ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เมื่อฉันได้เป็นหัวหน้าแก๊งนางร้ายในเกม BL

    ลำดับตอนที่ #4 : C H A P T E R 03 : องค์หญิงผู้ชื่นชอบดอกไม้

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.77K
      338
      15 พ.ย. 62

    C H A P T E R 03

    องค์หญิงผู้ชื่นชอบดอกไม้

     

                ว้าว สวยจังเลย!” โอฟีเรียยกมือขึ้นป้องแสงแดดพลางมองไปยังทุ่งดอกไม้สีฟ้าที่มองเห็นจากหน้าต่างห้องนอน ดวงตาสีมรกตของเธอประกายระยิบระยับราวกับอัญมณีเมื่อมองไปยังดอกไม้ที่ขึ้นเต็มเนินเขา เลยไปยังต้นไม้ต้นใหญ่ซึ่งตั้งอยู่กลางเนินเขา

     

                เด็กน้อยหมุนตัวสามร้อยหกสิบองศาพลางหัวเราะออกมาเสียงเบาด้วยความสุขใจ หลังจากที่ต้องทนอุดอู้อยู่แต่ภายในปราสาทโดยที่ถูกห้ามอย่างเด็ดขาดว่าไม่ให้ออกนอกปราสาทเป็นเวลากว่าสามอาทิตย์เต็มๆ ในที่สุดเธอก็สามารถสูดอากาศได้เต็มปอดกับเขาเสียที

     

                โอฟีเรียทิ้งตัวลงนอนกลางทุ่งดอกไม้อย่างหมดมาดองค์หญิงที่เคยมีเมื่ออยู่ต่อหน้าข้ารับใช้ ชุดเดรสสีชมพูซากุระเข้ากับสีผมเต็มไปด้วยกลีบดอกไม้สีฟ้าที่ร่วงโรยจากแรงกระแทกของเธอ แขนของเด็กหญิงกางออกสุดความกว้าง แผ่ออกอย่างสบายอกสบายใจ

     

                เด็กน้อยเหม่อมองท้องฟ้าที่ปลอดโปล่งกว่าเมื่อวานมากแล้วผลิรอยยิ้ม เธอชอบแสงแดด สายลมที่พัดเย็นๆ ตลอดทั้งวันของที่นี่มาก แม้ว่าแดดจะเปรี้ยงตลอดทั้งวันแต่กลับไม่ร้อนจนแสบผิว แถมยังมีสายลมโฉยตลอดวันทำให้อาการไม่ร้อนมาก ออกแนวอบอุ่นเบาๆ

     

                สบายจังเลย~ อยากให้ท่านพ่อได้สัมผัสอะไรแบบนี้บ้างจังเลยนะโอฟีเรียพลิกตัวครั้งหนึ่งพลางบ่นพึมพำออกมา ก่อนจะต้องหัวเราะอย่างฝืดเฝื่อนหากว่าพระบิดารู้เรื่องที่เธอลอบแอบออกจากปราสาทแบบนี้ คงจะไม่มีอารมณ์มาชมวิว มองดอกไม้แน่นอน

     

                แค่คิดภาพว่าเขารู้ โอฟีเรียก็ขนลุกแล้ว

     

                เธอเคยได้ยินมาว่าพวกผู้ชายใจดีเวลาโกรธนั้นเหมือนสิงโตคลั่ง เขาจะกินหัวได้ทุกคนที่มีส่วนเอี่ยวด้วย โดยเฉพาะตัวการของเรื่องที่จะได้รับเสียงบ่นอย่างต่อเนื่อง และแน่นอนว่าไฮรอสนั้นจะต้องเป็นแบบนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย การันตีโดยโอฟีเรีย

     

                ผู้ชายคนนั้นเขารักโอฟีเรียและตามใจอย่างสุดหัวใจ เขาจะไม่มีทางรุนแรงกับเธอเด็ดขาด แต่องค์หญิงก็คิดถึงท่าทางยามโกรธของเขาได้เลวร้ายที่สุด!

     

                ยิ่งพวกเราเป็นเผ่ายักษ์ด้วยแล้ว เวลาโกรธจะต้องน่ากลัวแน่นอน!

     

                โอฟีเรียหลับตาลงพร้อมกับรอยยิ้ม

     

                ยังไงก็ตาม นั่นเป็นเรื่องของอนาคต ตอนนี้เธอขอดื่มด่ำกับบรรยากาศนอกปราสาทให้สมใจก่อน แล้วหลังจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้นก็ค่อยคิดหาวิธีแก้ไขกันอีกทีละกัน...

     

    ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ 45 นาที

     

                โอฟีเรียหันซ้ายหันขวาเพื่อตรวจสอบว่าตอนนี้หน้าห้องของเธอปลอดโปล่งโล่งคนสุดๆ รึยัง เมื่อเห็นว่าไม่มีแม้แต่เงาของพ่อบ้านฝาแฝดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก็ผุดอยู่บนใบหน้าขององค์หญิงหนึ่งเดียวแห่งฟีโอน่า เด็กน้อยปิดประตูห้องแล้วค่อยๆ ย่องเดินลงจากบันไดลงไปยังชั้นล่างสุดของปราสาท

     

                หลังจากที่อยู่มาได้สักพักโอฟีเรียก็สามารถหาช่องทางหลบหนีสายตาของข้ารับใช้ได้ไม่ยาก เพราะช่วงเวลาตั้งแต่หลังอาหารเช้าจนถึงก่อนเวลาน้ำชายามบ่ายนั้นเธอจะว่างตลอด หากนับแล้วก็ราวๆ 3 – 4 ชั่วโมงได้ ซึ่งมันมากพอที่จะแอบๆ ออกไปยังสถานที่ใกล้ๆ ปราสาท

     

                โอฟีเรียหยุดยืนอยู่หลังเสาเพื่อหลบสาวใช้คนหนึ่งที่เดินผ่านมา หัวคิ้วของเธอขมวดลงเล็กน้อยแล้วพ่นลมหายใจเบาๆ เมื่อหญิงรับใช้คนนั้นเดินผ่านไปโดยไม่คิดจะสงสัยว่ามีใครสักคนแอบอยู่หลังเสา เด็กหญิงกรุ่นคิดเล็กน้อยก็เดินไปยังประตูทางขวามือ

     

                เมื่อมองจากระเบียงห้องแล้ว เนินเขานั้นอยู่ค่อนไปทางใต้ของปราสาท หากจะใช้เส้นทางที่ใกล้ที่สุดแล้วก็คงจะไม่พ้นกำแพงฝั่งห้องนอนของเธอ แต่ว่าแถวนั้นทหารเดินเวรยามค่อนข้างจะถี่ การจะแอบไปโดยไม่ให้ถูกจับได้นั้นค่อนข้างจะยากเอาการ โอฟีเรียจึงเลือกที่จะไปฝั่งตรงข้ามซึ่งเป็นทางอ้อม หากแต่ทหารยามเดินกันค่อนข้างน้อย

     

                แน่นอนว่ามันคือฝั่งปีกซ้าย!

     

                ฝั่งปีกซ้ายนั้นเป็นสถานที่สำหรับจัดงานและประกอบพิธีต่างๆ รวมถึงเป็นห้องรับรองแขกด้วย หากว่าไม่มีงานพิธีอะไรก็จะไม่มีใครไปทางฝั่งนั้นมากนนัก ทำให้ทางโล่งสะดวกสำหรับหลบหนีสุดๆ

     

                โอฟีเรียเขย่งปลายเท้าแล้วก้าวไปตามทางเดินปูกระเบื้องอย่างแผ่วเบา พยายามไม่ให้เกิดเสียงที่จะเรียกทหารยามที่กำลังเดินสวนกันไปมาให้มาจับเธอโยนกลับเข้าห้องนอนได้ พอสบโอกาสเด็กน้อยก็วิ่งแผล่วไปหลบอยู่ในพุ่มไม้ข้างกำแพงวัง

     

                องค์หญิงแห่งฟีโอน่าย่อตัวลงเพื่อหลบสายตาทหารยาม เธอเหลือบตามองกำแพงปราสาทที่สูงเกือบสิบเมตรแล้วเลียริมฝีปากอย่างเชื่องช้า เธอไม่มั่นใจนักว่าจะสามารถปีนกำแพงออกไปได้ แต่อย่างน้อยมันก็คุ้มพอที่จะลองเสี่ยงดู

     

                ในหนังสือหลายเล่มที่โอฟีเรียอ่านตั้งแต่มาอยู่ที่โลกนี้นั้นบอกว่าเผ่าพันธุ์ยักษ์มีความโดดเด่นทางด้านพละกำลังมากกว่าเผ่าอื่นถึงสิบเท่า แม้ว่าพวกเขาหลายส่วนจะไม่ค่อยฉลาดด้านการปกครองเท่าไหร่นัก แต่ก็เก่งกาจทางการทหารไม่น้อย

     

                เมื่อบริเวณนี้ไร้เงาของทหารยามเด็กน้อยก็เปลี่ยนท่านั่ง เธอย่อขาลงคล้ายกระต่ายที่เตรียมจะกระโดด ท่องเอาไว้ในหัวว่า ทำได้

     

                โอฟีเรียพ่นลมหายใจออกมาแผ่วเบาครั้งหนึ่งก่อนที่เธอจะดีดตัวขึ้น พื้นดินที่เคยเหยียบแตกออกดังเปรี๊ยะ มันยุบลงเป็นรอยฝ่าเท้าของเด็กน้อย โอฟีเรียหวีดร้องเสียงเบาเมื่อร่างกายของเธอกำลังลอยอยู่ในอากาศเหนือกำแพงวังขึ้นมาเล็กน้อย

     

                ว้าว! โครตเจ๋งเลย!” เธอหลุดร้องด้วยความตื่นเต้นหลังจากที่หมุนตัวลงพื้นได้โดยไร้รอยขีดข่วน พละกำลังของยักษ์นั้นแจ่มอย่างที่ในหนังสือบอกเอาไว้จริงๆ ขนาดเธอเป็นแค่เด็กยังทำได้ขนาดนี้ พอโตขึ้นมากกว่านี้คงจะเจ๋งไม่น้อยเลย

     

                โอฟีเรียหัวเราะกับตัวเองเบาๆ อย่างน้อยร่างนี้ก็ยังมีส่วนที่ดีนอกจากหน้าตา นับว่าสมกับตำแหน่งหัวหน้าแก๊งนางร้ายสุดๆ

     

                 นัยน์ตาสีเขียวมรกตเปร่งประวิบวับยามกวาดมองยังสถานที่รอบตัว ทุ่งกว้างยาวสีเขียวขจีคือสิ่งที่เธอเคยเห็นเพียงแค่จากหน้าต่างห้องเท่านั้น สัมผัสอ่อนนุ่มของใบหญ้าและกลิ่นหอมจางๆ ของดินใต้ฝ่าเท้าเรียกรอยยิ้มสดใสจากเด็กน้อยได้เป็นอย่างดี

     

                สุดยอดเลย...

     

                โอฟีเรียขยับเท้าก้าวไปยังทิศทางซึ่งเป็นที่ตั้งของเนินเขาที่เห็นได้จากระเบียงห้องอย่างเชื่องช้า ดื่มด่ำกับบรรยากาศปลอดโปล่งด้านนอกปราสาทให้เต็มอิ่ม เธอไม่รู้เลยว่าท่านพ่อจะรู้สึกตัวว่าเธอหนีออกมาจากปราสาทตอนไหน เพราะฉะนั้นควรจะเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้คุ้มค่าที่สุด

     

                ใช้เวลาเกือบสิบนาทีกว่าที่โอฟีเรียจะมาถึงเนินเขา เด็กน้อยหอบเบาๆ พลางปาดเหงื่อที่ไหลชุ่มใบหน้า หากไม่ได้ลมที่พัดอยู่ตลอดเข้าช่วย ปานนี้บางทีโอฟีเรียอาจจะนอนสงบด้วยความเหนื่อยจากเดินที่ไหนสักทีในทุ่งกว้างนี่ก็ได้

     

                โห... ริมฝีปากขององค์หญิงเผ่ายักษ์ห่อเป็นรูปตัวโอ ดวงตาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยยามที่เธอมองไปยังทุ่งดอกไม้สีฟ้าสดใสราวอัญมณี เด็กน้อยวิ่งร่าเข้าไปกลางทุ่งราวกับเจอของเล่นชิ้นโปรด ก่อนที่เธอจะทิ้งตัวลงนอนโดยไม่กลัวว่าชุดจะเปื้อน

     

                สุดยอดเลย รู้สึกดีสุดๆ~” เธอกลิ้งไปมาพลางสูดกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้สีฟ้าที่เต็มรอบกาย กลิ่นของมันหอมเย็นๆ เหมือนดอกมะลิลา หากแต่พอดมไประยะหนึ่งกลับให้ความรู้ผ่อนคลาย คล้ายกับน้ำหอมที่เธอเคยใช้สมัยก่อนเวลานอนไม่ค่อยหลับ

     

                แต่จะว่าไปแล้วพักนี้เธอเองก็ไม่ค่อยได้นอนจริงๆ เพราะว่าดันอ่านหนังสือเพื่อศึกษาโลกใหม่มากเกินไปจนลืมที่จะนอนไปเสียสนิท

     

                โอฟีเรียปิดปากหาวออกมาหวอดหนึ่ง เธอเหลือบตามองพระอาทิตย์ที่เคลื่อนไปอย่างเชื่องช้าครั้งหนึ่งแล้วปิดเปลือกตาลง

     

                เหลือเวลาอีกต้องหลายชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาน้ำชายามบ่าย หากจะงีบสักสิบนาทีคงจะไม่เป็นอะไร

                .

                .

                .

                .

                .

                .

                พระจันทร์เต็มดวงทอประกายแสงสีนวลออกมายามพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า เด็กน้อยที่หลับตลอดหลายชั่วโมงลืมตาตื่นขึ้นมาพลางมอบรอบกายด้วยความมึนงง ก่อนที่เธอจะตระหนักได้ว่าตนแอบหนีออกจากปราสาทและเผลองีบในทุ่งดอกไม้ที่เนินเขา

     

                แย่แล้ว!” โอฟีเรียลูบเปลือกตาพลางมองรอบกายที่มืดสนิท เด็กน้อยผุดกายลุกขึ้นยืน คิดถึงท่าทางของท่านพ่อที่ตอนนี้คงจะส่งทหารตามหาเธอให้วุ่นแล้วคิ้วตก เธอรู้สึกกลัวท่าทางยามที่เขาโกรธก็จริง หากแต่องค์หญิงน้อยก็รู้สึกดีที่ได้ออกมานอกปราสาทหลังงาม

     

                ไหนๆ ก็จะต้องโดนโกรธอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นขออีกสักหน่อยก็แล้วกัน...

               

                โอฟีเรียบัดกลีบดอกไม้ที่ติดอยู่บนกระโปรงลวกๆ แล้วหันไปมองยังกลางเนินเขาที่มีต้นไม้ขนาดใหญ่ขึ้นอยู่ ตรงนั้นเป็นที่เดียวที่สว่างเจิดจ้าไม่มืดมิดเหมือนตรงอื่น เด็กน้อยไม่เข้าใจนักว่าทำไม แต่ก็ไม่ได้คิดมากให้ปวดสมอง ยังไงซะนี่ก็เป็นโลกแฟนตาซี ถ้าจะมีอะไรแปลกๆ หน่อยก็เป็นเรื่องปกติ

     

                ชายกระโปรงสะบัดเบาๆ ยามเด็กน้อยก้าวเดินไปตามทางเส้นเล็กที่มุ่งไปสู่กลางเนินเขา นัยน์ตากลมโตสีมรกตสะท้อนภาพต้นไม้เรืองแสงสว่างตรงหน้า ภายในหัวของเธอกำลังเชื่อมโยงมันเข้ากับต้นบ๊วยที่เคยเห็นในรูปถ่าย

     

                พอได้มาเห็นใกล้ๆ แล้ว โอฟีเรียค่อนข้างมั่นใจว่าเจ้าต้นตรงหน้านี้คือ ต้นบ๊วย

     

                ยิ่งเข้าใกล้ต้นไม้มากเท่าไหร่แสงที่เห็นก็ยิ่งเปร่งประกาย หากมองให้ดีแล้วไม่ใช่ว่าต้นไม้นั้นเรืองแสงได้ หากแต่ว่าตามกิ่งต่างๆ ของมันมีบางสิ่งที่คล้ายกับลูกบอลกลมเกลี้ยงสีเหลืองขนาดใหญ่กว่าหัวนิ้วก้อยเพียงเล็กน้อยเกาะอยู่เต็มไปหมด

     

                โอฟีเรียผุดรอยยิ้ม เธอยื่นมือออกไปเพื่อจับเจ้าลูกบอลที่บางส่วนล่องลอยอยู่ในอากาศ หากแต่ต้องชะงักมือเมื่อมีเสียงแปลกปลอมเอ่ยห้ามขึ้น

     

                อย่าไปแตะพวกมันจะดีกว่านะ บุตรแห่งยักษ์

    ------------------------------------------------------------------------------------------------

    ช่วงนี้กำลังคึกค่ะ มีอารมณ์เขียนได้เรื่อยๆ ก็เลยสามารถลงให้อ่านได้บ่อย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×