ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ปราบพยศท่านอ๋อง

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่3

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 15.93K
      130
      16 เม.ย. 65


     


     

    ลมเย็นพัดมากระทบใบหน้านวลลออ ที่กำลังนอนเหยียดกายอยู่บนเตียงไม้สักลายโป๊ยเซียน อากาศที่หนาวนั้นทำให้เด็กสาวเปิดดวงตาขึ้นมา แสงแดดอ่อนๆทำให้นางลืมตาได้ไม่เต็มที่นัก กระพริบตาอยู่ชั่วครู่ เมื่อลืมได้เต็มตาก็ต้องแปลกใจเป็นอย่างยิ่งที่นี่คือที่ใดกัน เตียงไม้สักกับผ้าแพร ภายในห้องหอมกลิ่นไม้กฤษณาที่หาได้ยากยิ่ง เด็กสาวพยายามจะลุกขึ้นจากเตียง แต่ขาของนางอ่อนแรงมากจนแทบยืนไม่ได้

    อ๊ะ ตุบ ตุบ

    เพล้ง !  เสียงเครื่องครามที่ตั้งอยู่ตรงหัวเตียงตกลงสู่พื้น ในจังหวะที่สาวใช้กำลังเดินเข้ามาพอดี  


     

         "คุณหนูรอง คุณหนูฟื้นแล้วหรือเจ้าคะ รอประเดี๋ยว บ่าวจะไปตามฮูหยินให้นะเจ้าคะ" เสียงเล็กเอะอะขึ้น คุณหนูรงคุณหนูรองอะไรกัน นี่เธอฝันอยู่เหรอ เริ่มจะมึนและงงไปหมด 

         "เฮ้ ดะ..เดี๋ยวสิ"  เธอยังพูดไม่ทันจบ สาวใช้คนนั้นก็รีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว


     

         ฝัน ฝันแน่ๆ ไม่สิ เธอตายไปแล้วนี่ หลินซินฆ่าเธอไปแล้ว 

    เมื่อคิดได้เธอก็โกรธจนตัวสั่น ดวงตาฉายแววเคียดแค้น ก่อนจะเอ่ยหนึ่งคำออกมา "ชีวิตต้องแลกด้วยชีวิต!" เธอสัญญากับตัวเองไม่ว่าอย่างไรจะต้องหาทางแก้แค้นนังเพื่อนทรยศคนนั้นให้จงได้ 


     

         จะว่าไปที่นี่มันที่ไหนเธอก็ไม่ทราบ แต่ว่าตนได้ตายไปแล้วในชาติก่อน จึงลองเอามือทาบที่บริเวณหน้าอก ปรากฏว่าหัวใจเธอยังเต้นอยู่ แต่มันเป็นจังหวะที่ช้ามาก หากช้ากว่านี้ก็คงสิ้นใจตายอีกรอบแน่ 


     

    ไม่นานนัก ประตูก็ถูกเปิดเข้ามา 


     

         "หลันเอ๋อร์ลูกแม่ หลันเอ๋อร์ลูกรัก"  หญิงสาวใบหน้างามสวมชุดสีฟ้าวิ่งโผเข้ามากอดเธอ ดวงตาผู้หญิงคนนั้นเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาชวนให้น่าเห็นใจอย่างยิ่ง


     

         "เอ่อ ท่านคือ?" เสียงเด็กหญิงวัยสิบสี่ช่างแหบพร่านัก นึกฉงนเกิดความไม่มั่นใจ ถึงชาติก่อนเธอจะมารดาเป็นถึงดาราดังก็จริง แต่มารดาคนนี้ที่อยู่ตรงหน้าเธอนั้น ดูอ่อนเยาว์กว่าตัวเธอในชาติที่แล้วเสียอีก 

         "โถ..บุตรข้า" ผู้ที่อ้างตัวเป็นมารดาลูบศีรษะของเธออย่างอบอุ่น 

         "เจ้านอนหมดสติไปถึงสองปี  คิดแต่ว่าเจ้าจะไม่ฟื้นขึ้นพบหน้าข้าอีก"  ผู้เป็นมารดาเริ่มร่ำไห้และกอดรัดเธออยู่บนเตียงจนเธอเริ่มจะหายใจไม่ออก


     

         "ทะ..ท่านแม่ ข้าอยู่นี่แล้วข้าไม่เป็นไรแล้ว" หญิงสาวผละออกจากหญิงผู้นี้อย่างเบามือ แต่เธอต้องใช้แรงเยอะมาก ร่างกายของเธอเป็นอะไรไปทำไมถึงได้ไร้เรี่ยวแรงขนาดนี้

         "เจ้าหลับไปนานเพียงนี้ ข้ากลัวใจเหลือเกิน กลัวว่าเจ้าจะไม่กลับมา"  เห็นหญิงสาวตรงหน้าร่ำไห้เธอเองก็ไม่รู้จะทำเช่นไรดี ปลอบคนก็ไม่เป็น ไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน 

         "เอ่อ ท่านแม่ ข้าหิวเหลือเกิน หลับไปนาน พอตื่นขึ้นท้องข้าก็ร้องอยากกินอาหารฝีมือท่านแล้ว" ผู้เป็นมารดามองหน้าบุตรสาวด้วยความแปลกใจ แต่ไหนแต่ไรนางไม่เคยพูด แม้จะพูดก็คงไม่เกินสามคำ หากนับแล้วก็มีเพียงแต่คำว่า 'เจ้าค่ะ' การที่นางฟื้นขึ้นมาครั้งนี้ ทำให้บรรดาสาวใช้และผู้เป็นมารดาฉงนอยู่ไม่น้อย


     

         "หากเจ้าอยากกิน แม่จะทำให้เจ้ากินเอง หิวมากหรือ" นางไม่ตอบอะไรเพียงแต่พยักหน้าและส่งยิ้มแห้งๆ คุยกันประมาณหนึ่งก้านธูป มารดาสดๆใหม่ๆของเธนางก็ออกไปพร้อมกับสาวใช้ 

      

       เวลานี้ล่ะ จะต้องรู้ให้ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉัน  

    เดินสำรวจไปเรื่อยๆ ห้องก็ไม่กว้างขวางอะไรทำไมถึงเหนื่อยอย่างนี้นะ เธอเดินไปพลางเกาะขอบโต๊ะไป จนกระทั่งไปถึงหน้าคันฉ่อง สิ่งทีเห็นนั่นเกือบทำให้นางหงายล้มตึง เด็กผีตาโบ๋นี่คือใคร ผมยาวพะรุงพะรัง ตาห้อยย้อยราวกับคนอดข้าว ผิวขาวซีดอย่างกับกระดาษ มารดาคนใหม่กับสาวใช้คนนั้นไม่หัวใจวายไปแล้วหรอกหรือ 


     

    หนึ่งก้านธูปต่อมาสาวใช้ก็นำอาหารและโอสถมาให้  "คุณหนูรอง บ่าวนำอาหารมาให้เจ้าค่ะ"    

         "เข้ามา" เมื่อประตูถูกเปิดและปิดลง สาวใช้วัยเดียวกันกับเด็กหญิงที่นั่งอยู่หน้าคันฉ่อง นำอาหารและยาวางไว้บนโต๊ะกินข้าว  

         ทำไมเด็กคนนี้ถึงซุบผอมแบบนี้นะ เธอจ้องคันฉ่องอยู่นานสองนาน จนกระทั่งสาวใช้เดินมาสางผมให้ 

    "ผมของท่านยังคงงดงามเหมือนเดิม แม้ในยามที่ท่านป่วย"  สาวใช้สางผมไปพลางพูดไป ทำให้เธอเผลอหยิบเส้นผมมาหนึ่งกำมือ อืม ผมของเด็กคนนี้สวยมาก ใบหน้าของหล่อนก็ดูงามอยู่หรอก แต่สถาพเป็นแบบนี้มีผมสวยก็ไม่ช่วยอะไรหรอกนะ 


     

         "เจ้าชื่ออะไรน่ะ?"  เธอถามตนเองในกระจก "บ่าวชื่ออาถิงเจ้าค่ะ คุณหนูจำบ่าวไม่ได้หรือเจ้าคะ?" 

         "ข้าหมายถึงข้าเป็นใคร ชื่ออะไร ทำไมมาอยู่ที่นี่"

          

         "คุณหนูจำไม่ได้เลยหรือเจ้าคะ?"  สาวใช้ถามอย่างงุนงง

    เธอถอนหายใจดัง "ถ้าจำได้จะถามเจ้าไหม!" ฟงเหมยฮวาในร่างเด็กตะโกนลั่น  

    เห็นท่าทางขอสาวใช้ตัวน้อยเก้งกัง วางตัวไม่ถูก จึงรู้ตัวว่าเผลอตวาดเสียงใส่เด็กคนนี้เสียแล้ว 

       

           "เอ่อ..ข้าจะไปจำได้อย่างไร ข้าหลับไปนานถึงเพียงนั้นความจำข้าคงเลือนรางไปหมดแล้ว เจ้าเองก็ช่วยเล่าให้ข้าฟังหน่อยเถิด เดี๋ยวท่านแม่กลับมาข้าจะมอบรางวัลให้" เด็กสาวเบิกดวงตาโตขึ้นอย่างลนลาน "ไม่ได้นะเจ้าคะคุณหนู ตระกูลของบ่าวรับใช้ตระกูลเหอมายาวนาน บ่าวเต็มใจรับใช้คุณหนูไม่ได้หวังอยากได้ของกำนันแต่อย่างใด หากคุณหนูมอบให้ บ่าวคงไม่มีหน้าไปพบกับบรรพบุรุษเป็นแน่เจ้าค่ะ"


     

         จะภักดีอะไรถึงขนาดนั้น บรรพบุรุษเจ้าไปเป็นปุ๋ยให้ต้นไม้หมดแล้ว 

      ฮึ่ม "เช่นนั้นเจ้าก็เล่ามา ข้าลืมหมดทุกสิ่งอย่าง ตั้งแต่เกิดจนโตมาสิบสี่ปีล้วนจำไม่ได้ทั้งสิ้น"

     

         "คุณหนูชื่อว่าเหออวี้หลันเจ้าค่ะ อวี้หลันที่แปลว่าบุปผางาม คุณหนูเป็นบุตรีคนที่สองของนายท่านเหอจิง และเป็นบุตรของฮูหยินใหญ่ คุณหนูไร้พลังเวทย์ใดใด คแม้แต่ต่อสู้ทั่วไปยังทำไม่ได้ ฮูหยินได้แต่เฝ้าประคบประหงมคุณหนูให้ดีที่สุด และปิดข่าวลือต่างๆที่เขานินทากัน ตั้งแต่คุณหนูมีอายุได้ห้าปี คุณหนูก็ไม่ได้ออกจากจวน ไม่มีชายคนใดหมายหมั้นคุณหนูมีแต่ท่านอ๋องเจ็ดที่คอยมาแวะเวียนเฝ้าเยี่ยม" 

    ขณะที่อาถิงเล่านางเสียงแปล่งก็ดังออกมาจากท้อง ดังจนอาถิงอดที่จะยกยิ้มขึ้นไม่ได้ 


     

         "เอาเถอะ ค่อยเล่าต่อวันหลังแล้วกัน ข้าหิว เจ้าไปเตรียมสำรับให้เยอะๆหน่อย ดูสิคุณหนูของเจ้าเหลือแต่กระดูกแล้ว หากไม่ได้รับสารอาหาร คงแห้งตายแน่ๆ ถึงมีพลังเวทย์อะไรของเจ้า ร่างกายผอมซูบแบบนี้ก็คงสู้ผู้ใดเขาไม่ได้หรอก" ว่าแล้วก็ถอนหายใจ คนอื่นเขาไปอยู่ในเรือนใหญ่บ้าง ในวังบ้างเหตุใดนางถึงตกมาอยู่ที่แสนระกำลำบากด้วย สวรรค์! 


     

         "อาถิง! ซุปนี้โซเดียมเยอะเกินไป ลดเกลือลงหน่อย ข้ากินจนตัวบวมหมดแล้ว" สาวใช้ได้แต่ทำหน้างง "โซเดียม คืออะไรหรือเจ้าคะ แล้วซุป ซุปคืออะไรเจ้าคะ?" เหออวี้หลันกรอกตามองบนอย่างจนใจ 

         "ข้าหมายถึงน้ำแกงของเจ้า มันเค็มเกินไป รู้หรือไม่ว่าเกลือให้ตัวบวม" 

         "ปกติคุณหนูก็กินรสชาตินี้.." 

         "เจ้าเคยเห็นข้ากินเกินสามคำหรืออย่างไร"  ว่าจบสาวน้อยก็ก้มหน้างุด น้ำตาคลอด้วยความน้อยใจ แต่ไหนแต่ไรคุณหนูของนางไม่เคยต่อว่านางขนาดนี้มาก่อน   

         "ไม่ต้องร้องไห้เลย อะไรที่ไม่ดีต่อตัวข้า เจ้าคงไม่อยากทำใช่หรือไม่ น้ำแกงถ้วยนี้อาจจะทำให้ข้าล้มป่วย เจ้าเข้าใจหรือไม่เข้าใจ"  อาถิงรีบเช็ดน้ำตาออก พร้อมพยักหน้าขึ้นลงอย่างรวดเร็ว 

         หลายวันมานี้อยู่แต่ในเรือนแทบไม่ได้ออกไปพบผู้คน มีเพียงอาถิงและท่านแม่เท่านั้นเธอเจออยู่ทุกวี่วัน ร่างกายของเธอเองก็ถือว่าแข็งแรงขึ้นมาก เพราะเธอสั่งให้อาถิงทำแต่อาหารสุขภาพน่ะสิ คนสมัยก่อนกินแต่อะไรก็ไม่รู้ ของเค็มของดอง เสียสุขภาพหมด วันนี้เธอเริ่มออกกำลังกายด้วยการโยคะก่อนนอนเท่านั้น ขี้เกียจมานั่งอธิบายให้อาถิงฟังว่าเธอกำลังทำอะไร  


     

    ทุกๆเช้าเหออวี้หลันมักจะแอบสาวใช้ออกไปชานเรือนอยู่เสมอๆ ช่วยไม่ได้ ที่นี่มีดอกอิงฮวาเยอะมาก สิ่งที่ชอบที่สุดตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ก็คงเป็นดอกไม้นี่ล่ะ นางสูดดมดอกไม้เข้าจนลึกสุดลมหายใจ ไม่เคยรู้สึกถึงความสดใสและสดชื่นขนาดนี้มาก่อนเลย ระหว่างที่กำลังชมเชยดอกอิงฮวาอยู่นั้น พลันได้ยินเสียง กลุ่มสาวใช้กลุ่มหนึ่งกำลังเดินมาเก็บดอกบัวอยู่ด้านล่างชานเรือน เหออวี้หลันลอบมองจากด้านบน ด้วยความที่นางเองก็ตัวบางร่างเล็กจึงไม่ค่อยมีผู้ใดสังเกตเห็นนัก 


     

         "เหตุใดคุณหนูสามต้องให้เรามาเก็บดอกไม้ที่เรือนร้างก็ไม่รู้ เรือนออกจะน่ากลัว มีเพียงดอกอิงฮวาที่ยังดูสดใสอยู่เสมอ ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่กล้ามาหรอก" สาวใช้ตัวน้อยใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ชุดคลุมสีเขียวทึบของนางนั้นดูดีกว่าของเหออวี้หลันหลายเท่านัก 

         "เจ้าอย่าปากมากไป หากคุณหนูรองยังอยู่ เรือนนี้ต้องเป็นเรือนเต็มเรือนแน่"

         "คุณหนูรองยังไม่ตายเสียหน่อย นางแค่หลับไปก็เท่านั้น พวกเจ้าพูดกระไรก็ระวังปากไว้ เกรงว่าในอนาคตจะไม่มีลิ้นไว้กินข้าว" สาวใช้อีกคนแย้งตอบ 

         "ไม่ตายก็เหมือนตาย นางนอนจมเตียงมาสองปีกว่าแล้วเชียว เจ้าคิดว่านางจะฟื้นรึ?" กลุ่มสาวใช้ต่างมีสีหน้าหนักใจ 

         "ข้าเองก็หวังว่านางจะฟื้น" ว่าจบกลุ่มสาวใช้ก็เดินจากไป หว่านเมล็ดพันธุ์ความสงสัยเอาไว้ในใจของเหออวี้หลันเป็นที่เรียบร้อย 

    -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    ขอบคุณที่ติดตามค่ะ


     



     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนเปิดให้แสดงความคิดเห็น “เฉพาะสมาชิก” เท่านั้น
    ×