายสิบจนลืมความหงุดหงิดเมื่อครู่ไปสิ้น 

                    “มู่หยง เจ้าก็รังแกเด็กไปได้” น้ำเสียงเนิบนาบขององค์ชายสิบเย้าแหย่องค์รักษ์คู่ใจ

                    “เฮอะ... ถึงจะเด็กกว่าแต่ข้าก็ดูเป็นเด็กผู้ชายกว่าแล้วกัน”ฟางเซียนบ่นออกมาหลังจากถูกหาว่าเป็นเด็กก่อนจะวิ่งปรู๋ดมุดผู้คนไปยังประตูเมือง ก็ช่วยไม่ได้ใครใช้ให้องค์ชายหน้าหวานเองหละ

                    “หืม” องค์ชายสิบเองก็หูดีจนได้ยินเสียงบ่นของฟางเซียนจนคิ้วกระตุก เจ้าเด็กมอมแมม องค์ชายสิบตั้งฉายาให้ฟางเซียนไว้ในใจก่อนจะเคลื่อนม้าออกไปเพื่อตรวจดูขุนนางหลบหนีและใครบางคนที่เขาต้องการตัวมากที่สุด

                    ทันทีที่ถึงตาฟางเซียนถูกตรวจเสียงเข้มๆของทหารก็ทำเอาเด็กน้อยขวัญเสียจนร้องไห้โฮออกมาในความคิดของคนทั่วไป “ข้าน้อยชื่ฟาง สกุลฟู่ พลัดหลงกับพ่อ แงงงงงงงง ”

                    “พอๆๆ บิดาเจ้าชื่ออะไร”

                    “ฟู่ .... เอ๋   ฟู่อะไรหว่า” ฟางเซียนหยุดร้องไห้แล้วจึงแกล้งครุ่นคิดอย่างโง่งม ก่อนจะร้องไห้ขึ้นมาอีก “แงงงงง  ท่านน้า ข้าเรียกบิดาว่าพ่อมาตลอด ข้าจำชื่อบิดาข้าไม่ได้ บิดากับพ่อนี่คนเดียวกันรึเปล่า อ่า แงงงง~~~

                    “โอ๋ย เจ้านี่มันโง่งมขนานแท้ จะออกไปก็ออกไป”นายทหารหงุดหงิดเกินกว่าจะมาคั้นความจริงจากเด็กสกปรกมอมแมมตรงหน้าที่เอาแต่ร้องไห้จึงปล่อยตัวออกไป

                    หลังจากถูกปล่อยตัวฟางเซียนก็เอาแต่ร้องไห้เดินวนไปวนมาเหมือนหาบิดาทามกลางผู้คนจนทหารคร้านจะสนใจ พอได้เวลาก็รีบหายตัวไปยังจุดที่เป็นอีกด้านของถ้ำที่ท่านอ๋องกับฮู่หยินอยู่

                    ร่างเล็กของฟางเซียนโยกพุ่มไม้ออกก่อนจะสอดตัวเข้าไป

                    “ฟางเซียน” เสี่ยวหลานอุทานอย่างดีใจ “ในที่สุดเจ้าก็มา”

                    “ขอโทษทีพี่เสี่ยวหลานที่ข้ามาช้า นายท่าน ข้าเจอองค์ชายสิบที่ประตู” ฟางเซียนรีบรายงานสิ่งที่ตนเจอให้อ๋องเจ้าทราบ

                    “เป็นไปได้อย่างไร องค์ชายสิบไม่เคยออกจากวังหลวง”สีหน้าเคร่งของอ๋องเจ้าบ่งบอกถึงความผิดปรกติที่เกิดขึ้นได้อย่างดี อ๋องเจ้าคือยอดฝีมือทั้งบู๋และบุ๋นเป็นเหมือนเงาให้องค์จักรพรรดิ แต่เมื่อสองเดือนก่อนกลับถูกพิษประหลาดทำให้อ่อนแรงอยู่หลายส่วนจนบางวันแค่เดินไปมาภายในบ้านก็ยังแย่จนต้องขอพักงานราชการกลับมาอยู่บ้านเพื่อรักษาอาการจากพิษ

                    “ต้องรออีกซักพักขอรับท่านอ๋อง กว่าพวกนั้นจะไป ทหารประจำประตูก็เปลี่ยนใหม่หมดเลยคัดคนที่จะออกหนักกว่าเดิมอีก ยังมีพวกทหารที่เดินปะปนไปกับพวกคนที่ได้รับอนุญาติให้ออกจากเมืองได้อีกด้วย”ฟางเซียนยังคงรายงานอย่างต่อเนื่อง

                    “เจ้ายังจะให้ข้าทนอยู่ในที่แบบนี้อีกนานเท่าไหร่ฟางเซียน”ฮู่หยินอวี๋หลานพูดอย่างโกรธๆ เพราะเธอคิดว่าเธอกำลังจะหมดความอดทนกับสถานที่นี้แล้ว

                    “ข้าตัดสินใจจะพาพวกท่านไปเมืองหลิวเก๋อของแคว้นต๋าซ่ง”ฟางเซียนเปลี่ยนเรื่องและเมินเสียงบ่นของฮู่หยิน

                    “นั่นคงไม่ดี มันไกลไป นั้นเกือบเมืองถึงเมืองหลวงของต๋าซ่งเลยนะฟางเซียน”อ๋องเจ้าออกความเห็นก่อนจะเสนอความคิดตัวเองออกมา “ไปหมูบ้านดินแดงริมแม่น้ำวานโต่วฮวา ก่อนหลังจากนั้นค่อยคิดกันอีกที”

                    “นั้นมันคนละฝั่งจากกองทัพองค์ชายอวิ๋นหลงเลยนะขอรับท่านอ๋อง”

                    “ข้าไม่คิดว่า พวกที่เผาเมืองจะปล่อยให้ใครไปเข้าร่วมกับกองทัพองค์ชายง่ายๆอยู่แล้ว เราต้องหนีไปในที่ปลอดภัยเสียก่อน หลังจากนั้นค่อยหาข่าวสารและทางหนีทีไล่อีกที” คำแนะนำอย่างรอบคอบของอ๋องเจ้าทำให้ฟางเซียนเห็นด้วยแต่ถึงจะไม่เห็นตัวยังไงก็ต้องทำตามคำสั่ง

                    ดีที่อ๋องเจ้าเป็นคนฟังความเห็นคนอื่น คิดได้เช่นนั้นฟางเซียนจึงขอนุญาติไปดูลาดเลาและหาคนหรือเกวียนที่จะช่วยให้ท่านอ๋องเดินทางสบายขึ้น และยิ่งไปกว่านั้นนางจะกลับไปที่คฤหาสน์ของอ๋องเจ้าเพื่อตามหาบิดาบุญธรรมคนสำคัญของนาง

                   

                   

     

                     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×