ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    RE;My Best Friend

    ลำดับตอนที่ #3 : My Best Friend 3 : Surplus Data

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 154
      0
      12 มิ.ย. 60

    My Best Friend

    3

    Surplus Data ; ข้อมูลส่วนเกิน

    “ มีคนนึงนี่ ที่เราทุกคนเกลียดมันสุดๆ น่ะ ”

     

     

     

    ตัดสินชีวิตด้วยการโหวต

     

    รายชื่อมากมายไหลผ่านสายตาไป เขาจึงหยุดมือพินิจแต่ละชื่อในโทรศัพท์ดีๆ เขาพบว่าทั้งหมดล้วนเป็นชื่อที่คุ้นเคยทั้งนั้น เด็กหนุ่มหัวเราะในลำคอด้วยปณิธานอันแน่วแน่ว่าจะไม่เชื่อในเรื่องที่ถูกยัดเยียดให้ฟัง จนกระทั่งได้พบกับร่างที่กลิ้งอยู่บนทางเดิน....

     

    ไร้ดวงตา ไร้แขนขา เนื้อเริ่มเน่าแล้วด้วยซ้ำ....

     

    เมื่อตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่ามันไม่ใช่ตุ๊กตา เขาก็เผ่นเข้าห้องเก็บของ กลิ่นของมันชวนให้นึกถึงกลิ่นน้ำปฏิกูลที่ไหลออกมาจากรถเก็บขยะ แต่แรงกว่ามาก เขาที่สูดกลิ่นนี้เขาไปโดยไม่รู้ตัวตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาทำให้รู้สึกขมคอและคลื่นไส้  ก่อนหน้านี้เขาอ้วกไปรอบหนึ่ง เขาเป็นแค่เด็กมัธยมปลายธรรมดา ไม่เคยได้เห็นศพของจริงมาก่อน สงสัยว่านี้คงเป็นไก่ที่เชือดให้ลิงอย่างพวกตนดู คิดถึงความโหดร้ายของคนที่ทำแบบนี้พลางเช็ดคราบอาเจียนด้วยหลังมือ ไม่ว่าใครก็ตามที่อยู่เบื้องหลัง เขาทำสำเร็จในการชี้แจงโดยไร้คำพูดว่า ผลลัพธ์จะเป็นยังไงหากไม่เชื่อฟัง หลังผ่านการเรียกสติตัวเองอย่างหนัก เขาก็หวังว่าทุกคนจะเข้าใจเหมือนเขาที่ไหนสักแห่ง และไม่คิดจะทำอะไรโง่ๆอย่างการดื้อแพ่งหรืออะไรที่เลวร้ายกว่านั้น

     

    “...อึก”

     

    นี่คือเรื่องจริง.....ถ้าโหวตแล้ว....คนที่ถูกโหวตจะตายสินะ...?

     

    หลังจากปรับสภาพได้สักพัก จมูกของเขาก็เริ่มชินกลิ่นนี้ขึ้นมานิดหนึ่ง เด็กหนุ่มนั่งพิงตู้ในมุมหนึ่งของห้องเก็บของ เขาคิดไปถึงพวกเกมสยองขวัญที่เคยเล่น ถึงไม่ใช่เด็กติดเกมก็พอเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อ ตามเนื้อเรื่องแบบเบสิก คงจะคิดทำให้พวกตนแตกคอกัน แล้วคนที่คอยบงการก็นั่งมองมันด้วยกล้องที่ซ่อนไว้ ดูเป็นเรื่องที่ไม่น่าเกิดขึ้นได้จริงแต่เขาก็ต้องเชื่อ เพราะได้ลองพยายามเปิดหน้าต่างดูแล้ว จะด้วยเหตุผลกลใดก็เถอะ มันเปิดไม่ออก ทั้งที่ก็ดูเป็นหน้าต่างที่ไม่ได้แข็งแรงมากแท้ๆ แต่ไม่ว่าจะดึง จะทุบ หรืออะไร มันก็ไม่มีทีท่าจะพังหรือเปิดออกเลย มันปิดแน่นมากจนแม้แต่อากาศก็ไม่สามารถเข้าออกได้ ราวกับว่าวัตถุประสงค์ของมันคือ การกักเก็บทุกอย่างในนี้ไว้ในสภาพเดิมไม่ให้เปลี่ยนแปลง

     

    “.....บ้าจริง”

     

    เขามองผ่านรูปของเด็กหนุ่มผมเรียบสีส้มทอง ดวงตาสีเปลือกไม้จ้องกลับมาหาเขาอย่างไร้ความรู้สึกเหมือนกัน ชื่อที่แสดงอยู่บอกว่านี่คือรูปของ เมก้า.....ซึ่งก็คือเขาเอง ขบปากที่แห้งผากจนรู้สึกว่าได้แผลแล้วเขาก็เลื่อนลงมาจนถึงชื่อหนึ่ง....

     

    [ ดำเนินการโหวตเรียบร้อย :) ]

     

    เมก้ากำโทรศัพท์แน่นและหวังว่าตัวเองจะไม่ตัดสินใจผิดไป เขาถอนหายใจอีก อากาศที่ไม่ถ่ายเททำให้รู้สึกว่าสูดได้แต่คาร์บอนไดออกไซด์อย่างเดียว ปวดหัวด้วย ทว่าถึงแบบนั้นเขาก็พยายามลุกขึ้น อาการหน้ามืดเกือบเป็นอุปสรรคให้เขาล้มลงไปกองอีกครั้งแล้ว เมก้าจับขมับที่ปวดหนึบๆ พลางบ่นไปด้วย

     

    “ยังไงก็ตาม...ตอนนี้ต้องไปรวมตัวกับใครสักคนก่อน....”

     

    และคนๆนั้นต้องไม่ใช่คนที่เขาโหวตไปด้วย.. ไฟโทรศัพท์กะพริบถี่ๆแจ้งเตือน เพราะเขาปิดเสียงเอาไว้ กันเรื่องพลาดโง่ๆตามที่เห็นได้ในหนังสยองขวัญเกรดบีทั่วไป เมก้าเลิกคิ้วแปลกใจ ถึงแม้โทรศัพท์จะมีสัญญาณแต่หากโทรออกจะถูกตัดสายทันที จึงไม่น่ามีใครโทรมาได้

     

    โทรเข้าได้งั้นหรอ?

     

     

    [ เกม ]

     

     

    “เกม!?” เมก้าร้อง ตกใจจนเกือบทำโทรศัพท์หลุดมือ เขามองรายชื่อที่เมมไว้อย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง บุคคลที่น่าไว้ใจ แต่ก็ไม่น่าไว้ใจในเวลาเดียวกันเป็นอันดับต้นๆกำลังโทรหาเขา? นิ้วเลื่อนไปกดรับสายพร้อมความลังเลเล็กน้อย “ฮ..ฮัลโหล

     

    [ฮัลโหล เมก้า ปลอดภัยใช่ไหม?]

     

    “ใช่ แต่แค่ตอนนี้น่ะนะ”

     

    [แล้วนายอยู่ไหนตอนนี้?]

     

    “ห้องเก็บของอาคารหลัก ชั้นสองปีกขวาน่ะ มีศพอยู่ตรงทางเดินด้วย แต่น่าจะไม่ใช่เพื่อนเรา”

     

    [ศพ... ทางนั้นก็มีหรอ หืม แต่นายอยู่ไกลเอาเรื่องแฮะ ฉันอยู่ห้องแนะแนว ชั้นสามปีกซ้ายเนี่ยสิ..]

     

    เมก้าเผลอกลืนน้ำลายกับคำว่า ก็มีหรอ แปลว่าทางฝั่งเกมก็มีศพอยู่เช่นกัน เผลอๆอาจจะมีอยู่ทุกที่เลยก็เป็นได้  แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เผลอถอนหายใจออกมาเบาๆอย่างโล่งอก เมื่อรู้ว่าหนึ่งในเพื่อนคนสนิทยังอยู่ดี การที่อีกฝ่ายถามถึงความปลอดภัยของเขา แปลว่าอีกฝ่ายคงอยู่ในสถานการณ์ที่ดีแล้วระดับหนึ่ง โดยไม่ได้เอะใจในน้ำเสียงอีกฝ่ายที่ดูราบเรียบผิดปกติ

     

    “โทรมาได้ไงน่ะ”

     

    [อ๋อ ลองแล้วเหมือนกันสินะว่าโทรออกไม่ได้] เกมพูดเสียงเนิบๆ [ดูเหมือนว่าถ้าโทรหากันในนี้จะโทรได้นะ แต่ถ้าโทรออกไปหาคนข้างนอกจะถูกตัดสายน่ะ]

     

    “ข้างนอกหรอ? หมายความว่าไงน่ะ นี่คือโลกอีกที่นึงจริงๆหรอ!?”

     

    […….]

     

    อย่าเงียบสิเกม! ตอบฉันมา!!”

     

    [ชู่ว์ เมก้า อย่าเสียงดังสิ] เสียงเกมจริงจังมากขึ้นอีก ชนิดที่ว่าในชีวิตนี้คงไม่มีโอกาสได้ยินอีกแล้ว [ฟังนะ นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ไม่ใช่การแหกตา ฉันยังไม่รู้ว่าที่นี่คืออะไร แต่อย่าได้ทำอะไรโง่ๆเชียวล่ะ ประกาศนั่นเป็นของจริง อย่าขัดคำพูดมันเด็ดขาด แล้วก็....ทำใจดีๆแล้วฟังนะ]

     

    “....” เมก้าได้ยินเสียงสูดลมหายใจเบาๆ เดาสีหน้าได้ด้วยว่าอีกฝ่ายมีความกระอักกระอ่วนใจแค่ไหน

     

    [ตองตายแล้ว..น่ะ]

     

    “ห๊ะ!”

     

    [เดี๋ยวเรามาคุยกัน ตอนนี้ต้องประหยัดแบตก่อน มาเจอกันที่ตึกหลักหน้าห้องธุรการชั้นสองได้ไหม? โทรนัดกับเปรม ไนท์ แล้วปราชญ์แล้วด้วยน่ะ]

     

    โทรศัพท์ถูกตัดสายไป เมก้าเบิกตากว้าง ตองตายแล้ว? ภาพเด็กสาวผมหางม้าสีทองที่มีบรรยากาศของความอ่อนโยนแวบเข้ามาในหัว ดวงตาสีฟ้าเป็นประกายของเด็กสาวคนนั้นค่อยๆดับมืดลง และกลายเป็นภาพเธอคนนั้นในสภาพไร้ดวงตา แขน ขา และเนื้อเริ่มเน่าลงทุกส่วนเหมือนศพที่ทางเดิน คิดแล้วเขาก็เริ่มรู้สึกหนาวขึ้นมา หนาวจนขนลุกชันเหมือนถูกสาดด้วยน้ำแข็ง เมก้าลุกขึ้นยืน ฝืนทนอาการวิงเวียนแล้วมองศพบนทางเดินเล็กน้อย ดวงตาสีดำจับจ้องไปที่ร่างบนทางเดิน เขาพนมมือให้ก่อนเดินผ่านร่างนั้นโดยไม่เข้าใจความหมายของการกระทำตัวเอง

     

     

    ...ถูกหยุดเวลา..

     

    นั่นคือคำบรรยายที่ดีที่สุด เท่าที่เมก้าจะสามารถหามาใช้ได้กับสถานที่แห่งนี้แล้ว...

     

    หลังจากเดินดูโน่นนี่ระหว่างทางไปหาเกม เขาก็สรุปแบบนั้น อาคารหลักเป็นอาคารที่อยู่จุดกึ่งกลางโรงเรียนพอดี เป็นอาคารใหญ่ที่แบ่งเป็นส่วนกลางและปีกซ้ายกับขวา สาเหตุอีกประการที่ที่นี่ถูกเรียกว่าอาคารหลักเป็นเพราะอาคารนี้จะมีทางเชื่อมไปยังทุกตึกในโรงเรียน จะมีก็แต่อาคารหลังที่ไม่มีทางเชื่อมกับตึกนี้หรือตึกใดๆ

     

    โรงเรียนรดาวรรณเป็นมัธยมศึกษาขนาดใหญ่พิเศ1 ดังนั้นอาคารของที่นี่จึงถูกออกแบบมาให้สมน้ำสมเนื้อกับจำนวนนักเรียนและค่าบำรุงการศึกษา กล่าวคือ ทางเดินภายในถูกปิดมิดชิดเหมือนโรงเรียนของต่างประเทศ หากไม่เปิดหน้าต่างลมก็จะพัดเข้ามาไม่ได้ ถูกตัดขาดจากภายนอกโดยสมบูรณ์ และหน้าต่างของทางเดินภายในทุกบานตอนนี้ก็ถูกปิดเอาไว้ สภาพที่อากาศไม่ถ่ายเททำให้ภายในอากาศตกค้างหยุดนิ่ง เหมือนกับว่ากำลังอยู่ในโลงศพ สิ่งที่ทำให้ขนลุกที่สุดเห็นจะไม่พ้นกลิ่นเน่าที่ปนมากับอากาศ

     

    แต่เพราะความมืดที่ปกคลุมทำให้ไม่รู้ว่ามีอะไรเน่าอยู่หรือเปล่า..

     

    ถึงอย่างนั้น เขาก็เดาได้ไม่ยากว่าอะไรกำลังเน่าอยู่ในนี้

     

    ดวงตาสีเปลือกไม้หรี่ลง มองหน้าต่างที่ดูเผินๆไม่มีอะไรผิดปกติเงียบๆ

     

    ใช้วิธีไหนกันนะ...

     

    นิ้วมือสีเกรียมแดดดูสุขภาพดีลูบกรอบหน้าต่างเบาๆ คล้ายการตรวจสอบ เมก้ามองบางสิ่งที่อยู่ระหว่างหน้าต่างกับทิวทัศน์ป่าสีเขียวที่แผ่ออกไปไกลสุดลูกตาและหลบซ่อนตัวในสีราตรีภายนอก เขาไม่ได้คิดจะสนใจดวงจันทร์กลมเด่นที่อวดแสงสีเงินบนผืนฟ้าสีดำแม้แต่น้อย

     

    บนฟ้านั้นมีเพียงดวงจันทร์ลอยเด่นเพียงลำพัง เป็นภาพที่ควรจะได้เห็นจากเมืองแห่งแสงไฟมากกว่าที่นี่ซึ่งความหนาแน่นประชากรไม่ได้สูงลิ่วขนาดนั้น ไร้วี่แววดวงดาวอื่นๆ ราวกับพระจันทร์ดวงนั้นถูกบังคับให้มาอวดโฉมเพียงลำพังอย่างเศร้าสร้อย

     

    วิธีไหน...ถึงได้กันลมเข้าจากหน้าต่างที่มีรอยร้าวได้?

     

     

    1 โรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่พิเศษ คือขนาดโรงเรียนมัธยมศึกษาของรัฐที่กำหนดขึ้นโดยกรมสามัญศึกษาเดิม (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สพฐ.) โดยกำหนดโรงเรียนมัธยมศึกษาที่มีจำนวนนักเรียนมากกว่า 2,501 คนขึ้นไป ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นโรงเรียนมัธยมศึกษา ในกรุงเทพมหานคร ปริมนฑลและโรงเรียนประจำจังหวัด

     

     

    รอยร้าวใหญ่เหมือนใยแมงมุมแผ่กว้าง เมก้าขมวดคิ้วแล้วถอยออกมา รอยร้าวนั้นใหญ่เกือบเท่านิ้วหัวแม่มือ ใหญ่เกินกว่าจะปิดกั้นอากาศได้ เด็กหนุ่มกำคางไว้หลวมๆคล้ายกำลังใช้ความคิด ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม สิ่งที่เมก้าควรจะทำตอนนี้คือการรีบไปหาคนอื่นๆ อย่างน้อยก็จะได้มีเพื่อนเดินข้างๆให้อุ่นใจ เมก้ากำโทรศัพท์ในมือแน่น ตัดสินใจออกเดินบนพื้นระเบียงไม้ผุพังโดยไม่วอกแวก

     

    แอ๊ดแอ๊ด...

     

    เสียงพื้นลั่นทุกครั้งที่เดินจนน่ากลัวว่ามันจะถล่มเอา เมก้าเดินย่องเท้าให้นิ่มนวลลงกว่าเดิม เสียงไม้อัดก็เบาลงอย่างที่คิด เขาถอนหายใจโล่งอกแล้วมุ่งหน้าไปยังหัวมุม ที่จะเป็นทางเลี้ยวไปห้องน้ำหากโครงสร้างอาคารนี้เป็นเหมือนของโรงเรียนเขา เขาเบ้หน้าเมื่อบริเวณนั้นกลิ่นเน่ายิ่งทวีความเข้มข้นขึ้นจนต้องกลั้นใจบีบจมูกไว้ ในฐานะคนที่ทำความสะอาดบ้านหรือห้องชมรมบ่อยครั้ง เขาสัญญากับตัวเองว่าหากเป็นไปได้ จะไปเหมาสเปรย์ดับกลิ่นมาฉีดที่นี่ และจะไม่หยุดฉีดจนกว่าจะพอใจ

     

    เสียงไม้ลั่นดังไกลออกไป จนร่างของเด็กหนุ่มในชุดนักเรียนรัฐบาลถูกความมืดกลืนเข้าไป อีกร่างหนึ่งร่วงลงมาจากเพดาน ร่างที่ไม่ได้สติกระแทกพื้นเกิดเสียงหนักๆ และไม่เคลื่อนไหวอีก มีบางอย่างคืบคลานเข้าไปใกล้ สิ่งนั้นคือเงาดำ มันเคลื่อนไหวมาข้างๆ ร่างนั้นเหมือนเลื้อยมาหา ไม่นานก็มีอีกเงาและอีกเงาทำตามสิ่งนั้นจากบนเพดาน พวกมันรายล้อมร่างที่มีผมสีดำหนาแน่นทุกอณูจนพื้น ผนัง เพดาน ไร้ช่องว่าง

     

    เกิดเสียงเปียกๆ ขึ้นไล่มากระทบหู

     

    เด็กหนุ่มตัดสินว่ามันเป็นแค่เสียงหลอน เหมือนกับบรรยากาศที่คิดไปเองว่ามีคนอื่นนอกจากตนลอยวนอยู่เต็มทุกตารางนิ้ว โดยไม่หยุดฝีเท้า เมก้าก้าวไปข้างหน้าโดยไม่คิดจะสนใจอะไรอีกนอกจุดนัดพบของเขากับเกม

     

     

    ————————————————▪○◊│∞│◊○▪————————————————

     

     

    “อาคารหลัง” เป็นชื่อเล่นที่นักเรียนเรียกอาคารหลังหนึ่งในโรงเรียนรดาวรรณ เพราะเป็นอาคารเดี่ยวที่อยู่หลังอาคารหลักที่สร้างใหม่ ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว ไม่มีทางเชื่อมตึกเหมือนตึกอื่นๆ ถูกบังทั้งลม ทั้งแสงแดด ทว่ามีวัชพืชไต่ไปตามผนังภายนอกจนดูเหมือนถูกทอดทิ้ง ไม่ค่อยมีนักเรียนมาใช้บริการห้องเรียนที่นี่มากนัก นอกจากเด็กที่หาห้องชมรมไม่ได้จึงจำใจย้ายมาที่นี่ แต่ถึงอย่างนั้น ต่อให้เป็นชมรมขนหัวลุก ก็คงไม่อยากเข้ามาเดินท่อมๆ ที่นี่ในตอนกลางคืนแน่ๆ

     

    ทั้งความอับชื้นก็ดี ข่าวอัปมงคลทั้งหลายก็ดี แค่เข้ามาเดินในเวลากลางวันก็นึกสาปแช่งผู้ไว้วานให้เข้ามาแล้ว ทว่าในเวลาที่พระจันทร์ลอยเด่นบนฟ้าเช่นนี้ กลับมีเงาสามเงาเดินไปมาอยู่ในอาคาร

     

    แสงสีเงินยวงทอดผ่านหน้าต่าง สร้างรูปสี่เหลี่ยมคล้ายตารางบนพื้น สีนั้นไม่ชวนให้รู้สึกถึงความบริสุทธิ์เลยแม้แต่น้อย ตรงข้าม มันดูไร้ชีวิต รู้สึกถึงความซีดเซียวและความตาย เช่นเดียวกับทางเดินสีขาวทอดยาวออกไปไม่สิ้นสุด  ทั้งที่วอลเปเปอร์สีขาวลอกสกปรกจนแทบเป็นสีเทา แต่กลับรู้สึกได้ว่าคราบพวกนั้นไม่ใช่สิ่งที่น่ารังเกียจ สิ่งที่สกปรกจริงๆ น่าจะเป็นคราบสีดำน้ำตาล และเศษสีเดียวกันที่ดูนุ่มนิ่มมากกว่า พอเอาทั้งหมดไปรวมกับแสงจันทร์ก็มีแต่ความสยองขวัญเต็มๆ

     

    แต่ภาพนั้นเลื่อนลอยเกินไปจนดูเหมือนเป็นความฝัน.....ฝันร้าย เด็กสาวผมสีขาวอมชมพูสลวยพร้อมริบบิ้นแดงเดินไปพร้อมสองคนข้างกาย ฝีเท้าทั้งสามสะท้อนซ้อนกันไปมาจนเหมือนพวกมันเพิ่มจำนวนขึ้นมา ดวงตากลมโตสีแดงล่อกแล่กไปมา เด็กสาวผมสั้นชมพูข้างกายจับอาการนั้นได้ จึงเอ่ยปากขึ้น

     

    “ฉันคิดว่ามีคนตามพวกเรามานะ”

     

    “คิดไปเองเปล่า”

     

    “ไม่เอาน่าปราชญ์! ไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลยนะ น่าจะได้ยินที่เกมโทรมาบอกแล้วนี่”

     

    ปราชญ์หรือเด็กหนุ่มผมดำหน้าตาออกจีนนิดๆ กลอกตาด้วยสีหน้าเรียบเฉย การติดอยู่กับสองสาวทำให้เขารู้สึกรำคาญนิดหน่อย เพราะพวกเธอเอาแต่ระแวง มองล่อกแล่กไปทางนู้นทีนี้ที ราวกับว่าสถานที่นี้มันน่ากลัวจริงๆ หมายถึง....ให้พูดตามตรง ต่อให้เกมโทรมาบอกแล้ว ก็ยากจะปักใจเชื่อว่าพวกนี้เป็นเรื่องจริง ใจเขายังไงก็ให้เหตุผลได้ดีที่สุดคือความฝันหรืออุปาทานหมู่ ยังไงเรื่องเหนือธรรมชาติก็ขอเก็บไว้ท้ายๆ ละกัน

     

    ตุบตุบตุบตุบตุบตุบตุบตุบตุบตุบตุบตุบ

     

    “.....ปราชญ์...”

     

    เด็กสาวผมขาวอมชมพูร้องอย่างหาที่พึ่ง ส่วนปราชญ์กลืนน้ำลายเบาๆ เพราะคำพูดของยัยพวกนี้แท้ๆ เขาเลยเริ่มคิดว่ามีใครตามมาด้วยอีกคน ทั้งสามในชุดต่างโรงเรียน เดินเข้าเกาะกลุ่มกันมากขึ้น โดยรูปแบบการเดินมีปราชญ์เดินนำหน้าและสองสาวตามมาเป็นรูปสามเหลี่ยม นอกจากกลิ่นเหม็นและความอับในอากาศแล้ว ก็มีความรู้สึกในบรรยากาศว่าไม่ได้มีคนอยู่ในบริเวณนี้แค่สาม

     

    แสงมัวๆ ของดวงจันทร์ทำให้เห็นรอบข้างสลัวๆ ไม่สู้จะเห็นรายละเอียดดีนัก เด็กสาวผมชมพูลูบต้นแขนที่ขนลุกซู่ พยายามอย่างหนักเพื่อจะหยุดจินตนาการอันน่าสยดสยองในหัว เมื่อเด็กหนุ่มไม่มีท่าทีตอบสนองอะไร ดวงตาสีน้ำเงินอความารีนจึงหันไปมองคนข้างกาย ขณะที่ตัวเธอยังไม่กล้าเอ่ยอะไร เด็กสาวอีกคนก็กล่าว

     

    “นี่...ฉันว่ารีบเดินกันดีกว่าไหม แถวนี้น่ากลัวมากเลยอ่ะ”

     

    “ไม่เอาน่า แค่มืดๆ นิดหน่อยเอง มันก็โรงเรียนเราตามปกตินั่นแหละ”

     

    “ปกติหรอ! ดูดีๆ สิปราชญ์ ทั้งกลิ่นเหม็นเน่าในอากาศ กำแพงที่ลอกนี่ แล้วก็เศษอะไรไม่รู้ตามพื้นนี่คือโรงเรียนเราปกติหรอ!! ไหนจะประกาศนั่นอีก ทำไมนายยังใจเย็นอยู่ได้ล่ะ!?”

     

    “มันเป็นแบบนี้อยู่แล้วรึเปล่า ทำเหมือนพวกเรามาตึกนี้บ่อยๆ บางทีเราอาจจะแค่ฝันไปก็ได้”

     

    “ฝันไปหรอ! ว้าว งั้นพวกเราก็ฝันร่วมกันหมดเลยสิ ทั้งฉัน นาย โคน แล้วก็เกม สุดยอดอ่ะ”

     

    “อืม ปกติเวลาฝัน มันก็มีอะไรเหลือเชื่ออยู่บ่อยๆ บางทีเธออาจจะเป็นส่วนหนึ่งของความฝันฉันก็ได้”

     

    “ขอแทรกหน่อยนะ... ปราชญ์ คือพวกเราจะฝันในตอนที่ตื่นมาได้ยังไง? อย่าลืมสิ ตอนฟื้นขึ้นมาเราก็มาอยู่ที่นี่แล้วนะ”

     

    “เธอก็เอาด้วยหรอโคน....อืม บางทีการตื่นก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของการฝันล่ะมั้ง?”

     

    “แต่ว่า ตอนก่อนเราจะสลบ เรื่องที่เกิดขึ้นมันไม่ปกติเลยนะ”

     

    “เรื่องที่เกิดขึ้น? เรื่องอะไรน่ะ

     

    “ก็เรื่อง.....” โคนอ้าปากจะพูดบางอย่าง แต่จู่ๆ ก็ขมวดคิ้ว เธอหรี่ตาลง ดวงตาสีน้ำเงินอความารีนปรากฏความไม่เข้าใจบางอย่าง “เอ๊ะ ทำไมจำไม่ได้ล่ะ? ก่อนฟื้นมาอยู่ที่นี่ พวกเราทำอะไรกันอยู่น่ะ จำไม่ได้เลยสักนิด จำได้แค่ว่ามันแปลกมากๆ แค่นั้นเอง พวกเธอจำอะไรได้บ้างไหม”

     

    “............พอพูดขึ้นมาแล้วก็จริงแฮะ นึกไม่ออกเลย เมื่อเช้าตื่นมาช่วยพวกเธอทำงานกีฬาสีที่โรงเรียนรดาวรรณ แล้วจากนั้น...? เกิดอะไรขึ้น เธอจำได้ไหมลูกแกะ”

     

    สองหนุ่มสาวหันไปมองหน้าคนติดริบบิ้นแดง พอถูกกดดันแบบนั้น ลูกแกะจึงหลับตาแล้วเอานิ้วจิ้มที่ขมับ ส่งเสียง ”อืม” อยู่ในลำคอ ทำท่าเหมือนกำลังนึกอย่างสุดความสามารถ ทันใดนั้นดวงตาสีแดงก็เบิกโพลง ริมฝีปากที่มีสีเลือดฝาดสั่นริก อาการสั่นนั้นลามไปถึงลำคอขาวผ่อง ทำให้เสียงเครือราวกับจะร้องไห้

     

    พวกเราตกลงมา

     

    “ตก..?”

     

    “อึก....ต....ตกลงมา.....สูงมาก.......ผ่านเข้ามา......แล้วประตูก็ปิด...อา.....ปิดไปแล้ว....”

     

    “ลูกแกะ เป็นอะไรรึเปล่า!”

     

    โคนรุดเข้าไปประคองเพื่อนสาวที่เริ่มหอบราวกับหายใจไม่ออก อากาศไม่ดีเอามากๆ เหมือนไม่มีการหมุนเวียน ทำให้มันตกค้างและแน่นิ่ง ลูกแกะรู้สึกปวดหัวอย่างรุนแรง อากาศที่หายใจเหมือนทำให้ปอดกำลังไหม้ เธอสูดอากาศเข้าไปด้วยปาก น้ำตาไหล เหงื่อชุ่ม ราวกับร่างกายต้องการจะปฏิเสธการเรียกคืนความทรงจำนั้น โคนบีบมือลูกแกะไว้ มองหน้าปราชญ์อย่างขอความเห็น ปราชญ์นึกถึงคำพูดนึงจากเสียงที่แว่วมาตามสายเมื่อก่อนหน้านี้

     

    “สวัสดียามค่ำคืนนะทุกคนๆ~ ยินดีต้อนรับเข้าสู่โลกที่ถูกลืม!!”

     

    โลก ที่ถูกลืม

     

    หมายความว่าที่นี่เป็นที่ไหนสักแห่งที่พวกเขาลบไปจากความทรงจำ หรือไม่ก็เลือนหายไปจาก โลก ที่เขาเคยอยู่เป็นปกติ พวกเขาเคยรู้จักสถานที่นี้มาก่อนงั้นหรือ?

     

    ทว่าเขาส่ายหน้า

     

    ดูเหมือนความเพ้อเจ้อจะเป็นโรคติดต่อ นอกจากลูกแกะกับโคนแล้ว มันกำลังจู่โจมเขาด้วย

     

    “ไม่เป็นไรลูกแกะ อย่าฝืนเลย เดี๋ยวพวกเราก็นึกออกเองแหละว่าเกิดอะไรขึ้น”

     

    โคนสบตาเพื่อนอย่างเห็นใจ ลูกแกะมองดวงตาคู่นั้นแล้วพยักหน้า เธอจึงค่อยๆ ปรับสมดุลของลมหายใจ อาการหน้ามืดค่อยๆ จากไป พร้อมความรู้สึกปวดจี๊ดในหัว พอเธอหยุดคิด ร่างกายก็เริ่มกลับสู่สภาวะปกติ เธอค่อยๆ ยืดตัวขึ้นยืนด้วยความช่วยเหลือของโคนคอยพยุง จริงๆ ปราชญ์เองก็อยากจะช่วย แต่ก็ไม่คุ้นชินกับการอยู่ร่วมกับเพื่อนผู้หญิงมากนักจึงเลือกดูอยู่เฉยๆ ดีกว่า

      


    หลังจากรออยู่ประมาณห้านาทีจนลูกแกะยืนยันเองว่าเธอพร้อมเดินต่อแล้ว พวกเขาจึงเคลื่อนตัวกันต่อไป บรรยากาศเงียบสงัดจนรู้สึกแปลกแยก ทั้งสามไม่เคยรู้ว่าสึกว่าอยู่ในสถานที่ใดที่เงียบเท่านี้มาก่อนเลย ทั้งๆ ที่นอกหน้าต่างเป็นทิวทัศน์ป่าทอดยาวออกไป ปกติต้องมีเสียงสัตว์หากินกลางคืนบ้าง แต่กลับไม่มีเสียงอะไรจากทางนั้นเลย ไม่กระทั่งเสียงแมลง

     

    ท่ามกลางเสียงฝีเท้าที่เดินไปเงียบๆ เพียงอย่างเดียวจนรู้สึกหวาดระแวงว่าจะมีใครอยู่ข้างหลัง โคนจึงเริ่มหัวข้อสนทนาเพื่อกลบบรรยากาศไม่พึงประสงค์ ใบหน้าน่ารักพยายามปั้นให้ดูมีชีวิตชีวาที่สุด

     

    “จริงสิ เมื่อกี้ตอนโหวต โหวตใครไปกันหรอ”

     

    “คำถามทำลายมิตรภาพรึไง”

     

    “ทำไมล่ะปราชญ์ นึกว่านายไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ซะอีก คิดว่าโหวตเล่นๆ ก็ได้”

     

    “.....”

     

    ปราชญ์เดินไปเงียบๆ ราวกับไม่อยากให้คำตอบ หรือไม่ก็กำลังเข้าสู่ภวังค์ลึก ดวงตาที่ว่าเป็นหน้าต่างของหัวใจนั้นเรียบเฉย ยากจะคาดเดา ซึ่งคงจะแตกต่างจากภายในใจของเขาตอนนี้ที่ว้าวุ่นน่าดู พอเขาไม่ตอบแบบนั้น ก็ทำให้โคนหน้าเสีย เธอสาวเท้าเดินตามไปเงียบๆ เห็นแบบนั้น ลูกแกะจึงหันมาพูดกับเธอ

     

    “ฉันว่าพวกเราก็รู้อยู่แล้วนะว่าจะโหวตใคร” ลูกแกะพูดเรียบๆ “มีคนนึงนี่ ที่เราทุกคนเกลียดมันสุดๆ น่ะ”

     

    ดวงตาสีแดงกลมโตไร้ปฏิกิริยาแฝงใดๆ ราวกับกำลังพูดเรื่องปกติ แต่นั่นทำให้ยิ่งรู้สึกว่าสิ่งนั้นเป็นความเกลียดชังที่บริสุทธิ์ยิ่งกว่าการใส่จิตสังหารเข้าไปเต็มๆ  โคนกลืนน้ำลายลงไปเมื่อสัมผัสกับคำพูดของเด็กสาว ส่วนปราชญ์กลอกตาขณะเดินไปที่บันไดทางลงตึก ทำท่าเหมือนไม่ได้สนใจทั้งที่กำลังอยากรู้เต็มที่ เขามองไปรอบๆ นึกถึงตอนที่เคยเรียนที่นี่และมาประกอบกิจกรรมชมรมในอาคารนี้ ถึงจะย้ายไปอยู่ SIS (Sophie International School) ได้ราวๆ ห้าเดือนแล้ว พูดตามตรง อย่างที่ลูกแกะบอก อาคารนี้ดูเก่าเกินจะเป็นอาคารเดียวกับที่เขาเคยไปใช้ได้ การย้ายโรงเรียนไปไม่กี่เดือน มันจะผุพังเร็วปานนั้นเลยหรอ? เขาส่ายหัวไล่ความคิดนั้น รู้สึกราวกับว่ากำลังเดินอยู่บนเส้นใยแห่งความไม่สมเหตุสมผลบางอย่าง คิดแล้วเขาก็นึกถึงความตายของคนที่โหวตไปแล้วด้วย โคนเองกำลังทำเช่นนั้นอยู่

     

    และพวกเขาทั้งสามก็กดโหวตคนๆ เดียวกัน โดยไม่รู้ตัวไปเรียบร้อยแล้ว

     

     

    ————————————————▪○◊│∞│◊○▪————————————————

     

     

    จอภาพเก่าๆ ฉายรายชื่อและตัวเลขที่พ่วงข้างหลังมาติดๆ ยอดโหวตที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วดูเหมือนสถิติบางอย่าง มีร่างหนึ่งยิ้มกริ่มเบื้องหลังภาพนั้น แสงสีหมองจากรอบทิศกระทบผิวซีดจนดูป่วย โทรศัพท์ฝาพับกระพริบไฟถี่ๆ เป็นสัญญาณว่ามีข้อความเข้า มือขาวจึงเอื้อมไปหยิบมันจากกองเอกสารรุงรัง

     

    ถาดเข้า 2 ข้อความ

     

    เขาหรือเธอ เมินข้อความแรกไปแล้วกดดูข้อความที่ 2 ก่อน

     

    [จาก ชั้นกลาง

    ประตูเปิด บังเอิญ ที่นี่ 9]

     

    ข้อความที่แทบไม่มีตรงไหนจับมารวมเป็นประโยคได้ แทบไม่เป็นปัญหาของผู้ควบคุมมอนิเตอร์แล้ว เพราะคำที่เป็นเหมือนรหัสลับนั้นเป็นสิ่งที่เข้าใจง่ายเหลือเกิน ร่างนั้นพยักหน้าช้าๆ แม้จะดูไม่ยอมรับเท่าไรนัก ก่อนจะละสายตาไปมองรายชื่อที่น่าสนใจบนจอมอนิเตอร์จอหนึ่ง

     

    ตอง

    เกม

    นาโน

    เอล

    ออโต้

     

    ไม่รู้ว่ากำลังจับจ้องไปที่ชื่อไหนเป็นพิเศษ ทว่าร่างนั้นแทบสะกดกลั้นรอยยิ้มไม่อยู่ ไม่รู้เพราะรอนานเกินไปหรือไง นิ้วผอมๆ จึงเลื่อนไปยังปุ่มกระจายเสียงและกดมันอย่างนิ่มนวล

     

    “เอ~~~ สวัสดีทุกคนที่น่ารักอีกครั้งนะ พอดีว่าการรออยู่เฉยๆ มันไม่ทำให้เราพอใจได้เลยน่ะ” ลำคอซูบเซียวไหวกระเพื่อมพร้อมการหายใจเข้าเล็กน้อย “เพราะงั้น ช่วยรีบๆโหวตมาใน 5 นาทีนะ ไม่งั้นก็ตายๆไปซะเถอะ บาย!”

     

    เผยอยิ้มขึ้นก่อนจะวาดมือผ่านใบหน้าไป เพื่อเปลี่ยนโฉมหน้าให้เป็นคนอื่น ร่างที่กลายเป็นเด็กสาวหัวเราะอย่างนิ่มนวล คิดว่าความเปลี่ยนแปลงเมื่อกี้คงทำให้ทุกคนสับสนน่าดู แต่ใครสนล่ะ เพราะเรื่องสนุกกำลังรอเธออยู่ เธอไม่อยากเสียเวลาไปแม้แต่วินาทีเดียว

     

    “เกมกำลังจะเริ่มแล้วนะ”

     

     


     


    WB :  บทสามไหดองแตกแล้วค่ะ  รูปประกอบความนี้มีกลิ่นไหม้เล็กน้อยนะคะ (หัวเราะ)

    จริงๆ ก็คือดองงานมหาศาลจนจำไม่ได้แล้วว่าต้องปั่นอะไรบ้างน่ะค่ะ ขอโทษค่ะ ความผิดเราล้วนๆ เลย (ซับน้ำตา) ตะ แต่วันนี้เอาอิมเมจตัวละครต่างๆ ที่สนับสนุนโดน Dream Selfy (?) มาฝากนะคะ! พูดง่ายๆ ว่าขี้เกียจวา----แค่ก  พอดีแก้อิมเมจบางคนจากเวอร์ชั่นยังไม่ได้รีไรท์ไปน่ะค่ะ ส่วนชุดไม่ต้องไปสนใจมากนะคะ คือมันไม่มีชุดนร.ไทย๕๕๕ สนแค่อิมเมจรวมๆก็พอเนอะ ยังไงก็ฝากด้วยนะคะ แฮ่


    หนูตอง ดูแข็งแกร่ง(?)กว่าภาคก่อนรีไรท์ขึ้นมานิสนึง


    “ถ้าตายเร็วรู้เลย เพราะผมวาดยากกับชื่อพิมพ์ลำบาก” ธัญญ์ไม่ได้กล่าว


    นนท์ยังคงมาดคุณชาย(?) ปากร้ายคนเดิม เพิ่มเติมลงไม้ลงมือ


    เอวา จริงๆแล้วถักเปีย แต่ทำไมในเรื่องเป็นทวินเทล? ให้ทาย


    เมก้าโหมดพ่อบ้าน ผมไม่ยุ่งละ เรียบแปล้555


    ลูกแกะ สาวน้อยชื่อเหมือนอยู่ในหมวดนิยายแจ่มใส


    นุ้งโคน จริงๆเป็นคนเรียบร้อย เงียบๆ


    ถึงปราชญ์จะไม่แคร์  แต่แป้งเด็กแคร์นะ

     

    สำหรับวันนี้ เราก็ขอลาไปก่อน ซียูอะราวด์นะคะ แหะ



    ASHLEY
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×