ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ปราบพยศท่านอ๋อง

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่4

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 16.69K
      179
      16 เม.ย. 65


     

         สามเดือนนับจากฟื้นขึ้นมานางก็เอาแต่กิน เน้นเนื้อและข้าวเป็นพิเศษเพราะร่างกายเด็กคนนี้ผอมแห้งราวกับโดนสูบไขมันออกหมด นางจึงต้องสร้างระบบร่างกายของเด็กสาวผู้นี้ใหม่เสีย ถึงตอนนี้ใบหน้าจะเริ่มเปล่งปลั่งไร้ความอัปลักษณ์แล้ว แต่ร่างกายนางยังคงอ่อนแอ นอกจากอาหารแล้วก็มียาที่ให้อาถิงไปเก็บสมุนไพรมาจากหลังจวน โชคดีเหลือเกินชาติก่อนนางสนใจวิชาสมุนไพรวิทยาพอสมควร ไม่เช่นนั้นคงจะต้องกินยาตำรับโบราณที่ผสมมามั่วๆ ยุคนี้ก็หาพาราเซตามอลไม่ได้ เหออวี้หลันจึงต้องปรุงยาด้วยตนเอง 

         ในคราแรกอาถิงก็สงสัยนักว่าเหตุใดนายของตนถึงรู้จักการปรุงยาเหล่านี้ด้วย แต่เมื่อเห็นสายตามุ่งมั่นคู่นั้นแล้วนางจึงเก็บความสงสัยไว้ในใจ เป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือที่คุณหนูของนางรู้วิชา ไม่ได้เป็นนักเวทย์หรือเทพเซียน อย่างน้อยเป็นผู้ปรุงยาก็มีเกียรติไม่แพ้กัน


     

         หลายเดือนมานี้มารดาและสาวใช้ไม่ได้บอกใครว่านางได้ฟื้นขึ้นมา เกรงว่าหากคนรู้มาก เหออวี้หลันก็ยิ่งตกอยู่ในอันตราย ช่วงนี้จึงยังไม่ได้ให้นางออกไปไหนมาไหน ให้อยู่แต่ในเรือน ทว่านางน่ะไม่ใช่คุณหนูรองของพวกเขาเสียหน่อย มีหรือจะเชื่อฟังกันง่ายๆ ฟงเหมยฮวาถูกตามใจมาตั้งแต่เด็กจนโต ดีเท่าไหร่แล้วที่ไม่เสียผู้เสียคน คนอย่างเธอทนอุดอู้อยู่ในเรือนเล็กๆ แบบนี้ได้ไม่นานหรอก 

         

         ถึงกระนั้นผู้เป็นมารดารับรู้ถึงความต้องการภายในใจของบุตรสาวได้เป็นอย่างดี ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมานางเปลี่ยนไปมาก บางครั้งก็ไม่เหมือนกับเหออวี้หลันบุตรสาวของนางแม้แต่น้อย แต่ก็ยังส่งหนังสือตำราต่างๆมาทั้งร่ายรำ พิณ หมาก กาพย์ กลอน ทั้งที่ๆนางเป็นหมดทุกอย่างเรียกว่าชำนาญก็ยังได้ แต่ท่าทางที่นางมีนั้นราวกลับว่านางไม่เคยรู้จักมักจี่กับมันมาก่อน ทั้งๆที่นางผู้เป็นมารดา เคี่ยวเข็ญมาด้วยตนเอง จะมีสิ่งเดียวที่นางยังคงเก่าก็คือนางรักในการอ่านตำราเฉกเช่นเดิม 


     

         ช่วงสายของวันหนึ่งในฤดูเหมันต์ หิมะแรกได้โปรยปรายลงมา ทำให้พื้นหญ้าถูกฉาบด้วยปุยน้ำแข็งสีขาว ที่มีแสงสะท้อนวิบวับจากดวงอาทิตย์ มองแล้วรู้สึกสบายตายิ่ง เหออวี้หลันที่กำลังนั่งอ่านตำราปรุงยาอยู่นั้นก็ละสายตาจากตัวหนังสือขึ้นมา เหม่อมองไปที่หน้าต่าง เกล็ดหิมะโปรยปราย ทำให้ภาพในอดีตผุดขึ้นมา ช่วงนั้นนางกับเพื่อนรักของนาง ออกมารอหิมะแรกด้วยกันตั้งแต่ตอนตีสาม ยิ่งคิดก็ยิ่งน่าขันนัก นางหลงเชื่อใบกับใบหน้าซื่อๆแต่จิตใจต่ำช้าได้อย่างไรกัน...

         อาถิงสังเกตได้ถึงดวงตาที่เหม่อลอย นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นแม้จะส่องสว่างแต่ดูมืดมนเศร้าหมองอย่างพิกล คุณหนูของนางโศกเศร้าเรื่องใดกันนะ? 


     

           "อาถิง เจ้าเคยเล่าให้ข้าฟังว่าข้าไร้พลังเวทย์ใดๆใช่หรือไม่?"  จู่ๆเหออวี้หลันก็หันมาถามอาถิงด้วยความสงสัย ทำให้สาวใช้ตัวน้อยถึงกับตัวสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ 

         "เจ้าค่ะ คุณหนูร่างกายอ่อนแอตั้งแต่น้อย"  เหออวี้หลันได้ยินเช่นนั้นก็ลอบยิ้มอยู่ในใจ "อาถิงเจ้าก็รู้ใช่หรือไม่ว่าข้าผู้นี้บอบบางยิ่งนัก หากข้าได้.." นางยังพูดไม่ทันจบคำ อาถิงก็เอ่ยแทรกขึ้นมา 

          "ได้ออกไปเล่นซนข้างนอกหรือเจ้าคะ" เฮ้อ นางลอบถอนหายใจ ถูกสาวใช้ตัวน้อยจับได้เสียแล้ว

          "ไม่ได้เจ้าค่ะ ฮูหยินสั่งไว้ห้ามคุณหนูออกไปเล่นซนที่ไหนจนกว่าจะหายดี" อาถิงพูดไปพลางเย็บถุงหอมไป   เด็กคนนี้ฉลาดเสียจริง เหออวี้หลันหาวิธีที่จะหลอกล่อสาวน้อยที่นั่งเย็บผ้าอยู่ท้ายเรือน สุดท้ายก็ต้องเสียเปล่า หากจ้างอาถิงมาทำงานแทนพี่ยามในยุคของนาง เชื่อได้เลยเสี่ยวถิงผู้นี้ต้องได้รับรางวัลเจ้าหน้าที่ดีเด่นแน่นอน 

         คิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ เมื่อไหร่หนอนางจะได้ออกไปสำรวจโลกภายนอกเสียที 


     

         ครั้นถึงเวลาอาหารเย็น เป็นเวลาที่อาถิงต้องออกไปทำอาหาร นี่เป็นโอกาสเดียวที่นางจะได้ออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกบ้าง นึกแล้วก็น่าน้อยใจนัก จวนนี้ทั้งจวนก็เป็นของบิดา ตัวนางเองก็เป็นบุตรีของฮูหยินใหญ่ เหตุใดนางถึงไม่มีสิทธิ์ได้ออกไปชมความงามของจวนหลังใหญ่แห่งนี้บ้าง มองจากหน้าต่างแล้วมีสวนขนาดกว้าง ทั้งยังมีน้ำตกจำลองตั้งตระหง่านอยู่ด้วย เรือนนี้นี่ก็กระไร บิดาเกลียดยัยเด็กนี่รึ ถึงได้ให้อยู่แต่ในเรือนเก่าคร่ำครึ หากนางออกไปได้แม่จะปั้นเรือนให้กลายเป็นวังเลยคอยดูสิ  

         ผ่านไปประมาณครึ่งก้านธูปอาถิงก็ออกไป ทว่านางช่างรอบคอบนัก แอบไปจ้างวานบ่าวชายตัวล่ำบึกมาเฝ้านางไว้อีก หากไม่ได้มีฐานะคุณหนูนางเองคงคิดว่าตัวเองมาเกิดเป็นหมาเฝ้าบ้าน 


     

         เมื่อมองไปทางหนุ่มใหญ่ผู้ทรงพละกำลังด้านหน้า เหออวี้หลันพลันคิดอะไรบางอย่างออก บุรุษทุกผู้ ย่อยพ่ายแพ้ให้กับความงามของสตรี ตัวของเด็กคนนี้เดิมทีใบหน้างดงามปานหญิงล่มเมืองเป็นทุนเดิม เพียงแค่นางเติมแป้งทาชาดอีกเพีงนิดก็กลายเป็นโฉมสะคราญเสียแล้ว 

         "พี่ชาย" นางเรียกผู้ที่อยู่หน้าประตูเรือน

    ชายผู้นั้นหันมา เห็นใบหน้านวลลออแล้วสายตาก็เหม่อลอย "คะ...คุณหนู มีอะไรให้บ่าวรับใช้"  

        

         

          อ้อ ที่แท้ก็เป็นบ่าวเองหรือ นางยิ้มกริ่มอยู่ในใจ 


     

         "ข้าอยากให้พี่ชาย ช่วยไปขุดหลุมตรงสุขาให้หน่อย ข้าว่าหลุมมันตื้นไป พี่ชายช่วยข้าได้หรือไม่?" เหออวี้หลันส่งสายตาออดอ้อน ราวกับสตรีที่ทำกับบุรุษผู้พึงใจ ใครเล่าจะไม่หวั่นไหว ชายผู้นั้นถึงตัวจะใหญ่แข็งแกร่งเพียงไร ยามเห็นสาวงามก็อ่อนแอพร้อมที่จะน้อมกายทั้งนั้น 

         "บ่าวจะรีบจัดการให้ คุณหนูรออยู่ในเรือนให้สบายใจเถิดขอรับ" เหออวี้หลันยิ้มน้อยๆพร้อมพยักหน้าตอบรับ ไม่นานบ่าวคนนั้นก็ออกไป เหลือเพียงเหออวี้หลันอยู่ลำพัง โอกาสนี้จะไม่หนีออกไปหรือ หากใช่ก็คงไม่ใช่นาง 

         เมื่อถึงทางสะดวกเด็กสาวแรกแย้มอย่างเหออวี้หลันก็เด้งตัวออกจากเรือนด้วยความไวสุดขีด จนมาหยุดอยู่ที่สวนเรือนอิงฮวา ชื่อว่าเรือนอิงฮวาแต่กลับมีดอกเซี่ยงรื่อขุย*มากมายอยู่หน้าเรือน ถึงแม้จะดูรกไปด้วยพงหญ้าแต่ก็ยังสูงลิ่วสง่างามอยู่ดี


     


     

    หน้างามดั่งจันทร์เพ็ญ ล้วนงามเด่นเป็นเฉิดฉาย

     

    ช่อผกาจึงเอียงอาย ซ่อนรูปไว้ในเรือนงาม

     


     

     

         เสียงทุ้มดังอยู่ด้านหลัง เหออวี้หลันหันไปตามเสียงด้วยความตกใจ เมื่อเจอกับเจ้าของเสียงเรียกก็ต้องเบิกตาโพลง นางเห็นเด็กหนุ่มตรงหน้าสวมชุดสีดำขลับดิ้นทอง ผมที่ถูกเกล้าขึ้นไปตึงเนียบ คิ้วหนานั้นขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ตาเฉียบคมทั้งสองข้างชี้ขึ้นไปช่วยทำให้ดูสูงส่ง จมูกโด่งสันรับกับโครงหน้า ปากบางนั้นสีน้ำตาลเข้มบ่งบอกว่าเป็นนักดื่มตัวยง ถึงจุดนี้รอยยิ้มก็ผุดขึ้นที่มุมปากและหายไปอย่างรวดเร็วดูแล้วเหมือนไม่ได้เปลี่ยนสีหน้า บทกลอนนั่นคงจะเป็นกลอนเกี้ยวหญิงงามตามร้านสุรา ดูท่าแล้วน่าจะเป็นคุณชายเจ้าสำราญ 


     

              "บทกลอนของท่านเมื่อครู่ ข้านับถือยิ่งนัก" ว่าแล้วก็อยากจะหัวเราะเสียสักพันครั้ง หากบรรดาสาวน้อยในยุคของเธอมาได้ยินเข้าคงคิดว่าเขาไปแข่งทำนองเสนาะอะไรทำนองนี้แน่ๆ 


     

              "ขายหน้าเจ้าแล้วหลันเอ่อร์"  เมื่อได้ยินคุณชายตรงหน้าทักทายอย่างเป็นกันเอง หางตาก็กระตุกขึ้นทันที คำถามมากมายเกิดขึ้นบนหัว คือใคร? รู้จักนาง? หรือว่าเป็นคนที่ทำร้ายนาง? สีหน้าของเหออวี้หลันเปลี่ยนไปทันที

             "เหตุใดเจ้าถึงทำหน้าอย่างนั้นเล่า หลันเอ่อร์จำข้าไม่ได้หรือ?"  ชายหนุ่มเขยิบเข้ามาใกล้ ส่วนเธอได้แต่ถอยหนีจนเกือบพลัดตกลงไปในบ่อน้ำเก่า ยังดีที่มือของเขาไวพอมารับเอาไว้ทันท่วงที

    มือทั้งสองคล้องเอวนางเอาไว้อย่างแน่น ภายในดวงตายิ้มเล็กๆก่อนที่จะพยุงร่างเล็กในอ้อมแขนให้ยืนขึ้นอย่างมั่นคง 


     

              เหออวี้หลันรีบเด้งตัวลุกขึ้นมาทันที    

              "ขอบคุณท่านมาก ว่าแต่ท่านคือ.." เธอเอียงหัวเป็นเชิงคำถาม 

              "อ้อ ข้าลืมเสียสนิท เจ้าหลับไปนานถึงเพียงนั้นลืมข้า คงไม่ใช่เรื่องแปลก" 

               เธอไม่กล่าวอะไร ได้แต่จ้องหน้าเขานิ่ง "ข้าคือซวีฉาง.." 


     

              "คุณหนู!" ไม่ทันได้ฟังคำที่เขาพูด ก็ได้ยินของสาวน้อยในเรือนดังขึ้นมาเสียก่อน อาถิงวิ่งมาอยู่ข้างกายเธออย่างรวดเร็ว ลอบมองชายตรงหน้าที่ท่าทีคาดโทษ แต่แล้วก็ต้องตะลึง เพราะเป็นคนคุ้นเคยกันนั่นเอง

          "ท่านอ๋อง เป็นท่านเองหรือ บ่าวคิดว่าเป็นคุณชายบ้านใดเสียอีก" 

           จบคำของสาวใช้หนุ่มเจ้าสำราญผู้นั้นก็หัวเราะออกมาคำโต 

            "เจ้าก็ยังเป็นกระต่ายตื่นตูมไม่เปลี่ยน" ได้ยินดังนั้นอาถิงตวัดค้อนทันใด ท่าทางสนิทสนมเช่นนี้นางไม่เคยเห็นบ่าวทำกับนายที่ไหน มีแต่สาวน้อยในเรือนอิงฮวาที่ปากเอ่ยเรียกเขาว่าท่านอ๋อง แต่ยังไม่ยอมแม้แต่จะทำความเคารพ 


     

         "คุณหนูบ่าวให้เฟิ่งจื่อมาเฝ้าไว้หน้าเรือน แล้วคุณหนูออกมาได้อย่างไรเจ้าคะ"  เหออวี้หลันมัวแต่เหม่อคิดเรื่องของสองคนนี้ จึงลืมเรื่องที่นางหนีออกมาเสียสนิท "เอ่อ ข้าให้เขาไปขุดดินที่สุขา แต่อาถิงเจ้าดูสิสวนในเรือนอิงฮวาแห่งนี้รกร้างอยู่มาก หญ้าและหนามแหมคมขึ้นเต็มไปหมด บ่อน้ำนั่นก็แห้งเหือดเพราะขาดคนดูแล ข้าเป็นถึงคุณหนูรองของจวนแม่ทัพ จะให้อยู่อย่างซอมซ่อแบบนี้หรือ"  นางกล่าวพลางนิ่วหน้าน้อยใจ 


     

         คำพูดนางทำให้อาถิงถึงกับลอบถอนหายใจ สิ่งที่เหออวี้หลันพูดออกมาล้วนเป็นเรื่องจริง ตัวนางเองก็คิดมานานแล้วว่าเหตุใดหนอท่านแม่ทัพถึงได้ใจจืดใจดำกับคุณหนูของนางถึงเพียงนี้ 

         "ฮูหยินกำชับบ่าวเอาไว้เจ้าค่ะ ห้ามให้ผู้ใดรู้ว่าคุณหนูฟื้นขึ้นมาแล้ว"  ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นก็ตาม แต่ความจริงแล้วด้วยฐานะของคุณหนูรอง ทั้งยังเป็นบุตรที่เกิดจากภรรยาเอก สมควรจะได้รับการโปรดปราน และเบี้ยหวัดที่มากกว่าเรือนอื่นๆ แต่นี่ก็ช่างเสียกระไร ฮูหยินเหมือนเป็นเพียงภรรยาหุ่นเชิด ถึงแม้ว่าท่านแม่ทัพจะรักนางมาก แต่นางก็ไม่ได้มีสิทธิ์มีเสียงอะไร การที่จะร้องขอความโปรดปรานต่อบุตรสาวที่ไม่ได้เรื่องอย่างเหออวี้หลันนั้น ยากเกินไปจริงๆ


     

         กว่าสองนายบ่าวจะรู้สึกตัวว่าไม่ควรอยู่ด้านนอกนานเกินไป เวลาก็ล่วงไปกว่าชั่วยามแล้ว ท่านอ๋องที่มาร่วมสนทนาด้วยก็กลับไปตั้งแต่อาถิงวิ่งโร่เข้ามา แต่มีหรือที่จะรอดเหล่าสาวใช้ของเหอเซวียน ถึงแม้เหออวี้หลันเองจะกลับเข้ามาในเรือนอย่างรวดเร็วแล้วก็ตาม ไม่นานนักเรื่องที่คุณหนูรองฟื้นขึ้นมาก็เข้าหูแม่ทัพเหอและฮูหยินรอง เช้าวันถัดมาแม่ทัพเหอได้เข้ามาเยี่ยมเยียนบุตรสาวของเขาที่ขึ้นชื่อว่าไร้ความสามารถ เดิมทีเขาไม่พอใจกับบุตรีคนนี้เท่าใดนัก นอกจากจะไม่มีความสามารถด้านพลังเวทย์แล้ว ยังจะไร้ความสามารถด้านวรยุทธ์อีก เสียทีที่เกิดเป็นลูกสาวจวนแม่ทัพ นอกจากนั้นใบหน้าของนางนับวันยิ่งอัปลักษณ์ลงเรื่อยๆ ถ้าไม่ถือว่ามารดาของนางเป็นฮูหยินใหญ่เขาคงเชือดนางทิ้งไปตั้งแต่สองปีที่แล้ว 


     

           "หลันเอ่อร์" ขณะที่เหออวี้หลันกำลังอ่านตำราแพทย์แผนโบราณอยู่นั้น เสียงทุ้มต่ำฟังแล้วดูมีพลังและน่าเกรงขามเอ่ยชื่อนางออกมา เหออวี้หลันหันไปพบกับชายแก่ผู้มีใบหน้าหล่อเหลาและเปี่ยมด้วยเสน่ห์ อายุไม่สามารถทำลายความคมคายของใบหน้าเขาได้เลย 

         "ท่านพ่อ" เมื่อเหออวี้หลันหันมา ทุกสรรพสิ่งราวกลับหยุดลงในทันที ยามนี้เหออวี้หลันดูงดงามราวกับเทพเซียน ช่างดูบริสุทธิ์และเรียบง่ายเหลือเกิน ทำเอาเหอจิงผู้เป็นบิดาตกตะลึง เขาไม่คิดมาก่อนบุตรสาวที่ไม่ได้เรื่อง ทั้งยังหน้าตาอัปลักษณ์ผู้นี้ สองปีให้หลังจะงดงามขึ้นจนเขาเองก็แทบจำไม่ได้

          "ท่านพ่อ?.." เหออวี้หลันเรียกอยู่นาน ผู้เป็นบิดาก็ยังไม่หลุดจากภวังค์เสียที จนบ่าวรับใช้ข้างกายต้องส่งเสียงกระแอมในลำคอถึงได้สติ 

         "หลันเอ่อร์ เจ้าโตขึ้นมาเลยทีเดียว"  เหอจิงพิจารณาตั้งแต่หัวจรดเท้า เด็กคนนี้ต่างจากเมื่อสองปีที่แล้วอยู่มากโข ไม่สิ เรียกได้ว่ากลายเป็นคนละคน สอดส่องสายตาอยู่นานจนลืมไปว่าเขามาดูบุตรสาวตัวดีที่เพิ่งฟื้นขึ้นมาจากการนอนเป็นผักปลา เมื่อนึกขึ้นได้ก็แสร้งทำท่าปวดใจ 


     

           "ในที่สุดเจ้าก็ฟื้น พ่อปวดใจไม่ต่างจากแม่เจ้าที่เห็นเจ้านอนซมอยู่เช่นนี้" 

          คำพูดของเหอจิงทำให้หวังเซียนซาบซึ้งจนน้ำรื่น แต่นางไม่ได้คิดเช่นนั้น ชีวิตก่อนหน้านี้ถูกหลอกมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เขาคิดว่าคำพูดจอมปลอมพวกนั้นจะหลอกนางได้เชียวหรือ แต่จะทำอย่างไรได้นอกจากเล่นงิ้วตามน้ำไป   


     

    ในฝั่งเรือนเฉิง 

    ฮูหยินรอง หลี่เถียนและบุตรสาวของนาง เหอเซวียน กำลังเลือกผ้าแพรที่เพิ่งถูกส่งมาจากร้านผ้าอย่างสำราญใจ           

         "ท่านแม่ ป่านนี้นังเหออวี้หลันคงถูกท่านพ่อดุด่าอยู่เป็นแน่เจ้าค่ะ ลูกมีความสุขยิ่งนัก" ผู้เป็นมารดาอย่างหลี่เถียนเมื่อเห็นบุตรสาวตนยิ้มแย้มอย่างมีความสุข นางก็มีความสุขไปด้วย 

         "นางฟื้นมาก็เท่านั้น ตราบใดที่นางยังคงเศร้าโศกเสียใจ พิษในตัวนางไม่มีทางได้ถูกถอนเป็นแน่" ว่าแล้วสองแม่ลูกก็หัวเราะลั่น ในสายตามีแต่ความสาแก่ใจ "แต่ว่าท่านแม่ ข้าได้ยินมาว่าท่านอ๋องเจ็ดพอใจในตัวนาง เมื่อสองวันก่อนเขาก็มาเยี่ยมเยียนนางถึงเรือน ข้าไม่ยอม นางมีดีอะไร"

         "คงจะเป็นเพราะคุณหนูรองงดงามแม้จะไม่ได้ประทินโฉมกระมังเจ้าคะ" สาวใช้ข้างกายเหอเซวียนตอบ

         "สาระแน เจ้าเป็นบ่าวของผู้ใดกันแน่ หา!" สาวใช้ผู้นั้นหัวหดเป็นเต่าทันใด หากไม่ใช่วางนางคนนั้นดูแลเหอเซวียนมาตั้งแต่เด็ก ทั้งยังกำความลับของนางเอาไว้ในมือ ป่านนี้คงไล่ตะเพิดไปนานแล้ว    

         "จะว่าไป เราไปเยี่ยมพี่รองกันเถิดเจ้าค่ะท่านแม่"


     


     

    ในเรือนอิงฮวา หลังจากผู้เป็นบิดาและมารดาออกไปแล้ว เหออวี้หลันก็ได้แต่กลอกตาไปมา นางเบื่อกับลูกไม้เหล่านี้นัก เห็นใครได้ดีก็คิดสอพลอแต่ลับหลังก็แอบกระชากเขาลงมา มนุษย์หนอมนุษย์ ความริษยา ความอยากมีอยากได้ ทะเยอทะยานไม่รู้จักจบสิ้น 

    เหออวี้หลันนอนบิดขี้เกียจอยู่บนเตียงในเรือน พลันได้ยินเสียงอาถิงวิ่งโวยวายเข้ามาในเรือน

         "มีอะไร เหตุใดจึงวิ่งหน้าตั้งเช่นนี้เล่า?" 

         "คะ..คุณหนู ฮะ..ฮูหยินระ แค่กๆ" อาถิงวิ่งเข้ามาด้วยความเหนื่อยหอบ นางจึงพูดไม่ค่อยรู้ความนัก "ไม่เป็นไร ค่อยๆพูด" เหออวี้หลันรีบเทน้ำชาให้ ด้วยกลัวว่านางจะขาดใจตายเสียก่อน 

         "ฮูหยินรองมาเจ้าค่ะ"

         "......."


     


     

         "มารดาข้ามาแล้วอย่างไร ขี้ข้าเช่นเจ้ามีปัญหากระนั้นรึ?" เสียงใสแจ้วทำให้เหออวี้หลันละสายตาจากอาถิงขึ้นไปมองทางต้นเสียง

    สตรีตรงหน้านางคือ หญิงสาวผู้มีผิวพรรณผุดผ่อง ดวงหน้าช่างคลับคล้ายคลับคลา ราวกับเคยพบเห็นมาก่อน ริมฝีปากสีแดงระเรื่อนั้นค่อยๆฉีกยิ้ม ฉีกยิ้ม? ความรู้สึกนี้มันช่างคุ้นนัก..  เหออวี้หลันหลุบตาลง ปากกระจับพลันยกยิ้มขึ้นอย่างมีเลศนัย 


     

         ในที่สุดนางก็รู้แล้วว่าเหตุใดถึงต้องมาเกิดที่เรือนนี้ ในเมื่อสวรรค์จงใจส่งนังผู้หญิงคนนี้มาให้นางแก้แค้น เช่นนั้น..ฟงเหมยฮวาคนนี้ขอรับด้วยความเต็มใจ 


     

         "คุณหนูรองฟื้นขึ้นมาแล้ว แม่รองยินดีนัก"  แม้จะพูดเช่นนั้นแต่ใบหน้าของสองแม่ลูกนี้กลับตื่นตะลึง พวกนางไม่คิดว่าเหออวี้หลันที่นอนซมอยู่บนเตียง กับเหออวี้หลันที่นั่งหลังตรงอย่างสง่าอยู่ตรงหน้าพวกนางนั้นจะเป็นคนคนเดียวกัน

         เหออวี้หลันไม่กล่าวอะไรเพียงแต่ยิ้มเล็กๆ ท่าทางเช่นนี้ของนางดูผิดแผกไปนัก ปกติเจอพวกนางสองแม่ลูกต้องตัวคุกเข่าตัวสั่นไปแล้ว เหออวี้หลันเหลือบไปมองหญิงสาวที่อยู่ด้านหลัง ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา ความจริงเหอเซวียนก็ไม่ได้ดูน่าเกลียดแต่อย่างใด เทียบกับคุณหนูสกุลอื่นคงนับว่างามกว่ามาก แต่เมื่อเห็นใบหน้าของผู้เป็นพี่สาว เหอเซวียนก็ได้แต่กำมือแน่น 

        ไม่คิดเลยว่านังเหออวี้หลันที่เคยนอนทรุดโทรมจนมองเค้าเดิมไม่ออก จะกลับมาเปล่งปลั่งได้ภายในไม่กี่เดือน

    เหออวี้หลันยิ้มทว่าไม่ถึงดวงตา "คงเป็นเพราะแม่รองและน้องสามมีใจเป็นห่วงข้า จึงทำให้ข้าฟื้นขึ้นมากระมัง" 

         "ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น" เหอเซวียนยิ้มร้าย "คราวหน้าพี่รองก็ต้องระมัดระวังตัวให้ดี ไม่เช่นนั้นอาจจะตกอยู่ใน'สภาพ'เช่นนี้อีก"  เหอเซวียนจงใจพูดข่มขู่ แต่เหออวี้หลันไม่ได้รู้สึกอะไรกับคำพูดเหล่านั้น เธอได้แต่นั่งเท้าคางฟังสองแม่ลูก ที่ผลัดกันพูดเหน็บแหนม นานจนแทบจะหลับ ครั้งนี้เหอวี้หลันแอบหาวออกมาซึ่งๆหน้า      

         "พูดเสร็จหรือยัง ข้ารำคาญ" เธอปรายตามองสองแม่ลูกด้วยสายตาเดียจฉันท์ "เมียน้อยก็คือเมียน้อย ต่อให้จับตัวชุบทองคำอย่างไรเสียก็เป็นแค่เมียน้อย เป็นแค่นางบำเรอที่ผู้ชายเปิดเผยได้เท่านั้น"  ว่าจบก็หันไปหาสาวใช้ข้างกาย  ไม่ทันให้ฝ่ายตรงข้ามได้ตอบกลับ "อาถิง ส่งแขก" 


     

         อาถิงเห็นเหออวี้หลันเป็นเช่นนี้ก็แปลกใจระคนดีใจ ที่คุณหนูของนางมีท่าทีสู้คนพวกนั้นขึ้นมาแล้ว

    ฮูหยินรองเมื่อได้ยินเช่นนั้นใบหน้าก็พลันแข็งทื่อ ร้อยยิ้มอ่อนหวานที่เคยประดับอยู่บนใบหน้าบัดนี้พลันแข็งค้าง นิ่งไม่ไหวติง มือทั้งสองข้างสั่นระริกด้วยความโกรธกริ้ว ยังไม่ทันได้ตอบโต้บุตรสาวตัวดีก็พุ่งตัวออกไปด้านหน้า 

         

         "เจ้ากล้า?" เหออวี้หลันเอ่ยเสียงนิ่ง ทว่ายังคงรอยยิ้มแสนหวานไว้ที่มุมปาก 


     

         ฝ่ามือยังไม่ทันถึงใบหน้าเหออวี้หลันก็ต้องหยุดชะงัก เหอเซวียนสัมผัสได้ถึงพลังอันแกร่งกล้า นางเรียนวิชาเวทย์มาถึงจะไม่มากนักแต่ก็ถือว่ามีวิชาติดตัวไม่น้อย ยังไม่เคยพบเจอผู้ใดที่มีสายตาแกร่งกล้าขนาดนี้มาก่อน ทำเอานางถึงกับตะลึง 


     

    ขณะเดียวกันคนบนต้นไม้ด้านนอกก็มีท่าทีสนอกใจอย่างปิดไม่อยู่


     

         "ข้าว่าพวกเจ้ากลับไปก่อนดีหรือไม่ ฐานะคุณหนูรอง บุตรีฮูหยินใหญ่อย่างข้าอยากจะพักผ่อน พวกเจ้าคงไม่รบกวน?" เหออวี้หลันเก็บสายตาฟาดฟันเมื่อครู่ไว้อย่างมิดชิด ใช้ถ้อยคำขอร้องทว่ามีอำนาจบีบคั้นอย่างปฏิเสธไม่ได้เพื่อไล่สองแม่ลูกไป 

     

         รุ่งสางวันต่อมา เหออวี้หลันรีบตื่นแต่เช้าเพื่อเข้าพบกับเหอจิง นางขออนุญาตผู้เป็นบิดาออกไปตลาด เหตุที่ว่านางฟื้นขึ้นมาแล้วทว่าไม่มีข้าวของเครื่องใช้สักชิ้น ส่วนแม่ทัพเหอนั้น ด้วยความที่เห็นแก่ภรรยาเอกอย่างมารดาของนางจึงอนุญาตและให้ถุงเงินไปจำนวนหนึ่ง  พร้อมกับคำสั่งว่า "อย่าก่อเรื่อง" 


     

             ในตลาด เหออวี้หลันและอาถิงออกมาซื้อเครื่องประดับและเครื่องใช้เข้าบ้าน เพราะนางเองก็ฟื้นขึ้นมาหลายเดือนแล้วแต่ยังไม่เคยเห็นแป้งผัดหน้า หรือชาดสักชิ้น วันนี้เหออวี้หลันจะถลุงเงินท่านแม่ทัพผู้นี้ให้หมดตัวเสีย จะได้คุ้มกับค่าตัวที่เล่นงิ้วร่วมกับท่านพ่อผู้นี้... นางเลือกมาหลายชิ้นอยู่ ทว่าเงินยังคงเหลืออีกมาก วันนี้เงินไม่หมดถุงคนอย่างเหออวี้หลันไม่มีทางกลับจวนอย่างแน่นอน

         "คุณหนูเจ้าคะ เก็บเงินไว้บ้างก็ดีนะเจ้าคะ หากนายท่านรู้เข้าว่าคุณหนูนำเงินมาถลุงเช่นนี้ คงต้องสั่งลงโทษคุณหนูแน่เจ้าค่ะ" 

         "เจ้าจะเกรงกลัวไปไย  เงินในคลังสมบัติจวนแม่ทัพเหอข้าว่ามีอีกหลายหาบเลยล่ะ"  

         "เหตุใดคุณหนูจึงเรียกนายท่านว่าแม่ทัพเหอล่ะเจ้าคะ" อาถิงถามด้วยความงุนงง บุตรสาวทั่วไปก็เรียกท่านพ่อกันทั้งนั้นไม่ใช่รึ 

         "ก็เขาไม่ใช่พ่อข้า..อุ้ปส์ ข้าหมายถึง เขาได้ตัดความสัมพันธ์กับข้าไปตั้งแต่ข้าไร้พลังเวทย์แล้ว" 

         

         ฟู่ โล่งอกไปที เกือบโป๊ะแตกแล้วมั้ยล่ะฟงเหมยฮวาเอ้ย!เหออวี้หลันทำทีเลือกเครื่องประดับต่อไป จนเดินไปพบกับร้านหนังสือ ไม่รอช้ารีบปรี่เข้าไปทันที


     

         สองขาของนางพามาหยุดที่หน้าร้านหนังสือแห่งหนึ่ง มีอักษรฮั่นเขียนด้วยความปราณีตว่า "ซูเตี้ยน" ชื่อร้านช่างตรงตัวเสียจริง เธอนึกขำในใจ พอก้าวเข้าไปด้านกลิ่นหมึกและกระดาษก็อบอวลไปท่วร้าน ชวนให้นึกถึงชาติก่อนที่เธออ่านหนังสือมาทั้งชีวิต ใช้ช่วงเวลาวัยรุ่น วัยกำลังบานสะพรั่งอยู่แต่ในห้องอ่านหนังสือ จับแต่มีด ถุงมือ และเสื้อกาวน์  นึกแล้วช่างน่าเสียดาย ทั้งหมดที่นางทุ่มเทเพื่อมาเป็นคุณหนูหัวเน่าผู้นี้หรือ นางนึกแล้วได้แต่ส่ายหน้าอยู่ในใจ


     

         เฒ่าแก่เห็นนางเหม่ออยู่นาน จึงโบกมือไปที่หน้าของนางพลางถามว่า "ต้องการซื้อหนังสือใดหรือ"


     

         เหออวี้หลันพลันได้สติ เธอหัวเราะแห้งๆแล้วกล่าว

          "ข้าเพียงแวะมาดู ไม่ได้ต้อการซื้อเล่มใดเป็นพิเศษ"  

         เธอละจากเฒ่าแก่ เดินเข้าไปก็พบกับตำรามากมายทั้งตำราแพทย์ ตำราสมุนไพร แต่ตำราที่นางสนใจเป็นพิเศษคือ      

          "ตำราวิชาทะลวงสวรรค์" 

         ทะลวงสวรรค์รึ? เหออวี้หลันนึกขัน จะทะลวงสวรรค์อย่างไรหนอ เธอเองก็ยังคิดไม่ออก แต่ตั้งใจว่าจะซื้อเล่มนี้ล่ะ อย่างน้อยก็คงเป็นวิชาติดตัวไปได้บ้าง 


     

         เธอหยิบหนังสือเล่มนั้นออกมาจากบนชั้นไม้ ด้วยที่ตัวเองต้องมาอยู่ในร่างเด็กมอสองจึงต้องกระโดดอยู่หลายครั้งหลายครากว่าจะได้หนังสือที่ตนเองหมายปองมาครอบครอง ท่าทางแบบนี้ช่างน่าตลกนัก 


     

         เธอเดินออกมาควักเงินจ่ายค่าหนังสือ เดินออกมาจากร้านหนังสือด้วยท่าทางสบายใจ ตัดสินใจจะกลับจวนไปอ่านหนังสือที่ว่านี้ ทว่ามีชายชุดดำร่างใหญ่สองคนมายืนขวางทางเสียก่อน 


     

         "พวกเจ้า คิดจะมาปล้นคุณหนูรึ เจ้าถามหัวของพวกเจ้ารึยังว่ามีพอให้ตัดหรือไม่"  สาวใช้ตัวน้อยไม่รอช้า กระโดดเข้าไปขวางทางชายแปลกหน้าสองคนนั้น 

    ชายร่างสูงพวกนั้นไม่สนใจอาถิง ผลักนางล้มลงไปบนพื้น ใช้กำลังผสมลมปราณจนอาถิงกระอักเลือดออกมาคำโต 

         "อาถิง!" เหออวี้หลันรีบวิ่งเข้าไปดูสาวใช้ของตน "เจ้าอยู่นิ่งๆอย่าเพิ่งขยับ"  เธอกำมือแน่นด้วยความโกรธเกรี้ยว ทำกับคนของเธอขนาดนี้ วันนี้ถ้าไอ้จ้อนพวกมันไม่ขาด อย่ามาเรียกฉันว่าฟงเหมยฮวา

         

         "ใครส่งพวกเจ้ามา"  เธอเดินไปตรงหน้าชายตัวยักษ์สองคนอย่างเอาเรื่อง นัยตาเต็มไปด้วยความโกรธ ด้านหลังมีกลุ่มพลังงานสีดำที่พร้อมจะโจมตีได้ทุกเมื่อ ชายสองคนนั้นเห็นเธอเป็นเช่นนี้ก็เริ่มมีความวิตก ใครจะไปรู้ ว่าดรุณีตัวน้อยผู้นี้จะมีพลังเวทย์ประหลาดพิลึก เขาไม่เคยเห็นกลุ่มก้อนพลังลึกลับเช่นนี้มาก่อน 


     

    “คุณหนู ตำราที่ท่านซื้อมา พวกข้าจะซื้อต่อด้วยราคาสองเท่า ท่านขายได้หรือไม่?” 

    เธอมองประเมินชายร่างยักษ์อยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยวาจาแดกดัน 

    “จ่ายค่าตำราเป็นสองเท่ารึ หึ แล้วค่าทำขวัญ ค่าประกันอุบัติเหตุ ค่าเยียวยาผู้เสียหาย และที่สำคัญ ทำผิดแล้วไม่ขอโทษเนี่ย เจ้านายของพวกเจ้าคงสอนมาดีมากสินะ” 


     

    ชายทั้สงองได้แต่งุนงงกับคำพูดของเธอ แต่ไม่ว่ายังไงก็ตามก็ต้องเอาตำราเล่มนั้นมาให้จงได้ 


     

    “ข้าไม่สนว่าท่านจะว่าอย่างไร แต่ตำราเล่มนั้น ข้าต้องได้มา” ชายร่างใหญ่กว่ากล่าวขึ้นด้วยนำเสียงดุดัน 

    “เรื่องมารยาทก็สำคัญ แต่ช่างเถิด พูดไปพวกเจ้าก็คงไม่เข้าใจ เอาเป็นว่าถ้าอยากได้ตำราทะลวงสวรรค์อะไรนี่ก็จ่ายค่าทำแผลของสาวใช้ข้ามาด้วย พวกเจ้าใช้กำลังภายในกับสตรี ประมุขแห่งแว่นแคว้นสั่งสอนไพร่ฟ้าแบบนี้รึ ช่างน่าขันนัก” 


     

    “เจ้า...” ชายร่างใหญ่อีกคนกำหมัดแน่น เตรียมคว้ามีดสั้นข้างตัวแต่ทว่า มันกลับว่างเปล่า มีดสั้นของเขาหายไปไหน 


     


     

    “ทางราชสำนักไม่เคยสอนให้พวกเจ้าใช้ความรุนแรงกับสตรี” 


     

    ทันทีที่ได้ยินเสียงทุ้มเข้มปนแหบพล่าของคนข้างหลัง ชายร่างยักษ์ทั้งสองถึงกับตัวสั่น 


     

    “อย่าทำเช่นนี้อีก”. 

       


     

    *อิงฮวา คือดอกซากุระ

    *เซี่ยงรื่อขุย คือดอกทานตะวัน 


     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนเปิดให้แสดงความคิดเห็น “เฉพาะสมาชิก” เท่านั้น
    ×