คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #29 : ประวัติศาสตร์ทวีปยุโรปฯ(1)การกำเนิดของบริเตน
การกำเนิดของบริเตน
เซอร์ วินสตัน เชอร์ชิลล์ Sir Winston Churchill อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษได้ใช้เวลา 20 ปีเขียนประวัติศาสตร์อันเกี่ยวกับเรื่องราวของอังกฤษ ที่เรียกว่า “History of the English-speaking Peoples ประวัติศาสตร์แห่งชนชาติที่พูดภาษาอังกฤษ” ซึ่งจัดเป็นหนังสือที่คุณค่ายิ่ง อันเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ซึ่งเซอร์ชิลล์ ได้ใช้เวลาค้นคว้าถึง 20 ปี ซึ่งเราขอนำสาระสำคัญมากล่าวดังต่อไปนี้
เซอร์ วินสตัน เชอร์ชิลล์ กล่าวว่า เมื่อเริ่มแรกทีเดียวนั้น หมู่เกาะอังกฤษนี้ยังมิได้เป็นรูปเกาะดังเช่นในปัจจุบันนี้ จนต่อมาเมื่อทะเลเหนือมีกระแสน้ำทะเลเอ่อขึ้น น้ำในทะเลนี้จึงได้ท่วมท้นผืนแผ่นดินตรงหน้าผาโดเวอร์ Dover ทำให้ผืนแผ่นดินถูกตัดตอนออกกลายเป็นเกาะขึ้น และเกาะนี้นี่แหละที่กลายเป็นที่ราบลุ่มอันอุดมสมบูรณ์ ถึงกระนั้นก็ยังไม่สามารถที่จะป้องกันมิให้พวกชาวพเนจรซึ่งอยู่ไม่เป็นที่มารุกรานได้ พวกเขาที่เข้ามารุกรานและครอบครองเกาะนี้นั้นได้แก่พวกไอบีเรียน Iberian คือพวกที่มาจาก Spain และ Portugal พวกกาล Gael พวกที่มาจากไอเออร์แลนด์, สก๊อตแลนด์และเวลส์ และพวกบริตัน Brithon ชนเผ่าหนึ่งจากไอเออร์แลนด์ สก๊อตแลนด์และเวลส์เหมือนกัน แต่พูดภาษาแตกต่างกับพวกกาล Gael และคำว่า บริตัน Brithon นี้เอง ที่ต่อมาได้กลายเป็นชื่อดินแดนนี้ว่า บริเตน Brithain ตราบมาจนทุกวันนี้
ขณะที่ชนชาติพวกนี้ได้อพยพเข้ามาในดินแดนแห่งนี้ ได้นำเทวรูปซึ่งมีท่าทางดุร้ายน่าเกลียดน่ากลัวมากเข้ามาด้วยเป็นครั้งแรก เทวรูปนี้เรียกว่า Druid ซึ่งทำให้เกิดอำนาจอันเร้นลับ และมีความนับถือกันเสมือนหนึ่งว่าเป็นเจ้าป่า เพราะเหตุนี้เอง ต่อมาจึงได้เกิดมีการสร้างลัทธิฆ่าบูชายัญขึ้นซึ่งเป็นการป่าเถื่อน และโหดร้านทารุณอย่างที่สุด
ในระยะเวลา 1,000 ปีแห่งคริสตศักราช จนกระทั้งพวกชาวนอร์แมนได้เข้ามาครอบครอง พวกพเนจรเหล่านี้ก็ได้อพยพเข้ามาอยู่ตลอดเวลา ในระหว่างพันกว่าปีนี้เอง พวกนี้เองจึงเป็นหมู่ฝูงชนใหม่เกิดขึ้น ต่อมาฝูงชนเหล่านี้มีมากขึ้นก็รวบรวมกันเป็นชาติเดียวกันและเป็นชาติใหญ่เกิดขึ้น
เริ่มแรกเรื่องราวของชนพวกนี้ก็เกี่ยวข้องกับโรมันเหมือนกับประเทศตะวันตกประเทศอื่นๆคือ เมื่อ 45 ปีก่อนคริสตศักราช กองทหารโรมันของซีซาร์ก็ได้เคยเข้ามารุกรานพวกพื้นเมืองในเกาะนี้และทำความเสียหายให้มาก จนกระทั่งต่อมาอีก 1 ศตวรรษ มีกษัตริย์องค์หนึ่งชื่อ คลอดิอุส Glaudius จึงได้ประกาศให้บริเตนเป็นอาณาจักรขึ้นอยู่กับโรมันนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เมื่อบริเตนขึ้นอยู่กับโรมันแล้ว ในระยะ 300 ปีแรก ชาวบริเตนต่างก็ได้รับความสุขสบายในด้านต่างๆ กองทัพก็มีกำลังทหารพอสมควรไว้คอยปรามปราบปรามพวกที่อยู่ชายแดนเท่านั้น นอกจากนี้ก็ยังมีกำแพงซึ่งสร้างโดยพวกทหารต่างชาติที่อาสาเข้ามาสร้างปิดกั้นพวกเหนือไว้เลย ตลอดจากฝั่งทะเลหนึ่งและมีทหารโรมันคอยช่วยเหลืออยู่ที่เมือง York และเวลส์ก็ถูกตรึงไว้โดยกองทหารโรมันที่เมืองเชสเตอร์และที่เคเลียนออน ออน อัสด์ Caerleon on Usk แต่ทหารโรมันที่เข้ามาครอบครองดินแดนแห่งนี้ มีจำนวนไม่ถึง 4 หมื่นคน ครั้นใน 23 ช่วงอายุคนต่อมา พลเมืองก็ได้เพิ่มขึ้นซึ่งเกือบจะเป็นชนชาติบริติชอย่างแท้จริง
ส่วนในเรื่องวัฒนธรรมและการศึกษาของพวกบริเตนก็เป็นไปตามแบบอย่างของโรมัน แต่ยังไม่พิถีพิถันและเคร่งครัดเหมือนกับพวกกอลลิค (Gallic = Gaul = ชาวฝรั่งเศสโบราณ เพราะขณะนั้นฝรั่งเศสยังเป็นอาณาจักรของโรมัน) แต่มีกฎหมาย, ระเบียบ, จารีตประเพณี ค่อยดีขึ้น ประชาชนก็ได้เลิกลัทธิอันทารุณโหดร้ายและป่าเถื่อนบางอย่างออกเสีย และมีความกระตือรือร้นขึ้น วัฒนธรรมที่ดีบางอย่างก็ได้แพร่หลายไปยังทุกหมู่บ้านทุกตำบล นิสัยและจิตใจแบบโรมันค่อยแซกซึม เช่นแม้แต่การใช้สิ่งของ การพูดจาจนกระทั่งชาวบริติชมีความภูมิใจว่าตัวเองก็เป็นชาวโรมันที่ดีเหมือนกัน กองทหารของบริติชและพวกทหารรับจ้างก็ได้รับการฝึกหัดอย่างดี จนมีฝีไม้ลายมือเกือบเท่าพวกทหาร อิไลเรียน Illyrians ซึ่งเป็นกองทหารที่ดีที่สุดของจักรวรรดิ์โรมัน.
ถ้าหากชาวพื้นเมืองเชสเตอร์สมัยก่อนนั้นจะสามารถฟื้นตื่นขึ้นมาในปัจจุบันนี้ได้ ชนเหล่านั้นก็จะได้เห็นว่ากฎหมายต่างๆที่ใช้ในปัจจุบันนี้นั้น ล้วนแต่ชนเหล่านั้นเคยรู้และเคยใช้มาก่อนแล้วทั้งสิน และชนเหล่านั้นก็จะเห็นว่าทุกๆหมู่บ้านที่มีโบสถ์มีวัดมีพระอยู่เดี๋ยวนี้ ในสมัยที่ชนเหล่านั้นก็ได้รับชัยชนะในการต่อสู้เพื่อศาสนามาแล้วทั้งสิน และพวกที่อุทิศตัวเองเพื่อการศาสนาในทุกวันนี้ก็มีน้อยกว่าในยุคนั้น นอกจากนี้ชนเหล่านั้นยังจะเห็นหนังสือวรรณคดีต่างๆซึ่งเป็นวรรณคดีชั้นเยี่ยมก็ล้วนแต่ตีพิมพ์ด้วยกระดาษที่หายากในสมัยปัจจุบันนี้ และมีจำนวนมากมาย ล้วนเป็นเรื่องเก่าแก่แต่สมัยก่อนก็ยังปรากฏตามห้องสมุดทั่วไปในบริเตนนี้ด้วย
ในยุคนั้นประเทศต่างๆก็ได้จัดระบบทหารและการเศรษฐกิจตามแบบอย่างของโรมัน ชาวโรมันเปรียบเสมือนผู้มีอายุมากซึ่งชอบมีชีวิตอยู่ด้วยความสันติและไม่มีความลำเอียง ได้อยู่เป็นสุขตลอดเรื่อยมาจนถึงในต้นคริสตศักราชที่ 3 พวกชาวพื้นเมืองของบริเตน Brithain ก็ชักมีความคิดใหม่ๆแปลกๆเกิดขึ้น และต้องการที่จะเลิกลัทธิเก่าๆบางอย่างออกเสีย เมื่อกองทหารชาวพื้นเมืองแถวๆปลายแดนได้เริ่มรวบรวมจัดตั้งเป็นกองทัพและฝึกฝนการรบให้เข้มแข็ง จัดตั้งผู้มีฝีมือดีให้เป็นหัวหน้า เราเห็นว่ากองทัพของพวกนี้มีจำนวนมากมายก่ายกองเสมือนน้ำที่ไหลมาปะทะกำแพงที่กั้นน้ำ ไม่เพียงแต่ไหลท่วมเปี่ยมอยู่ที่เขื่อนเท่านั้น มันยังแซกซึมเข้าไปได้ด้วย พวกทหารเหล่านี้ก็มาจากทางเอเชียและขับลุกไล่พวกที่อยู่เก่าคือพวก Roman Britain มุ่งไปสู่ทางตะวันตก พวกที่อยู่เดิมจึงจำเป็นต้องต่อสู้ป้องกัน ในที่สุดก็สู้ไม่ได้ต้องล่าถอยไป
อย่างไรก็ดี พวกโรมัน บริติช Roman British ก็ยังพยายามต่อสู้และขับไล่ Repel พวกที่มารุกรานหลายครั้งหลายคราวแต่ก็ไม่สำเร็จ ในระยะต่อมา ได้มีกองเรือรบของชนต่างเผ่าจากแผ่นดินใหญ่บุกขึ้นเกาะนี้หลายแห่ง ขับไล่โจมตีพวกโรมัน บริติช Roman Brithish และกองทหารรับจ้างชาวโรมัน เรายอมรับว่าปี ค.ศ. 367 เป็นปีที่มีการฆ่าฟันกันมาที่สุดในยุคนั้น ผู้คนล้มตายนับเป็นหมื่นๆแสนทีเดียว
พวกสก๊อตส์ Scots และพวกแซกซอน Saxon คือพวกเยอรมันพวกเหนือ ได้รวมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างเข้มแข็ง ในที่สุดพวกนี้ก็ได้เข้ามาเป็นใหญ่ในบริเตน และได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานบ้านช่องทั่วไปตามเมืองต่างๆในภูมิภาคแถบนั้น
ความคิดเห็น