"ดอกกล้วยไม้"
Orchid
ดอกกล้วยไม้ เป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่ง ความรัก และความสง่างาม แสดงถึงความประเสริฐ เลิศ และความงามอันละเมียดละไม ในหมู่ชาวกรีกสมัยก่อน ดอกกล้วยไม้แสดงถึง การสืบเผ่าพันธุ์ แต่สำหรับชาวจีนเรียกดอกกล้วยไม้ว่าเป็น
“พืชแห่งกลิ่นกษัตริย์” หรือเป็นดอกไม้ที่ไว้บอกภาษารักว่า “ฉันไม่อาจห้ามใจให้คิดถึงเธอได้"
ยองแจหยุดยืนมองสายฝนมากมายที่พร่างพรูลงมาจากท้องฟ้าสีคราม
เขาขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย
ถ้าเขาเอ่ะใจและพกร่มติดตัวมาตามที่พยากรณ์อากาศช่วงเช้าบอกก็คงดี
เขาเพิ่งเลิกเรียน วันนี้คลาสของเขาเลิกเรียนช้ากว่าเวลาเล็กน้อย
และเขาพึ่งส่งข้อความไปหามาร์คเพื่อนสนิทว่าให้กลับไปก่อนเลย
เพราะวันนี้มาร์คกับจินยองเรียนคนล่ะคลาสกับเขา
คลาสที่มาร์คเรียนเลิกก่อนเวลาไปแล้วตั้งหนึ่งชั่วโมง
ไหนจะลำบากมาร์คเพราะมาร์คต้องไปรับน้องแบมแบมก่อนถึงค่อยวนมารับเขา
คณะที่น้องเรียนกับตึกที่เขาอยู่มันก็ค่อนข้างไกลกันเกิน
แล้วคนขี้เกงใจแบบเขาจะให้เพื่อนมารับสร้างความลำบากทำไม
มาร์คก็ดูจะเห็นดีเห็นงามกับความคิดนี้
แม้เพื่อนสนิทจะบอกตอนก่อนจะวางสายว่าให้เขารีบกลับก็เถอะ
แต่ตอนนี้เขากำลังเจอกับปัญหาใหญ่เลยล่ะเพราะเขาไม่ได้พกร่มมาในวันนี้
และการให้เขาเดินตากฝนท่ามกลางฝนที่ตกลงมาแบบเทน้ำเทท่าแบบนี้ไปที่ป้ายรถเมล์เพื่อเดินทางกลับหอนั้นมันก็ค่อนข้างเป็นวิธีที่ค่อนข้างลำบาก
มันไม่มีแม้แต่เปอร์เซ็นเดียวว่าเขาจะไม่เปียก
ถึงตัวเขาเปียกมันก็ไม่เท่าไหร่หรอก แต่กระดาษชีทเรียนของเขานี่สิ
อีกสองวันเขาก็จะมีสอบแล้ว การขาดกระดาษพวกนี้อาจนำพาปัญหาหนักมาให้เขาได้
ยองแจได้แต่ถอนหายใจกับสถานการณ์นี้ วันนี้เขาคงไม่รอดพ้นจากการเปียกฝนเป็นแน่
กระเป๋าและหนังสือเรียนตอนนี้ถูกเปลี่ยนให้มาอยู่ในอ้อมอกของยองแจแทน
เขากอดมันอย่างหวงแหนเพราะถ้ามันเปียกเขาคงอาจจะมีปัญหาได้
ในขณะที่เท้าข้างหนึ่งของยองแจกำลังจะก้าวออกไปเหยียบบนพื้นที่มีแต่น้ำเจิ่งนองนั้นก็มีเงาหนึ่งที่เข้ามาคลุมตัวเขาไว้
เสียงที่คุ้นเคยและการกระทำที่แสนอบอุ่นนั้นทำให้ยองแจรู้ว่าเงานั้นเป็นใคร
“ จินยอง " เจ้าของเงานั้นคือจินยองเพื่อนสนิทอีกคนของเขา
จินยองคว้าตัวของยองแจให้เข้ามายืนอยู่ใต้ร่มเดียวกัน ความใกล้ชิดที่เกิดก่อให้เกิดความเงียบ ยองแจเลือกที่จะทำลายความเงียบนี้ด้วยการชวนเพื่อนสนิทคุย
“ เอ่อ...จินยองยังไม่กลับหรอ " เสียงใสใสของยองแจเอ่ยถามออกไป
เพราะเขาจำได้จินยองเลิกคลาสไปนานแล้ว
ก่อนที่เท้าทั้งสองจะก้าวเดินออกไปข้างนอกตามทางเดินเพื่อไปที่ป้ายรถเมล์หน้ามหาวิทยาลัย
“ เรามาทำธุระน่ะ " จินยองตอบออกมาสั้นๆตามฉบับคนพูดน้อย
“ แล้วทำจินยองทำธุระเสร็จรึยัง มาส่งเราแบบนี้เราทำให้ลำบากรึเปล่า " ยองแจยังคงเอ่ยถามออกไปตามประสาคนขี้เกงใจ ถึงแม้รู้ว่าเพื่อนตัวสูงที่อยู่ข้างๆเต็มใจก็เถอะ
“ เสร็จแล้วล่ะ ส่วนที่ลำบากไหม มันไม่มีอะไรลำบากหรอกนะถ้าเราทำให้ยองแจทุกอย่างเราเต็มใจ "
หลังจากนั้นก็เกิดความเงียบขึ้นกับทั้งคู่ ยองแจรู้เพราะทุกอย่างมันเป็นแบบนี้มาค่อนข้างนาน
ตั้งแต่ที่เขาบอกจะให้โอกาสกับจินยองไปนั้นอีกฝ่ายก็เริ่มจีบและเทคแคร์เขาแบบเปิดเภยมากขึ้น
สายฝนที่เหมือนจะตกลงมาแรงมากขึ้นทำให้ยองแจเบียงเบนความสนใจจากคนข้างๆไปได้
และตอนนี้เขาทั้งสองก็มายืนอยู่ที่หน้าป้ายรถเมล์แล้ว แต่สวรรค์ก็คงจะเป็นใจให้เขาบ้างเพราะรถสายที่เขาต้องขึ้นมันมาพอดี
บนรถเมล์มีผู้คนเพียงเล็กน้อยทำให้สามารถเลือกที่นั่งได้ตามใจชอบ
ที่นั่งสองที่ติดริมกระจกหน้าต่างถูกจับจองด้วยเด็กหนุ่มมหาวิทยาลัยสองคน
ยองแจเลือกที่เข้าไปนั่งด้านในสุดที่นั่งข้างๆจึงถูกจองโดยจินยองแบบปฏิเสธไม่ได้
อาจจะเพราะสายลมเย็นๆและการที่เขาโดนน้ำฝนกระเซ็นมาโดนนิดหน่อย
ทำให้ร่างบางของยองแจสั่นเล็กน้อยแต่คนที่นั่งอยู่ข้างๆก็จับสังเกตุได้อยู่ดี
“ ยองแจหนาวหรอ " จินยองเอ่ยถามออกตามประสาคนขี้เป็นห่วง
“ อือ นิดหน่อยน่ะ เราง่วงด้วย "
ยองแจบอกพร้อมกับหาวโชว์จินยองเพื่อบอกให้รู้ว่าง่วงจริงๆ
จินยองถอดเสื้อคลุมของตัวเองออกมาพร้อมกับนำมันมาห่มให้ร่างบาง
“ ถ้ายองแจง่วงก็เอนหัวมาทางไหล่เราเลย หลับซะถ้าถึงแล้วเดียวเราปลุก "
การกระทำที่แสนอบอุ่นนั้นทำให้ผู้ถูกกระทำถึงกับใจเต้นแรง
ใช่เขาหวั่นไหวกับเพื่อนสนิทข้างๆนี่
เป็นคุณคุณจะไม่ใจเต้นแรงเวลาที่มีคนมาดูแลคุณแบบนี้หรอครับ
และยิ่งคนนั้นเป็นจินยองแล้วมันยิ่งทำให้ยองหวั่นไหวไปใหญ่
ยองแจเลือกที่จะเอนหัวของตัวเองไปที่ไหล่ข้างๆพร้อมกับหลับตาเพื่อแสร้งไม่ให้เพื่อนสนิทรู้
จินยองที่คิดว่ายองแจนั้นหลับไปแล้ว เขาเริ่มสำรวจใบหน้าของเพื่อนสนิทร่างบางทันที ตาตี๋ๆที่จะยีเหมือนเส้นตรงเวลาที่ยองแจยิ้มนั้นตอนนี้ถูกปิดสนิท
ไหนจะแก้มอวมๆที่น่าฟัดนั่น ตอนนี้คนข้างกายเขาเหมือนเด็กน้อยที่หลับไหลมากๆเลย
จนทำให้คนที่แอบมองยิ้มออกมา
เขาเอื่อมมือมาปัดผมหน้าม้าที่บังหน้าตาให้ยองแจก่อนที่ตัดสินใจคว้ามือคนข้างๆมากุ้มไว้
ส่วนคนที่ถูกกระทำได้แต่อมยิ้มกับการกระทำแสนอบอุ่นของเพื่อนสนิท
ก่อนที่จะหลับไปจริงๆ
เกิดความเงียบระหว่างทั้งสองอีกครั้งแต่ความเงียบครั้งนี้มันไม่ได้มีความอึดอัดผสมอยู่ด้วยเลย
จนในที่สุดรถก็เคลื่อนตัวมาจอดที่หน้าหอของร่างบางแล้วตอนนี้
จินยองปลุกยองแจเล็กน้อยก่อนที่จะลากเพื่อนสนิทพร้อมหิ้วกระเป๋าของร่างบางลงจากรถ
ตอนนี้จินยองก็คงไม่ต่างกับผู้ปกครองของเด็กชายยองแจเลยแม้แต่น้อย
ภาพที่ผู้ชายตัวที่ค่อนขางสูงลากเด็กน้อยตาตี๋แก้มอวบที่ดูเหมือนจะยังไม่ค่อยมีสติลงจากรถ ไหนจะการจับมือไม่เด็กตาตี๋นั้นขยี้ตาแต่เป็นตัวเองที่เอื้อมมือไปเช็ดให้
เป็นภาพที่ทำให้ผู้คนพบเห็นได้แต่ยิ้มเอ็นดู
“ เอ่อ.....จินยองรีบลงทำไมหรอ ยังไม่ถึงป้ายที่จินยองต้องลงนี่ " ยองแจเอ่ยถามหลังจากที่ตื่นเต็มตาแล้ว
จินยองจะรีบลงทำไมในเมื่อมันยังไม่ถึงป้ายที่ต้องลงจริงๆรึว่าจินยองจะขึ้นไปหามาร์ค?
“ เราจะเดินไปส่งยองแจให้ถึงห้องก่อน " เท่านั้นก็ทำให้ร่างบางร้องอ๋อ
“ แต่มันจะเสียเวลาจินยองรึเปล่า แค่นี้เองเราเดินขึ้นห้องเองได้ "
ส่วนยองแจก็ยังเป็นยองแจวันยันค่ำร่างบางเคยเกงใจแบบไหนก็ยังคงเป็นแบบนั้น
จนทำให้คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าอดทนไม่ไหว เขาดันให้ร่างบางเดินไปตามทางด้วยแรงของตัวเองเล็กน้อย
“ เราเต็มใจ ไปเถอะ "
ตอนนี้ทั้งสองได้มาหยุดอยู่ที่หน้าห้องของยองแจแล้ว
ยองแจปลดล็อครหัสห้องพร้อมเดินเข้าไปนำกระเป๋าไปวางไว้ก่อนที่จะเดินมาหาเพื่อนสนิทที่อยู่หน้าห้อง
“ ขอบคุณที่มาส่งนะจินยอง " ยองแจเอ่ยขอบคุณจินยองและร่ำลากันเล็กน้อย
ก่อนที่จินยองจะขอตัวเดินออกไป
ยองแจจัดการปิดประตูแต่ในหัวสมองเขากับคิดอีกเรื่องหนึ่งว่า ฃตอนนี้ความรู้สึกของเขาที่มีต่อเพื่อนสนิทเป็นยังไง?
เขารู้สึกว่าการที่มีจินยองอยู่ข้างกายเป็นเรื่องที่ดี
เวลาที่เศร้าเขาก็นึกถึงจินยองเป็นคนแรก
เดี๋ยวนี้เขายิ้มมากขึ้นก็เพราะจินยอง
เขาใจเต้นแรงเวลาที่อยู่ใกล้จินยองแต่ไม่ใช่กับมาร์ค
ยองแจตัดสินใจเปิดประตูออกไปอีกครั้ง
เขาเห็นแผ่นหลังของจินยองกำลังจะเดินไปที่ลิฟต์
ยองแจตะโกนเรียกจินยองให้หันหลังกลับมา ก่อนที่จะกวักมือเรียก
จินยองที่รู้ตัวว่ายองแจเรียกก็รีบวิ่งกลับมาเพราะกลัวเพื่อนสนิทจะลืมอะไรไว้
“ มีอะไรรึเปล่ายองแจ " จินยองเอ่ยถามพร้อมกับหอบเล็กน้อย
เพราะระยะทางจากห้องของร่างบางกับลิฟต์ค่อนข้างไกลเล็กน้อย
“ เอ่อคือจินยอง พรุ่งนี้มาส่งเราอีกนะ มาส่งแบบที่จินยองขอโอกาสเราไว้น่ะ "
ยองแจพูดออกมาเร็วๆแล้วไม่ปล่อยให้คนฟังได้เข้าใจเขาก็ปิดประตูเข้ามาก่อน
ส่วนคนที่อยู่หน้าห้องหลังจากที่เขาประมวลผลคำพูดที่ร่างบางบอกมาได้นั้นเขาก็ตะโกนและชกอากาศไปมาอย่างดีใจ ความดีของเขาชนะใจร่างบางได้แล้วใช่ไหม ขอบคุณพระเจ้าจริงๆ วันนี้เขามีความสุขมากๆจริงๆ มากกว่าวันไหนที่ผ่านมา
ส่วนคนที่ยืนอยู่หลังประตูนั้นก็ระบายยิ้มออกมา
เขารู้สึกขอบคุณตัวเองเล็กน้อยที่รู้ใจตัวเองไว และไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไป
และคงต้องขอบคุณจินยองมากๆที่ไม่ปล่อยเขาไปไหน และอดทนรอเขามาตลอด
และนั้นก็คือเรื่องการสารภาพความในใจในวันที่ฝนตกของยองแจ........: )
“ ที่รักอ่านอะไรอยู่ครับ " จินยองเอ่ยถามร่างบางที่กำลังก้มอ่านอะไรบ้างอย่างที่โต๊ะคอมก่อนที่เขาจะก้มลงไปหอมแก้มคนรัก
“ ยองแจอ่านไดอารี่ที่เคยเขียนไว้น่ะจินยอง " ยองแจตอบคนรักพร้อมส่งยิ้มไปให้
“ จริงๆตอนนั้นถ้ายองแจไม่ตกลง เราก็ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นยังไงเลย " จินยองพูดพร้อมกับทำถ้าคิดเล็กน้อย
“ เราอาจจะกำลังตามจีบยองแจแบบที่เคยทำก็ได้นะ ".
“ จินยองไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่าจะไม่ไปเจอคนอื่น แล้วก็หมดความอดทนกับเราก่อนนะ " ร่างบางเอ่ยเย้าแหย่คนรักของตนเล็กน้อย
“ ก็เพราะรักยองแจไงเราถึงมั่นใจ " คำตอบที่จินยองตอบมานั้นทำให้แก้มของเขารู้สึกร้อนขึ้นมาเสียดื้อๆ
แม้เราทั้งสองจะคบกันมานานมากขนาดไหน อาจจะเก้าถึงสิบปีได้แล้ว
แต่ยองแจก็ยังคงเขินกับคำบอกรักของจินยองมาตลอด
“ เราก็รักจินยองนะ "
ยองแจรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลกที่มีจินยองอยู่ใกล้ๆมาตลอด
และยองแจก็รักคนที่ทำให้ยองแจรู้สึกว่าตัวเองโชคดี มากที่สุดในโลกเหมือนกัน
I'm so lucky to have you
Talk With Me
กราบขอโทษคนที่รอก่อนเลยค่ะ(ถึงมีไม่กี่คนก็เถอะ) คือฟิคเรามันเป็นฟิคสดอะค่ะ
เขียนเสร็จแล้วลงเลยไม่ได้เขียนให้เสร็จไว้ก่อนㅠ ㅠ แล้วตอนจบเรื่องนี้เราไม่รู้ว่าจะให้มันจบยังไงอะค่ะ คือสมองตันมากตอนแต่ง แต่ว่าจบแบบนี้หวังว่าจะชอบกันนะคะ^^ enjoy readingนะคะ
ปล.ใครอยากอ่านคู่ไหนรีเควสเรามาได้เลยนะคะ
ความคิดเห็น