wanwan-jang
ดู Blog ทั้งหมด

สิ่งที่ควรรู้ก่อนส่งต้นฉบับ

เขียนโดย wanwan-jang
 เพื่อนๆ หลายคนที่ใฝ่ฝันอยากเป็นนักเขียนคงอยากให้งานของตัวเองได้ตีพิมพ์ด้วย
จริงไหมคะ เอ แล้วถ้าเราเป็นมือใหม่ที่ยังไม่เคยส่งต้นฉบับไปที่ไหน ควรจะทำอย่างไรดีหนอ
ส่งไปแล้วพี่บรรณาธิการจะอ่านงานของเราหรือเปล่า? เรื่องของเราจะได้ตีพิมพ์ไหม?
และคำถามอื่นๆ ที่จะมาตามมาอีกมากมาย หัวข้อนี้มีคำตอบให้คุณค่ะ

  

1. สิ่งที่ควรทำอันดับแรกก่อนส่งต้นฉบับไปให้สำนักพิมพ์พิจารณาคือควรจะเขียนงานชิ้นนั้น
ให้เสร็จเสียก่อน

โดยเฉพาะงานนวนิยาย จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้เขียนควรจะเขียนเรื่องของตนให้จบสมบูรณ์
บางครั้ง การพิจารณางานเขียนไม่สามารถตัดสินได้จากการอ่านเนื้อเรื่องเพียงสิบหรือยี่สิบหน้า
บรรณาธิการทุกท่านจำเป็นต้องอ่านงานของคุณทั้งหมด จึงจะตัดสินได้ว่างานชิ้นนี้จะผ่านการพิจารณาหรือไม่
เพราะเนื้อเรื่องเพียงบางส่วนไม่อาจชี้ชัดได้ว่าเนื้อเรื่องส่วนที่เหลืออีกกว่า 60 หรือร้อยหน้าจะมีทิศทางอย่างไร
ก่อนจะส่งงานไปที่ไหนจึงควรเขียนให้จบก่อนนะคะ


2. เรื่องย่อ การส่งเรื่องย่อไปด้วยจะทำให้บรรณาธิการพิจารณางานของคุณได้เร็วขึ้น

ความยาวของเรื่องย่อไม่ควรเกินสองหน้ากระดาษ เรื่องย่อที่ดีต้องสรุปเหตุการณ์สำคัญของเรื่อง เรียงตามลำดับ
ตั้งแต่ต้นจนจบ


3. ตรวจคำผิดอย่างน้อยหนึ่งรอบ

ก่อนส่งต้นฉบับไป ผู้เขียนควรอ่านตรวจทานเนื้อเรื่องทั้งหมดอีกครั้งเพื่อดูว่ามีคำใดสะกดผิดไปหรือไม่
เมื่อพบก็ให้แก้ไขให้ถูกต้อง หากอยากเพิ่มเติมเนื้อหาส่วนใดลงไป ก็ให้ทำให้เสร็จเรียบร้อยในขั้นตอนนี้
พึงระลึกเสมอว่า ผู้อ่านทุกคนย่อมคาดหวังว่าจะได้อ่านต้นฉบับงานเขียนที่ผ่านการตรวจเชคคำผิดมาเรียบร้อยแล้ว

  
4.จัดพิมพ์ต้นฉบับลงในกระดาษถ่ายเอกสาร

4.1 ขนาดตัวอักษรที่ใช้เป็นมาตรฐานสำหรับการจัดส่งต้นฉบับโดยทั่วไปคือ แบบอักษร Angsana New และ
Cordia New ขนาดอักษร 14 พ้อยท์ จัดขอบกั้นหน้าปกติตามมาตรฐานของโปรแกรมไมโครซอฟท์เวิร์ด
ในกรณีที่ทางสำนักพิมพ์กำหนดเจาะจงว่าต้องใช้ตัวอักษรแบบใด ผู้เขียนก็ควรปรับรูปแบบตัวอักษรให้ตรงกับ
ที่สำนักพิมพ์ระบุไว้

4.2 ควรใส่ชื่อเรื่องและชื่อผู้เขียนไว้ที่หัวกระดาษ และใส่เลขหน้าไว้ที่ท้ายกระดาษ การใส่ชื่อเรื่อง ชื่อผู้เขียน
และหมายเลขหน้าไว้ที่หัวกระดาษและท้ายกระดาษนั้น จะช่วยให้สำนักพิมพ์จัดเรียงหน้าได้ง่ายขึ้น
อีกทั้งยังสะดวกในการคัดแยกต้นฉบับของผู้เขียนแต่ละคนอีกด้วย ลองนึกภาพโต๊ะบรรณาธิการที่มีต้นฉบับ
รอให้พิจารณาครั้งละสิบหรือยี่สิบเรื่องสิคะ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าต้นฉบับเหล่านั้นหล่นไปกองรวมกันที่พื้น
คงน่าปวดหัวไม่น้อยเลยใช่ไหมล่ะคะ อีกสิ่งหนึ่งที่ควรใส่ไว้ในหัวกระดาษด้วยคืออีเมล์ที่คุณจะใช้ติดต่อกับสำนักพิมพ์
ในกรณีที่ทางสำนักพิมพ์ถูกใจผลงานของคุณ อีเมล์ที่ใส่ไว้จะทำให้ทางสำนักพิมพ์ติดต่อกับคุณได้ง่ายขึ้น

4.3 ความยาวของงานเขียนแบบนวนิยายไม่ควรต่ำกว่า 80 หน้ากระดาษขนาด A4
มาตรฐานต้นฉบับที่สำนักพิมพ์ต่างๆ กำหนดไว้มักจะอยู่ที่ 100 หน้าขึ้นไป
หรืออย่างน้อยที่สุดก็ไม่ควรต่ำกว่า 80 หน้า

4.4 งานเขียนประเภทรวมเรื่องสั้นควรมีงานเขียนรวมกันไม่น้อยกว่าสิบเรื่อง
จำนวนหน้าทั้งหมดเมื่อนับรวมกันไม่ควรต่ำกว่า 80 หน้าเช่นกัน เรื่องที่นำมารวมควรเป็นเรื่องประเภทเดียวกัน
เช่น ถ้าจะส่งเรื่องรักหวานโรแมนติกก็ควรให้อารมณ์ของงานเขียนทั้งสิบเรื่องอยู่ในโทนเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน
การส่งต้นฉบับเรื่องสั้นเพื่อรวมเล่มไม่ควรส่งเรื่องสั้นคละแนวไปในคราวเดียว
เพราะจะทำให้หาคอนเซ็ปต์ของงานได้ยาก และอาจไม่เป็นที่ต้องการของสำนักพิมพ์

4.5 การส่งต้นฉบับทางอีเมล์ ควรส่งไฟล์กลับหาตัวเองด้วยทุกครั้ง
ทั้งนี้เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการส่งงาน ก่อนส่งควรตรวจสอบอีเมล์ให้ถูกต้อง


  
5. จดหมายแนะนำตัว

หากมีจดหมายแนะนำตัว ควรเขียนให้กระชับได้ใจความ บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตัวคุณอย่างย่อๆ
เน้นในเรื่องเกี่ยวกับความสนใจในการเขียน ควรระบุรายชื่อผลงานที่ได้ตีพิมพ์แล้วไม่ว่าจะเป็นเรื่องสั้น นวนิยาย
หรือความเรียง รวมถึงนามปากกาต่างๆ ที่ใช้ในงานเขียนแต่ละประเภท ในกรณีที่ยังไม่เคยมีผลงานตีพิมพ์มาก่อน
จดหมายของคุณควรบอกเล่าถึงแรงจูงใจในการเขียน และควรเขียนด้วยถ้อยคำสำนวนที่แสดงความเคารพ
ในตัวบุคคลที่คุณติดต่อด้วย พึงระลึกไว้เสมอว่า
บรรณาธิการไม่ใช่เพื่อนเล่นของคุณ


  
6. ส่งผลงานให้ตรงกับความต้องการของสำนักพิมพ์

การส่งผลงานให้ตรงกับความต้องการของสำนักพิมพ์จะช่วยสร้างโอกาสให้งานของผู้เขียนผ่านการพิจารณาง่ายขึ้น
ผู้เขียนสามารถดูรายละเอียดประเภทของเรื่องที่รับ หรืออาจโทรศัพท์ไปสอบถามยังสำนักพิมพ์ได้
สำนักพิมพ์บางแห่งอาจรับพิจารณาแต่ผลงานที่เป็นแนวรักหวานโรแมนติก ผู้เขียนก็ไม่ควรส่งงานแนวสั่นประสาท
ขวัญผวาไปให้ เพราะแค่เริ่มต้นงานเขียนชิ้นนี้ก็จะไม่ผ่านการพิจารณาแล้ว เพราะไม่ตรงกับแนวทางของสำนักพิมพ์


  
7. ส่งต้นฉบับทางไปรษณีย์เพื่อเป็นหลักฐาน

สิ่งที่ได้รับการถ่ายทอดประสบการณ์ต่อๆ กันมาในการทำหลักฐานการส่งงานทางไปรษณีย์คือ ให้เจ้าของผลงาน
ทำสำเนาต้นฉบับขึ้นมาอีกชุดหนึ่งและส่งกลับมาหาตัวเองทางไปรษณีย์ด้วยการส่งแบบไปรษณีย์ด่วนพิเศษ
หรือ EMS ซึ่งเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์จะประทับตราวันที่ส่งและรับเอาไว้บนซองเอกสาร การเก็บหลักฐานในลักษณะนี้
ให้ผู้เขียนเก็บต้นฉบับที่ส่งหาตัวเองไว้โดยไม่ต้องแกะห่อพัสดุ ทั้งนี้ เพื่อไว้สำหรับเป็นหลักฐานในกรณีที่มีคดีความ
การแกะห่อพัสดุจะกระทำเมื่อคดีขึ้นสู่ศาล และมีการพิสูจน์หลักฐานต่อหน้าเจ้าที่ศาล


  
8. ตรวจสอบว่าต้นฉบับไปถึงมือบรรณาธิการหรือไม่

การสอบถามว่าบรรณาธิการได้รับต้นฉบับหรือยัง ควรทำหลังจากส่งต้นฉบับไปแล้วเป็นเวลาอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์
หากสอบถามไปทางอีเมล์แล้วแต่ยังไม่ได้รับคำตอบ ผู้เขียนสามารถโทรศัพท์ไปสอบถามที่สำนักพิมพ์ได้
โดยควรบอกชื่อผลงานและนามปากกาของตนเองให้ชัดเจน เมื่อได้รับคำตอบแล้วควรรอผลการพิจารณาจนกว่า
จะครบกำหนดตามที่สำนักพิมพ์ได้แจ้งไว้


  
9. อย่าส่งต้นฉบับไปหลายสำนักพิมพ์ในคราวเดียวกัน

การ 'หว่าน' ต้นฉบับเรื่องเดียวกันไปให้สำนักพิมพ์พิจารณาพร้อมกันทีละหลายๆ แห่งเป็นสิ่งไม่ควรทำอย่างยิ่ง
แม้จะเป็นสิทธิ์ที่ผู้เขียนสามารถกระทำได้ แต่การกระทำนี้จะไม่ส่งผลดีต่อตัวผู้ส่งงานในระยะยาว
คุณสมบัติสำคัญประการหนึ่งที่ผู้(อยาก)เป็นนักเขียนควรมีคือ ความอดทน

ในระเบียบการส่งเรื่องไปให้พิจารณานั้น แต่ละสำนักพิมพ์จะแจ้งระยะเวลาที่ใช้ในการพิจารณาให้ทราบอยู่แล้ว
ซึ่งบางแห่งอาจใช้เวลาพิจารณาตั้งแต่หนึ่งเดือนไปจนถึงหกเดือน ผู้ส่งงานสามารถตัดสินใจได้ว่า
ตนเองจะอดทนรอฟังผลการพิจารณาในระยะเวลาดังกล่าวได้หรือไม่

หากคิดว่าสำนักพิมพ์แห่งใดใช้ระยะเวลาในการพิจารณาเรื่องนานเกินไป ก็ไม่ควรส่งต้นฉบับไปยังสำนักพิมพ์แห่งนั้น
ผู้เขียนควรเลือกสำนักพิมพ์ที่ตนเองอยากร่วมงานด้วยมากที่สุด แล้วจึงส่งผลงานไปให้บรรณาธิการพิจารณา
การส่งผลงานเรื่องเดียวไปยังหลายสำนักพิมพ์พร้อมกัน แสดงให้เห็นว่าผู้เขียนไม่ได้ต้องการร่วมงานกับสำนักพิมพ์
แห่งนั้นอย่างแท้จริง แต่แสดงให้เห็นว่าผู้เขียนหวังจะสร้าง 'โอกาส' ให้งานผ่านการพิจารณามากขึ้น
ด้วยการประหยัดเวลาของตัวเองโดยไม่สนใจในระบบการพิจารณาเรื่องของสำนักพิมพ์แต่ละแห่ง ซึ่งในบางครั้ง
สำนักพิมพ์อาจตอบรับต้นฉบับของผู้เขียนสองแห่งพร้อมกัน การตัดสินใจเลือกตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์แห่งใดแห่งหนึ่ง
อาจทำผู้เขียนเสียโอกาสในการร่วมงานกับสำนักพิมพ์อีกแห่งหนึ่ง

แม้ในอนาคตผู้เขียนจะส่งต้นฉบับเรื่องอื่นไปให้สำนักพิมพ์แห่งนั้นพิจารณา
แต่ทางสำนักพิมพ์อาจหมายเหตุที่ชื่อผู้เขียนไว้แล้วว่า "หว่านต้นฉบับ" ผลก็คืองานของผู้เขียนรายนี้
อาจถูกเก็บไว้อ่านในลำดับท้ายๆ เพื่อเผื่อเวลาสำหรับการแจ้งถอนต้นฉบับโดยตัวผู้เขียนในภายหลัง

  
10. เมื่อได้รับผลพิจารณาว่าเรื่อง "ไม่ผ่าน"

โดยปกติบรรณาธิการจะแจ้งเหตุผลมาให้ทราบด้วยว่างานเขียนชิ้นนั้นๆ มีจุดอ่อนในเรื่องใดบ้าง
หรือหากไม่ได้แจ้งมา ผู้เขียนสามารถส่งอีเมล์หรือโทรศัพท์ไปสอบถามเหตุผลได้
การสอบถามควรเป็นไปเพื่อขอคำแนะนำมาใช้ปรับปรุงให้ผลงานของตนสมบูรณ์ยิ่งขึ้น เมื่อแก้ไขปรับปรุงแล้ว
ผู้เขียนอาจลองส่งผลงานกลับไปให้สำนักพิมพ์แห่งเดิมพิจารณาอีกครั้งหรือส่งไปยังสำนักพิมพ์แห่งอื่นต่อไป


  
นี่คือวิธีการและขั้นตอนคร่าวๆ สำหรับเพื่อนๆ ที่ยังไม่เคยส่งต้นฉบับไปให้สำนักพิมพ์แห่งใดพิจารณานะคะ
ถ้าเขียนเรื่องเสร็จแล้วก็ลุยเลยค่ะ!



เขียนและเรียบเรียงโดย อัญชา

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ 14 พ.ย. 50
สงวนลิขสิทธิ์ ห้ามคัดลอกส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาต
เว้นแต่ทำเป็นลิงค์อ้างอิงไปเท่านั้น

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นที่ 1
"บรรณาธิการไม่ใช่เพื่อนเล่นของคุณ"
แล้วใครเป็นเพื่อนเล่นสมัยเด็กๆของบรรณาธิการมาก่อนมั่ง จะฝากส่งผลงาน !!