ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ลวงรักปาฏิหาริย์ (ชวนฟังนิยายเสียง)

    ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ยังไม่ได้ตั้งชื่อ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 17
      0
      9 พ.ค. 64



    บทที่ 1 คนหัวใจบอบบาง

    ...ย้อนกลับมาเมื่อหลายเดือนก่อน...

    หากมองผ่านรั้วประตูเหล็กตาห่างสีน้ำตาลตรงทางเข้าหน้าบ้านเลยจากสวนสีเขียวกะทัดรัดหน้าบ้านเข้าไปจะเห็นตัวบ้านตึกสองชั้นฉาบด้วยซีเมนต์แล้วทาทับด้วยสีทาบ้านสีส้มหลังกะทัดรัดของหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่ง มีชายหนุ่มมาดเซอร์วัยยี่สิบแปด หน้าตาคมเข้มประดับด้วยหนวดเคราอ่อนๆ ใต้คางเสริมรับให้ดูหล่อคมเข้มยิ่งขึ้นไปอีก ผมของเขายาวประบ่ามัดรวบไว้อย่างหลวมๆ อยู่ในชุดเสื้อยึดสีขาวกางเกงยีนส์นอนเหยียดหลาหมดสภาพอยู่บนเตียงนอนชั้นสองของบ้าน ความเหนื่อยล้าทำให้เขาทรุดตัวนอนหลับไปทั้งๆ ที่ยังไม่ได้อาบน้ำเปลี่ยนเป็นชุดนอน

    อาทิตย์ชายหนุ่มเจ้าของบ้านกำลังขยับพลิกตัวไปมาอย่างรำคาญ พร้อมกับค่อยๆ ฝืนเบิกตาให้ตื่นจากฝันดีบนที่นอนนุ่มนิ่มสีฟ้าอ่อนลายขวางอย่างงัวเงียไม่ค่อยเต็มใจ แต่ที่ต้องฝืนตาตื่นขึ้นมาทั้งที่ยังไม่อยากตื่นเช่นนี้ก็เพราะเสียงโทรศัพท์ที่ดังปลุกคนนอนหลับอยู่หลายต่อหลายครั้งจนน่ารำคาญ

    ครั้นพอตั้งใจกดปิดมือถือทิ้ง ก็ยังไม่วายจะมีเสียงของโทรศัพท์บ้านดังขึ้งต่อเนื่องในทันที

    อาทิตย์ไม่รู้ว่าตอนนี้มันเป็นเวลากี่โมงแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่อาทิตย์รู้เป็นอย่างดี คือ วันนี้เป็นวันหยุดงานของเขา และเขาต้องการนอนให้นาน ตื่นให้สายสักวัน แต่นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมเขาจะต้องแหกตาตื่นขึ้นมารับโทรศัพท์ในเวลานี้ด้วยล่ะเนี่ย แล้วดูนาฬิกาที่บอกเวลานั้นสิ ตีห้ากว่าบ้าแล้ว! ใครนะ? ที่โทรมาไม่รู้จักเวล่ำเวลาแบบนี้ อาทิตย์คิดอย่างหัวเสีย

    อาทิตย์ลอบมองนาฬิกาบนโต๊ะหัวเตียง แสงไฟนิออนบนฝ้าเพดานที่เขาไม่ได้ปิดทำให้เขามองเห็นเวลาที่เดินหมุนอยู่ได้อย่างชัดเจน เขาฝืนใจตัวเองลุกขึ้นมาจากเตียงนอนแล้วลากสังขารตนเดินลงมาจากห้องนอน เพื่อมารับโทรศัพท์ตั้งโต๊ะที่วางอยู่ด้านล่างสุดของตีนบันไดบ้าน

    ในระหว่างที่อาทิตย์ค่อยๆ เกาะราวบันไดก้าวเดินลงมาทีละก้าวๆ อย่างเชื่องช้า เขารู้สึกไม่ค่อยสบายใจอย่างบอกไม่ถูก แถมตายังกระตุกๆ เหมือนจะมีเรื่องร้ายบางอย่าง

    อาทิตย์เดินมาถึงโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะไม้สีน้ำตาลเข้มตัวเล็กทรงกลม

    เสียงโทรศัพท์ที่ดังลั่นจนน่ารำคาญนั้นถูกยกหูขึ้นอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก เจ้าของเสียงต้นสายนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน เธอคือเพื่อนสนิท... คือคนที่เขาต้องการดูแลไปทั้งชีวิต วาดดาว

    “แกเอง! มีอะไร...โทรมาตอนนี้... รู้หรือเปล่าว่าตอนนี้มันกี่โมง” อาทิตย์ถามทั้งที่ยังไม่ตื่นเต็มตา เขายังคงง่วงและต้องการพักผ่อน

    “ฮือๆ ฮือ....ฮือๆ ฮา...” เสียงร้องไห้โฮของวาดดาวดังออกมาทะลุโทรศัพท์จนแสบแก้วหู

    อาทิตย์ถึงขนาดต้องเลื่อนเอาโทรศัพท์ออกห่างจากใบหู ไม่อย่างนั้นเยื่อแก้วหูของเขาคงพิการเป็นแน่ อาการง่วงนอนที่มีมลายหายไปสิ้นทันทีที่เจอเสียงสะอื้นไห้ของหญิงสาว

    ฟังจากเสียงไม่บอกก็รู้ว่าคงเป็นเรื่องเดิมๆ เหมือนเช่นทุกๆ ครั้งที่โทรมา อาทิตย์เดาสถานการณ์ออก

    “เป็นไงล่ะ ร้องไห้แบบนี้ อกหักอีกแล้วล่ะสิ รอแป๊บ...เดียวฉันจะรีบไปหาแกที่บ้านเดี๋ยวนี้แหละ” ชายหนุ่มบอกคนร้องไห้ที่โทรมาอย่างเสียไม่ได้

    อาทิตย์รู้ดีว่าการที่เธอโทรหาแบบนี้ แสดงว่าเธอต้องการให้เขาไปหาเธอที่บ้าน เพื่อปลอบใจเธอ พร้อมกับที่เธอจะได้ระบายความอัดอันตันใจให้เขาฟังด้วยเช่นกัน มันเป็นอย่างนี้ทุกครั้งนั้นแหละ โธ่! ไม่รู้จักจำเลยยัยดาว

     

    หลังวางสายโทรศัพท์จากวาดดาว อาทิตย์ไม่แม้แต่จะคิดเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดเดิมออกหรืออาบน้ำใหม่คลายง่วงสักนิดเสียก่อน เขาเพียงแต่เดินขึ้นไปหยิบเสื้อแจ็คเก็ตหนังสีดำคู่ใจจากบนห้องนอนมาสวมทับเสื้อยืดตัวเดิม และตั้งใจมุ่งหน้าเพียงเพื่อเป้าหมายอย่างเดียวเท่านั้น

    เขาจะต้องไปให้ถึงบ้านของวาดดาวให้เร็วที่สุดเท่าที่ตนจะสามารถทำได้

     อาทิตย์รีบหยิบคว้ารถมอเตอร์ไซด์สีดำคันใหญ่ออกจากบ้าน เขาขี่ซิ่งมันอย่างช่ำชองด้วยความเร็วปาดหลบหลีกรถที่แล่นอยู่ตรงหน้าคันแล้วคันเล่ามุ่งหน้าตรงดิ่งไปยังบ้านของหญิงสาวด้วยหัวใจเร่งเร้าร้อนกรุ่มด้วยความเป็นห่วง

    รถมอเตอร์ไซด์คันใหญ่สุดเท่สีดำเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นรถประจำตัวของหนุ่มมาดเซ่อชื่ออาทิตย์ เขาใช่มันตะลอนเดินทางไปในทุกแห่งเมื่อเขาต้องออกไปทำงานติดตามหาข้อมูล

    อีกทั้งงานของเขายังเป็นงานที่ต้องใช่ความคล่องตัวสูง เป็นงานที่ต้องด่วนรวดเร็วและฉับไว งานที่ว่าก็คือ นักข่าวอาทิตย์ทำงานเป็นนักข่าวบันเทิงให้กับสำนักพิมพ์เอ็สสตาร์...สำนักพิมพ์น้องใหม่ไฟแรง ทุกเรื่องราวแฉชัดลึกจริงไม่ใส่ไข่และนั้นเป็นสโลแกนของสำนักพิมพ์ ทั้งยังเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้อาทิตย์ตักสินใจเลือกทำงานกับสำนักพิมพ์แห่งนี้ ทั้งที่มีอีกหลายแห่งต้องการตัวเขา

    อาทิตย์ขี่ซิ่งรถมอเตอร์ไซด์คันใหญ่สีดำประจำตัวมาถึงที่หน้ารั้วประตูบ้านของวาดดาว รั้งเหล็กสีเหลืองทองของคฤหาสน์ใหญ่โตหรูหราอันคุ้นเคยถูกเปิดออกราวกับมีใครบางคนรอต้อนรับอยู่ก็ไม่ป่าน ชายหนุ่มวิ่งรถเร็วหรี่เข้าผ่านช่องประตูรั้วที่ยังเปิดไม่สนิทเข้ามาอย่างใจร้อน ก่อนจะหยุดจอดสนิทตรงหน้าหญิงวัยสี่สิบปลายๆ ผมซอยสั้นและชอบใส่ผ้าซิ่นเป็นชีวิตจิตใจอย่างป้าแจ่ม

    ป้าแจ่มเป็นแม่บ้านเก่าแก่ของคฤหาสน์หลังนี้ อีกทั้งยังควบตำแหน่งคล้ายจะเป็นญาติผู้ใหญ่ของวาดดาวอีกนัยหนึ่งด้วย นับตั้งแต่หลังจากที่ทั้งพ่อและแม่ของวาดดาวเสียชีวิตลง วาดดาวก็ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน โชคดีที่ได้ป้าแจ่มคอยช่วยดูแลและเป็นห่วงเธอยิ่งกว่าเป็นลูกแท้ๆ เสียอีก

    อาทิตย์หยิบถอดหมวกกันน็อคที่สวมศีรษะออก พร้อมๆ กับที่ได้ยินเสียงคุ้นหูของหญิงสูงอายุนั้นพูดเสียงสั่นระรัวขึ้น

    “ดีใจจังเลยค่ะที่คุณอาทิตย์มา” ป้าแจ่มเดินมารอรับ

    “ครับ! ป้า...ป้าแจ่มเป็นอะไรครับ มีเรื่องอะไร ใจเย็นๆ แล้ววาดดาวล่ะ” อาทิตย์ถามระคนห่วงใย

    “อยู่บนห้องค่ะ ท่าทางไม่ค่อยดีเลย หนูดาวไม่ยอมออกจากห้อง มื้อเย็นก็ไม่ทาน ป้าเรียกก็ไม่ขานรับ ป้างี้เป็นห่วงจริงๆ เลย อาทิตย์ช่วยไปดูให้ป้าหน่อยเถอะค่ะ ใจคอป้าจะเป็นลมเอาเสียให้ได้เลย” ป้าแจ่มพูดไปเดินไปด้วยสีหน้ากังวลใจและเป็นห่วง ระหว่างที่ทั้งสองคนพากันเดินเข้าบ้านมา

    “ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ก็เห็นเป็นอย่างงี้ทุกที เวลาอกหัก เรื่องก็คงเหมือนๆ เดิม ผู้ชายที่ยัยนั้นชอบนอกใจอีกตามเคย” อาทิตย์กล่าวเพื่อให้ป้าแจ่มที่ท่าทางกังวลนั้นคล้ายกังวลลง

    “แต่ป้าก็ยังอดห่วงไม่ได้เหรอค่ะ” ป้าแจ่มว่า “เดี๋ยวป้าไปเอามื้อเช้ามาด้วยดีกว่า เพื่อหนูดาวหิวจะได้ทานได้เลย” ป้าแจ่มเดินแยกตัวเข้าไปทางครัวหลังบ้าน เพื่อจัดแจงยกอาหารมื้อเช้ามาให้ วาดดาวหญิงสาวที่ชอบทำให้หลายคนต้องเป็นห่วงอยู่เสมอๆ 

    ระหว่างที่อาทิตย์เดินขึ้นบันไดมายังประตูไม้สีขาวกรุลายงามตาอย่างสละสลวย นี่คือห้องนอนของวาดดาว เพื่อนสนิทที่เขาอยากดูแลเธอทั้งชีวิตนั้นแหละ ความเงียบงันกรุ่มกริ่มหัวใจเขาจนสั่นเทา ทำไมถึงไม่ได้ยินเสียงร้องไห้โฮแม้สักนิดเหมือนในตอนที่เธอโทรศัพท์ไปหานะ อาทิตย์คิด

    “ก๊อกๆ ก๊อกๆ” เสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับเสียงเรียก “ยัยดาว!” เงียบไม่มีเสียงขานตอบกลับ

    อาทิตย์เรียกเธออีกครั้ง “วาดดาว นี่ฉันเองนะ อาทิตย์ เปิดประตูให้หน่อย” เสียงเรียกนั้นราวกับว่าส่งไปไม่ถึงคนในห้อง เงียบฉี่ไร้เสียงใดๆ ตอบกลับออกมา และประตูห้องยังคงไม่เปิดออก

    เวลาผ่านไปจนกระทั้งป้าแจ่มกลับมาพร้อมกับถาดในมือที่มีอาหารมื้อเช้าจัดวางอยู่อย่างน่าอร่อย

    “ยังไม่ยอมเปิดอีกเหรอค่ะเนี่ย” ป้าแจ่มถาม ก่อนจะเดินไปเรียกที่ประตูนั้นเสียเอง “หนูวาดดาว... อาทิตย์มาหาค่ะ เปิดประตูหน่อยสิค่ะ”

    ความเงียบทำให้ป้าแจ่มต้องแนบหูฟังเสียงกับบานประตูสีขาวนั้น แต่ยังคงมีเพียงความเงียบงันเท่านั้นที่ส่งผ่านออกมาจากด้านในห้อง อาทิตย์กับป้าแจ่มมองหน้ากันด้วยความเป็นกังวลราวกับกำลังคิดในสิ่งเดียวกัน ทั้งสองคนกลัวเหลือเกินว่าวาดดาวจะทำอะไรโง่ๆ

    “ไปเอากุญแจมาไขเลยดีกว่าครับ ป้า!” อาทิตย์ชักเริ่มกังวลมากขึ้นกว่าเดิม ทั้งๆ ที่เป็นคนโทรไปหาเขาแท้ๆ แต่กลับไม่ยอมเปิดประตูให้กับอาทิตย์ที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูห้องของเธอในยามนี้ มันแปลกๆ อยู่นะ และมีเพียงสิ่งเดียวที่จะคิดได้ในสถานการณ์เช่นนี้คือ วาดดาวอาจจะทำอะไรลงไปโดยที่ไม่ทันได้คิดก็ได้

    ป้าแจ่มร้อนอกร้อนใจ...ร้อนรนจนมือสั่นไหวไปมาอย่างวิตก เธอลนลานรีบหยิบกุญแจพวงใหญ่ออกมาจากเอว พร้อมกับเลือกหาลูกกุญแจที่จะไขห้องของหญิงสาววัยยี่สิบเจ็ดปีตรงหน้า

                    “ได้แล้วค่ะ”

    ป้าแจ่มเป็นคนไขประตูห้อง มือคู่นั้นสั่นเทา แต่สิ่งที่พบหลับบานประตูห้องนั้น ทำให้อาทิตย์กับป้าแจ่มอ่อนใจ และถอนหายใจเฮือกใหญ่ลงพร้อมๆ กัน ก็เพราะภาพหญิงสาวที่ทำให้ต้องเป็นห่วงนั้นไม่ได้เป็นอะไรอย่างที่พวกเขาคิดวิตกกันไปมากมาย วาดดาวแค่หลับไป ความเหนื่อยล้าจากการเสียน้ำตา...ร้องไห้เสียใจให้ผู้ชายคนนั้น ทำให้เธอเผลอหลับไปทั้งที่คราบน้ำตายังเปียกแก้มอมชมพูสวยของเธออยู่ในยานนี้

                    “ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องปลุกหรอก ปล่อยให้เธอนอนอย่างนั้นแหละ เดี๋ยวผมดูแลวาดดาวให้เอง” อาทิตย์ค้านพร้อมกับรับอาสาเป็นคนดูแลวาดดาว เมื่อเห็นป้าแจ่มทำท่าจะปลุกหญิงสาวที่นอนหลับสนิท

    ป้าแจ่มไม่ปฏิเสธที่จะทำตามอาทิตย์บอก เธอปล่อยให้ชายหนุ่มอย่างอาทิตย์อยู่ลำพังกับคุณหนูของบ้านอย่างไว้เนื้อเชื่อใจ

    อาทิตย์เดินเข้าออกบ้านหลังนี้มาตั้งแต่เท้าเท่าฝาหอยราวกับว่าเป็นบ้านอีกหลังของตนก็ไม่ป่าน และนั้นจึงไม่แปลกที่ป้าแจ่มจะไว้ใจให้เขาอยู่เพียงลำพังสองต่อสองในห้องนอนของวาดดาวอย่างนั้น

                    “ฝากด้วยนะคะ”

    ป้าแจ่มวางถาดอาหารมื้อเช้าทิ้งไว้ในห้องบนโต๊ะตัวเล็กที่ข้างหัวเตียง ก่อนเดินออกจากห้องไปพร้อมกับปิดประตูห้องลงอย่างเบามือ

     

                    หลังจากป้าแจ่มออกไปจากห้อง อาทิตย์ก็ค่อยๆ ทรุดตัวนั่งลงข้างๆ วาดดาว หญิงสาวหน้าเรียวสวยได้รูปที่นั่งฟุบหน้าร้องไห้อยู่กับเตียงนอนจนหลับไป เขานั่งอย่างระวังตัวที่สุดกลัวเธอจะตื่นขึ้นมาก่อนที่เขาจะทันได้ลอบมองดวงหน้าของเธอให้ถนัดชัดอย่างเช่นในตอนนี้ แม้จะไม่ได้เห็นนัยน์ตากลมสีน้ำตาลเข้นของเธอที่ซ่อนอยู่ยามหลับ แต่ผมที่ยาวดำสลวยของเธอก็ขับให้หน้านวลขาวนั้นสวยเด่นชัดมากยิ่งขึ้น

    และถึงแม้ครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้อยู่กับเธอสองต่อสองแบบนี้ แต่ทุกครั้งเมื่อได้อยู่กับหญิงสาวเพียงลำพังสองคนในครั้งใด ชายหนุ่มก็มักจะอดใจไม่ได้ที่จะนั่งลอบมองดูใบหน้าของเธอใกล้ๆ เช่นนี้เสมอๆ

    ตาคู่สวยที่เคยสดใสของเธอ...ทำไมถึงต้องมาเปื้อนรอยคราบน้ำตาจากชายอื่นเช่นนี้ด้วยนะ วาดดาว อาทิตย์คิด พร้อมกับที่เขาค่อยๆ ใช้มือยื่นออกไปเกลี่ยไล่น้ำใสๆ นั้นออกจากดวงตากลมสวย ไล่เลื่อนตามรอยคราบน้ำตาที่ไหลรินอาบแก้มลงไปจากแก้มเลื่อนไล่ไปจนใกล้กับริมฝีปากอมชมพู

    ริมฝีปากเรียวเล็กที่ยามนี้แลดูอิ่มเอิบจนน่าสัมผัสยิ่งนัก ทำให้หัวใจชายหนุ่มสั่นไหวตามแรงปรารถนาของหัวใจตนอย่างน่าประหลาด อาทิตย์อดใจไว้ไม่ไหวอีกต่อไปแล้วที่จะสัมผัสริมฝีปากเรียวได้รูปนั้นของเธออย่างทะนุถนอม

    เขาเผลอใจและพยายามยื่นหน้าเข้าไปใกล้หมายจะจุมพิตเธอขณะที่ยังหลับสนิทราวกับลูกแมวตัวน้อยๆ แต่แล้วเปลือกตาคู่สวยของเธอก็เริ่มขยับขึ้นทีละนิดๆ จนเขาต้องชักหน้ากลับออกมาจากหญิงสาว ก่อนที่เธอจะทันได้เห็นว่าเขากำลังจะทำอะไรกับเธอ

    ...ถ้าเห็นเข้าล่ะก็สงสัยบ้านแตกโลกทลายและวาดดาวคงโวยวายใส่เขา และพานเลิกคบเขาอย่างแน่นอน...

    วาดดาวค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาเธอที่จ้องมองเขานั้นแสนเศร้า ยังคงมีน้ำใสๆ เอ่อคลอนัยน์ตาเธออยู่แม้มันจะน้อยนิดก็ตาม

                    “มาแล้วเหรออาทิตย์” วาดดาวเอ่ยทัก เมื่อเห็นชายหนุ่มที่เฝ้าคอยนั่งอยู่ตรงหน้า “ฮือๆ ฮือๆ ฮา...” แล้วก็เมื่อเดิมเสียงร้องไห้ค่อยๆ เริ่มขึ้นอีกครั้ง ในตอนที่เธอเริ่มเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้อาทิตย์ฟัง เธอเล่าว่า.....

                    ชาคริตแฟนหนุ่มสถาปนิกที่เธอคบมาได้เกือบ 2 เดือน นอกใจเธอ นายชาคริตมีแฟนสาวอีกคนในขณะที่คบกับเธอ เธอจับได้ตอนที่เธอนั่งทานอาหารกลางวันอยู่กับทีมงานในร้านอาหารที่เธอรับงานถ่ายแบบ ร้านอาหารหรูหราที่เพิ่งเปิดตัวได้ไม่นาน เขาว่าจ้างให้เธอมาเป็นพรีเซ็นเตอร์

    แต่สิ่งที่วาดดาวไม่เคยคิดมาก่อนเลยก็คือ การรับงานถ่ายแบบเป็นพรีเซ็นเตอร์ในครั้งนี้ มันจะทำให้เธอพบกับความจริงที่แสนเจ็บปวด ชาคริตชายหนุ่มที่เธอคาดหวังว่าจะเป็นรักแท้...และรักครั้งสุดท้ายในชีวิตของเธอจะทรยศความรักที่เธอมอบให้เขา 

    ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอคิดมาโดยตลอดได้พังทลายลงตรงหน้าอย่างคาดไม่ถึง วาดดาวเดินตรงเข้าไปหาคนทั้งคู่ด้วยอารมณ์ของคนที่ถูกแย่งของรัก

                    “นี่เธอ! เป็นอะไรกับผู้ชายคนนี้งั้นเหรอ?” วาดดาวถามขณะที่เดินไปหยุดยืนอยู่ที่โต๊ะอาหารของชาคริต ชาคริตเงยหน้าขึ้นจากมื้ออาหารที่แสนภิรมย์ระหว่างแฟนสาวที่มาด้วยกัน ก่อนจะสะดุดเข้ากับหน้าหวานๆ ที่ตอนนี้ไม่ค่อยจะหวานเท่าไหร่แล้วก็ตามที

                    “คุณมาได้ไง? วาดดาว” ชาคริตขยับตัวลุกจากเก้าอี้นั่งอย่างลุกลี้ลุกลน

                    “แฟนค่ะ ดิฉันเป็นแฟนของชาคริตและเรากำลังจะแต่งงานกัน คุณคงเป็นเพื่อนของชาคริตใช่ไหมค่ะ ถ้าอย่างไงก็ขอเชิญไปร่วมงานแต่งระหว่างเราสองคนด้วยนะค่ะ” สาวสวยเซ็กซี่ที่มากับชาคริตตอบคำถามของวาดดาวพร้อมกับเดินมาอ้อมโต๊ะอาหารมาดึงแขนของชาคริตเข้าไปกอดไว้อย่างเจ้าข้าวเจ้าของ และอวดแหวนที่สวมอยู่ที่นิ้วนางข้างซ้ายให้ดูเพื่อเป็นหลักฐานการในการหมั้นหมาย

    ชาคริตปล่อยให้สาวที่มาด้วยพูดอยู่ฝ่ายเดียวโดยที่ไม่คิดจะแก้ต่างใดๆ เลย นั้นยิ่งทำให้ดวงตาของวาดดาวร้อนผ่าวราวกับไฟสุ่มอยู่ที่กลางนัยน์ตาแต่ครั้นไฟในอกนั้นจะร้อนรนยิ่งกว่า

                    “งั้นก็ต้องขอแสดงความยินดีกับว่าที่เจ้าสาวและเจ้าบ่าวด้วยนะค่ะ” น้ำเสียงราวกับจะกัดฟันพูด เธอพูดไปพร้อมๆ กับที่มือหยิบคว้าแก้วไวท์ขึ้นมาราวกับจะแสดงความยินดี แต่เปล่าเลยวาดดาวใช้ไวท์ที่อยู่ในแก้วสาดใส่คนทั้งคู่ ทำให้สาวที่ยืนข้างชาคริตเต้นเป็นเจ้าเข้า ...เชอะ! เล่นกับใครไม่เล่น มาเล่นกับคนอย่างวาดดาว รู้จักฉันน้อยไปแล้วนะพวกแก...

                    หลังจากที่ไวท์ในแก้วถูกสาดไปด้วยอารมณ์โมโหคละคลุ้งไปด้วยความโกรธของวาดดาว เธอออกจากร้านแล้วขับรถตรงกลับบ้านทันที โชคดีที่งานถ่ายแบบเป็นพรีเซ็นเตอร์ของเธอเสร็จแล้ว ไม่อย่างนั้นเธอคงต้องทำงานที่รับไว้ไปทั้งน้ำตานองหน้า

     

                    “อาทิตย์! ทำไม?” เธอรัวเสียงพร้อมกับสะอื้น “ทำไมผู้ชายที่เข้ามาในชีวิตฉันถึงได้มีแต่พวกผู้ชายเห็นแก่ตัวทั้งนั้นเลย ฮือๆ ฮือๆ ทำไม?” ยิ่งเล่าถึงเรื่องที่ผ่านมามากเท่าไรก็ยิ่งทำให้วาดดาวเศร้ามากขึ้นเท่านั้น ยิ่งเศร้าเธอก็ยิ่งน่าสงสาร... เขาอดไม่ได้ที่จะโน้มตัวเข้าใกล้เธอ ในขณะที่เธอก้มหน้าร้องไห้ลงบนเตียงนอนอีกครั้งเพื่อปลอบใจ

                    “อย่าร้องไห้ไปเลยแก เดี๋ยวไม่สวยนะ ถึงอย่างไงแกก็ยังมีฉัน ฉันก็เป็นผู้ชายคนหนึ่งในชีวิตแกเหมือนกันนะ และฉันก็คิดว่า...ฉันดีพอและก็ดีมากด้วยนะ” ชายหนุ่มเองก็ไม่อยากจะอวดตัวเท่าไหร่หรอก

    วาดดาวเงยหน้าออกจากเตียงนอนของเธอ แล้วหันโผล่เข้ามากอดชายหนุ่มไว้แน่นทั้งน้ำตา อาทิตย์ไม่รู้จะทำตัวอย่างไงดี เล่นมากอดกันแน่นแบบนี้ ...หน้าอกเธอนิ่มจัง เฮ้ย! ไม่ใช่เวลา... เขากอดเธอตอบเพื่อปลอบใจ สาวสวยมาดมั่นอย่างเธอกับอ่อนแอเหลือเกินกับเรื่องความรัก แต่น่าแปลกที่เธอเองก็ไม่เคยจะเข็ดหลาบกับความรักเลยแม้สักครั้ง วาดดาวยังคงไขว้คว้าโหยหาความรักอยู่เสมอ แม้ว่ามันจะทำให้เธอเจ็บปวดก็ตาม

                    “มันก็จริงที่นายเป็นคนดี แต่นายมันข้อยกเว้น ก็นายมันเป็นเพื่อนฉันนี่ ไม่ใช่แฟน” คำพูดที่ตอกย้ำสถานะระหว่างเขากับเธอ ราวกับหูของเขามันดับไปชั่วขณะรวมถึงใบหน้าด้วยที่คล้ายจะไร้ความรู้สึกเอาเสียดื้อๆ เช่นกัน ...ใช่สิ เธอมองเขาเป็นแค่นั้น แค่เพื่อน...

    “ขอบใจนะ ที่นายมาหาฉันตลอดเลย เวลาที่ฉันอยากระบายเรื่องในใจเสมอๆ ขอบคุณ ตอนนี้ฉันดีขึ้นแล้ว” วาดดาวผละออกจากอ้อมกอดของอาทิตย์ พร้อมกับยกมือเรียวขาวขึ้นปาดน้ำใสๆ ออกจากแก้มนวลสวย คราบน้ำตาที่ไหลอาบเปื้อนแก้มของเธอเริ่มจะเลือนหายไปแล้ว อาทิตย์คิดว่าวาดดาวคงรู้สึกดีขึ้นจริงๆ อย่างที่บอกกับเขา

    “ถ้าดีขึ้นแล้วก็ไปอาบน้ำได้แล้ว ชุดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย ฉันว่ามันชักกลิ่นไม่ค่อยดีแล้ว อี้...เหม็นเชียว” อาทิตย์โน้มตัวไปดมกลิ่นที่ตัวเธอ ทั้งที่กลิ่นตัวเธอหอมจนน่าสัมผัส แต่เขากลับบอกว่าเหม็นจนวาดดาวทำตาเขียวใส่แล้วตีตามแผงอกเขานิดๆ ก่อนเดินตรงไปที่ห้องน้ำเพื่ออาบน้ำ

    ก่อนที่เธอจะเดินเข้าห้องน้ำไปนั้น เธอยังอุตส่าห์หันกลับมาบอกเขาอีกว่าสองวันเอง ชายหนุ่มได้แต่แอบอมยิ้มอยู่คนเดียวกับสีหน้าและคำตอบที่เธออุตส่าห์ตอบ ทั้งที่ว่าเธอไปแบบนั้น...แต่ไอ้ชุดที่เขาใส่อยู่ในตอนนี้ก็ผ่านเวลามาไม่น้อยกว่าเธอเท่าไหร่หรอก ก็เขาเองก็ยังไม่ได้อาบน้ำเลยมาตั้งแต่เมื่อวาน

    เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ เสียงน้ำจากฝักบัวเงียบลง แต่มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาแทน เป็นเสียงหวานใสของวาดดาวคนที่อยู่ในห้องน้ำ

    “อาทิตย์ฉันลืมผ้าเช็ดตัว แกช่วยหยิบมาให้หน่อย เร็วๆ นะฉันหนาว และฉันก็ไม่อยากตัวเปียกนานๆ ด้วยนะแก”

    ให้หยิบผ้าเช็ดตัวงั้นเหรอ แล้วมันอยู่ที่ไหนล่ะ ชายหนุ่มหันมองไปรอบๆ ห้อง แล้วก็พบมัน ผ้าขนหนูผืนใหญ่สีชมพูพับวางเป็นระเบียบอยู่บนโต๊ะด้านข้างตู้เสื้อผ้า แต่เขาจะเอาไปให้เธออย่างไงเนี่ยล่ะ ปัญหา!

    “ก๊อกๆ” เสียงเคาะประตูห้องน้ำเพื่อบอกสัญญาณให้คนที่อยู่หลังบานประตูรู้ตัวก่อน

    วาดดาวเป็นคนเปิดประตูจากด้านใน อาทิตย์แทบไม่อยากคิดเลยว่าเธออยู่ในชุดอะไรตอนนี้ในห้องน้ำนั้น “เอ้า! นี่ผ้าเช็ดตัว” เขาส่งมันผ่านช่องเล็กๆ ที่คนในห้องแง้มเปิด

    “อย่า! แอบดูนะ” วาดดาวทำเสียงดุ แต่ก็ยังน่ารักอยู่ดีสำหรับเขา

    ไม่มีวันเสียแหละที่เขาจะทำแบบนั้น ...แอบดูเหรอ ทั้งที่อยากทำก็ตามที...

     

    หลังจากที่เธอทำธุระในห้องน้ำเสร็จ วาดดาวสังเกตเห็นพฤติกรรมแปลกๆ ของอาทิตย์ ท่าทางเขินๆ อายๆ ราวกับผู้หญิง แก้มที่ออกสีแดงระเรื่อจนสังเกตได้

    “เป็นไร? นายอาทิตย์ ทำไมแก้มแดงเชียว หรือว่า...แกหวั่นไหวที่ฉันให้แกหยิบผ้าเช็ดตัวเมื่อกี้” วาดดาวจ้องหน้าชายหนุ่มราวกับจะจับผิดเอาเสียให้ได้ จะหันหน้าหลบไปทางไหนเธอก็ยืนดักราวกับว่าเขาเป็นนักโทษของเธออย่างไงอย่างงั้น

    “เปล่านะ ฉันไม่ได้เป็นอะไร” อาทิตย์เสียงสูง ทั้งที่พยายามทำเสียงให้เป็นปกติ แต่ได้แค่นี้จริงๆ 

    “แล้วทำไม ต้องทำเสียงสูงด้วยเนี่ย” วาดดาวจับผิด

    “หวั่นไหวใช่ไหม บอกความจริงมาเถอะ ไม่ต้องอายหรอกน่า เราเพื่อนกันนะ ก็นายมันยังเวอร์จิ้นอยู่เลยนี่นา ไม่แปลกหรอกที่จะอาย ดูสิ แก้มแดงหมดทั้งสองข้างเลย” วาดดาวแกล้งหยิบแก้มชายหนุ่มล้อเบาๆ

    แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขาเสียหงุดหงิดเท่ากับถ้อยคำกลางประโยคนั้นของเธอ อาทิตย์เสียอารมณ์อย่างบอกไม่ถูก

    “ไม่เอาแล้ว! แกสบายดีแล้วนี่ งั้นฉันขอตัวกลับก่อนแล้วกัน” อาทิตย์ส่ายหน้าหลบ

    เขางอนเธอนั้นแหละ ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะรู้สึกตัวบ้างหรือเปล่า

    “เดี๋ยวสิ จะรีบกลับไปไหน พาเจ้าไข่ตุ๋นไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะเป็นเพื่อนฉันก่อนแล้วแกค่อยกลับ ไอ้เพื่อนยาก” วาดดาวขยับเดินออกจากห้องพร้อมกับลากชายหนุ่มให้ไปเป็นเพื่อนเธอ

    ...ดีจริงๆ ย้ำเข้าไป คำก็เพื่อน สองคำก็เพื่อน เมื่อไหร่นะ ที่เพื่อนคนนี้จะได้เปลี่ยนสถานะบ้าง...

    ในขณะที่เดินลงมาจากบันไดไม้สักทองที่วนไปทางซ้ายและขาวอย่างเป็นระเบียบสบายตา เสียงร้องเรียกชื่อสัตว์เลี้ยงเพียงครั้งเดียวของเธอก็ทำให้ไข่ตุ๋นลูกสุนัขพันธุ์โกลเด้นวิ่งมานั่งค่อยที่ตีนบันไดอย่างแสนรู้

    มันแลบลิ้นแหกะๆ ใช้ขาหน้าข้างหนึ่งวางพาดบันไดขั้นแรกไว้เพื่อรับหน้าเจ้านายสาวอย่างประจบประแจง

    “ไง ไข่ตุ๋น” วาดดาวใช้มือลูบหัวเจ้าเท้าปุยเบาๆ ขณะที่เดินมาถึงตัวไข่ตุ๋นก่อนอาทิตย์

    “วันนี้ขอไปเดินเล่นด้วยคนนะ” อาทิตย์ว่า ไหนๆ ก็ไหนแล้ว เมื่อเธอชวน...เขาเองก็ไม่คิดจะปฏิเสธอยู่แล้ว

     

    อาทิตย์ วาดดาว พร้อมกับไข่ตุ๋นค่อยๆ เดินออกจากคฤหาสน์หลังนั้น แล้วเดินเรื่อยๆ ไปอย่างอย่างผ่อนคลายจนมาถึงสวนสาธารณะร่มรื่นใกล้บ้าน แต่ในระหว่างที่กำลังพาเจ้าไข่ตุ๋นเดินเล่นอยู่ดีๆ จู่ๆ เชือกที่ใช้จูงคอเจ้าไข่ตุ๋นก็เกิดหลุดออกจากมือของชายหนุ่มไป ไม่รู้ทำไมถึงได้เกิดมาหลุดมืออะไรกันตอนนี้ ตอนที่มีชายหนุ่มในชุดเสื้อสูทวัยสามสิบต้นๆ คนหนึ่งกำลังเดินสวนทางมาทางนี้พอดี

    เจ้าไข่ตุ๋นหลุดออกจากเชือกจูงคอ มันวิ่งเร็วหรี่อย่างอิสระมุ่งตรงไปข้างหน้าโดยไม่คิดหยุดรอ ทำให้ชนเข้ากับชายในชุดเสื้อสูทคนนั้นที่เดินสวนทางมาในเวลานั้นพอดีจนเขาล้มลงก้นกระแทกกับพื้น วาดดาวรีบวิ่งเข้าไปดูชายที่ล้มคนนั้น

    ส่วนอาทิตย์ไม่รอช้าเขารีบวิ่งตามเจ้าไข้ตุ๋นไป พอเดินกลับมาอีกที...ก็เห็นคนทั้งคู่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ม้านั่งข้างทางเดินเท้าของสวนสาธารณะอย่างสนิทสนมกันเกินเหตุ ทั้งคู่ดูคล้ายจะพูดคุยกันถูกคออย่างน่าประหลาด

    ภาพที่เห็น...ทำให้อาทิตย์รับรู้ได้เลยว่า ความรักของวาดดาวกำลังจะก่อตัวขึ้นใหม่อีกครั้งกับผู้ชายคนนั้นที่นั่งอยู่ข้างเธอทั้งที่เพิ่งจะรู้จักกันเพียงไม่กี่นาที

    ก็คงไม่แปลกอะไรที่ใครๆ ดูจะสนใจในตัวเธอ

    ก็เธอเป็นนางแบบชื่อดัง ในเวลานี้ถ้าใครไม่รู้จักวาดดาว อัศวเมฆานางแบบสาวดาวรุ่งดีกรีนักเรียนนอกก็คงจะเชยเต็มที  อาทิตย์กับเจ้าไข่ตุ๋นเดินกึ่งวิ่งมาตามทางเดินของสวน ทั้งทีท่าทางของทั้งคู่กำลังคุยกันอย่างสนุก แต่ชายคนนั้นกับหันมองมาทางผมกับไข่ตุ๋นก่อนที่จะลุกเดินออกจากม้านั่งไปด้วยท่าทางการเดินที่ไม่ค่อยถนัดนัก

    เป็นเวลาเดียวกับที่อาทิตย์เดินเข้ามาถึงตัวหญิงสาวพอดี

    “ไงล่ะแก คนเมื่อกี้ เขาเป็นอะไรมากหรือเปล่า” อาทิตย์ถาม ขณะหันมองแผ่นหลังกระเพื่อมตามแรงโยกของการเดินกำลังห่างออกไปไกล “แล้วคนนั้น? เขารีบไปไหนเสียล่ะ ทำไม? ไม่นั่งพักก่อน ดูสิ เดินโยกเยกอย่างนั้น” เขาขยับตัวทรุดลงนั่งข้างๆ วาดดาว

    แววตาแปลกๆ ที่เธอใช้จ้องมองตามหลังชายคนนั้นซึ่งกำลังห่างออกไปเรื่อยๆ ทำให้เขารู้สึกไม่ชอบใจนัก เพราะมันเป็นแววตาที่เธอใช้มองผู้ชายทุกคนที่เธอสนใจอยากรู้จักมากกว่าเพื่อนธรรมดา ซึ่งเธอไม่เคยใช้สายตาแบบนั้นมองเขาบาง...เลยสักครั้งหนึ่ง

    “พี่ชัช... เขาบอกว่าไม่เป็นอะไรมากหรอกแก” วาดดาวน้ำเสียงสดใสชวนฝันยามพูดถึงชายคนนั้นทั้งที่เพิ่งรู้จัก

    “อ้าว! นี่แกรู้จักชื่อเขาด้วยงั้นเหรอ” ดวงตากลมโตของชายหนุ่มเบิกกว้างด้วยความแปลกใจ

    เขาชักไม่ค่อยสบอารมณ์มากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งที่เพิ่งจะเจอกันแป๊บเดียว แต่เสน่ห์หญิงของเธอก็ไม่เคยปรานีใคร ไม่ว่าชายใดก็ตามที่เข้ามาใกล้เธอต่างก็พากันหลงรักเธอกันหมด และหมอนั้นก็คงไม่มีข้อยกเว้น

    เฮ้อ... หนักใจจังครับ ชาตินี้ก็คงเป็นได้แค่เพื่อนจริงแล้วสินะเรา

    “อืม...” เธอตอบด้วยเสียงในลำคอ ก่อนเล่าให้ฟังอย่างคร่าวๆ “พี่เขาชื่อชัชวาลนะ เป็นเจ้าของห้องเสื้อ แล้วฉันก็เคยร่วมงานกับห้องเสื้อของพี่เขามาก่อน แต่ว่า...ฉันก็จำพี่เขาไม่ค่อยได้หรอก มันนานมาแล้ว ตั้งแต่ที่ฉันเริ่มเข้าวงการใหม่ๆ โน่นแน่ะ” วาดดาวบอกเล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับชายแปลกหน้าคนนั้นอย่างสนิทสนม จนอาทิตย์อดห่วงและหวงไม่ได้

    นี่คงเป็นอีกคนแล้วสินะ ที่ทำให้เขาต้องตั้งใจอธิฐานให้เขาคนนั้นและเธอไม่ได้คู่กัน...

    “แล้วแกล่ะ ไปตามไข่ตุ๋นถึงไหน” วาดดาวถาม แต่ไม่รอคำตอบ เธอคว้าเชือกจูงคอไข่ตุ๋นกลับไปแล้วพาไข่ตุ๋นออกวิ่งเยาะๆ เดินทางมุ่งหน้ากลับบ้านในทันที

    “ไป... ไข่ตุ๋นเรากลับบ้านกันดีกว่า วันนี้แกน่ารักมากเลยเจ้าตัวดี” วาดดาวโน้มตัวลงไปลูบหัวเจ้าไข่ตุ๋นราวกับว่ามันทำได้ดีมากที่วิ่งไปชนรักครั้งใหม่ แล้วนำพาชายที่ชื่อชัชวาลมาให้เธอได้กลับมาชุ่มชื่นหัวใจอีกครั้ง

    วาดดาววิ่งเยาะๆ ไปอย่างอารมณ์ดี โดยที่เธอไม่ได้สนใจชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างตัวเลยว่าเขาจะตามเธอทันหรือไม่

    “เร็วเข้าสิแก ชักช้าเดี๋ยวก็ตามไม่ทันหรอก” วาดดาวหันกลับมาพูด ขณะที่จูงไข่ตุ๋นออกห่างจากม้านั่งไปได้สักระยะหนึ่งแล้ว เหมือนว่าเธอเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าลืมอาทิตย์ไว้ที่ม้านั่งตัวนั้น อาทิตย์ตัวเบาหวิวราวกับเม็ดฝุ่นผงค่อยๆ ขยับลุกขึ้นเดินตามวาดดาวไปอย่างเชื่องช้า

    ทำไม? เราถึงไร้ตัวตนในสายตาเธอเสมอเลย...เศร้า

     

    ...วันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวันที่เธออกหัก แต่ก็พบรักครั้งใหม่ได้ในเวลาไม่นาน และอาทิตย์ก็เหมือนเดิม เป็นแค่อากาศที่ช่วยให้เธอสบายแต่ไร้ตัวตน เธอไม่เคยหันมามองเขาที่อยู่ข้างๆ เธอเลยแม้สักครั้ง...

     

    หลังกลับมาจากสวนสาธารณะ... อาทิตย์ขอตัวกลับไปก่อนด้วยสีหน้าบวกกับอารมณ์ที่ไม่ค่อยดีนัก ส่วนวาดดาวก็หลบมุมไปนั่งเหม่ออยู่ที่ชุดเก้าอี้สีขาวใต้ต้นไทรใหญ่ของคฤหาสน์ตั้งแต่กลับมาจนถึงตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว ดวงตาแววหวานมองเหม่อออกไปไกลโดยไม่รู้เวลาโมงยาม

    ป้าแจ่มยืนเรียกชื่อเธออยู่หลายครั้งก่อนวาดดาวจะได้สติออกจากภวังค์รักครั้งใหม่นั้นของเธอ

    “หนูดาว หนูวาดดาว หนูเป็นอะไรหรือเปล่าค่ะ” ป้าแจ่มเรียกอยู่นาน ก่อนใช้มือแตะที่ไหล่หญิงสาวเบาๆ ด้วยความเป็นห่วง

    “คะ...ค่ะ...มีอะไรค่ะป้า” วาดดาวสะดุ้ง

    “ป้าเห็นหนูดาวนั่งเหม่ออยู่นาน ก็เลยเป็นห่วงนะ เป็นอะไรหรือเปล่าค่ะ” ป้าแจ่มถาม พร้อมกับยกมือข้างหนึ่งขึ้นแนบไปที่หน้าผากของเธอเบาๆ “ไม่สบายหรือเปล่า”

    วาดดาวเข้าใจถึงความห่วงใยของป้าแจ่มดี เพราะเธอกับป้าแจ่มอยู่ด้วยกันมานานมากตั้งแต่เธอยังเป็นเด็กเล็กๆ

    “เปล่าค่ะ ดาวสบายดีค่ะ” วาดดาวตอบ

    “ทานของว่างไหมค่ะ ป้าจะไปเตรียมมาให้”

    “ไม่เป็นไรค่ะ ดาวอยากนั่งคิดอะไรไปเรื่อยๆ ค่ะ ขอบคุณนะค่ะ ป้า” วาดดาวยิ้มหวานให้ป้าแจ่ม ก่อนที่ป้าแจ่มจะเดินออกไปจากโต๊ะตัวที่เธอนั่งอยู่

    วาดดาวเอาแต่คิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสวนสาธารณะใกล้บ้านราวกับว่าไม่อาจลบเลื่อนภาพความทรงจำนั้นได้แม้แต่เสี้ยววินาที หากแต่ภาพความทรงจำนั้นยังฝังแน่นติดตรึงในหัวใจเธอ

     

    ...เหตุการณ์ตอนที่วาดดาวอยู่กับชัชวาลสองต่อสองในสวนสาธารณะ...

    เป็นไงบ้างค่ะ ขอโทษจริงๆ ค่ะ นั้นสุนัขของดาวเอง วาดดาวค่อยๆ ประคองชายในชุดเสื้อสูทให้ลุกขึ้น

    ไม่เป็นไรครับ นิดหน่อย ชายวัยสามสิบต้นๆ มาดเนี้ยบไร้ที่ติ ลุกขึ้นพร้อมกับปัดกางเกงที่เปื้อนผงฝุ่นอย่างลวกๆ ก่อนเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวที่ช่วยพยุงเขาขึ้นด้วยความสนใจ

    อ้าว คุณ... คุณวาดดาวนี่ครับ ชายหนุ่มใหญ่ผมสั้นหยักศกใส่เจลเอ่ยทักราวกับรู้จักเธอเป็นอย่างดี

    ค่ะ วาดดาวเองค่ะ ขอโทษอีกครั้งนะค่ะ วาดดาวช่วยปัดเสื้อผ้าที่เปื้อนออกอย่างร้อนรน เกรงว่าจะถูกต่อว่าอย่างมากมาย แต่เปล่าเลยเขาไม่ได้ต่อว่าอะไรเธอเลย แต่กลับชวนวาดดาวพูดคุยอย่างสนิทสนม

    คุณจำผมไม่ได้เหรอครับ ผมชัชวาลไง เราเคยร่วมงานกัน ตอนที่คุณไปเดินแบบงานเปิดตัวห้องเสื้อของผม ชายหนุ่มใหญ่พยายามเล่าย้อนอดีตทวนความจำให้วาดดาวฟัง จนหญิงสาวจำได้ลางๆ แต่นั้นไม่สำคัญ เมื่อตอนนี้ทั้งคู่ได้โคจรมาพบกันอีกครั้งนั้นก็เพียงพอแล้วที่ความสัมพันธ์จะได้เริ่มสานต่อขึ้นใหม่

    งั้นเหรอค่ะ มาค่ะ ฉันช่วยพยุง ไปนั่งที่ม้านั่งก่อนดีกว่าค่ะ วาดดาวเสนอเมื่อเห็นชายที่อยู่ตรงหน้าขยับเดิน แล้วเดินไม่ค่อยสะดวก วาดดาวใช้มือสอดใต้วงแขนที่แข็งแรงของเขาแล้วพากันค่อยๆ เดินมานั่งที่ม้านั่งข้างทางเดินเล็กของสวนหย่อม

    ขอบคุณนะครับ ชัชวาลกล่าวด้วยเสียงนุ่มทุมหล่อละลายใจ ทำให้ใจของหญิงสาวหวั่นไหวไปกับน้ำเสียงนุ่มๆ นั้น

    ไม่ต้องขอบคุณหรอกค่ะ ก็มันเป็นความผิดของดาวนี่ค่ะ ดาวก็ต้องรับผิดชอบช่วยพยุงคุณสิค่ะ

    ถ้างั้น... ช่วยรับผิดชอบชีวิตที่เหลือของผมด้วยสิครับ เสียงนุ่มทุ้มนั้นค่อยๆ อ่อยเสียงลงตอนท้าย

    ค่ะ? ทั้งที่ได้ยินชัดทุกคำแต่วาดดาวก็ยังทำหน้างุนงงกับคำพูดที่กำกวม

    เปล่าครับ ผมพูดเล่น ชัชวาลยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี วาดดาวก็เช่นกัน เมื่อเห็นคนตรงหน้าหัวเราะ เธอก็ได้แต่หัวเราะตามอย่างคนอารมณ์ดีด้วยเช่นกัน

    ชัชวาลเหลือบหันมองไปทางชายหนุ่มอีกคนที่กำลังเดินจูงสุนัขที่ชนเขากึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงมาและจวนเข้ามาใกล้เต็มที

    ผมไม่เป็นไรแล้ว ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ ถ้ามีโอกาสผมคงได้พบคุณอีก วาดดาว ชัชวาลลุกขึ้นแล้วเดินห่างออกไป

    วาดดาวนั่งแก้มแดงระเรื่ออมยิ้มอย่างมีความสุขราวกับว่าหัวใจของเธอมีเลือดสูบฉีดขึ้นใหม่อีกครั้งหลังจากที่อกหักมาหมาดๆ

     

    บทที่ 2

                    ยามเช้าตรู่... วันนี้อากาศแจ่มใสมากกว่าทุกๆ วัน ท้องฟ้าโปร่งสดใสสีฟ้าสกาว ภายใต้รั้วเหล็กสีทองเหลืองสุขสกาว แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าสาดส่องขับให้คฤหาสน์ใหญ่โตสีขาวเรียบหรูของตระกูลอัศวเมฆาดูเด่นตระหง่านท่ามกลางธรรมชาติสีเขียวร่มรื่นของแมกไม้น้อยใหญ่ที่บิดาของเจ้าของบ้านในเวลานี้ชอบเป็นการส่วนตัว ถึงแม้คุณพ่อของเธอจะไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้วก็ตาม แต่วาดดาวก็ยังคงเก็บสวนที่คุณพ่อของเธอรักไว้อย่างดี

                    ด้านหลังบานประตูไม้สีขาวกรุลายสละสลวยงามตาบนชั้นสอง เตียงนอนนุ่มนิ่มด้านหลังประตูบานนั้นในห้องมีหญิงสาววัยยี่สิบเจ็ดปีกำลังนอนหลับฝันดีถึงชายคนหนึ่งอย่างหลงใหล มือไม้ปัดป่ายนัวเนียชวนฝัน

                    พี่ชัชค่ะ อย่าค่ะ เราเพิ่งจะรู้จักกันเองนะค่ะ ดาวยังไม่พร้อมค่ะวาดดาวเสียงอ่อนเสียงหวาน

                    วาดดาวกำลังฝันถึง ชัชวาล ชายหนุ่มที่พบกันในสวนสาธารณะใกล้บ้าน ในฝันชายหนุ่มกำลังยื่นหน้าเข้าใกล้หมายจะจุมพิตที่ริมฝีปากเธออย่างจงใจ แต่หญิงสาวกลับปฏิเสธเสียงสั่น ทั้งที่ความจริงนั้นหัวใจเว้าวอนปรารถนาเขาเกินกว่าสิ่งอื่นใด

                    ในขณะที่ชัชวาลกำลังจะบรรจงประกบจุมพิตเธอ เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอก็ส่งเสียงดังเจื้อยแจ้วปลุกหญิงสาวให้ต้องตื่นจากความฝันอันแสนหวาน   

                    “กริ๊งๆๆ”

    วาดดาวสะดุ้งตื่นและตกใจอย่างรุนแรง พร้อมๆ กับที่เสียดายแบบสุดๆ เมื่อพบว่าสิ่งที่เธอเห็นอยู่ ณ ขณะนั้น เป็นเพียงภาพความฝันที่ไม่จริง เธอยกมือลูบหน้าเรียกสติให้กลับคืนเล็กน้อย ก่อนจะหยิบคว้าหาโทรศัพท์มือถือที่ดังอยู่บนโต๊ะตัวเล็กข้างหัวเตียงอย่างเสียไม่ได้

                    “ค่ะ สวัสดีค่ะ วาดดาวพูดอยู่ค่ะ” เสียงงัวเงียเสียอารมณ์ของหญิงสาวถูกยัดเหยียดใส่เข้าไปในโทรศัพท์มือถือ แต่ภายหลังจากนั้นวาดดาวก็ต้องตกใจกับสิ่งที่เธอได้ยิน

                    “ว่าไงนะคะ ภาพยนตร์เหรอคะ เมื่อไหร่คะ ตกลงค่ะ” วาดดาวตอบรับคำอย่างไม่รอให้สมองคิดนาน เมื่อสิ่งที่เธอได้ยินนั้นทำให้เลือดในกายเธอพุ่งพาดอย่างกระตือรือร้นพร้อมรับสิ่งใหม่ๆ ด้วยดวงตาพราวฝัน

    “ดีค่ะ คุณน้อง เดี๋ยวคุณพี่จะจัดการเรื่องเซ็นสัญญาให้ก็แล้วกันนะคะคุณน้อง... ตกลงกันแล้วนะคะ ห้ามมาเปลี่ยนใจทีหลังไม่ได้แล้วนะคะ เด็กดี” เสียงแหลมๆ ของพี่กิ๊ฟซี่ซึ่งเป็นผู้จัดการส่วนตัวของเธอย้ำคำ

    พี่กิ๊ฟซี่เป็นผู้ชายหัวใจนางเอกที่ชักนำให้วาดดาวได้เข้ามาแวะเวียนอยู่ในวงการนางแบบอย่างทุกวันนี้ และตอนนี้พี่กิ๊ฟซี่ยังนำโอกาสดีอย่างการเป็นนักแสดงมาให้เธอได้ลองฝีมืออีก

    พี่กิ๊ฟซี่บอกกับเธอทางโทรศัพท์มือถือว่า เณสิทธิ์ ผู้กำกับมือทองแห่งวงการสนใจและอยากให้เธอเข้ารับบทนางเอกในภาพยนตร์ที่กำลังจะเปิดกล้องของเขา แถมผู้กำกับคนนั้นยังขึ้นชื่อเรื่องฝีมือ ใครๆ ในแวดวงต่างยกย่องและยอมรับในฝีมือ และนั้นยิ่งทำให้วาดดาวตื่นเต้นที่กำลังจะได้ร่วมงานกับเขา

    เธอกำลังจะได้เล่นภาพยนตร์กับผู้กำกับมือทอง วาดดาวดีใจมากจนแทบอยากจะตะโกนร้องบอกใครต่อใครให้ได้ยินกันทั้งโลก แต่คงทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกจริงไหม ก็เธอเป็นแค่สิ่งมีชีวิตเล็กๆ บนโลกใบนี้เท่านั้นเองนี่

    และสิ่งที่เธอพอจะทำได้และทำมาโดยตลอดตั้งแต่เล็กจนโตในเวลาที่มีเรื่องน่าดีใจเช่นนี้ก็คือ... การโทรหาเพื่อนสนิทอย่างอาทิตย์เพื่อบอกเล่าข่าวดีให้เขาฟังก่อนคนอื่นๆ

    ว่าแล้วก็ต้องโทรไปบอกนายอาทิตย์ก่อนดีกว่า ...ถ้านายนั้นรู้ต้องดีใจมากเหมือนกันแน่ๆ

     

    วาดดาว อัศวเมฆาอายุยี่สิบเจ็ดปีดีกรีนักเรียนนอก อาชีพของเธอคือ นางแบบ เธอเข้ามาอยู่ในวงการแฟชั่นโดยการชักนำของกิ๊ฟซี่สาวประเภทสอง ทั้งที่ฐานะการเงินของเธอติดขั้นรวยระดับเศรษฐีหลายร้อยล้านจากกิจการอสังหาริมทรัพย์ที่ผู้เป็นพ่อทิ้งไว้ให้ก่อนเสียชีวิต

    คนฐานะอย่างเธอไม่จำเป็นต้องทำงานก็มีกินมีใช้ไปจนตลอดชีวิต แต่นั้นไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญสำหรับวาดดาวก็คือ...การใช้ชีวิตที่มีอย่างคุ้มค่าในทุกๆ วินาทีแทนคุณพ่อที่ไม่มีวันหวนกลับมาให้ดีที่สุด และอีกอย่างที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ... เพื่อคล้ายเหงาในพื้นที่ในส่วนลึกของหัวใจเธอ

    วาดดาวรู้สึกสนุกทุกครั้งในการทำงานร่วมกับทีมงานจำนวนมาก เธอชอบสังคมในแบบนั้นมากกว่าจะไปคบหากับพวกกลุ่มคนในวงไฮโซที่ชอบเอาแต่ใส่หน้ากากเข้าหากันอยู่เป็นนิจ เธอจึงหลงรักงานในวงการมายาอย่างถอนตัวไม่ขึ้น และถ้าหากเธอจะได้รับโอกาสให้ลองรับงานแสดงดูบ้าง เธอจึงยิ่งมิอาจปฏิเสธและยอมตอบตกลงไปด้วยความเต็มใจที่สุด

     

                    “ฮัลโหล นายอาทิตย์ ตื่นได้แล้ว ฉันมีข่าวดีจะบอกแกเป็นคนแรกเลยนะ” เสียงหวานใสกังวานของวาดดาว ทำให้ชายหนุ่มที่นอนหลับต้องฝืนตาตื่นขึ้นมารับสายอย่างงัวเงียขี้ตา “ฉันกำลังจะได้เป็น นาง – เอก – ภาพ – พะ – ยนตร์” น้ำเสียงตื่นเต้นนั้นพูดเน้นคำ เพื่อให้คนฟังได้ฟังประโยคนั้นชัดเจนมากขึ้น

                    อาทิตย์ที่คล้ายจะถูกบังคับให้ต้องตื่น แทบไม่อยากจะเชื่อหูกับสิ่งที่เขาได้ยินทางโทรศัพท์

                    “เดี๋ยวนะ แกว่าอย่างไงนะ” ชายหนุ่มใช้มือขยี้ตาจนหายงัวเงีย “อย่างแกนี่นะ จะเป็นนางเอก แล้วแกจะทำได้รึ... งานแสดงนะ ไม่ใช่แค่เดินไปเดินมา แล้วโพสท่าสวย ฉันว่าแค่งานเดินแบบอย่างเดียวก็พอแล้วมั้ง แกก็แค่ทำแก้เหงาไม่ใช่หรือไง ฉันว่าแกปฏิเสธเขาไปดีกว่า”

                    อาทิตย์ไม่ได้คิดจะดูถูกวาดดาว ถึงแม้ว่าถ้อยคำที่กล่าวจะทำให้คนฟังคิดไปในลักษณะนั้นก็ตามที เพียงแต่เขาไม่ต้องการให้วาดดาวใกล้ชิดกับผู้ชายคนอื่นๆ มากไปกว่าที่เป็นอยู่ เพียงแค่งานเดินแบบที่ทำอยู่นั้นก็ทำให้มีผู้ชายมาหลงเสน่ห์วาดดาวมากพออยู่แล้ว นี่ยังจะพ่วงงานแสดงที่ทำให้เธอต้องใกล้ชิด และถึงเนื้อถึงตัวกับผู้ชายคนอื่นเพิ่มขึ้นมาอีก ความหงุดหงิดคุระอุในใจทำให้อาทิตย์พูดไปอย่างไม่ทันได้คิดให้ถี่ถ้วนในคำพูด

    แต่ดูเหมือนวาดดาวจะไม่ล่วงรู้ในความคิดของเขา เธอกลับคิดว่า... ชายหนุ่มที่เธอคิดหวังจะให้เขาดีใจไปกับเธอด้วยนั้น กลับพูดจาดูถูกเธอปลายๆ อย่างโอหัง และนั้นทำให้วาดดาวยัวะจนลมออกหู

                    “อย่างฉันนี่แหละจะเป็นนางเอกชื่อดัง อย่ามาดูถูกกันนักนะ คนอย่างวาดดาวไม่ได้ทำเป็นแค่งานเดินแบบอย่างเดียวนะ ไม่เชื่อ... แล้วนายค่อยดูให้ดีก็แล้วกัน นายอาทิตย์บ้า!” น้ำเสียงท้าทายแข็งกร้าวต่อคำดูถูกที่ไม่ได้ตั้งใจของอาทิตย์ เธอแหวดเสียงใส่ด้วยความเดือดดานก่อนจะกระแทกสายวางหูไปอย่างหงุดหงิด

                    ผมไม่ได้คิดอย่างนั้นเสียหน่อย... โธ่เอ๊ย! อยากตบปากตัวเองเป็นบ้าเลย ปากเสียจริงๆ

                   

                    ...หลายวันต่อมา...

                    ขอโทษจริงๆ นะคะ คุณน้อง วันนี้สงสัยคุณน้องต้องไปคนเดียวแล้วล่ะค่ะ พอดีคุณพี่ต้องพาน้องบุ๊สดี๊ไปหาหมอก่อนนะคะ ไม่รู้เป็นอะไร นอนซึมมาตั้งแต่เช้าแล้ว อาการน่าเป็นห่วงม๊ากมากค่ะคุณน้อง ไปคนเดียวได้นะคะ แล้วเดี๋ยวคุณพี่จะส่งแผนที่ไปให้ทาง Line นะคะ

                    นั้นเป็นสิ่งสุดท้ายที่วาดดาวได้คุยกับผู้จัดการส่วนตัวของเธอก่อนที่จะขับรถออกมาจากบ้าน ระหว่างทางที่กำลังจะเดินทางไปพบกับพี่กิ๊ฟซี่ตามนัดที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง เป็นเหตุให้วาดดาวต้องวกรถกลับและเดินทางมาที่อาคารตามแผนที่ของพี่กิ๊ฟซี่เพียงลำพังคนเดียว

                    “โธ่! พี่กิ๊ฟซี่นะ... พี่กิ๊ฟซี่ เห็นสัตว์เลี้ยงสำคัญกว่าเราอีกแล้ว อย่างนี้ทุกทีเลย” วาดดาวเริ่มน้อยใจเล็กๆ แต่พอเธอคิดว่า...ถ้าหากเปลี่ยนมาเป็นเธอเองบ้าง หากสัตว์เลี้ยงของเธออย่าง ไข่ตุ๋นป่วยก็คงทำแบบเดียวกันกับที่พี่กิ๊ฟซี่ทำนั้นแหละ วาดดาวหันเลี้ยวหมุนพวงมาลัยไปตามเส้นทางบนแผนที่ที่เพิ่งได้มาทางโทรศัพท์ทันทีที่มีแผนที่บอกตำแหน่งของจุดหมาย

                   

    รถสปอร์ตสีขาวป้ายแดงของว่าที่นางเอกใหม่กำลังแล่นมาจอดในลานจอดรถของด้านหน้าอาคารสีม่วงสดสูงกว่าสิบชั้น หน้าตึกเขียนว่า เณสิทธิ์ สตูดิโอและนั้นบ่งบอกถึงตำแหน่งเป้าหมายที่เธอตั้งหน้าตั้งตาขับรถมาไกลถึงชานเมือง

                    วาดดาวแทบไม่อยากเชื่อในเรื่องที่พี่กิ๊ฟซี่เล่าให้ฟังก่อนหน้า...

    พี่เขาลงทุนสร้างสตูดิโอส่วนตัวไว้สำหรับใช้เพื่อถ่ายทำงานของเขาโดยเฉพาะเลยนะย่ะ คุณน้องจะต้องช่วยที่ทำงานใหม่อย่างแน่นอนค่ะ ส่วนตัวมากๆ เว้นแต่ตอนที่มีนักข่าวเข้ามาทำข่าวเท่านั้นเลยค่ะ

    แต่แล้ววาดดาวก็ต้องเชื่ออย่างสนิทใจเมื่อมาเห็นอาคารสูงสีม่วงสดที่ตั้งอยู่ตรงหน้าด้วยตาตัวเอง

    “โห! ถ้าไม่ได้มาเห็นด้วยตาตัวเอง ฉันคงไม่เชื่อเด็ดขาดว่า พี่เณ ผู้กำกับจะลงทุนสร้างสตูดิโอใช้เองสูงตั้งสิบชั้นอย่างนี้” วาดดาวพูดกับตัวเองขณะที่นั่งมองป้ายชื่อที่บ่งบอกถึงเจ้าของตึกอยู่หลังพวงมาลัยของรถสปอร์ตตน

                    วาดดาวก้าวลงจากรถสปอร์ตคันหรูป้ายแดงพร้อมกับสวมแว่นตากันแดดสีชา ปิดประตูรถแล้วเดินตรงเข้าอาคารตรงหน้าไปอย่างไม่ค่อยชินเท่าไหร่ แต่นั้นไม่ได้บันท่อนความมั่นใจของเธอลงไปเลยแม้แต่น้อย และนั้นก็เป็นข้อดีอีกข้อของการเป็นนางแบบที่เธอแอบหยิบยืมมาใช้ในชีวิตจริง

                    ประตูกระจกใสด้านหน้าถูกเปิดออกโดยอัตโนมัติ นั้นทำให้วาดดาวคิดว่า ที่นี้ไม่ได้มีแค่ขนาดที่ใหญ่ หากแต่ยังมีความทันสมัยมากอีกด้วย ประชาสัมพันธ์ก็ต้อนรับเธออย่างดีขณะที่เดินเข้าไปถามหาห้องสตูดิโอที่เธอต้องไป

                    “สวัสดีค่ะ มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าคะ” เสียงสดใสของสาวประชาสัมพันธ์เสื้อชุดฟอร์มสีแดงสดกล่าวกับเธอโดยใบหน้ายิ้มแย้ม

                    “ค่ะ” วาดดาวถอดแว่นตาออกอย่างมีมารยาท ก่อนถามต่อ “ไม่ทราบว่ากองถ่ายเรื่อง ม่านทระนงอยู่ที่ไหนคะ”

                    ทันที่วาดดาวถอดแว่นตากันแดดสีชาออก สาวสวยนักประชาสัมพันธ์ก็ตากลมโตเบิกกว้างด้วยความตื่นเต้น

                    “พี่วาดดาวใช่หรือเปล่าค่ะ”

                    “ค่ะ” วาดดาวรับคำ

                    “หนูเป็นแฟนหนังสือพี่เลยนะคะ... นี่เมื่อกี้ยังดูเสื้อผ้าที่พี่ใส่ถ่ายแบบอยู่เลย ในนิตยสาร...เอ่อ...อยู่ไหน?” นักประชายสัมพันธ์สาวก้มหน้าค้นหาอะไรบ้างอย่าง ก่อนจะหยิบหนังสือแม็กกาซีนเล่มล่าสุดที่เธอได้ถ่ายแฟชั่นขึ้นหน้าปกมายื่นให้วาดดาว พร้อมกับเอ่ยปากขอลายเซ็นจากเธอ “เซ็นชื่อให้หนูหน่อยนะคะพี่ นี่ค่ะ ปากกา”

                    ยากเหลือเกินที่จะปฏิเสธแฟนคลับแบบนี้ วาดดาวหยิบปากกาที่นักประชาสัมพันธ์ยื่นมาให้แล้วเซ็นชื่อของเธอลงบนปกด้านในอย่างบรรจงและตั้งใจ

                    “ขอบคุณค่ะพี่” หลังจากที่ได้หนังสือพร้อมลายเซ็นไป สาวสวยในเคาน์เตอร์ก็เอาแต่กอดและชื่นชมราวกับหนังสือเล่มนั้นเป็นสมบัติล้ำค่า จนกระทั่งวาดดาวตัวจริงตรงหน้าต้องเอ่ยอีกครั้งเพื่อหาคำตอบที่ถามไปในตอนแรก

                    “แล้ว...เอ่อ...คือ...ตงลงสตูดิโออยู่ที่ไหนค่ะ?” วาดดาวยังไม่ได้คำตอบที่ถามไปในตอนแรก

                    “คะ...ค่ะ...จริงด้วย ขอโทษค่ะ ดีใจมากไปหน่อย” สาวสวยนักประชาสัมพันธ์ยิ้มร่าอย่างเขินๆ “สตูดิโอเรื่องม่านทระนงนะคะ” เธอก้มลงเปิดหาข้อมูลก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาตอบ “ชั้นสามค่ะ”

                    “ขอบคุณค่ะ” วาดดาวยกแว่นตากันแดดสีชาขึ้นมาใส่อีกครั้งก่อนเดินเข้าลิฟต์ด้านข้างไปชั้นสามตามที่สาวสวยนักประชาสัมพันธ์คนนั้นบอกเธอ

                    “ติ๊งน๋อง!” เสียงลิฟต์ดังขึ้นส่งสัญญาณบอกวาดดาวว่าถึงที่หมายแล้ว ชั้นสาม

                    ชั้นสามของอาคารเณสิทธิ์ถูกเนรมิตให้กลายเป็นราวกับคนละโลกกับภายนอกอาคาร ทั้งฉาก แสงสี ดูสดใสสวยงามราวกับภาพวาดในจิตนการก็ไม่ป่าน นี้หรือสตูดิโอส่วนตัวของพี่เณผู้กำกับ วาดดาวคิดว่ามันคุ้มค่าจริงๆ ที่พี่เขายอมลงทุนถึงขนาดนี้

                    “สวัสดีค่ะ คุณวาดดาวหรือเปล่าคะ” หญิงสาววัยสามสิบต้นๆ กล่าวทักเธอเป็นคนแรก

                    วาดดาวลอบมองสำรวจหญิงสาวตรงหน้าอย่างวิเคราะห์ ก่อนจะพบว่าเธอเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่มีนัยน์ตาสวยสุดเท่าที่เธอเคยพบ แล้วยิ่งผมหยิกหยักศกยาวที่ปล่อยไว้อย่างเป็นธรรมชาติยิ่งส่งทำให้ดวงตาเธอสวยมากยิ่งขึ้น

                    “ค่ะ วาดดาวเองค่ะ” เธอตอบรับพร้อมกับที่ถอดแว่นตาเก็บเข้ากระเป๋าถืออย่างถาวร

                    “ดีเลยค่ะ มาตรงเวลาพอดี กำลังรออยู่เลยค่ะ พี่ชื่อพีชชนาถ เรียกสั้นๆ ว่า พีช ก็ได้ค่ะ พี่เป็นผู้จัดการกอง ทุกเรื่อง ทุกปัญหาต้องผ่านพี่หมด ถ้ามีเรื่องอะไรก็บอกพี่ได้” พีชชนาถแนะนำตัว พร้อมกับเรียกใครบางคนจากกลุ่มคนที่ใส่เสื้อสีดำสกรีนหลังเสื้อในข้อความเดียวกัน ม่านทระนงชี้ชัดว่าคงเป็นทีมงานอย่างแน่นอน “จุ๋ม! มาดูแลนางเอกใหม่หน่อย”

                    “ค่ะ!” หญิงสาวคนหนึ่งรีบวิ่งหรี่มาตามคำสั่งของพีชชนาถผู้จัดการกอง “เชิญพี่ไปนั่งพักก่อนนะค่ะ ตามจุ๋มมาค่ะ” หญิงสาวที่ชื่อจุ๋มดูท่าทางเธอน่าจะอายุน้อยกว่าวาดดาวเสียอีก แต่วาดดาวในฐานะเด็กใหม่ก็มิได้ถือดีที่ตนอายุมากกว่า วาดดาวเรียกแทนตัวของเขาว่าพี่

                    “พี่เป็นสตาร์ฟใช่หรือเปล่าคะ”

                    “ค่ะ เป็นมาหลายปีแล้ว ที่กองนี้สนุกค่ะ อยู่ๆ ไปก็จะเข้าใจ” ทั้งที่ตอบแบบนั้น แต่แววตาเธอกลับแฝงซ่อนความลับอย่างบอกไม่ถูก

                    จุ๋มเดินนำวาดดาวพามานั่งที่เก้าอี้นั่งร่วมกับคนอีกกลุ่มหนึ่งที่หน้าตาค่อยข้างคุ้นเอามากๆ คล้ายกับว่าเธอเคยเห็นพวกเขาทางโทรทัศน์มาก่อน พอคิดอย่างนั้นก็เริ่มมองเค้าหน้าที่ไร้เครื่องสำอางนั้นออก

                    ใช่! พวกเขาคือดาราที่กำลังมาแรงแห่งยุค

                    คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามวาดดาวอยู่ในขณะนี้คือเด็กหนุ่มมากความสามารถที่ดังเพียงชั่วข้ามคืนกับการถ่ายโฆษณาเพียงชิ้นเดียว...นี่ล่ะหน่า ที่เขาว่าคนจะดังอะไรก็ห้ามไม่อยู่ อาเล็คและดูเหมือนเจ้าตัวจะรู้ว่ากำลังมีคนจ้องมองอยู่ เขาหันมายิ้มให้วาดดาวที่เอาแต่จ้องมองเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างชื่นชมในความสามารถและดวง จนเธอต้องหันหลบเบือนหน้าหันไปทางซ้ายอย่างเขินๆ

                    จนพบกับหญิงสาวหน้ามนที่กำลังถูกพี่ช่างแต่งหน้าแต่งเติมเครื่องสำอางหลากสีจัดจ้านลงบนหน้าสาวที่หลับตาพริ้มอย่างพิถีพิถัน หญิงสาวคนนั้นคือดาวร้ายพุ่งแรงฉุดไม่อยู่ของยุคนี้ เบญพรรณเธอมีฉายาประจำตัวว่า ดาวร้ายนิสัยนางเอกหลังจากที่พี่ช่างแต่งหน้าคนนั้นแต่งหน้าให้เบญพรรณเสร็จ หญิงสาวก็ยกมือไหว้อย่างสตรีไทยพร้อมกับกล่าวคำขอบคุณ และนั้นทำให้วาดดาวเข้าใจในทันทีว่าฉายาที่เธอได้มานั้นเหมาะสมกับเบญพรรณมากน้อยเพียงใด

    สมแล้วที่ได้รับฉายาเช่นนั้น...งามอย่างไทยจริงๆ

                    ระหว่างที่นั่งรอร่วมกลุ่มอยู่กับพวกนักแสดงด้วยกัน วาดดาวก็ต้องละสายตาจากเบญพรรณแล้วหันมองตามเสียงที่เอะอะโวยวายของชายวัยสี่สิบปลายสวมหมวกแก๊ปสีดำทั้งที่อยู่ในร่มของตัวอาคาร ในมือเขาถือม้วนกระดาษเอสี่หนาหลายแผ่น พร้อมกับชี้กวักเรียกใครคนหนึ่งให้เข้ามาหาอย่างร้อนอกร้อนใจ          

                    “เสื้อผ้าของนางเอกยังไม่มาอีกเหรอไง ทำไม? ช้าขนาดนี้ ให้ใครไปโทรตามทีสิ จุ๋มก็ได้โทรตามหน่อยซิ ช้าจริงๆ”

    “ค่ะๆ” จุ๋มทีมงานสาวคนที่วาดดาวพบในตอนแรกรีบวิ่งเข้ามาหาอย่างกุลีกุจอ “รอแป๊บค่ะ ผู้กำกับ พี่พีชกำลังโทรตามอยู่ค่ะ”

    “เร็วหน่อย! นางเอกมานั่งรอนานแล้วแหกตาดูกันมั้งสิ” เณสิทฺธิ์ร้อนใจมากในฐานะผู้กำกับ พร้อมกับชี้มือมาทางที่วาดดาวนั่งรออยู่

    “ค่ะๆ ใจเย็นค่ะ” พีชชนาถในฐานะผู้จัดการ เธอเดินตามหลังจุ๋มออกมารับหน้าผู้กำกับที่กำลังของขึ้น “เขากำลังเดินทางมาค่ะ พี่เณ”

    “ถ้างั้นก็ดี กำลังมาจริงๆ ใช่ไหม” ผู้กำกับเณสิทธิ์ถามอย่างไม่ค่อยเชื่อในสิ่งที่พีชชนาถบอกเท่าไหร่

    “จริงๆ ค่ะ ใจเย็นนะคะ พี่”

     ไม่น่าเชื่อว่าความเรียบร้อยทุกอย่างในกองตกเป็นหน้าที่ของผู้จัดการกองอย่างพีชชนาถเพียงผู้เดียวจริงๆ เห็นแล้วก็อดเหนื่อยแทนไม่ได้ วาดดาวไม่เคยรู้เลยว่าฉากหน้าที่สวยพร้อมจะมีเบื้องหลังที่ชุลมุนวุ่นวายมากถึงขนาดนี้

                    “นั้น! เขามาแล้วพี่พีช” เสียงจุ๋มตะโกนขึ้นในทันที เมื่อชายหนุ่มสวมแว่นตาดำคนหนึ่งกำลังเดิมเข้ามา วาดดาวมองตามไปและคาดได้ว่าเขาคงเป็นเจ้าของห้องเสื้อที่กำลังถามถึง

                    แต่ไม่ทันที่วาดดาวจะมองชายหนุ่มคนนั้นให้ถนัดตา ช่างแต่งหน้าคนเดิมที่แต่งหน้าให้เบญพรรณก็เดินมาเรียกเธอให้เข้าไปแต่งหน้าต่อ ในขณะเดียวกันกับที่อาเล็คกำลังลุกออกจากเก้าอี้นั่งที่อยู่หน้ากระจกบานใหญ่กว่าสองเมตรซึ่งติดอยู่กับพนังห้อง

                    “ค่ะๆ” วาดดาวรับคำ แล้วรีบลุกขึ้นจากที่นั่งอย่างไม่รอช้า ทำให้เธอผละสายตาออกจากชายหนุ่มที่กำลังเดินเข้ามาในสตูดิโอ

     

    ในขณะที่วาดดาวกำลังแต่งหน้าอยู่ ชายหนุ่มวัยสามสิบต้นๆ ใส่เจลผมจนมันเรียบเนี้ยบได้เดินเข้ามายังสตูดิโอ พร้อมกับชายอีกคนที่เป็นลูกจ้างในร้านเป็นคนหิ้วชุดราตรีสีแดงสดเดินตามหลังมาอย่างรีบเร่ง พร้อมกับมีเสียงแว่วเข้ามาใกล้อย่างเบาบาง

                    “เร็วๆ เข้าสิ มาสายเลยเห็นไหม” ชายหนุ่มผู้เป็นนายแอบหันหน้าไปตำหนิลูกน้องตนที่หิ้วชุดราตรีสีแดงสดเดินตามมาด้านหลัง

    “เร็วค่ะ พี่เณกำลังรออยู่เลยค่ะ” พีชชนาถเดินออกมารับหน้าพร้อมกับบอกเล่าเป็นนัยๆ กับสถานการณ์ในตอนนี้ ชุดราตรีสวยสีแดงสดนั้นถูกส่งต่อให้จุ๋มทีมงานสาว นำไปให้นางเอกของเรื่องต่ออีกทอดหนึ่ง

    จุ๋มหิ้วชุดราตรียาวสีแดงสดไปต่อ พร้อมกับเรียกวาดดาวที่แต่งหน้าใกล้แล้วเสร็จให้เตรียมไปเปลี่ยนชุดที่เพิ่งเดินทางมาถึงหมาดๆ

    สายตาของวาดดาวเหลือบไปเห็นแต่เพียงด้านหลังของชายคนนั้นที่เอาชุดมาส่ง รูปร่างลักษณะที่เห็นไกลๆ คล้ายเหมือนเธอจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ครั้นยิ่งมองแล้วก็ยิ่งดูคุ้นมาก คล้ายกับคนที่เธอเคยเจอในสวนสาธารณะอย่างบอกไม่ถูก

     ...แต่จะใช่เขาหรือเปล่านะ ถ้าใช่ก็ดีสิ ขอให้ใช่ทีเถอะ...

     

    หากกล่าวถึงบทประพันธ์เรื่อง ม่านทระนงคงไม่อาจมีใครปฏิเสธได้ว่าไม่รู้จัก เพราะเป็นบทประพันธ์ชั้นยอดที่มีการจัดทำละครมาหลายต่อหลายครั้ง หากแต่ในครั้งนี้... ผู้กำกับมือทองอย่างเณสิทธิ์ได้หยิบยกเรื่องนี้มาทำเป็นภาพยนตร์ ทุกคนที่ทราบข่าวเรื่องการจัดทำภาพยนตร์ในครั้งนี้ ต่างตั้งหน้าตั้งตาเฝ้ารอคอย เพื่อชม กลุนาหลงนางเอกของเรื่อง หญิงสาวผู้สูงศักดิ์รับบทโดยนางเอกใหม่แกะกล่องอย่าง วาดดาว

    ในเรื่องกลุนาหลงหญิงสาวผู้สูงศักดิ์ได้เผลอใจหลงใหลรักใคร่ชายหนุ่มผู้ต่ำต้อยบ่าวเบี้ยในบ้าน เธอตัดสินใจหนีตามชายคนรักออกจากบ้านและครอบครัวอันมั่งคั่งนั้นมา ความรักที่หลายคนไม่ยอมรับทำให้เธอจากมาอย่างไม่คิดหวนกลับ ยอมทิ้งชีวิตสูงศักดิ์สวยหรูและเงินทองมากมายเพื่อความรัก

                   

    หลังจากวาดดาวเปลี่ยนเสื้อผ้าใส่ชุดราตรียาวที่จุ๋มถือมาให้เธอ ชุดราตรียาวสวยสีแดงสดนั้นดูเหมาะเข้ากับผิวสีขาวหมดจรดของเธอได้เป็นอย่างดี สังเกตได้จากสายตาของคนรอบข้างที่พบเห็น แต่ละคนต่างพากันอ้าปากค้างตะลึงกันเป็นแถวๆ ระหว่างที่เธอเดินผ่านหน้าคนพวกนั้น จนมาถึงกลุ่มคนที่นั่งสนทนากันอยู่อย่างไม่เงยศีรษะ และหนึ่งในนั้นก็คือชายหนุ่มใหญ่ที่วาดดาวรู้สึกคล้ายจะคุ้นเคย หากแต่ตอนนี้แว่นตาดำที่เขาสวมใส่อยู่ปิดบังใบหน้าอันหล่อเหลาไว้ จนทำให้วาดดาวเห็นหน้าเขาไม่ค่อยชัด

                    “เป็นไงค่ะ แค่นี้สวยสง่าสมกับบทหรือยังค่ะ ผู้กำกับ ถ้ายังไม่พอจะได้ไปลองเปลี่ยนชุดมาใหม่” เสียงของจุ๋มทำให้คนในกลุ่มทุกคนต้องเงยหน้าขึ้นมองสาวสวยในชุดราตรี

                    “เอ่อ! ใช้ได้ เอาชุดนี้แหละ สมแล้วที่เป็นนางแบบป้ายแดงชื่อดัง แต่เดี๋ยวไปลองชุดอื่นมาด้วยแล้วกัน เอาไว้เผื่อเลือกหลายๆ ชุด” ผู้กำกับเงยหน้าขึ้นตอบ พร้อมออกคำสั่งแล้วหันก้นหน้ากลับไปคุยในเรื่องที่กำลังคุยค้างไว้ต่ออย่างเคร่งเครียด

    แต่ครั้นเมื่อชายหนุ่มสวมแว่นตาดำคนนั้นเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวในชุดราตรีสีแดงสดตรงหน้า ทำให้ชายหนุ่มเจ้าของชุดราตรีต้องค่อยๆ ถอดแว่นตาดำออกจนเผยให้เห็นหน้าคมคายได้อย่างชัดเจน

                    “อ้าว! คุณ”

                    “อ้าว! คุณชัช” เสียงของคนที่รู้จักกัน เอ่ยทักประสานเสียงกันจนคนข้างๆ ต่างหันมองเป็นตาเดียวกัน

                    “อ้าว! นี่รู้จักกันเหรอค่ะ” พีชชนาถผู้จัดการกองสาวที่ร่วมอยู่ในวงสนทนาถามอย่างสงสัย

                    “ครับ / ค่ะ” ทั้งสองคนแย่งกันตอบ จนมีเสียงหัวเราะเบาๆ ออกมาจากปากของคนทั้งคู่

    แต่แววตาที่ผู้จัดการกองถ่ายสาวมองทั้งสองคนอยู่นั้นกลับมีรังสีอำมหิตแผ่ออกมาน้อยๆ ด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยชอบใจในกิริยานัก

                   

    วาดดาวและชัชวาลได้พูดคุยกันเพียงน้อยนิด ไม่นานนัก...วาดดาวก็ต้องหันเดินกลับเข้าไปลองเปลี่ยนชุดใหม่อีกหลายชุด ทำให้วาดดาวต้องออกจากวงสนทนานั้นไป คงมีเพียงชัชวาลที่ต้องตั้งหน้าตอบคำถามให้กับผู้จัดการสาวอย่าง พีชชนาถในขณะที่ผู้กำกับก็ขอตัวเดินออกไปจากวงสนทนานั้นเช่นกัน

                    “คุณรู้จักเด็กนั้นด้วยเหรอ? ไม่หยักรู้มาก่อนนะ ว่าคุณจะรู้จักเด็กนั้นด้วย” น้ำเสียงเรียบแหบแสดงอารมณ์ไม่ค่อยพอใจ

                    “แล้วทำไม? ผมต้องบอกคุณด้วยล่ะ พีชชนาถ ในเมื่อมันไม่ได้จำเป็นที่ผมจะต้องบอกคุณ” ชัชวาลมองหน้าพีชชนาถอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์เช่นกัน

                    “ฉันขอเตือนคุณไว้ก่อนนะ ว่า..อย่ามาทำให้ฉันไม่พอใจ ไม่อย่างนั้น แม้แต่งานนี้ที่ฉันเป็นคนแนะนำคุณเข้ามา คุณก็จะไม่ได้ทำต่อ” พีชชนาถเชิดหน้าใส่ชายหนุ่ม ก่อนที่จะเดินสะบัดหน้าออก โดยคิดว่าตนได้ถือครองไพ่เหนือกว่าชายหนุ่มตรงหน้า

    แต่เปล่าเลย พีชชนาถคิดผิด เธอไม่ได้เป็นฝ่ายที่ถือไพ่เหนือกว่าชัชวาล หากแต่ฝ่ายชัชวาลต่างหากที่ถือไพ่เหนือกว่าเธอหลายขุมนัก

                    “เดี๋ยวสิ!” ชัชวาลกล่าวเสียงกร้าว

    “...” พีชชนาถไร้คำพูดใด เธอไม่เคยได้ยินชายหนุ่มกล่าวน้ำเสียงเช่นนั้นกับเธอมาก่อน ดุดันราวกับจะเสียดแทงหัวใจเธอ

    พีชชนาถหยุดฝีเท้าลงพร้อมๆ กับหันกลับไปตามเสียงเรียกของชายหนุ่ม ชัชวาลเดินเข้ามาใกล้เธอจนแทบจะหายใจรดกันได้อย่างไม่ทันตั้งตัว

    ชัชวาลหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋าด้านในของเสื้อสูทราคาแพงที่เขาสวมอยู่ พร้อมกับเปิดภาพถ่ายของเธอกับเขาในขณะร่วมรักกันอย่างดูดดื่มอยู่บนเตียงขึ้นมาให้พีชชนาถดู ภาพที่เห็นทำให้พีชชนาถตกใจจนดวงตาเบิกกว้าง      ดวงตาที่ก่อนเคยฉายแววดังราชสีห์บัดนี้คงมีเพียงแวววิตกกังวลเด่นชัดในดวงตาคู่สวยของเธอ พีชชนาถไม่คาดคิดว่าชายที่เธอเคยเชื่อใจและเคยมอบความรักให้จะกลับกลายเป็นคนร้ายกาจได้ถึงเพียงนี้

    พีชชนาถพยายามจะเอื้อมคว้าโทรศัพท์มือถือเครื่องนั้นของชัชวาลไว้ แต่เขาไวกว่า...เก็บโทรศัพท์นั้นกลับเข้ากระเป๋าด้านในของเสื้อสูทไปก่อนอย่างมือไว

                    “คุณ! ต่างหากล่ะ ที่อย่ามาทำอะไรให้ผมไม่พอใจ ไม่อย่างนั้น ภาพนี้...ถึงมือนักข่าวแน่ อ๋อ! ไม่สิ ที่จริงผมมีภาพเคลื่อนไหวด้วยนะ อย่างดูไหม?” ชัชวาลกระซิบเสียงเบาข้างใบหน้าหญิงสาว “แล้วก็ขอเตือน ถ้าไม่อยากถูกแฉ คราวหน้าคราวหลังอย่ามายุ่งเรื่องของผมอีก พีชชนาถคนสวย” หลังคำข่มขู่พวกนั้น ชัชวาลหันหน้าเข้าหาเธอพร้อมกับกดริมฝีปากหนาประทับจุมพิตมัจจุราชลงบนแก้มนวลขาวของเธออย่างไม่จริงจัง...บางเบาราวกับจะเยาะเย้อความพ่ายพล้ำนั้นของเธอให้ดิ่งลงลึกยิ่งขึ้นไปอีก

                    ทันทีที่ริมฝีปากของชัชวาลแตะสัมผัสต้องกับผิวแก้มนวล แค่เสี้ยววินาที...พีชชนาถก็สะบัดหน้าหนีอย่างรังเกียจสุด เธอเดินออกห่างจากชัชวาลอย่างเร็วจนตัวเซด้วยความเคืองแค้นอย่างแสนสาหัส ซ่อนเร้นกรุ่นไปด้วยแรงอาฆาตมากมายไว้นัยน์แววตาแสนสวยของเธอ

    ถ้อยคำข่มขู่นั้นยังคงดังก้องอยู่ในหัวสมองของพีชชนาถ แม้ชัชวาลจะเดินจากไปแล้วก็ตามที พีชชนาถทั้งแค้นและโกรธจัดที่ครั้งหนึ่งเธอเคยมีใจให้กับผู้ชายที่ร้ายกาจอย่างเขา อีกทั้งยังเสียดายความรู้สึกดีๆ ที่เคยมีให้กันมาตลอดขณะที่คบหากัน

                    และนั้นทำให้พีชชนาถต้องเก็บซ้อนความรู้สึกทุกอย่างของตนไว้อย่างสงบเสงี่ยม เธอไม่กล้าตอแยกับชายร้ายกาจนั้นอีก ด้วยเกรงว่า...ชัชวาลจะทำอย่างที่เขาได้ข่มขู่เธอไว้จริงดังพูด หากภาพถ่ายพวกนั้นหลุดออกไปคงไม่ดีกับหน้าที่การงานและแวดวงทางสังคมของเธออย่างแน่แท้ ดังนั้นสิ่งที่เธอทำได้ในสถานการณ์เช่นนี้คือ...เดินตามเกมและรอจังหวะ

                    ในระหว่างที่พีชชนาถยังคงยืนค้าง มองภาพแผ่นหลังของชายที่เธอเคยรักเดิมจากไป ก็มีเสียงเรียกดังขึ้นข้างตัวเธอที่ปลุกเรียกสติที่ล่องลอยของเธอกลับมาอีกครั้ง

                    “พีช! เป็นอะไร พี่เรียกตั้งนาน ไม่ได้ยินหรือไง” ผู้กำกับเณสิทธิ์เดินมาจนถึงข้างตัวพีชชนาถตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

                    “ค่ะๆ ได้ยินค่ะ พอดีกำลังคิดงานเพลินอยู่นะคะ ขอโทษทีนะคะ พี่เณ” พีชชนาถรีบตอบเสียงรัว

                    “งั้นก็ดี พี่อยากให้เราเข้าไปช่วยดูเบญพรรณให้หน่อย ชุดของเธอยังดูไม่เป็นนางร้ายเท่าไหร่ ไปแต่งเสริมให้ทีสิ พีช” ผู้เป็นผู้กำกับสั่ง

                    “ค่ะ”

                   

    หลังจากถูกชัชวาลข่มขู่ พีชชนาถก็ไม่กล้าตอแยเขาอีก และเมื่อขวากหนามชิ้นโตอย่างพีชชนาถถูกเขี่ยจนพ้นทางไปแล้ว ชัชวาลก็เริ่มสร้างสายสัมพันธ์กับวาดดาวอย่างเต็มตัวจนออกนอกหน้าอย่างน่าหมั่นไส้ โดยที่เขาไม่ได้รู้เลยว่า...กำลังมีสายตาคู่หนึ่งลอบมองพฤติกรรมของเขาอยู่ห่างๆ ด้วยความไม่พึงพอใจ

    ถึงแม้พีชชนาถจะถูกข่มขู่ แต่นั้นก็เพียงทำให้เธอไม่กล้าทำอะไรให้มากมายจนเกินไปนัก หากแต่เธอยังคงเฝ้าติดตามมองทั้งสองคนอยู่ห่างๆ อย่างเคืองโกรธที่เขาทำกับเธอได้ถึงเพียงนี้ รวมถึงวาดดาวที่เข้ามาทำให้ชัชวาลผันตัวออกห่างไปจากเธอ

                   

    “ลองชุดเสร็จแล้วเหรอครับ” ชัชวาลถามวาดดาวที่นั่งค่อยถ่ายภาพร่วมกับพระเอกของเรื่องอยู่ที่เก้าอี้นั่งมีพนักพิงหลัง

                    “ค่ะ เสร็จแล้ว แต่ต้องรอถ่ายภาพอีก คงอีกนานเลยค่ะ กว่าจะได้กลับไปพัก เหนื่อยเหมือนกันนะคะ ไม่น่าเชื่อเลยว่า...แค่ลองชุดกับถ่ายภาพแค่นี้จะทำให้ดาวเหนื่อยมากกว่าตอนถ่ายแบบหรือเดินแฟชั่นอีกค่ะ” วาดดาวแอบบ่นน้อยๆ ให้คนชวนคุยฟัง แล้วยิ่งกับคนที่เธอคิดว่าฟ้าส่งมาให้เธออย่างชัชวาลด้วยแล้ว วาดดาวจึงยิ่งเปิดประตูหัวใจพูดคุยกับเขาอย่างสนิทคุ้นเคย

                    “อ้าวๆ วาดดาวประจำที่ พระเอกมาแล้ว” เสียงผู้กำกับร้องเรียกหา เพื่อให้เธอเข้าไปถ่ายภาพประกอบโปสเตอร์โปรโมทภาพยนตร์เรื่องนี้คู่กับพระเอกของเรื่องอย่างอาเล็ค

                    “ค่ะ กำลังไปค่ะ” วาดดาวรับคำ แล้วรีบลุกเดินไปประจำที่

    แต่ด้วยความรีบร้อน... วาดดาวสะดุดชายกระโปรงชุดราตรียาวของตัวเองจนหน้าเกือบขมำ แต่ดีที่ชัชวาลนั่งอยู่ข้างเธอไหวตัวรับเธอเอาไว้ได้ทันเวลาก่อนที่นางเอกใหม่แกะกล่องอย่างเธอจะเสียโฉม เพราะหน้ากระแทกขอบเก้าอี้อีกตัวที่อยู่ถัดไป

    เหตุการณ์นั้น ทำให้ทั้งสองคนอยู่ในท่าประคับประคองกันราวกับพระเอกนางเอกในละครหลังข่าว ภาพนั้นทำให้อีกคนที่แอบลอบมองดูสถานการณ์อยู่ตลอดเวลาอย่างพีชชนาถทนไม่ได้กับภาพที่เห็น

    พีชชนาถเดินออกมาจากมุมมืดมิดที่ซ่อนอยู่ แล้วโผล่เข้ามาฉุดกระชากตัววาดดาวออกจากอ้อมแขนของชัชวาลขึ้นมาตบดัง “ผัวะ” ด้วยอารมณ์หึงแกมหวง ทำให้หน้านวลขาวของวาดดาวที่รับแรงปะทะหันไปอีกทางหนึ่งด้วยแรงมือตบ หลังจากนั้นรอยแดงก็ค่อยๆ เด่นชัดขึ้นทันทีตามแรงกระแทกราวกับมีช่างแต่งหน้าแต้มสีแดงให้แก้มเธอมากเกินไป

                    “นี่! เธอทำอะไรของเธอเหอะ ยัยบ้า มันมากเกินไปแล้วนะ” ชายหนุ่มหันมาตะคอกใส่ด้วยน้ำเสียงเจือโมโหดังลั่น

    เสียงของชัชวาลดังก้องไปถึงเพื่อนร่วมงานทั่วทั้งสตูดิโอนั้น ทำให้แทบทุกคนหยุดวางมือจากงานตรงหน้าแล้วหันมองมา ณ จุดๆ เดียวกันกับภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และร่วมถึงนักข่าวที่เข้ามาทำข่าวอยู่ในสตูดิโอแล้วก่อนหน้า ณ ขณะนั้นด้วย

                    “ผู้กำกับ! ผู้กำกับ!” เสียงเหนื่อยหอบของจุ๋มทีมงานกองถ่าย

                    “มีอะไรว่ะ พูดให้มันรู้เรื่องหน่อย ยัยจุ๋ม” ผู้กำกับมองทีมงานสาวร่างเล็กอย่าง จุ๋มด้วยความฉงน

                    “พี่พีชค่ะ! พี่พีช...” เสียงลมหายใจหอบเฮือกใหญ่ จนฟังจับใจความได้ยาก “พี่พีชตบนางเอกใหม่ ผู้กำกับช่วยไปห้ามหน่อยสิค่ะ ตอนนี้นักข่าวรุมถ่ายภาพกันใหญ่แล้วค่ะ” ทีมงามสาวร่างเล็กบอกเล่าเหตุการณ์อยู่นานสองนานกว่าจะรู้ความ

                   

    พอได้ยินเหตุการณ์จากจุ๋มที่หน้าตาตื่นมาตามตน ผู้กำกับก็รีบสาวเท้าเดินมายังที่เกิดเหตุเร็วราวจรวด แต่ภาพที่เห็นคือทั้งสองฝ่ายยุติการลงไม้ลงมือลงแล้ว หากแต่เพียงทั้งสองฝ่ายยังประจันหน้ากันอยู่อย่างไม่มีใครยอมลดราวาศอกให้ใคร

                    “นี่คุณทำอะไร พีช” เสียงชัชวาลเอ่ยถาม ตามมาด้วยอีกเสียงที่กำลังใกล้เข้ามาท่ามกลางวงล้อมของพวกไทยมุ่งทั้งหลายในสตูดิโอ

                    “นั้นสิ พีช” เสียงผู้กำกับดังมาก่อนจะเห็นตัวผู้พูดเสียอีก ฝูงไทยมุงถูกแหวกออก “นี่เราทำอะไรนะ พีช พี่ไม่เคยเห็นเราเป็นอย่างนี้มาก่อนเลยนะ แล้วไปตบน้องเค้าทำไม?” ผู้กำกับเณสิทธิ์หันมองแกมดุฝ่ายที่เป็นคนลงมือก่อนอย่าง พีชชนาถ

    “...” เงียบ พีชชนาถไม่มีคำอธิบาย เธอนิ่งเฉยกำมือแน่นเพื่อข่มอารมณ์โกรธของตน แต่แววตาคู่สวยนั้นแสดงออกชัดเจนถึงอารมณ์กรุ่มโกรธ ซึ่งคนถูกตบอย่างวาดดาวไม่เข้าใจเหตุการณ์และความนัยน์ที่ซ่อนอยู่ในแววตาคู่นั้นของหญิงสาววัยสามสิบต้นๆ ที่อัธยาศัยดีมากกับเธอในครั้งตอนแรกพบอย่าง พีชชนาถ

    “นี่มันเรื่องอะไร ใครก็ได้ไหนลองเล่าให้ฟังทีสิ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น” ผู้กำกับเณสิทธิ์หันไปมองซ้ายขาวของแต่ละฝ่าย เพื่อเร่งเร้าหาคำตอบ ก่อนจะเพ่งมองไปที่พีชชนาถเพียงคนเดียว “ไหนพีชตอบพี่มาสิ”

    “...” พีชชนาถเงียบ ทำให้เณสิทธิ์หันไปถามอีกทาง

    “ว่าไงคุณชัช”

    “...”

    แต่ไม่มีคำตอบออกมาจากปากใครสักคน ทั้งสองฝ่ายต่างเงียบพอกัน ก่อนที่จะมีเสียงตอบกลับมา...

                    “ถามเธอดูสิครับ ผมก็ไม่รู้...อยู่ดีๆ เธอก็เดินเข้ามากระชากวาดดาวไปตบ ไร้เหตุผลที่สุด” ชัชวาลหันไปมองพีชชนาถที่จ้องมองตอบกลับเขาอย่างไม่ลดละ พร้อมกับที่ค่อยๆ ประคองวาดดาวขึ้นยืนขนาบไว้ข้างตัว “ดูสิแก้มช้ำเป็นรอยเลย” ชัชวาลมองแก้มขาวของวาดดาวที่ตอนนี้มีรอยแดงของนิ้วทั้งห้าประทับอยู่ราวกับมีคนแต่งแต้มมันไว้อย่างจงใจ

    วาดดาวค่อยๆ ช่วยพยุงตังเองลุกขึ้นตามแรงประคองของชายหนุ่มใหญ่ข้างตัว พร้อมกับที่มือเรียวเล็กของเธอพยายามลูบไล้ไปบนใบหน้าตรงบริเวณที่ถูกตบเพื่อบรรเทาอาการเจ็บจี๊ดที่แก้มบาง

                    “เป็นอย่างไงบ้างครับ เจ็บมากหรือเปล่า” ชัชวาลถามเสียงเบาอย่างห่วงใย ไม่สนสายตาของหญิงสาวอีกคนที่กำลังจ้องมองอยู่ เขายกมือขึ้นสัมผัสแก้มหญิงสาวอย่างทะนุถนอม

                    “นิดหน่อยค่ะ” วาดดาวตอบเสียงอ่อย

                    ภาพบาดตาบาดใจนั้นยิ่งตอกย้ำให้พีชชนาถเข้าใจฐานะของตัวเองมากยิ่งขึ้นไปอีก พีชชนาถได้แต่กำมือแน่นอย่างเจ็บปวด

                    “ไม่นิดมั้งหนู ดูสิแก้มช้ำขนาดนี้เชียว จะทำงานต่อไหวไหมล่ะ หนู” ผู้กำกับถามอย่างเอ็ดดู ไม่รู้ว่าเป็นห่วงเธอหรือเป็นห่วงงานกันแน่ แต่เพื่องานชิ้นใหม่ชิ้นนี้วาดดาวจึงยอมอดทนเก็บความเจ็บไว้ในใจ แล้วกดกั้นความรู้สึกทางกายเอาไว้ก่อนตอบกลับไปว่า...

                    “ไหวค่ะ”

    ครั้นเมื่อวาดดาวยื่นยันยื่นการตามเธอพูด ผู้กำกับก็ได้แต่ตามใจเธอ คราวนี้ก็ถึงฝ่ายพีชชนาถคนก่อเรื่อง หล่อนเอาแต่นิ่งเฉย...ไม่พูดถึงสาเหตุที่หล่อนตบวาดดาว เอาแต่จ้องมองสบตาชัชวาลอยู่เป็นระยะๆ อย่างโกรธเคืองผสมเจือปนไปด้วยความอาฆาตแค้นอย่างมากล้น

    นี่เขาไม่มีเหลือเยื่อใยแม้เพียงน้อยนิดให้ฉันจริงๆ แล้วใช่ไหม ถึงได้ไม่สนใจใยดีกันได้ถึงเพียงนี้ ทั้งที่เธอเคยรักเขามากมาย แต่สิ่งที่เขาหยิบยื่นให้เธอกับเป็นการทรยศหักหลักกันซึ่งหน้าอย่างนี้ เธอแพ้ผู้หญิงอย่างวาดดาวสินะ ก็คงไม่แปลกหรอก ก็เธอทั้งรวยกว่า สวยกว่า มีชื่อเสียงมากกว่า นั้นสินะ... ที่ผู้ชายอย่างชัชวาลต้องการ โชคดีแล้วล่ะ พีชชนาถ ที่หลุดรอดมาจากผู้ชายพรรค์นั้นได้ พีชชนาถพร่ำบอกกับตัวเองในความคิด ก่อนตัดสินใจเด็ดขาดตอบคำถามผู้กำกับอย่างเณสิทธิ์

    “พีชไม่มีอะไรจะอธิบายค่ะ ถือว่าเรื่องนี้พีชเป็นคนผิด... และพีชขอรับผิดชอบด้วยการลาออกค่ะ พี่เณ” น้ำเสียงประชดประชันน้อยเนื้อต่ำใจของหญิงสาว ไม่ได้ทำให้ชายที่เธอเคยรักรู้สึกอะไรแม้แต่น้อย

    ชัชวาลกลับแอบอมยิ้มกริ่มอย่างเจ้าเล่ห์ที่มุมปากเล็กๆ เขาเก็บความดีใจนั้นไว้อย่างเงียบๆ

    ชัชวาลคิดว่าการที่พีชชนาถจะลาออกไปนั้นจะยิ่งส่งผลดีต่อเขาขึ้นมาก เพราะหลังจากนี้เขาคงต้องแวะวนเวียนมาส่งเสื้อผ้าที่กองถ่ายนี้ด้วยตัวเองบ่อยๆ เพื่อตามจีบวาดดาวเหยื่อรายใหม่ที่ดีกว่า รวยกว่าและดูท่าทางจะหลอกง่ายกว่าซะด้วย

    แน่นอนว่าผู้กำกับพยายามที่จะไกลเกลี่ยเพื่อทำให้บทสรุปออกมาดีกว่านี้ ผู้กำกับเณสิทธิ์ไม่อยากให้พีชชนาถรับผิดชอบด้วยการลาออกเช่นนี้ ด้วยฝีมือของเธอเป็นที่ยอมรับว่าเก่งกาจมากถึงมากที่สุดคนหนึ่งในวงการนี้ แล้วเล่นมาลาออกไปแบบนี้ผู้กำกับเณสิทธิ์จึงอดที่จะเสียดายเสียไม่ได้ แต่ก็ไม่อาจรั้งการตัดสินใจของเธอได้เช่นกัน

    พีชชนาถเก็บสัมภาระเดินออกจาสตูดิโออย่างไม่คิดหวนกลับ เธอเดินเข้าประตูลิฟต์แล้วกดหมายเลขหนึ่งเพื่อกลับออกจากงานที่เธอตั้งใจทำมากว่าเดือนกว่า โดยที่มีเณสิทธิ์ผู้กำกัดตามมาส่งหน้าประตูลิฟต์ด้วยอาการเสียดาย

    “ไม่เปลี่ยนใจจริงๆ ใช่ไหม” คนมาส่งถามทวนให้มั่นใจ

    “ค่ะ พี่เณ ขอบคุณนะคะที่มาส่งพีช ลาก่อนค่ะพี่” พีชชนาถยกมือไหว้คนมีอายุมากกว่าอย่างมีมารยาท

     

    ท้องฟ้ายามสาย... ส่องแสงสว่างแวววาว ในตอนนี้แสงแดงอ่อนๆ ของยามเช้าเริ่มทอแสงร้อนแรงขึ้นเท่าๆ กับจิตใจของใครคนหนึ่งที่กำลังเดินออกมาจากสตูดิโอแห่งนี้

     ระหว่างทางที่พีชชนาถกำลังจะเดินพ้นประตูทางเข้า – ออกของอาคาร เณสิทธิ์สตูดิโอพีชชนาถเดินสวนทางกับชายหนุ่มผมยาวประบ่ามัดรวบไว้อย่างหลวมๆ อาทิตย์

    พีชชนาถในฐานะผู้จัดการกองรู้ดีว่าอาทิตย์เป็นเพื่อนคนหนึ่งของวาดดาว เพื่อให้เข้าถึงตัวตนของนักแสดงแต่ละคนอย่างจริงจัง พีชชนาถได้ตามเก็บตามสืบข้อมูลส่วนตัวของแต่ละคนอย่างล้วงลึก และเธอก็รู้มาว่าชายหนุ่มนักข่าวบันเทิงคนนี้ชื่อ อาทิตย์เป็นเพื่อนที่สนิทมากของ วาดดาว นางเอกใหม่

    ในระหว่างช่องทางเดินของประตูกระจกที่เลื่อนเปิดออกโดยอัตโนมัติ ทั้งสองคนสบตากันราวกับใจเดียวกัน

    “นาย... อาทิตย์ใช่ไหม?”

    “ครับ เรารู้จักกันรึครับ? คุณ...มีอะไรหรือเปล่าครับ” อาทิตย์ถามอย่างสุภาพ เพราะเขาคิดว่า...เขากับเธอไม่น่าจะรู้จักมาก่อนหน้านี้ ถึงใบหน้าจะดูคุ้นตามากก็เถอะ

    “ฝากบอกเพื่อนเธอด้วยนะ ว่าให้ระวังตัวไว้ให้ดี บางครั้งของดูดีมียี่ห้อก็อาจเป็นแค่ของปลอม ของก๊อป ทุกอย่างอาจมองดูคล้ายกับว่ามันจะสวยหรูเลิศเล่อแต่แท้ที่จริงแล้วข้างในมันอาจกลวงโบ๋ว่างเปล่าก็ได้ บอกเพื่อนเธอให้ระวังตัวไว้แล้วกันล่ะ” น้ำเสียงบ่งบอกได้ชัดว่าหญิงสาวที่อยู่ต่อหน้าอาทิตย์ขณะนี้กำลังฉุนเฉียวกรุ่นโกรธอะไรบางอย่างมาอย่างมาก

    ประโยคบอกเล่าที่คล้ายจะเป็นประโยคเตือนของหญิงสาวแปลกหน้า ทำให้อาทิตย์ที่เดินสวนกันระหว่างประตูทางเข้าต้องชะงักฝีเท้าหยุดรอฟังเธอพูดจนจบอย่างไม่คิดก้าวฝีเท้าต่อ และถึงแม้อาทิตย์จะหยุดฟังในสิ่งที่เธอพูดจนจบ แต่เขาก็ไม่ได้เข้าใจถึงความหมายที่เธอต้องการสื่อ

    ให้ ระวังอย่างงั้นเหรอ แล้วบอกให้ใครระวังล่ะ?

    เพื่อน? งั้นเหรอ.... เพื่อนที่เขากำลังมาหาในเวลานี้ก็มีเพียงคนเดียวคือ วาดดาว แล้วบอกให้วาดดาวระวังใครล่ะ ยิ่งคิด...อาทิตย์ก็ยิ่งไม่เข้าใจ ชายหนุ่มหันมองไปทางอื่นอย่างครุ่นคิดหนัก

    โอ๊ย! ไม่เข้าใจเลยสักนิด แต่ครั้นพอพยายามจะหันหน้ากลับมาถามคนพูด หญิงสาวที่เขาไม่คุ้นเคยคนนั้นก็เดินออกห่างจากเขาไปไกลเสียแล้ว เหลือทิ้งไว้เพียงปริศนาให้ชายหนุ่มวัยยี่สิบแปดปีอย่างอาทิตย์ครุ่นคิดเพียงลำพัง ก่อนจะเดินเข้าลิฟต์ไปหาวาดดาวที่สตูดิโอด้านบน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×