ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สงครามโลกและยุโรป(ประวัติศาสตร์)

    ลำดับตอนที่ #29 : ประวัติศาสตร์ทวีปยุโรปฯ(1)การกำเนิดของบริเตน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 219
      1
      12 เม.ย. 56

     

    การกำเนิดของบริเตน

     

    เซอร์  วินสตัน  เชอร์ชิลล์ Sir  Winston  Churchill  อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษได้ใช้เวลา 20 ปีเขียนประวัติศาสตร์อันเกี่ยวกับเรื่องราวของอังกฤษ  ที่เรียกว่า “History of the English-speaking Peoples  ประวัติศาสตร์แห่งชนชาติที่พูดภาษาอังกฤษ”  ซึ่งจัดเป็นหนังสือที่คุณค่ายิ่ง  อันเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ซึ่งเซอร์ชิลล์  ได้ใช้เวลาค้นคว้าถึง 20 ปี  ซึ่งเราขอนำสาระสำคัญมากล่าวดังต่อไปนี้  

     

    เซอร์  วินสตัน  เชอร์ชิลล์  กล่าวว่า  เมื่อเริ่มแรกทีเดียวนั้น  หมู่เกาะอังกฤษนี้ยังมิได้เป็นรูปเกาะดังเช่นในปัจจุบันนี้  จนต่อมาเมื่อทะเลเหนือมีกระแสน้ำทะเลเอ่อขึ้น  น้ำในทะเลนี้จึงได้ท่วมท้นผืนแผ่นดินตรงหน้าผาโดเวอร์ Dover  ทำให้ผืนแผ่นดินถูกตัดตอนออกกลายเป็นเกาะขึ้น  และเกาะนี้นี่แหละที่กลายเป็นที่ราบลุ่มอันอุดมสมบูรณ์  ถึงกระนั้นก็ยังไม่สามารถที่จะป้องกันมิให้พวกชาวพเนจรซึ่งอยู่ไม่เป็นที่มารุกรานได้  พวกเขาที่เข้ามารุกรานและครอบครองเกาะนี้นั้นได้แก่พวกไอบีเรียน Iberian  คือพวกที่มาจาก Spain และ Portugal  พวกกาล Gael  พวกที่มาจากไอเออร์แลนด์,  สก๊อตแลนด์และเวลส์  และพวกบริตัน Brithon  ชนเผ่าหนึ่งจากไอเออร์แลนด์  สก๊อตแลนด์และเวลส์เหมือนกัน  แต่พูดภาษาแตกต่างกับพวกกาล Gael  และคำว่า  บริตัน Brithon  นี้เอง  ที่ต่อมาได้กลายเป็นชื่อดินแดนนี้ว่า  บริเตน Brithain ตราบมาจนทุกวันนี้   

     

    ขณะที่ชนชาติพวกนี้ได้อพยพเข้ามาในดินแดนแห่งนี้  ได้นำเทวรูปซึ่งมีท่าทางดุร้ายน่าเกลียดน่ากลัวมากเข้ามาด้วยเป็นครั้งแรก  เทวรูปนี้เรียกว่า  Druid  ซึ่งทำให้เกิดอำนาจอันเร้นลับ  และมีความนับถือกันเสมือนหนึ่งว่าเป็นเจ้าป่า  เพราะเหตุนี้เอง  ต่อมาจึงได้เกิดมีการสร้างลัทธิฆ่าบูชายัญขึ้นซึ่งเป็นการป่าเถื่อน  และโหดร้านทารุณอย่างที่สุด  

     

    ในระยะเวลา 1,000 ปีแห่งคริสตศักราช  จนกระทั้งพวกชาวนอร์แมนได้เข้ามาครอบครอง  พวกพเนจรเหล่านี้ก็ได้อพยพเข้ามาอยู่ตลอดเวลา  ในระหว่างพันกว่าปีนี้เอง  พวกนี้เองจึงเป็นหมู่ฝูงชนใหม่เกิดขึ้น  ต่อมาฝูงชนเหล่านี้มีมากขึ้นก็รวบรวมกันเป็นชาติเดียวกันและเป็นชาติใหญ่เกิดขึ้น  

    เริ่มแรกเรื่องราวของชนพวกนี้ก็เกี่ยวข้องกับโรมันเหมือนกับประเทศตะวันตกประเทศอื่นๆคือ  เมื่อ 45 ปีก่อนคริสตศักราช  กองทหารโรมันของซีซาร์ก็ได้เคยเข้ามารุกรานพวกพื้นเมืองในเกาะนี้และทำความเสียหายให้มาก  จนกระทั่งต่อมาอีก 1 ศตวรรษ  มีกษัตริย์องค์หนึ่งชื่อ  คลอดิอุส Glaudius จึงได้ประกาศให้บริเตนเป็นอาณาจักรขึ้นอยู่กับโรมันนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา  

     

    เมื่อบริเตนขึ้นอยู่กับโรมันแล้ว  ในระยะ 300 ปีแรก  ชาวบริเตนต่างก็ได้รับความสุขสบายในด้านต่างๆ  กองทัพก็มีกำลังทหารพอสมควรไว้คอยปรามปราบปรามพวกที่อยู่ชายแดนเท่านั้น  นอกจากนี้ก็ยังมีกำแพงซึ่งสร้างโดยพวกทหารต่างชาติที่อาสาเข้ามาสร้างปิดกั้นพวกเหนือไว้เลย  ตลอดจากฝั่งทะเลหนึ่งและมีทหารโรมันคอยช่วยเหลืออยู่ที่เมือง York และเวลส์ก็ถูกตรึงไว้โดยกองทหารโรมันที่เมืองเชสเตอร์และที่เคเลียนออน  ออน  อัสด์  Caerleon on Usk  แต่ทหารโรมันที่เข้ามาครอบครองดินแดนแห่งนี้  มีจำนวนไม่ถึง 4 หมื่นคน  ครั้นใน 23 ช่วงอายุคนต่อมา  พลเมืองก็ได้เพิ่มขึ้นซึ่งเกือบจะเป็นชนชาติบริติชอย่างแท้จริง       

     

    ส่วนในเรื่องวัฒนธรรมและการศึกษาของพวกบริเตนก็เป็นไปตามแบบอย่างของโรมัน  แต่ยังไม่พิถีพิถันและเคร่งครัดเหมือนกับพวกกอลลิค (Gallic = Gaul = ชาวฝรั่งเศสโบราณ  เพราะขณะนั้นฝรั่งเศสยังเป็นอาณาจักรของโรมัน)  แต่มีกฎหมาย,  ระเบียบ,  จารีตประเพณี  ค่อยดีขึ้น  ประชาชนก็ได้เลิกลัทธิอันทารุณโหดร้ายและป่าเถื่อนบางอย่างออกเสีย  และมีความกระตือรือร้นขึ้น  วัฒนธรรมที่ดีบางอย่างก็ได้แพร่หลายไปยังทุกหมู่บ้านทุกตำบล  นิสัยและจิตใจแบบโรมันค่อยแซกซึม  เช่นแม้แต่การใช้สิ่งของ  การพูดจาจนกระทั่งชาวบริติชมีความภูมิใจว่าตัวเองก็เป็นชาวโรมันที่ดีเหมือนกัน  กองทหารของบริติชและพวกทหารรับจ้างก็ได้รับการฝึกหัดอย่างดี  จนมีฝีไม้ลายมือเกือบเท่าพวกทหาร  อิไลเรียน Illyrians  ซึ่งเป็นกองทหารที่ดีที่สุดของจักรวรรดิ์โรมัน.   

     

    ถ้าหากชาวพื้นเมืองเชสเตอร์สมัยก่อนนั้นจะสามารถฟื้นตื่นขึ้นมาในปัจจุบันนี้ได้  ชนเหล่านั้นก็จะได้เห็นว่ากฎหมายต่างๆที่ใช้ในปัจจุบันนี้นั้น  ล้วนแต่ชนเหล่านั้นเคยรู้และเคยใช้มาก่อนแล้วทั้งสิน  และชนเหล่านั้นก็จะเห็นว่าทุกๆหมู่บ้านที่มีโบสถ์มีวัดมีพระอยู่เดี๋ยวนี้  ในสมัยที่ชนเหล่านั้นก็ได้รับชัยชนะในการต่อสู้เพื่อศาสนามาแล้วทั้งสิน  และพวกที่อุทิศตัวเองเพื่อการศาสนาในทุกวันนี้ก็มีน้อยกว่าในยุคนั้น  นอกจากนี้ชนเหล่านั้นยังจะเห็นหนังสือวรรณคดีต่างๆซึ่งเป็นวรรณคดีชั้นเยี่ยมก็ล้วนแต่ตีพิมพ์ด้วยกระดาษที่หายากในสมัยปัจจุบันนี้  และมีจำนวนมากมาย  ล้วนเป็นเรื่องเก่าแก่แต่สมัยก่อนก็ยังปรากฏตามห้องสมุดทั่วไปในบริเตนนี้ด้วย   

     

    ในยุคนั้นประเทศต่างๆก็ได้จัดระบบทหารและการเศรษฐกิจตามแบบอย่างของโรมัน  ชาวโรมันเปรียบเสมือนผู้มีอายุมากซึ่งชอบมีชีวิตอยู่ด้วยความสันติและไม่มีความลำเอียง  ได้อยู่เป็นสุขตลอดเรื่อยมาจนถึงในต้นคริสตศักราชที่ 3  พวกชาวพื้นเมืองของบริเตน Brithain ก็ชักมีความคิดใหม่ๆแปลกๆเกิดขึ้น  และต้องการที่จะเลิกลัทธิเก่าๆบางอย่างออกเสีย  เมื่อกองทหารชาวพื้นเมืองแถวๆปลายแดนได้เริ่มรวบรวมจัดตั้งเป็นกองทัพและฝึกฝนการรบให้เข้มแข็ง  จัดตั้งผู้มีฝีมือดีให้เป็นหัวหน้า  เราเห็นว่ากองทัพของพวกนี้มีจำนวนมากมายก่ายกองเสมือนน้ำที่ไหลมาปะทะกำแพงที่กั้นน้ำ  ไม่เพียงแต่ไหลท่วมเปี่ยมอยู่ที่เขื่อนเท่านั้น  มันยังแซกซึมเข้าไปได้ด้วย  พวกทหารเหล่านี้ก็มาจากทางเอเชียและขับลุกไล่พวกที่อยู่เก่าคือพวก Roman Britain มุ่งไปสู่ทางตะวันตก  พวกที่อยู่เดิมจึงจำเป็นต้องต่อสู้ป้องกัน  ในที่สุดก็สู้ไม่ได้ต้องล่าถอยไป  

     

    อย่างไรก็ดี  พวกโรมัน  บริติช  Roman British  ก็ยังพยายามต่อสู้และขับไล่  Repel พวกที่มารุกรานหลายครั้งหลายคราวแต่ก็ไม่สำเร็จ  ในระยะต่อมา  ได้มีกองเรือรบของชนต่างเผ่าจากแผ่นดินใหญ่บุกขึ้นเกาะนี้หลายแห่ง  ขับไล่โจมตีพวกโรมัน  บริติช  Roman Brithish  และกองทหารรับจ้างชาวโรมัน  เรายอมรับว่าปี ค.ศ. 367  เป็นปีที่มีการฆ่าฟันกันมาที่สุดในยุคนั้น  ผู้คนล้มตายนับเป็นหมื่นๆแสนทีเดียว

    พวกสก๊อตส์ Scots  และพวกแซกซอน Saxon  คือพวกเยอรมันพวกเหนือ  ได้รวมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างเข้มแข็ง  ในที่สุดพวกนี้ก็ได้เข้ามาเป็นใหญ่ในบริเตน  และได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานบ้านช่องทั่วไปตามเมืองต่างๆในภูมิภาคแถบนั้น  

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×