14 กุมภา วันแห่งความรัก "รักพ่อ"
เวลาที่คุณมีเรื่องทุกข์ใจ ใครกันเล่าที่คุณ คิดถึงก่อน?
คนที่คุณคิดถึงก่อนนั่นแหละคือ คนที่คุณรักมากกว่า หากคนที่คุณคิดถึงก่อนทั้งเวลาสุข และทุกข์คือ คนๆ เดียวกัน
นั่นคือสิ่งที่วิเศษสุด
แต่หากว่าเป็นคนละคนกัน
เราแนะนำให้คุณเลือก
คนที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างคุณ เวลาคุณมีเรื่องทุกข์ร้อนใจ
ชีวิตคนเราทุกข์มากกว่าสุข เวลาคุณมีความสุข
มีคนมากมายที่พร้อมจะแบ่งปันความสุขกับคุณ
ไม่เพียงแต่เฉพาะแฟนสุดที่รัก แม้กระทั่งเวลามีความสุข
คุณยังสามารถอยู่ตัวคนเดียวได้
แต่ไม่ใช่จะทุกคนที่พร้อมจะแบ่งปันความทุกข์ของคุณ
คนที่คุณพร้อมแบ่งปันความทุกข์ด้วย
แท้จริงคือ คนที่คุณต้องการมากที่สุดและอยากอยู่ใกล้ชิดมากที่สุด
ในทางกลับกัน คนที่คิดถึงคุณเวลามีความสุข
และไปหาผู้อื่นเวลามีความทุกข์ เป็นคู่รักที่ไม่มั่นคงเอาเสียเลย
เพราะเขาคนนั้นไม่คิดจะให้คุณเป็นคู่รัก
ที่อยู่ร่วมทุกข์สุขด้วยตลอดชีวิต
เราคงดีใจถ้าหากคนที่เรารัก
คิดถึงเราก่อนในเวลาที่เขามีความสุข
แต่ถ้าอยากอยู่ใกล้ชิดเราเวลาที่เขามีความทุกข์เศร้า
พร้อมให้เราเห็นตัวเขาในสภาพที่เขาอ่อนแอทุกข์ร้อน
เราเชื่อว่าเราต้องมีความสำคัญมากๆ ในสายตาของเขา
.............
ในเวลาที่คุณมีความทุกข์เศร้า คุณคิดแบ่งปันกับใคร?
14 กุมภาพันธ์ จำจนวันตาย
ในขณะที่ภูมิกำลังถูบ้านอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งเรียกขานหามารดาของตน ด้วยความอยากรู้ ภูมิจึงเดินไปที่หน้าต่างชะเง้อหน้ามองหาต้นเสียง
ภาพที่เห็นเป็น น้าของภูมินั้นเอง และไม่กี่วินาที ร่างของหญิงวัยกลางคนก็ค่อยๆเดินเข้าไปน้าคนนั้น ทั้งสองคนพูดคุยกันด้วยสีหน้าเครียด จริงจัง
"เรื่องไรหนอ" ภูมิคิดในใจ แล้วจัดการถูพื้นต่อ ซึ่งเหลืออีกไม่กี่กระดานก็เสร็จเรียบร้อย
ลงมาหาแม่หน่อยซิลูก
จันราตรี มารดาของภูมิหยิบผ้าถุงที่ตากพาดไว้กับราวไม้ไผ่ อย่างกุลีกุจอ
"มีไรครับแม่"
หญิงวัยกลางคน ยืนนิ่งมองไปที่ดวงหน้าไร้เดียงสาของบุตรชาย ก่อนจะพูดคำคำหนึ่งให้ลูกชายฟัง
สิ่งที่ได้รับฟังจากผู้เป็นแม่ ทำให้เด็กหนุ่มยืนนิ่ง
อึ้ง พูดอะไรไม่ออก ไม่คิดมาก่อนว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเขา
ความรู้สึกอย่างหนึ่ง พรั่งพรู่เข้ามาสู่จิตใจอย่างรวดเร็ว
ใช่เหรอ มันจริงเหรอ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเราละ แต่ยังไงเขาก็เป็น..........
หลายสิ่งหลายอย่าง มันวกวน สับสน
คนที่เข้าใจภูมิมากที่สุด น่าจะเป็นจันราตรี ผู้เป็นแม่ของภูมินั้นเอง
ภาพแห่งความทรงจำเมื่อครั้งยังเด็ก ผุดขึ้นมาในมโนจิต
..........ภาพของผู้ชายคนหนึ่ง ที่กำลังเดินกลับบ้านในตอนเย็นๆ พร้อมกับ ภรรยาของเขาและบุตรี
อีกคนหนึ่ง "อย่าดิ้นสิลูก เดี่ยวก็ตกหรอก"
จันราตรีพูดขึ้นมา เมื่อเห็นลูกชายคนเล็กของเธอขยับตัวไปมา ในขณะที่ขี่คอของสามีตน
อย่าบอกนะครับว่าอ่านแล้ว งง ...เด็กชายคนที่กำลังขี่คอพ่อ คนนั้นคือ ภูมินั้นเอง เขาจำได้เพียงว่า
ภาพเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นภาพที่ภูมิรู้สึกประทับใจที่สุด
แต่...แต่หลังจากนั้น...ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เหตุผลคืออะไรไม่อาจจะทราบได้ แม่ไม่เคยเล่าให้ฟัง
รู้แต่เพียงว่า ทั้งสองคนแยกกันอยู่นั้นเอง ตั้งแต่ภูมิอายุ 4 ขวบได้
จนกระทั้งปัจจุบันนี้ ภูมิอายุ 17 ปี เติบโตขึ้นมาอย่างยากลำบาก แต่ก็ผ่านมันมาได้ด้วยหยาดเหงื่อและน้ำตาของมารดาและพี่สาว
พ่อ.....พ่อมา...นานครั้ง...พ่อจะกลับมาที่บ้าน ซึ่งตอนนี้แม่ไม่อยู่บ้านหลังนั้นแล้ว แต่กลับขนข้าวขนของไปอยู่กับคุณตาคุณยายแทน เพราะอะไรก็ไม่รู้ ทั้งสองคนไม่มีวันที่จะคืนดีกันได้เลย
"ภูมิ....เป็นไรรึเปล่าลูก"
ภาพแห่งความหลังเลือนหายไป และกลับเข้ามาสู่ความเป็นจริง เรื่องจริง จริงหรือนี่
"ไม่เป็นไร.."
"เดี่ยวแม่จะไปเตรียมข้าวของก่อนนะ....แล้วจะไปงานศพพ่อของลูก"
ภูมิไม่ตอบ ในหัวสมองมันตันๆๆๆ ไม่รู้จะเสียใจหรือเปล่า เพราะความผูกพันธ์กับคนที่เป็นพ่อมันมีน้อยนิดเหลือเกิน
"ภูมิ นี้คืออนาคตของลูก ลูกไปสมัครสอบเอ็นทรานส์ให้เรียบร้อย....ส่วนเรื่องงานศพของพ่อ ลูกสมัครเสร็จแล้วค่อยกลับมา"
เด็กหนุ่มพยักหน้า สีหน้าหม่นหมองตาแดงก่ำของผู้เป็นแม่เกิดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ถึงกระนั้นหยดน้ำตาของแม่ยังไม่มีให้เด็กหนุ่มเห็นเลยแม้แต่นิดเดียว
แม่เป็นคนที่ทนงตนมาก แม่รักเดียวใจเดียว แม่คิดถึงลูกตลอดเวลา และแม่ดุมากด้วย ในขณะเดียวกันแม่ก็ใจดีอย่างมากที่สุด
จำได้ว่า ณ เวลาช่วงนั้น ตั้งแต่กระทั้งเดินทางไปสมัครสอบ ภูมิได้แต่คิดถึงเรื่องนี้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น จิตใจของเขาไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเอาซะเลย
และทันทีที่สมัครเสร็จ เขาก็รีบกลับบ้านทันที
เสียงเพลงธรณีกรรแสงที่ใช้เปิดในพิธีจัดงานศพ ดังไปทั่วบริเวณงาน แต่ภูมิกลับไม่ได้ยินอะไรเลย
จิตใจของเขาคิดเพียงแต่เรื่องเดียวเท่านั้น
ก้าวแรกที่เดินเข้ามาในบริเวณงาน สายตาของผู้คนในงานต่างก็มองมาที่ภูมิเป็นตาเดียวกัน หลังจากนั้นก็กระซิบกระซาบพูดคุยกันอย่างสนุกปาก พวกเขาเหล่านั้นคงจะเป็นบรรดาเครือญาติของพ่อนั้นเอง ซึ่งอาจจะมองเพราะไม่เคยเห็นหน้าเด็กหนุ่มมาก่อน
โลงศพที่ตั้งไว้ถูกประดับตกแต่งด้วยไฟกระพริบระยิบระยับ พร้อมด้วยรูปขาวดำของผู้ชายคนหนึ่งที่วางตั้งไว้ด้านหน้า เด็กหนุ่มไม่อยากจะมองไปที่ภาพนั้นซักเท่าไหร่ แต่เขากลับมองไปหาผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้หญิงที่เลี้ยงดู และรักเขามากสุดหัวใจ
สายตาของภูมิกวาดมองไปทั่วบริเวณงาน จนกระทั้งเห็นร่างของผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังมองมาที่ตัวเขาเช่นเดียวกัน จันราตรียิ้มออกมาเป็นครั้งแรก หลังจากที่ไม่ได้ยิ้มเลยมาเป็นเวลาสองวัน แววตาเป็นประกาย บ่งบอกถึงความรู้สึกดีใจที่ได้เห็นลูกชายของตน
ภูมิรีบเดินเข้าไปหาแม่ทันที โดยที่ไม่คิดที่จะไหว้ทักทายเหล่าบรรดาเครือญาติของพ่อเลยแม้แต่นิดเดียว ก็ไม่รู้จัก ไม่คุ้นเคย นิหนา
ภาพที่ทุกคนเห็นคือ ภาพของลูกที่ยกมือไหว้แม่ ก่อนที่ทั้งคู่จะโผ่เข้ามากอดกัน
ภูมินั่งลง แล้วยิ้มให้กับมารดา ในขณะที่ผู้เป็นแม่ก็ยิ้มตอบกลับเช่นกัน
รอยยิ้มของแม่ แปลกไป รอยยิ้มที่ผสมปนเจือไปกับความเศร้า ผุดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ภูมิเข้าใจความรู้สึกของมารดาเป็นอย่างดี ผู้หญิงที่ระเบียบจัด คงมั่นในกายและวาจา ความทนงตนที่เห็นอย่างได้ชัดเจน แต่แท้จริงแล้ว แม่อ่อนไหวง่ายที่สุด
ครู่หนึ่ง คุณปู่ก็เดินมาหาภูมิ เด็กหนุ่มยกมือไหว้ ปู่เอื้อมแขนคว้าตัวเรามากอด กอดอย่างแน่น
เสมือนว่าเป็นตัวแทนของลูกชายของตนก็ว่าได้ จะว่าไปนี้คือการได้กอดหลานชายเป็นครั้งแรกก็เป็นไปได้
"สมัครเรียบร้อยยังลูก"
ภูมิพยักหน้า
"บวชให้พ่อนะลูก" ปู่มองมาที่ดวงตาของภูมิ แววตาอ้อนวอน
ภูมิไม่ตอบ แต่กลับหันหน้าไปมองหน้าจันราตรี
"ยังไงก็พ่อนะลูก พ่อคงจะได้เกาะชายผ้าเหลืองขึ้นสวรรค์ได้นั้น ต้องเป็นลูกของเขาเท่านั้น เรื่องนี้แล้วแต่ภูมิก็แล้วกัน" จันราตรีให้ข้อคิดกับบุตรชายของตน
"ครับ"
คุณปู่ยิ้มทั้งน้ำตา แล้วกอดเด็กหนุ่มอีกครั้ง ลูบหัวไปมาอย่างเอ็นดู รักใคร่ ในขณะที่แม่หันหน้าไปอีกทางหนึ่ง หันหลังให้เด็กหนุ่ม
ภูมิเข้าใจดีว่าแม่คงไม่อยากให้ลูกเห็นน้ำตา ใช่สิ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นแม่ร้องให้ซักครั้งเดียว
ครู่หนึ่ง ปู่ก็จับมือภูมิ
"ป่ะ ..ไปดูหน้าพ่อเป็นครั้งสุดท้าย"
เพียงได้ฟัง ภูมิรู้สึกหัวใจเต้น ความกลัวไม่ได้มีในจิตใจเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ความรู้สึกตื่นเต้นนั้นก่อตัวขึ้นมาอย่างท่วมท้น นานเหลือเกิน นานมาก ภูมิจะได้เห็นหน้าบิดา เห็นหน้าพ่อ หลังจากที่ไม่เคยเห็นมานานแสนนาน คิดไม่ออกว่าพ่อมีหน้าตาอย่างไรด้วยซ้ำไป
เด็กหนุ่มเดินตามผู้เป็นปู่ไปยังโลงศพที่ตั้งไว้ ทุกสายตาที่อยู่ในบริเวณงานต่างหยุดสิ่งที่กำลังทำอยู่ แล้วเพ่งมองไปที่ภูมิเป็นตาเดียวกัน
ภาพที่เห็น ..........................
พ่อ ....พ่อของเรา..... เรามีพ่อนะ...... นี้คือพ่อของภูมิ......และเพียงเท่านั้นเองน้ำตาของเด็กหนุ่มก็ไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย ร่างของเด็กหนุ่มทรุดตัวลง ร้องให้ ร้องออกมา เสมือนกับว่า นี้แหละคือความรู้สึกแท้จริง ที่ทำให้ภูมิเสียใจ แต่กลับเก็บเอาไว้ เพียงเพราะแค้นใจที่ทำไมพ่อไม่ใยดี แต่ตอนนี้เขาไม่เก็บความรู้สึกนี้อีกแล้ว ทุกอย่างระบายออกมาเป็นหยดน้ำตา ที่ไหลอาบแก้ม
ที่ผ่านมา ภูมิทำเหมือนไม่มีอะไรเลย ไม่เป็นไร ไม่มีพ่อก็ไม่มีปัญหา สบายหายห่วง
แต่หัวใจของภูมิปราถนา ปราถนาความรักของพ่อ วันที่ 5 ธันวาคมทีไร เป็นวันที่ภูมิอยากจะขาดเรียนมากที่่สุด.........มากมายหลายความรู้สึก ในยามที่เห็นเพื่อนๆ มีพ่อแม่ครบครันกันพร้อทหน้าพร้อมตา หลายครั้งที่ภูมิแอบร้องให้
พ่อจ๋า.....พ่อ.....ภูมิร้องเรียกพ่อขณะที่จุดธูปเพื่อกราบศพ แล้วนั่งนิ่งๆ ก้มหน้าร้องให้ ร้องๆๆๆ
ไม่สนใจว่าใครจะมองยังไง ร่างบางทรุดตัวนั่งลงกับพื้น แล้วก้มลงกราบพ่อ ........กราบ...ศพ...ของ....พ่อ......เนิ่นนานเหลือเกินที่เด็กหนุ่มซบหน้าลง แล้วเอื้อมมือจุดธูปด้วยมือที่สันเทา
ทุกคนที่มองมาที่ภูมิ ร้องให้ออกมาอย่างเวทนา
มีเสียงตัดพ้อต่อว่าพ่อด้วย "ทำไมไม่ยอมมาดูแลลูกบ่าง ลูกออกจะน่ารัก เป็นเด็กดี"
คำอธิฐาน ณ เวลานั้นตอนนั้น ความรู้สึกตัดพ้อน้อยใจที่พ่อไม่มีเยื่อใยมาดูแล ได้จางหายไปจนหมดสิ้น ในดวงจิตมีแต่ ภาวนา แผ่เมตตา ขอให้บิดาของตนเองไปในภพที่ดีดี สงบสุข
ภูมินั่งพับเพียบก้มหน้าอยู่นานมาก จนแม่เดินมาหา มือที่เขาคุ้นเคยลูบไปที่ศรีษะเบาๆเป็นการปลอบโยน
"ภูมิ....แม่ว่าเอาของไปเก็บก่อน อาบน้ำอาบท่าเสร็จค่อยมางานใหม่นะลูก"
พิธีการดำเนินไปตามพิธีกรรมทางศาสนา เรื่องราวของพ่อ.....เสมือนว่าได้จบไปแล้ว
แต่ในความเป็นจริง พ่อไม่ได้จากลาไปไหนเลย พ่อยังอยู่ในใจเสมอ
ตอนที่บวชหน้าไฟ ภูมิได้ตั้งจิตอธิฐานภาวนาแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลด้วยใจแน่นิ่ง มั่นคง
"บุญกุศลใดก็ตามที่ตนได้กระทำกรรมดี เอาไว้ไม่ว่าจะภาคภพไหน ขอให้พ่อได้รับส่วนบุญส่วนกุศลทุกครั้งไป..."
"รักพ่อ"
4 เดือนผ่านไป
“แม่....แม่.....แม่อยู่ไหน”
“อยู่ทางนี้” เสียงที่ขานรับไม่ใช่คนที่เป็นแม่ หากแต่เป็น “พร” พี่สาวของภูมินั้นเอง
เด็กหนุ่มวิ่งเข้าไปในบ้านอย่างรีบเร่ง พบว่ามารดาและพี่สาวกำลังทำอะไรซักอย่าง เขาไม่สนใจจุดนั้น เพราะมีอะไรที่น่าตื่นเต้นดีใจมากกว่าอยู่ในมือของภูมิ
“แม่ ภูมิทำได้แล้ว” จันราตรีมองดูบุตรชายคนเดียวของตน ด้วยสีหน้าขำขำ ท่าทางตื่นเต้นดีใจมากแบบนี้ เธอไม่เคยได้พบเห็นในตัวของบุตรชายมานานแล้ว
“ไหนแม่ ขอดูหน่อยซิ” พร เอื้อมหน้าชะเง้ออ่านเนื้อความในกระดาษ
“โห่.....มหาวิทยาลัยนี้ ถ้าจำไม่ผิดเขาว่ากันว่า อันดับหนึ่งของเมืองไทยเลยนิหนา” พรพูดขึ้น ในขณะที่ภูมิ ยิ้มหน้าบาน
“ดีแล้วลูก เดี่ยวแม่ไปยืมเตาที่บ้านน้าไก่ก่อนนะ” จันราตรีพูดออกมาสั้นๆ แล้วอมยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินออกจากบ้านทันที
พร รู้สึกตะหงิดๆขึ้นมาเล็กน้อยที่มารดามีท่าทางแปลกๆ ก่อนจะหันหน้ามาชื่นชมยินดีกับน้องชาย
กว่าภูมิจะมาถึงวันนี้ได้ พรรับรู้เป็นอย่างดีว่า “ทุ่มเท” คำคำนี้มอบให้น้องชายได้เลยทีเดียว
...................................................................................................................................................
หลังจากที่รับประทานอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อย
จันราตรีนั่งคุยอยู่กับบิดาของเธอ หรือว่าคุณตาของภูมินั้นเอง สีหน้าท่าทางเอาจริงเอาจังมาก ในขณะที่ภูมิได้แต่สงสัยว่าสองคนนั้นคุยอะไรกัน บุคคลที่ควรค่าแห่งการเคารพทั้งสอง ปรึกษาหารือกันนานพอสมควร หลังจากนั้น คุณตาก็ขึ้นไปบนบ้านหลับนอนตามปกติ
หลังจากนั้น จันราตรีก็มุ่งหน้าเดินตรงมาหาบุตรทั้งสองคน เพื่อที่จะพูดอะไรซักอย่าง และคิดว่าเรื่องนี้ต้องสำคัญมากที่สุดเลยทีเดียว และก็เป็นจริงอย่างที่คิด สิ่งที่ได้ยินจากถ้อยคำของมารดา ทำให้ภูมิน้ำตาร่วงลงมาทันที
“ภูมิเข้าใจแม่นะลูก”
เด็กหนุ่ม ตอบคำถามมารดาด้วยการพยักหน้ารับแทน
"เดี่ยวภูมิขอตัวไปนอนก่อนนะครับ" ภาพของน้องชาย ที่กำลังเดินก้มหน้าช้า ยิ่งทำให้ พร ผู้เป็นพี่สาวถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ในขณะที่จันราตรีกลับมีสีหน้าแน่วนิ่ง แต่พรรู้จักแม่ของตนเป็นอย่างดี และรู้ว่า ณ เวลานี้แม่ของเธอก็เศร้าใจไม่แพ้กัน
ทันทีที่หัวถึงหมอน น้ำตาที่พยายามจะเก็บกลั้นเอาไว้ ได้พังทลายออกมาอย่างมหาศาล
นี้แหละหนอคือความไม่เท่าเทียมกันของมนุษย์ คนบางคนเกิดมามีโอกาส โอกาสทุกสิ่งทุกอย่างที่ยามจะไขว่คว้าเอามา ย่อมสมหวังดังใจปองทุกคราไป แต่แปลกเหลือเกินเขาเหล่านั้นกลับไม่สนใจใยดี กับโอกาสที่มีมา ภูมิรู้สึกอิจฉาคนเหล่านั้นเหลือเกิน แต่ก็ต้องยอมรับในโชคชะตาของตัวเองให้ได้ในที่สุด
การศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยสำหรับครอบครัวที่มีฐานะไม่ดีพอนั้น ย่อมส่งผลกระทบอย่างมากแน่นอน จริงอย่างที่ผู้เป็นแม่ได้อธิบายเหตุผลให้ฟัง ประเด็นหลัก คือ “เงิน”
แต่คนเรา ถ้าหากมุ่งมั่น พยายามที่จะทำอะไรแล้ว หากจิตใจแน่วแน่ อะไรก็มาขวางไม่ได้ แม้กระทั้ง
“เงิน” เด็กหนุ่มตัดสินใจแอบไปสมัครสอบเรียนต่อที่สถาบันอุดมศึกษาแห่งหนึ่ง สถาบันที่ใครหลายๆคนได้หมิ่นเอาไว้ว่า ใครที่เรียนต่อที่แห่งนี้คือบุคคลที่เอ็นไม่ติด และนั้นเอง คือความคิดของคนที่จิตใจคับแคบ ทะนงตน โดยแท้จริงแล้วกลับตรงกันข้าม เรียนที่ไหนก็เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับผู้เรียนมากกว่า ว่าจะเข้าไปหาสิ่งๆนั้นลึกซึ้งขนาดไหน
ผลการสอบ เป็นไปตามที่คาดคิด และ สิ่งๆหนึ่งที่ได้ยินจากถ้อยคำของมารดา ก็เป็นไปตามที่คาดคิดเช่นกัน เหตุผลของมารดาถูกต้องและชัดเจนที่สุด ลำพังผู้หญิงคนเดียวจะมีปัญญาส่งเสียลูกให้ร่ำเรียนจนจบปริญญาตรี นั้นมันเป็นไปได้ยากนัก เพราะค่าใช้จ่ายลำพังแค่ประทังชีวิตไปวันๆ ยังแทบจะไม่รอด
“ให้มันเรียนเถอะ.... เดี่ยวตาจะช่วยด้วยอีกแรง” นี้คือเสียงสวรรค์ที่ช่วยทำให้ภูมิรู้สึกดีใจอย่างมากถึงมากที่สุด แต่ถึงกระนั้นจันราตรีก็ค้านอย่างไม่ยอมแพ้ ยืนยันท่าเดียวว่า เป็นไปไม่ได้ เธอทราบดีว่า สิ่งที่เอ๋ยวาจาออกมานั้นส่งผลกระทบต่อจิตใจของบุตรชายของเธออย่างมากโขเลยทีเดียว แต่ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีเหตุและผลในตัวของมันเองแทบทั้งสิ้น
จากคนที่เคยสดใส ยิ้มแย้ม กลับกลายเป็นคนอีกคนที่ตรงข้ามอย่างที่สุด ภูมิไม่ทำอะไร ไม่ออกไปไหน
นอกจากขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง
จนกระทั้งกำหนดการณ์วันสุดท้ายของการรายงานตัว เป็นวันแรกที่ภูมิทำใจได้แล้ว ออกมาช่วยงานตามปกติในตอนเช้ามืด
“ภูมิ รีบไปอาบน้ำอาบท่าเร็วเข้าสิลูก เดี่ยวไม่ทันการ”
ภูมิ งง เล็กน้อย
“วันนี้วันรายงานตัววันสุดท้ายไม่ใช่เหรอลูก เร็วเข้าสิ พี่พรเขาเตรียมตัวเสร็จแล้ว” ภูมิมองไปยัง พี่สาวคนเดียวของเขาที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมาอย่างแนบแน่น
“ให้ไว.... อย่าชักช้า เดี่ยวเปลี่ยนใจขึ้นมาละช่วยไม่ได้นะ”
ภูมิหันหน้ามามองมารดา สิ่งที่ได้รับกลับมาคือการพยักหน้า และเท่านั้นเองร่างบางก็วิ่งเข้าไปในบ้านทันที
ชีวิตการเป็นนักศึกษาของภูมิ เต็มไปด้วยอุปสรรคมาขวางกั้นอยู่แทบจะทุกครั้ง แต่ภูมิก็ฝ่าฟันเอาชนะสิ่งนั้นจนได้ ด้วยมารดา คุณตา พี่พร ที่คอยช่วยเหลือตลอดเวลา ภาพแห่งความประทับใจในวันวานที่ผ่านพ้นไปไม่เคยลืมเลือนไปได้ น้ำตา เสียงหัวเราะ หยาดเหงื่อ แรงกาย กำลังใจ ความยากลำบากที่ได้รับมา คือผลกำไรแทบทั้งสิ้น ความเข้มแข็ง ความอดทน และมากมายคือสิ่งที่ได้รับกลับมาโดยไม่รู้ตัว
เหมือนดั่งดวงชะตาขีดไว้ แต่ถ้าเราไม่คิดที่จะออกจากเส้นที่กำหนดไว้ซะบ่าง ชีวิตคงจะตรอมตรมอย่างแน่นอน ชีวิตคนเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับอะไรทั้งสิ้น นอกเสียจาก ตัวเอง “ตนเอง”
จงพึงระลึกไว้เสมอว่า “ความกตัญญูกตเวที” มีแต่ทำให้เราประสบแต่ความเจริญก้าวหน้า อุปสรรคที่พุ่งเข้ามาจะฝ่าฟันพ้นผ่านไปด้วยดี พบกับเรื่องราวอีกมากมายที่พร้อมจะบรรยายลงมาเป็นตัวอักษรให้ได้อ่านกันในครั้ง
ต่อๆไป สำหรับครั้งนี้
สวัสดีครับ
หลังจากนั้น นายภูมิก็เกิด เป็น รักมากมายนายภูมิไงละ อิอิ
http://writer.dek-d.com/pallnarak/story/view.php?id=503042
แต่นวนิยายรักเรื่องนี้แอบดัดแปลง นิดหน่อยเพราะนายภูมิไม่ตายยังไงละ
ส่วนแซม เขาก็ได้ดีไปละ
ความคิดเห็น
T^T ขอผ้าซับน้ำตา ซึ้งอ่ะฮะ
แวะมาโหวตให้นะคะ ขอให้ชนะค่ะ เขียนดีมากค่ะ
อึ้ง พูดอะไรไม่ออก ไม่คิดมาก่อนว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเขา
ความรู้สึกอย่างหนึ่ง พรั่งพรู่เข้ามาสู่จิตใจอย่างรวดเร็ว
ใช่เหรอ มันจริงเหรอ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเราละ แต่ยังไงเขาก็เป็น..........
อ่านต่อ : http://my.dek-d.com/pallnarak/blog/?blog_id=10125446
เรียนที่ไหนก็เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับผู้เรียนมากกว่า ว่าจะเข้าไปหาสิ่งๆนั้นลึกซึ้งขนาดไหน
!!~~
ชอบครับ
แล้วภูมิก็อยู่ข้างบน ภูมิจะได้ยินได้ไง งงกับบริบทนี้แหละ
ดังลงไปข้างล่าง
แทนที่จะดังขึ้นมาจากข้างล่าง