pang_tvxq
ดู Blog ทั้งหมด

ยาแก้ท้องเสีย

เขียนโดย pang_tvxq
ท้องเสีย









unchikunpp7.jpg
 










ท้องเสีย
อาการท้องเสีย เป็นอาการที่พบได้บ่อยในโรคระบบทางเดินอาหาร โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา และในโซนที่มีอากาศร้อนชื้นเช่นประเทศไทย ส่วนใหญ่จะเกิดจากการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร ซึ่งอาจจะเป็นไวรัส หรือ เชื้อแบคทีเรียก็ได้ โดยปกติในลำไส้เล็กของคนเรา จะมีเชื้อแบคทีเรียที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อร่างกายอยู่จำนวนหนึ่งอยู่แล้ว ในกรณีที่มีการติดเชื้อเชื้อโรคจะมีจำนวนมากขึ้น จนทำให้เกิดอาการท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง บางรายอาจมีไข้ร่วมด้วย
้องเสีย ท้องร่วง  หมายถึง  ภาวะที่ผู้ป่วยมีอาการถ่ายเป็นเลือด  หรือถ่ายเหลวมากกว่า วันละ 3 ครั้ง  หรือถ่ายมีมูกปนเลือด  สาเหตุที่ทำให้เกิดท้องเสีย  อาจเกิดจากติดเชื้อไวรัส  บิด  ไทฟอยด์  อหิวาห์  พยาธิ  อาจเกิดจากสารพิษจากเชื้อโรค  โดยรับประทานเชื้อโรคที่ปนมากับอาหาร  หรือพืชบางชนิด  เช่น  เห็ดพิษ  กลอย  การให้ยาแก้ท้องเสียจะช่วยลดความตึงของลำไส้เล็ก  และลำเล็กใหญ่ให้ช้าลง

                อาการถ่ายเหลว อุจจาระเป็นน้ำบ่อยครั้ง ปวดท้องและมีลม เรียกว่า ภาวะท้องเสียหรืออุจจาระร่วง ซึ่ง  ปฏิกิริยาอย่างหนึ่งของร่างกายเพื่อตอบสนองต่อสารพิษ เชื้อโรค ตลอดจนการระคายเคืองที่เกิดขึ้นภายในทางเดินอาหาร  ซึ่งกลไกหลัก 2 อย่างที่เกิดขึ้นในภาวะดังกล่าวคือ เริ่มจากจะมีการหลั่งของเหลวบริเวณลำไส้เพิ่มขึ้น  หลังจากนั้นกล้ามเนื้อบริเวณลำไส้จะบีบตัวอย่างแรงหลายครั้ง  ส่งผลให้อุจจาระที่ขับออกมามีลักษณะเหลว และต้องถ่ายหลายครั้ง   เพื่อเป็นการกำจัดของเสียออกจากร่างกายนั่นเอง

                สารพิษที่ร่างกายต้องการกำจัดออกคือ แบคทีเรีย หรือ ไวรัส ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า และปนเปื้อนในอาหารหรือน้ำดื่มที่ไม่สะอาด   นอกจากนี้ในบางคนจะมีอาการท้องเสียเมื่อกินนม เนื่องจากไม่มีน้ำย่อยที่ใช้ในการย่อยนม

                 การใช้ยาปฏิชีวนะต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน สามารถทำให้ท้องเสียได้ เนื่องจากยาปฏิชีวนะจะรบกวนเชื้อแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในลำไส้ใหญ่ ซึ่งแบคทีเรียเหล่านี้เป็นแบคทีเรียที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย  ช่วยในการสร้างวิตามินเค  เปรียบเสมือนทหารที่คอยป้องกันแบคทีเรียซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกาย

                                                   

สาเหตุของภาวะท้องเสีย  สรุปได้ดังนี้

        1. ติดเชื้อไวรัส

        2. ติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อรา

        3. อาหารและน้ำดื่มที่ไม่สะอาด

        4. แพ้อาหาร

        5. ผลข้างเคียงจากการใช้ยา โดยเฉพาะยาปฏิชีวนะ

        6. ความเครียด

        7. ภาวะที่ร่างกายขาดน้ำและขาดสมดุลของแร่ธาตุ

                ถึงแม้ว่าภาวะท้องเสียจะทำให้รู้สึกทรมาน แต่การกินยาเพื่อให้หยุดถ่ายนั้นไม่ใช่ทางออกที่ถูกต้อง เนื่องจากเป็นการกักสารพิษไว้ และในที่สุดร่างกายก็จะตอบสนองโดยหาทางกำจัดสารพิษเหล่านี้ผ่านทางอื่นแทน

ท้องเสีย
โรคท้องเสียหรือท้องเดิน เป็นคำไทยแท้ที่ผสมระหว่าง "ท้อง" กับคำว่า "เสีย" หรือ "เดิน" สื่อให้เห็นถึงสิ่งที่ไม่ดี ไม่เป็นปกติที่เกิดกับท้องหรือลำไส้ หรือทางเดินอาหาร โดยอาการถ่ายผิดปกติ คือ ถ่ายเหลว หรือถ่ายบ่อยครั้ง มากกว่าในภาวะปกติ โรคนี้เป็นโรคหนึ่งที่พบได้บ่อยในประเทศไทยเกิดขึ้นได้ทุกฤดูกาล และมีสาเหตุของท้องเสียหลากหลายมากมาย แต่ที่พบบ่อยๆ และขอกล่าว ณ ที่นี้มีสัก ๒ ประเภทใหญ่ คือ ท้องเสียที่เกิดจากอารมณ์ (ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ) และท้องเสียที่เกิดจากการติดเชื้อ
    
1.ท้องเสียที่เกิดจากอารมณ์
ท้องเสียที่เกิดจากอารมณ์ (Irritable bowel syndrome) เป็นกลุ่มอาการท้องเสียที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ แต่เกิดเนื่องจากมีสิ่งกระตุ้นทางด้านจิตใจ ที่พบได้บ่อยๆ คือ ความเครียด เมื่อใดที่มีความเครียด ตื่นเต้น กังวล ใกล้สอบ ไปสัมภาษณ์เข้างานใหม่ เปลี่ยนที่ทำงานใหม่ ฯลฯ อารมณ์เหล่านี้จะไปกระตุ้นให้เกิดอาการปวดท้อง ต้องการถ่ายอุจจาระ และเมื่อได้ไปปล่อยทุกข์ที่ห้องสุขาหรือถ่ายอุจจาระเรียบร้อยแล้ว อาการปวดถ่ายท้องก็จะดีขึ้น หรือหายไปได้เอง โดยไม่ต้องให้การรักษาใดๆ เลย บางรายอาจมีอาการที่รุนแรงจนทำให้ปวดท้องบ่อยๆ และถี่ๆ จนรบกวนกิจวัตรประจำวันได้ แต่สังเกตลักษณะเด่นของการปวดท้องประเภทนี้ว่า มักไม่มีอาการไข้ร่วมด้วยเหมือนท้องเสียที่เกิดจากการติดเชื้อ(ที่จะกล่าวต่อไป) ถ้าปวดท้องอย่างรุนแรงบ่อยๆ และหาสาเหตุไม่ได้ ก็ควรรีบไปปรึกษาแพทย์ เพื่อหาสาเหตุและให้การรักษาที่ถูกต้องต่อไป ดังนั้น ผู้ที่ท้องเสียในลักษณะที่หนึ่งที่เกิดจากความเครียดนี้ ก็ควรดูแลรักษาสุขภาพร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะทางด้านอารมณ์ให้ผ่อนคลาย เข้มแข็ง มีสมาธิ หรือออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ ก็พอจะช่วยบรรเทาอาการเหล่านี้ลงได้
คำแนะนำการปฏิบัติตัวของผู้ป่วย

2. ท้องเสียที่เกิดจากการติดเชื้อ
อาการท้องเสียที่เกิดจากการติดเชื้อจะมีลักษณะ เด่นแตกต่างจากท้องเสียชนิดที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ คือ มักจะถ่ายเหลว ถ่ายบ่อยกว่าปกติ ปวดท้อง "ถ่ายอุจจาระหลายครั้งพร้อมกับอาการไข้ ตัวร้อน" อาจมีอาการปวดเมื่อยเนื้อตัว และคลื่นไส้ อาเจียนได้ ท้องเสียชนิดที่เกิดจากการติดเชื้อนี้ถือว่าเป็นกระบวนการธรรมชาติอย่างหนึ่งของร่างกายในการกำจัด สิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อโรคที่เข้าไปในทางเดินอาหาร ด้วยการถ่ายออกมาทางด้านล่างหรือทางทวารหนักอย่างรวดเร็ว เพื่อให้สิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อโรคนี้ออกจากร่างกายไปให้เหลือน้อยที่สุด บางครั้งสิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อโรคเหล่านี้ถูกกำจัดออกไปจากร่างกายได้อย่างดีจนหมดเกลี้ยง ไม่เหลือเลย หรือเหลือเล็กน้อย ในปริมาณน้อยมาก ซึ่งจะถูกกระบวนการภูมิคุ้มกันของร่างกายจัดการให้หมดสิ้นไป อาการท้องเสียก็จะหายได้เอง โดยที่ยังไม่ต้องให้การรักษาใดๆ

ทว่าบางครั้งสิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อโรคอาจมีจำนวนมาก และยังหลงเหลืออยู่ หรือฝังตัวในลำไส้ และขยายเผ่าพันธุ์เพิ่มจำนวนมากขึ้น จนแสดงอาการที่รุนแรงและอันตรายต่อร่างกายต่อไปได้ ซึ่งในกรณีหลังนี้ ควรให้การรักษาอย่างเหมาะสม เพื่อกำจัดเชื้อโรคเหล่านี้ให้หมดไป ดังนั้น การดูแลรักษาอาการท้องเสียชนิดติดเชื้อด้วยตนเองจึงขึ้นอยู่ระดับอาการความรุนแรงของท้องเสีย ถ้าท้องเสียสัก ๑ หรือ ๒ ครั้ง แล้วกลับมาเป็นปกติ ไม่มีอาการไข้ ปวดท้อง ปวดเมื่อยเนื้อตัว ก็อาจไม่จำเป็น ต้องให้การรักษา และดูแลตามอาการเท่านั้นก็เพียงพอ เช่น ถ้ามีอาการเพลียมาก ซึ่งอาจเกิดจากการเสียน้ำและ เกลือแร่ของร่างกาย ในขณะที่ถ่ายเหลวหรือท้องเสีย  ก็ควรทดแทนการสูญเสียน้ำและเกลือแร่ด้วยการดื่มสารละลายผงเกลือแร่ หรือน้ำอัดลมที่เติมเกลือแกงสักเล็กน้อย (ประมาณครึ่งช้อนชา) เพื่อช่วยบรรเทาอาการอ่อนเพลียของร่างกาย กรณีมีอาการไข้และถ่ายอุจจาระหลายๆ ครั้ง และมีทีท่าว่าจะเป็นมากขึ้นๆ เรื่อยๆ หรืออาการแย่ลง แสดงว่ามีการติดเชื้อทางเดินอาหารและเริ่มจะลุกลามมากยิ่งขึ้น ควรสังเกตอาการเพื่อช่วยแยกชนิดของเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุของท้องเสีย ดังนี้
    
3.ท้องเสียจากการติดเชื้อไวรัส
ท้องเสียชนิดนี้มักพบในเด็กเล็ก มีอาการถ่ายเหลว ถ่ายบ่อยๆ ไม่รู้ตัว อาจมีไข้ต่ำๆ หรือไม่มีไข้ ตัวไม่ร้อน เด็กมักเล่นได้และซนตามปกติ ซึ่งคนโบราณเรียกว่า เด็กกำลังยืดตัว เพราะอาจเป็นช่วงที่เด็กกำลังคลานและเดิน พร้อมกับท้องเสีย ถ่ายเหลว ท้องเสียชนิดนี้มีสาเหตุเกิดจากไวรัส ซึ่งไม่มียาที่ใช้ในการต้านเชื้อไวรัสชนิดนี้ได้โดยตรง จึงต้องอาศัยระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย การตอบสนองสร้างภูมิคุ้มกันออกมาต่อต้านจัดการ กับเชื้อไวรัสด้วยการดูแลสุขอนามัยที่ดีของเด็ก และรักษาตามอาการด้วยการกินยาลดไข้ แก้ตัวร้อน (ถ้ามีอาการไข้ ตัวร้อน) และให้ดื่มผงเกลือแร่ในกรณีที่เด็กถ่ายเหลว และป้องกันการอ่อนเพลียของเด็ก และที่สำคัญคือ จะต้องใช้ระยะเวลาประมาณ ๕-๗ วัน กว่าจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และกลับมาเป็นปกติ
      
4.ท้องเสียจากเชื้อแบคทีเรีย
ท้องเสียที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียมีหลายชนิด เช่น ไทฟอยด์ บิดไม่มีตัว อหิวาต์ เป็นต้น ในกรณีนี้แนะนำให้ใช้ยาปฏิชีวนะชื่อ นอร์ฟลอกซาซิน (norfloxacin) ในการกำจัดเชื้อ โดยผู้ใหญ่ใช้ในขนาด ๔๐๐ มิลลิกรัม ครั้งละ ๑ เม็ด วันละ ๒ ครั้ง ก่อนอาหารครึ่งถึง ๑ ชั่วโมง หรือทุก ๑๒ ชั่วโมงก็ได้ ควรใช้ติดต่อกันประมาณ ๓-๕ วัน ส่วนอาการอื่นๆ ก็รักษาตามอาการ เช่น ถ้าเป็นไข้ ตัวร้อน ปวดหัว ก็อาจใช้ยาพาราเซตามอล ครั้งละ ๕๐๐ มิลลิกรัม ทุก ๔-๖ ชั่วโมง เฉพาะเวลามีอาการไข้ ตัวร้อน ปวดหัว ถ้ามีอาการเพลีย ก็อาจจะดื่มเครื่องดื่มเกลือแร่ เพื่อทดแทนได้
    
5.ท้องเสียจากเชื้อบิด
ท้องเสียจากเชื้อบิด พบได้ไม่บ่อยนัก มี ๒ ประเภท คือ บิดชนิดไม่มีตัว และบิดชนิดมีตัว ซึ่งมีความแตกต่างกันทั้งทางด้านอาการที่เป็น และการรักษา

บิดชนิดไม่มีตัวแตกต่างจากบิดชนิดมีตัวอย่างไร

บิดชนิดไม่มีตัว มีสาเหตุเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ในขณะที่บิดชนิดมีตัวเกิดจากเชื้ออะมีบา ซึ่งเป็นจุลชีพเซลล์เดียวขนาดเล็กมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น บิดชนิดไม่มีตัวจะมีอาการไข้ ตัวร้อน และปวดเมื่อยเนื้อตัวที่รุนแรงกว่าบิดชนิดมีตัว หรืออาจไม่พบอาการไข้ ตัวร้อนและปวดเมื่อยตัวในผู้ป่วยบิดมีตัว นอกจากนี้ ลักษณะของอาการท้องเสียก็แตกต่างกัน ผู้ป่วยที่ติดเชื้อบิดชนิดไม่มีตัว จะถ่ายเหลวอาจเป็นน้ำ และถ่ายวันละหลายๆ ครั้ง มากกว่า ๓-๕ ครั้งขึ้นไป ต่อมาจึงจะมีอาการถ่ายเป็นมูก และอ่อนเพลียมาก

ชนิดบิดมีตัว ผู้ป่วยจะมีอาการท้องเสียน้อยกว่า วันละไม่เกิน ๓-๕ ครั้ง และมักไม่ถ่ายเหลวเป็นน้อย แต่จะถ่ายเป็นมูกเลือดตั้งแต่ครั้งแรกๆ ของการติดเชื้อ ดังนั้น อาการผู้ป่วยบิดชนิดมีตัวจึงดูน้อยกว่าและ ดีกว่าบิดไม่มีตัว และดำเนินกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ จนชาวบ้านเรียกบิดมีตัวว่าบิดเดินได้ หมายความว่า ป่วยเป็นบิด แต่ก็เดินเหินไปไหนมาไหนได้เป็นปกติ

การรักษาบิดชนิดไม่มีตัวจะต้องใช้ยาปฏิชีวนะ เช่น นอร์ฟลอกซาซิน (norfloxacin) ในการกำจัดเชื้อ โดยผู้ใหญ่ใช้ในขนาด ๔๐๐ มิลลิกรัม ครั้งละ ๑ เม็ด วันละ ๒ ครั้ง ก่อนอาหารครึ่งถึง ๑ ชั่วโมง หรือทุก ๑๒ ชั่วโมงก็ได้ ควรใช้ติดต่อกันประมาณ ๓-๕ วัน

เวลาท้องเสียควรใช้ยาหยุดถ่ายหรือไม่
ยาหยุดถ่าย หมายถึง ยาที่มีฤทธิ์ลดการบีบตัวหรือลดการเคลื่อนที่ของลำไส้ ซึ่งมีการใช้รักษาท้องเสีย ท้องเดิน ช่วยลดจำนวนครั้งของการถ่าย ตัวอย่างเช่น ทิงเจอร์ฝิ่นการบูร อีโมเดียม (ชื่อตัวยาว่า โลเปอราไมด์) โลโมติล เป็นต้น ไม่ควรใช้ยากลุ่มนี้ในรายที่มีการติดเชื้อ เพราะการถ่ายท้องเป็นการกำจัดเชื้อตามธรรมชาติ ยกเว้นรายที่ถ่ายเหลวจำนวนครั้งมากๆ แต่ควรใช้ร่วมกับยาฆ่าเชื้อที่เป็นต้นเหตุด้วย เพราะยากลุ่มนี้ไม่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อ เพียงแต่เป็นการรักษาอาการลดการถ่ายบ่อย หรือหยุดถ่าย ถ้าไม่ได้ยาฆ่าเชื้อ เชื้อที่หลงเหลือยู่ในลำไส้จะขยายเผ่าพันธุ์เพิ่มจำนวนมากขึ้นๆ ขณะที่ลำไส้หยุดเคลื่อนไหว หรือเคลื่อนไหวน้อยลง ทำให้เกิดเชื้อจำนวนมากมาย และก่อให้เกิดอันตรายได้ นอกจากนี้ การใช้ยาหยุดถ่ายควรใช้ขนาดที่เหมาะสม ไม่มากหรือน้อยเกินไป เพราะถ้าใช้มากเกินไปจะหยุดการเคลื่อนไหวของลำไส้เป็นเวลานานๆ และอาจทำให้เกิดท้องผูกได้

1.       งดรับประทานอาหารแข็ง  อาหารที่ย่อยยากหรืออาหารที่มีกากมาก (เช่น  ผัก ผลไม้)  นม  เหล้า  และอาหารที่มีไขมันมาก  ควรรับประทานอาหารอ่อนหรืออาหารเหลวที่ย่อยง่าย  เช่น  ข้าวต้ม  โจ๊ก  น้ำข้าว  น้ำหวาน  แทน

2.       ในเด็กควรงดนมสัก 2-3 ชั่วโมง  แล้วค่อยเริ่มให้นมผสมตามปกติ  ส่วนเด็กที่กินนมแม่ให้กินนมแม่ได้ตามปกติ

3.       ระวังการขาดน้ำและเกลือแร่ของร่างกาย  ถ้าผู้ป่วยยังรับประทานได้  ไม่อาเจียน  หรืออาเจียนเพียงเล็กน้อยให้ผสมผงน้ำตาลเกลือแร่ขององค์การเภสัชกรรมกับน้ำสุกดื่มแทนน้ำบ่อยๆ  ครั้งละ  ½ - 1 ถ้วย  หรือใช้น้ำเกลือผสมเองก็ได้ โดยมีส่วนผสมดังนี้

                         น้ำสุก                1      ขวดแม่โขงกลมหรือขวดน้ำปลาใหญ่ ( ประมาณ  750  มิลลิลิตร)

                         น้ำตาลทราย      2      ช้อนโต๊ะ

                         เกลือป่น            ½    ช้อนชา

4.       สามารถป้องกันอาการท้องเสียได้โดย  รับประทานอาหารที่สุก  ไม่มีแมลงวันตอม  ดื่มน้ำสะอาด  ล้างมือก่อนรับประทานอาหารและหลังจากการถ่ายอุจจาระ

5.       เด็กเล็กอายุต่ำกว่า  3  ขวบ  เมื่อมีอาการท้องเสียและเสียน้ำมากควรพาไปพบแพทย์  ไม่ควรซื้อยามารักษาเอง

6.       ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์เมื่อพบว่า

-          อาการท้องเสียเป็นอยู่นานและเป็นเรื้อรัง

-          มีไข้ ร่วมกับอาการท้องเดิน

-          มีเลือดปนออกมากับอุจจาระ หรือถ่ายเป็นมูกเลือด

-          มีอาการอาเจียนร่วมกับอาการท้องเสีย  และดื่มน้ำได้น้อยแต่ปัสสาวะมาก

-          ผู้ป่วยเป็นโรคเรื้อรังบางชนิดอยู่  เช่น  เบาหวาน

-          อาการท้องเสียนั้นเกิดจากสาเหตุที่ผู้ป่วยกินยาตามใบสั่งยาของแพทย์ ที่มีอาการข้างเคียงทำให้ท้องเสีย

อย่างไรถึงเรียกว่า ท้องเสียปกติ

ลักษณะนิสัยในการถ่ายอุจระของแต่ละคนจะแตกต่างกันไป ทั้งความบ่อย และปริมาณของอุจจาระ แต่ถ้าพบว่ามีการถ่ายอุจจาระบ่อยขึ้นกว่าปกติ หรือมากกว่า วันละ 3 ครั้ง หรืออุจจาระมีปริมาณมากขึ้น หรือผิดไปจากเดิมคือของเหลวหรือน้ำมากกว่าเดิมถือว่าบุคคลนั้นเป็นโรคท้อง เสีย

ท้องเสียมีกี่ชนิด อะไรบ้าง

ท้องเสีย สามารถแบ่งได้ 2 ชนิดใหญ่ คือ ท้องเสียชนิดเฉียบพลัน และท้องเสียชนิดเรื้อรัง ซึ่งทั้ง 2 ชนิดมีลักษณะแตกต่างกันดังนี้

1. ท้องเสียชนิดเฉียบพลัน หมายถึงท้องเสียที่มีระยะฟักตัวสั้น และมีอาการไม่น่านหรือระยะเวลาเป็นวัน ไม่เกิน สัปดาห์ มักมีสาเหตุมาจาก

    * การได้รับเชื้อเข้าสู่ร่างกาย ที่มีทั้งไวรัส และแบคทีเรีย
      บิด หมายถึง อาการถ่ายเป็นมูกหรือมูกปนเลือดบ่อยครั้งร่วมกับอาการปวดเบ่งที่ทวารหนักคล้ายถ่ายไม่สุด
          o บิดชนิดไม่มีตัว มีสาเหตุมาจากเชื่อแบคทีเรียอาการท้องเสียรุนแรงร่วมกับมีไข้
          o บิดชนิดมีตัว มีสาเหตุมาจากเชื้อ โปรโตซัวไม่ค่อยมีอาการไข้ ไม่อ่อนเพลีย แต่อุจจาระจะมีกลิ่นเหม็น เหมือน หัวกุ้งเน่า
  Diarrhea 
    * อาหารเป็นพิษ เกิดจากการบริโภคอาหารที่มีเชื้อแบคทีเรียอยู่ในอาหาร
มักพบในผู้ป่วยหลาย ๆ คนซึ่งรับประทานอาหารชนิดเดียว พร้อม ๆ กัน จะมีอาการท้องเสียรุ่นแรงในระยะเวลาอันสั้น หลังจากรับประทานอาหารมีอาเจียนร่วมด้วย
    * สาเหตุอื่น ๆ เช่น อาการจำพวกนม หรือสารให้ความหวาน ยาบางชนิด สารเคมี หรือโลหะหนักหรือพืชบางชนิด อาจจะทำให้เกิดอาการท้องเสียชนิดเฉียบพลันได้

2. ท้องเสียชนิดเรื้อรัง หมายถึงท้องเสียที่มีอาการติดต่อกันนานเป็น ๆ หาย ๆ มาเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน เป็นปี มีสาเหตุมาจาก

  • อารมณ์ เกิดจากการผิดปกติของการทำงานของลำไส้ใหญ่ เวลามีอารมณ์เครียด เช่น เวลาสอบหรือเดินทาง แต่ไม่เป็นอันตราย
  • ความผิดปกติของเมตาบอลิซึ่ม เช่น ท้องเสียในผู้ป่วยที่มีไธรอยด์ฮอร์โมนสูงกว่าปกติ
  • การดูดซึมผิดปกติ ก็เป็นสาเหตุของท้องเสียเรื้อรังในผู้ป่วยบางรายได้เช่นกัน


วิธีการรักษาโรคท้องเสีย


   1. การให้ของเหลวทดแทน เนื่องจากผู้ป่วยมีการสูญเสียน้ำ และเกลือแร่ จึงจำเป็นต้องให้น้ำและเกลือแร่เข้าไปทดแทน เช่น น้ำเกลือผง (ORS) อาจจะเตรียมน้ำเกลือผสมเอง โดยใช้น้ำสุก 1 ขวด ผสมกับน้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ และเกลือป่นครึ่งช้อนชา ให้ผู้ป่วยดื่มแทนน้ำ
   2. งดอาหารแข็ง, อาหารรสจัด หรืออาหารที่มีกากมาก ๆ โดยหู้ป่วยรับประทานอาหารเหลว เช่น ซุป หรือข้าวต้มควรหลีกเลี่ยงนม และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์
   3. การใช้ยาแก้ท้องเสีย เช่น ยาประเภทฝิ่น ยาเหล่นนี้ จะไปหยุดการเคลื่อนไหวของลำไส้ ทำให้อาการท้องเสียบรรเทา ในกรณีที่ท้องเสียเกิดจากการติดเชื้อ ไม่ควรใช้ยากลุ่มนี้
   4. การใช้ยาปฏิชีวนะ จะใช้ในกรณีที่ทราบเชื้อที่เป็นสาเหตุของท้องเสีย เช่น เชื้อบิดไม่มีตัวการใช้ยาปฏิชีวนะจะช่วยให้ระยะเวลาที่ท้องเสีย และอาการไข้สั้นลงได้ หากท้องเสียเกิดจากอาหารเป็นพิษหรือเชื้อไวรัส ยานี้ไม่ช่วยบรรเทาอาการได้เลย

วิธีป้องการโรคท้องเสีย


   1. บริโภคน้ำ และอาหารที่สะอาด และผ่านการปรุงที่ถูกต้อง
   2. เตรียมอาหารและเก็บอาหาร เช่น แช่แข็ง ตาก ดอง อย่างถูกต้องตามกรรมวิธี โดยคำนึงถึงความสะอาดเป็นหลัก
   3. ในกรณีที่ต้องเดินทางไปต่างถิ่น การใช้ยาปฏิชีวนะป้องกัน จะช่วยลดโอกาส การเกิดท้องเสียในนักเดินทางได้

การบำบัดภาวะท้องเสียด้วยวิธีธรรมชาติ

                ในรายที่มีอาการท้องเสียเฉียบพลัน ต้องพยายามรักษาสมดุลของเหลวในร่างกาย เพราะในขณะที่ถ่าย ร่างกายจะสูญเสียน้ำและแร่ธาตุ ดังนั้นจึงควรดื่มน้ำ 2 แก้วทุกๆชั่วโมง นอกจากนี้การดื่มน้ำผัก-ผลไม้คั้นสดยังช่วยทดแทนแร่ธาตุที่สูญเสียไป ( ขณะนี้พยายามหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารอื่นๆ โดยเฉพาะอาหารที่ต้องเคี้ยว เนื่องในขณะนี้ลำไส้ไม่สามารถทำงานหรือย่อยอาหารได้ตามปกติ)    ถ้าพบว่าปากแห้งหรือมีรอยย่นตามผิวหนังที่เพิ่งเกิดและไม่สามารถคลี่ออกได้ด้วยมือแล้ว นั้นหมายถึงว่าในขณะนี้ ร่างกายของคุณสูญเสียน้ำถึงขั้นรุนแรง  ให้รีบดื่มน้ำหรือน้ำผัก-ผลไม้ทันที

                เมื่ออาการท้องเสียดีขึ้น คุณจะรู้สึกอยากอาหารมากขึ้น ในตอนนั้นคุณสามารถรับประทานอาหารที่ย่อยง่าย เช่น ซุป ข้าวก้อง ผัก-ผลไม้สุก ได้    แต่ให้หลีกเลี่ยงอาหารประเภทไขมัน  น้ำตาล(โดยเฉพาะในกรณีท้องเสียจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เนื่องจากน้ำตาลเป็นแหล่งอาหารของแบคทีเรีย นอกจากนี้น้ำตาลยังกระตุ้นขบวนการอักเสบให้เป็นมากขึ้น)  คาเฟอีนและสุรา (เนื่องจากมีฤทธิ์กระตุ้นให้ทางเดินอาหารทำงานหนักเกินไป)

                การรับประทานอาหารประเภท probiotics ซึ่งหมายถึงอาหารที่ประกอบด้วยจุลินทรีย์ที่มีชีวิตซึ่งเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย( ได้แก่ Streptococcus thermophilus , Lactobacillus bulgaricus , Lactobacillus acidophilus ,Lactobaciilus bifidus)   จะช่วยปรับสมดุลของเชื้อจุลินทรีย์ในลำไส้ของมนุษย์       ช่วยเพิ่มจำนวนแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เพื่อใช้ในการต่อสู้กับแบคทีเรียที่ทำให้เกิดภาวะท้องเสีย         ผลิตภัณฑ์ประเภท probiotics ได้แก่  นมเปรี้ยว โยเกิร์ต  กิมจิ  คีเฟอร์)

                นอกจากนี้การดื่มน้ำขิง จะช่วยลดการอักเสบบริเวณลำไส้และช่วยลดผลข้างเคียงที่เกิดจากภาวะอาหารเป็นพิษได้อีกด้วย

                การดื่มน้ำเกลือแร่ในระหว่างที่ท้องเสียนั้นเป็นวิธีที่ผิด เนื่องจากเกลือแร่ที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้นั้นต้องเป็นเกลือแร่ชนิดอินทรีย์(หมายถึงเกลือแร่ที่ได้มาจากสิ่งมีชีวิต ในที่นี้หมายถึงพืชและสัตว์)  แต่เกลือแร่ที่สังเคราะห์ขึ้นมานั้นเป็นเกลือแร่ชนิดอนินทรีย์ซึ่งร่างกายไม่สามารถดูดซึมไปใช้ได้  อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่ร่างกายในการขจัดแร่ธาตุที่ไม่สามารถนำไปใช้ได้เหล่านี้ออกจากร่างกายอีกด้วย

ยาแก้ท้องเสีย

หนังสือ "ธรรมชาติบำบัด"

ร่างกายเรามีกลไกอันชาญฉลาดมาก

สามารถปรับปรุงแก้ไข ปัญหาได้เอง

ซึ่งการที่ท้องเสียมันก็เป็นการแก้ไขปัญหาอีกวิธี

ฉะนั้นจึงไม่ควรไปทำอะไรก็ตามให้หยุดการแก้ไขของร่างกาย

พูดง่ายๆ ว่านี่เป็นการทำงานของร่างกายในการขับเชื้อ

การที่ท้องเสีย ก็แสดงว่า ร่างกายคุณยังสามารถที่จะทำงานได้ดีอยู่


Diphenoxylate

ชื่อการค้า  :  Lomotil  Diomil  Ditropine

การออกฤทธิ์ :  สารสกัดจากฝิ่น  ยับยั้งการบีบตัวของลำไส้  ลดการเคลื่อนไหวของลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่  ลดการหลั่งน้ำย่อยในทางเดนอาหาร  ช่วยให้อาการท้องเดินน้อยลง

ข้องบ่งใช้ : รักษาอาการท้องเดิน

ผลข้างเคียงของยา : เบื่ออาหาร  ท้องผูก  ปวดท้อง  ง่วงซึม  ยามีฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง  ต้องระวังในผู้ที่รับแอลกอฮอล์  ยานอนหลับ  เพราะจะเสริมฤทธิ์ยาได้


Loperamide

ชื่อการค้า  :  Imodium  Entermid  Lopamine  Lopela  Vaconil

การออกฤทธิ์ : สารสกัดจากฝิ่น ลดการเคลื่อนไหวของลำไส้  ทำให้ลำไส้บีบรัด  ยานี้ทำให้ลำไส้หยุดการเคลื่อนไหว  จึงไม่ใช้ในเด็กเล็ก  ที่มีอายุน้อยกว่า  2  ปี

ข้องบ่งใช้ : รักษาอาการท้องเดินชนิดเฉียบพลัน  ท้องเสียเรื้อรังที่เกิดจากลำไส้อักเสบ

ผลข้างเคียงของยา :  มึนงน  คลื่นไส้  ปากแห้ง  ท้องผูก

Activated  Charcoal

ชื่อการค้า  : Belacid  Ca-R-Bon  Carbonpectate  Delta  Pro  ABS  Ultracarbon

การออกฤทธิ์ :  ถ่านสีดำที่เผาไหม้  ใช้ดูดซับสารพิษและแบคทีเรีย  โดนจับสารพิษของแบคทีเรีนที่ทำให้เกิดอาการท้องเสีย

ข้องบ่งใช้ :  รักษาอาการท้องเดิน

ผลข้างเคียงของยา :  ถ่ายอจจาระสีดำ  มีเสียงดังในหู  หายใจเร็ว

Koalin และ  pectin

ชื่อการค้า  : Antacil  Almag  Disento  Difuran  Kaopectal  Kaopectate

การออกฤทธิ์ :  ใช้ดูดซับสารพิษและแบคทีเรีย  ยาจะไปเคลือบคลุมเยื้อเมือกในระบบทางเดินอาหาร  ป้องกันไม่ให้สัมผัสกับสิ่งระคายเคืองต่างๆ  และช่วยทำให้อุจจาระเป้นก้อน

ข้องบ่งใช้ :  รักษาอาการท้องเดินและโรคบิด  ดูดซับแก๊ส  กรดด่าง  สารพิษ  และแบคทีเรีย

ผลข้างเคียงของยา :  อาเจียน  ท้องผูก  ให้รับประทานหลังอาหารหรือยาตัวอื่น  อย่างน้อง  1  ชั่วโมง  เพื่อหลีกเลี่ยงการดูดซับยาและสารอาหาร

Oral  rehydration  salte  ( ORS )

ชื่อการค้า  : ORS  Power

การออกฤทธิ์ :  เป็นสารละลายเกลือแร่และน้ำตาล  ทดแทนน้ำและเกลือแร่ที่สูญเสียไป

ข้องบ่งใช้ :  ทดแทนน้ำและเกลือแร่ที่สูญเสียไป  โดยอาจเตรียมสารละลายน้ำตาลและเกลือแร่ได้  โดยใช้เกลือแกง  ครึ่ง ช้อนชา  และน้ำตาลทราย  2  ช้องโต๊ะ  ผสมน้ำต้มสุกแล้ว  1  ขวดโขง

ผลข้างเคียงของยา :  คลื่นไส้  อาเจียน  ซึ่งอาการจะมีน้อยมาก

ยาแก้ท้องเสีย ผงน้ำตาลเกลือแร่
ในสูตรตำรับ 1 ซอง ประกอบด้วยตัวยาสำคัญ คือ 
Sodium Chloride 0.875 g.
Sodium Bicarbonate 0.625 g.
Potassium Chloride 0.375 g.
Glucose - Anhydrous 5.000 g. 
ผงเกลือแร่เป็นยาที่มีฤทธิ์รักษาท้องเสียหรือไม่
คำตอบคือ ไม่ได้รักษาสาเหตุของอาการท้องเสีย แต่เป็นการชดเชยน้ำและเกลือแร่ที่ร่างกายต้องสูญเสียไปในระหว่างที่มีอาการท้องเสีย ถ่ายเหลว ควรให้ผงเกลือแร่แก่ผู้ป่วยที่ท้องเสียร่วมกับอาการอ่อนเพลีย และพิจารณาอาการของท้องเสียว่าเกิดจากสาเหตุใด จะได้ดูแลรักษาปฏิบัติตนเองได้อย่างถูกต้อง

การรักษาบิดชนิดมีตัว ควรใช้ยาเมโทรนิดาโซล (metronidazole) ขนาด ๒๐๐ หรือ ๒๕๐ มิลลิกรัม ครั้งละ ๒ เม็ด วันละ ๓ ครั้ง หลังอาหารทันที เช้า กลางวัน เย็น ติดต่อกัน ๕-๗ วัน (ระหว่างกินยานี้ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด)

หยุด!! อาการท้องเสีย

เลี่ยงอาหารมัน-นม แนะทานข้าวต้ม-น้ำชาช่วยได้

 

          ใกล้หน้าร้อนเข้ามาแล้ว หน้านี้หลายคนมักจะท้องเสียบ่อยจากการรับประทานอาหาร เนื่องจากอาหารเน่าบูดง่าย เพราะแบคทีเรียและเชื้อไวรัสเติบโตได้เร็วในฤดูนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาไปพักผ่อนริมทะเล ยิ่งต้องระวังอาหารทะเลเป็นพิเศษ จึงมีคำแนะนำจาก ภญ.อมรรัตน์ จงสวัสดิ์วรกูล เกี่ยวกับการดูแลรักษาท้องเสีย ดังนี้

 

          ผู้ป่วยท้องเสียมักมีอาการถ่ายบ่อย ถ่ายเหลวหรือมีกากอาหารปน บางคนอาจถ่ายเพียงไม่กี่ครั้งติดต่อกันนาน 7 วัน การรักษาขึ้นอยู่กับความรุนแรง หากถ่ายเป็นน้ำไม่มีกากอาหาร หลายครั้งอาจทำให้ผู้ป่วยช็อกจากการสูญเสียน้ำได้

 

          ส่วนอาการท้องเสียเฉียบพลันที่เกิดจากอาหารเป็นพิษ (มีเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อไวรัส) จนทำให้ลำไส้อักเสบ มักมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน นำมาก่อน บางคนอาจมีไข้ต่ำๆ ปวดเกร็งและปวดศีรษะร่วมด้วย

 

          กรณีท้องเสียจากอาหารเป็นพิษควรรีบไปพบแพทย์ทันที โดยเฉพาะในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ บางคนที่มีอาการท้องเสียนานๆ หรือเป็นๆ หายๆ อาจเกิดจากลำไส้ระคายเคือง ลำไส้อักเสบ ไทรอยด์ทำงานหนักเกินไป หรือความเครียด

 

          คุณหมอบอกว่า การดูแลตัวเองเมื่อท้องเสียนั้น เบื้องต้นควรหยุดกินอาหารมัน เลี่ยน นม และผลิตภัณฑ์ที่มีนมเป็นส่วนประกอบ กินอาหารอ่อนๆ ย่อยง่าย เช่น ข้าวต้มหรือโจ๊ก หากมีอาการถ่ายบ่อยควรจิบน้ำเกลือแร่ทุกครึ่งชั่วโมง หรือดื่มน้ำชาแก่ๆ น้ำมะตูม แทนน้ำ จนกว่าจะหยุดถ่าย

 

          นอกจากนี้ อาจรับประทานแคปซูลฟ้าทลายโจรและยาลูกกลอนขมิ้นชันวันละ 3 - 4 ครั้ง จะช่วยบรรเทาอาการท้องเสียได้ หากเป็นยาแผนปัจจุบันควรกินยาฆ่าเชื้อ เช่น Quinolone ซึ่งดีกว่ายาหยุดถ่าย เพราะช่วยฆ่าเชื้อไม่ให้เชื้อโรคตกค้างในลำไส้

 

          แต่ไม่ควรกินยา Ultracarbon เพื่อช่วยดูดซับสารพิษร่วมกับยาชนิดอื่น เพราะจะทำให้การรักษาไม่ได้ผล ควรกินยาชนิดอื่นหลังจากกินยาคาร์บอนไปแล้ว 2 ชั่วโมง

 

          หลังจากหายท้องเสียแล้ว แนะนำให้กินโยเกิร์ตซึ่งมีจุลินทรีย์ เพื่อช่วยให้เชื้อต่างๆ ในลำไส้คืนสมดุลได้เร็วขึ้น ที่สำคัญ เลือกกินอาหารที่สะอาด ปรุงสุกใหม่ อีกทั้งดูแลสุขอนามัย เช่น ล้างมือด้วยสบู่หลังเข้าห้องน้ำ และก่อนรับประทานอาหาร หากใช้ห้องน้ำสาธารณะควรใช้กระดาษเช็ดมือให้แห้งแทนใช้เครื่องเป่ามือ เพราะในเครื่องเป่าอาจเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค

 

          คำแนะนำนี้จะช่วยให้ปลอดภัยจากอาการท้องเสียได้ในระดับหนึ่ง

หรือ 

ในสูตรตำรับ 1 ซอง ประกอบด้วยตัวยาสำคัญ คือ
Sodium Chloride 0.875 g.
Trisodium Citrate Dihydrate 0.725 g..
Potassium Chloride 0.375 g.
Glucose Anhydrous 5.000 g.
 
 
สรรพคุณ
ทดแทนการเสียน้ำในรายที่มีอาการท้องร่วง หรือในรายที่มีอาเจียนมากๆ และป้องกันการช็อคเนื่องจากการที่ร่างกายขาดน้ำ

วิธีใช้
เทผงยาทั้งซองละลายในน้ำสะอาด เช่น น้ำต้มสุกที่เย็นแล้ว ประมาณ 250 มิลลิลิตร (1 แก้ว) ให้ดื่มมากๆ เมื่อเริ่มมีอาการท้องร่วง ถ้าถ่ายบ่อยให้ดื่มบ่อย
ครั้งขึ้น ถ้าอาเจียนด้วยให้ดื่มทีละน้อยแต่บ่อยครั้ง

ขนาดการใช้
เด็กอายุมากกว่า 2 ปี-ผู้ใหญ่ ให้ดื่มสารละลายเกลือแร่ประมาณ 1 แก้ว (250 มิลลิลิตร) ต่อการถ่ายอุจจาระ 1 ครั้ง หรือตามความกระหายของผู้ป่วย

เด็กอ่อน-เด็กอายุ 2 ปี ให้ดื่มทีละน้อยสลับกับน้ำเปล่าประมาณวันละ 3 ซองหรือมากพอที่คนไข้ต้องการและดื่มต่อไปจนกว่าอาการจะดีขึ้น

คำเตือน
1) ผู้ที่เป็นโรคหัวใจหรือโรคไต ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้
2) ถ้าผู้ป่วยยังมีอาการอาเจียนมาก เหงื่อออกมาก ตัวเย็น ความรู้สึกเปลี่ยนแปลงไป หรือหมดสติ ควรนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลโดยด่วน 

การเก็บรักษา
1) เก็บในที่แห้ง และป้องกันไม่ให้ถูกแสงแดด
2) ยาที่ละลายน้ำแล้วเกิน 24 ชั่วโมง ไม่ควรใช้

ขนาดบรรจุ
1 ซองสำหรับผสมน้ำ 250 มิลลิลิตร
  


แผนไทย

ยาเหลืองปิดสมุทร

วัตถุส่วนประกอบ 
แห้วหมู ขมิ้นอ้อย เปลือกเพกา รากกล้วยตีบ กระเทียมคั่ว ดีปลี ชันย้อย ครั่ง สีเสียดเทศ สีเสียดไทย ใบเทียน ใบทับทิม หนักสิ่งละ 1 ส่วน ขมิ้นชัน หนัก 6 ส่วน
 
วิธีทำ 
บดเป็นผง ทำเป็นเม็ด หนักเม็ดละ 0.1 กรัม
 
สรรพคุณ 
แก้ท้องเสีย ใช้น้ำเปลือกลูกทับทิมหรือเปลือกแคต้มกับน้ำปูนใสเป็นกระสาย ถ้าหาน้ำกระสายไม่ได้ให้ใช้น้ำสุกแทน  และให้รับประทานร่วมกับน้ำละลายเกลือแกงด้วย
 
ขนาดรับประทาน 
รับประทานวันละ  3  เวลา  ก่อนอาหาร
   ผู้ใหญ่ ครั้งละ 10 เม็ด
 
ขนาดบรรจุ 
30 เม็ด

ยาธาตุบรรจบ

วัตถุส่วนประกอบ  
ขิง โกฐเขมา โกฐพุงปลา โกฐเชียง โกฐสอ เทียนดำ เทียนขาว เทียนสัตตบุษย์ เทียนเยาวพาณี เทียนแดง ลูกจันทน์ ดอกจันทน์ กานพลู การบูร เปลือกสมุลแว้ง ลูกกระวาน ลูกผักชีลา ใบพิมเสน รากไคร้เครือ ดีปลี เปราะหอม หนักสิ่งละ 4 ส่วน โกฐก้านพร้าว หนัก 8 ส่วน เนื้อลูกสมอไทย หนัก 16 ส่วน
 
วิธีทำ 
บดเป็นผง
 
สรรพคุณ 
แก้ธาตุไม่ปกติ ท้องเสีย ใช้เปลือกแคหรือเปลือกสะเดา หรือเปลือกลูกทับทิมต้มกับน้ำปูนใส 
แก้ท้องขึ้น ท้องเฟ้อ ใช้กระเทียม 3 กลีบ ทุบชงน้ำร้อน  หรือใช้ใบกะเพราต้มเป็นกระสาย   ถ้าหาน้ำกระสายไม่ได้ ให้ใช้น้ำสุกแทน
 
ขนาดรับประทาน   
รับประทาน  วันละ 3 เวลา ก่อนอาหาร
   ผู้ใหญ่ ครั้งละ 1 ช้อนชา
   เด็ก ครั้งละ 1/2 ช้อนชา

ขนาดบรรจุ  
15  กรัม

สมุนไพรแก้อาการท้องเสีย
อาการท้องเสียเกิดจากสาเหตุหลายประการ อาจเกิดจากรับประทานอาหารรสจัด ซึ่งทำให้ระคายเคืองเนื้อเยื่อบุผิวกระเพาะอาหารและลำไส้ ทำให้บีบตัวมากผิดปกติ จนเกิดอาการท้องเสีย อาการนี้ใช้สมุนไพรรักษาได้ดี ที่สำคัญคือท้องเสียจากการรับประทานอาหารที่ไม่สะอาด มีเชื้อโรค เชื้อโรคที่ทำให้ท้องเสียมีรักษาได้หลายชนิด แต่ถ้าเกิดอาการท้องเสียอย่างรุนแรงขอแนะนำให้ไปพบแพทย์ดีกว่านะคะ
สมุนไพรที่ใช้แก้อาการท้องเดินที่ใช้ได้ผลและหาได้ง่าย คือ ใบชาชงเข้มข้น กล้วยน้ำว้าดิบ ทับทิม ฟ้าทะลาย สีเสียดเหนือ มังคุดและฝรั่ง ควรงดอาหารรสจัด และทานอาหารอ่อนๆทดแทนการสูญเสียน้ำด้วยการดื่มน้ำเกลือซึ่งมีจำหน่ายทั่วไปค่ะ
การใช้กล้วยน้ำว้าแก้ท้องเสีย
รับประทานผลดิบสดครั้งละครึ่งผลถึง 1 ผล อาจใช้ผลดิบหั่นบางๆตากแห้ง บดเป็นผงชงน้ำดื่ม ใช้ผงยาเท่ากับครึ่งถึง 1 ผลค่ะ



   
 

 


การใช้ทับทิมแก้ท้องเสีย
ใช้เปลือกผลทับทิมแห้งประมาณ 1/4 ของผล นำมาต้มกับน้ำปูนใสดื่ม หรือใช้ครั้งละ 3-5 กรัม ต้มน้ำดื่ม วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็นค่ะ



การใช้ฝรั่งแก้ท้องเสีย
ใช้ใบแก่ของฝรั่ง(เน้นว่าใบแก่นะคะ) 10-15 ใบ นำมาย่างไฟให้กรอบ แล้วนำมาต้มน้ำดื่ม 1 แก้ว เหยาะเกลือเล็กน้อย ดื่มแทนน้ำเปล่าน้ำ หรือใช้ผลดิบ 1 ผล ฝนกับน้ำปูนใสดื่มก็ได้ค่ะ




การใช้มังคุดแก้ท้องเสีย
ใช้เปลือกผลแห้งของมังคุดที่สามารถหาได้ตามท้องตลาดครึ่งผล นำมาย่างไฟให้เกรียม บดเป็นผงละลายน้ำหรือฝนกับน้ำปูนใสประมาณครึ่งแก้ว ใช้น้ำดื่มทุก 2 ชั่วโมง อาการก็จะดีขึ้นแล้วค่ะ
หากท้องเสียไม่รุนแรงมากนักก็ลองนำวิธีต่างๆ เหล่านี้ไปใช้ดูนะคะ





ฟ้าทะลายโจร


พืชสด 1-3 กำมือ ต้มน้ำดื่มก่อนอาหารวันละ 3 ครั้ง สำหรับผงฟ้าทะลายที่บรรจุแคปซูลๆละ 500 มิลลิกรัม ให้กินครั้งละ 2 เม็ด วันละ 2-3 ครั้ง ก่อนอาหารเช้า กลางวันและเย็น หยุดยาเมื่อหยุดถ่าย อาจใช้ในรูปผงละลายน้ำหรือปั้นเป็นลูกกลอนก็ได้ โดยคำนวณจากจำนวนเม็ดให้ได้ปริมาณยาตามที่กำหนด อาการข้างเคียงที่อาจพบ คือ คลื่นไส้ อาเจียนเป็นน้ำใส ไม่สบายในท้อง ถ้าเป็นมากให้หยุดยา

นมเปรี้ยว



นมเปรี้ยวแก้ท้องผูก และแก้ท้องเสีย

หัวข้อของบทความนี้อาจทำให้งงได้ เพราะทำให้เกิดความสงสัยว่า ในเมื่อนมเปรี้ยวสามารถจะช่วยแก้ไขปัญหาท้องผูกได้ เหตุใดจึงยังสามารถแก้ไขปัญหาท้องเสียได้ด้วย ซึ่งเป็นอาการที่ตรงข้ามกัน แต่หัวข้อนี้ไม่ผิด นมเปรี้ยวมีคุณสมบัติเช่นนี้จริง ๆ เพียงแต่ไม่สามารถรักษาปัญหาท้องผูกได้ทุกคน และก็ไม่สามารถรักษาปัญหาท้องเสียได้ทุกกรณี

คราวนี้เรามาดูกันในส่วนประกอบว่า นมเปรี้ยวนั้นส่วนใหญ่มีอะไรบ้าง นมเปรี้ยวเกิดจากการหมักนมขาดมันเนย ด้วยแบคทีเรียที่ดี 2 ชนิด คือ Lactobacilli และ Streptococcus thermophilus ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่พบได้เป็นจำนวนมากในลำไส้ใหญ่ของทุกคน โดยเฉพาะในคนที่ดื่มนมเป็นประจำ เมื่อหมักนมวัวนี้ด้วยแบคทีเรียทั้ง 2 ชนิดในเวลาและอุณหภูมิที่พอเหมาะ น้ำตาลแลคโตสในนมวัวจะถูกย่อยสลายหมดไป กลายเป็นกรดแฟตตี้ที่มีโมเลกุลสั้น คือ Acetic, Butyric และ Propionic acid กรดแฟตตี้ทั้ง 3 นี้ ทำให้นมมีรสเปรี้ยว ในขั้นตอนสุดท้ายมีการเติมน้ำตาลทรายลงไปเพื่อปรุงรสชาติให้ชวนดื่ม ก่อนที่จะนำออกมาจำหน่าย นมเปรี้ยวเหล่านี้จึงมีแบคทีเรียทั้ง 2 ชนิดนี้จำนวนมาก โดยไม่มีน้ำตาลแลคโตสหลงเหลืออยู่ จึงแก้ไขปัญหาคนที่ดื่มนมวัวแล้วท้องเสียได้ เนื่องจากปัญหาการที่ไม่สามารถย่อยน้ำตาลแลคโตสในนมได้ และเนื่องจากมีแบคทีเรียทั้ง 2 ชนิดที่ยังมีชีวิตอยู่ จึงต้องเก็บไว้ในตู้เย็น ให้มีอุณหภูมิใกล้ 4 องศา เพื่อไม่ให้แบคทีเรียนี้มีการหมักน้ำตาลอีกต่อไป เวลาจำหน่ายจึงต้องเก็บไว้ในตู้เย็นตลอดเวลา

ประโยชน์ที่จะได้จากการดื่มนมเปรี้ยวก็คือการได้รับแบคทีเรียชนิดดีทั้ง 2 ชนิดเข้าไปในลำไส้ โดยมีการศึกษาที่พบว่า Lactobacilli จะช่วยกำจัดแบคทีเรียชนิดร้ายที่อาจจะเจริญเติบโตในลำไส้และทำให้เกิดท้องเสียได้ แต่ขณะนี้แบคทีเรียที่ทำให้เกิดท้องเสียชนิดเฉียบพลันหลายชนิดดื้อต่อ Lactobacilli จึงมักจะต้องได้ยาปฏิชีวนะในการรักษาท้องเสีย การดื่มนมเปรี้ยวเพื่อรักษาโรคท้องร่วงจากเชื้อแบคทีเรียจึงอาจจะไม่สามารถควบคุมเชื้อแบคทีเรียได้ อย่างไรก็ตามการดื่มนมเปรี้ยวเป็นประจำอาจจะช่วยป้องกันลำไส้ไม่ให้ท้องเสียได้ ในกรณีที่รับประทานอาหารที่อาจมีแบคทีเรียชนิดร้ายปะปนเข้าไปในอาหาร

สำหรับกลไกที่นมเปรี้ยวช่วยแก้ไขท้องผูกนั้นเชื่อว่า การมีแบคทีเรียชนิดนี้จำนวนมากจะช่วยทำให้ลำไส้ใหญ่แข็งแรง มีแรงบีบตัวที่มากขึ้น ช่วยในการผลักดันอุจจาระออกมาง่ายขึ้น นอกจากนั้นแบคทีเรียชนิดดีนี้จะช่วยย่อยกากใยในอาหาร ทำให้เกิดกรดแฟตตี้โมเลกุลสั้นจำนวนมากมาย ซึ่งเป็นอาหารของเซลล์ต่าง ๆ ในลำไส้ใหญ่ และเกิดน้ำและก๊าซทำให้อุจจาระนุ่ม ไม่เกาะตัวแน่นจนแข็งเป็นก้อนใหญ่ อุจจาระที่นุ่มนี้จึงทำให้ถ่ายได้ง่าย แต่คนที่มีอาการท้องผูกที่เป็นมานานและมีอุจจาระที่แข็งและก้อนใหญ่มาก หรือแข็งจนเป็นเม็ดกระสุนอาจจะตอบสนองไม่มีดีต่อนมเปรี้ยว จึงควรได้รับการรักษาด้วยวิธีอื่นร่วมด้วย

สิ่งที่ได้จากการดื่มนมเปรี้ยวถัดมาก็คือ การได้แคลเซียมจากนมวัวที่นำมาทำนมเปรี้ยว แต่เนื่องจากนมเปรี้ยวนี้มีราคาแพงกว่านมวัวพร้อมดื่มทั่วไปเกือบ 3 เท่าตัว เมื่อเปรียบเทียบในปริมาณน้ำนมที่เท่ากัน จึงไม่แนะนำให้ดื่มนมเปรี้ยวเพื่อหวังจะได้รับแคลเซียมเพียงอย่างเดียว

น้ำตาลทรายในนมเปรี้ยวนี้มีส่วนที่ทำให้ฟันผุได้ง่าย ดังนั้นเมื่อดื่มนมเปรี้ยวทุกครั้งก็ควรจะบ้วนปาก เพื่อกำจัดคราบน้ำตาลในนมที่อาจเกาะติดที่ฟันได้ ในกรณีที่ดื่มนมเปรี้ยวแล้วเข้านอน ก็ควรได้รับการแปรงฟันทุกครั้ง

ยังมีนมเปรี้ยวที่ผสมผลไม้ชนิดต่าง ๆ และทำให้เป็นครีมเข้มข้น จึงควรอ่านฉลากข้างขวดว่า ให้พลังงานเท่าใดด้วย เพราะถ้ารับประทานมากเกินไปก็อาจทำให้เป็นโรคอ้วนได้ ถ้าแยกดื่มเป็นนมวัวธรรมดา และรับประทานผลไม้เป็นประจำก็จะประหยัดเงินกว่ามาก

และสุดท้าย มีนมเปรี้ยวที่บรรจุในกล่องยูเอชทีโดยไม่ได้แช่ตู้เย็น นมเปรี้ยวชนิดนี้จะไม่มีแบคทีเรียที่มีชีวิตทั้ง 2 ชนิดนี้ จึงมีแต่น้ำนมที่ไม่มีน้ำตาลแลคโตส แต่มีน้ำตาลทรายและกรดแฟตตี้ชนิดโมเลกุลดังที่ได้กล่าวมา จึงให้คุณค่าคล้ายน้ำนมวัวธรรมดาแต่จะแพงกว่าการดื่มนมวัว จึงควรพิจารณาความคุ้มค่าทางด้านโภชนาการกับจำนวนเงินที่ต้องจ่ายไป

สุดท้ายนี้ขอเตือนให้จำว่า การดื่มนมนั้นเมื่อให้ร่างกายได้รับแคลเซียมและแร่ธาตุอื่น ๆ เป็นหลัก แต่ที่ได้นอกเหนือจากนั้นก็คือ การได้รับโปรตีนและพลังงานที่มากพอสมควร โดยปกตินม 1 แก้ว จะให้พลังงานเกือบ 12% และ 10% ของความต้องการพลังงานใน 1 วัน ในหญิงและชายตามลำดับ ถ้าไม่อยากให้ได้รับพลังงานมากเกินไป ก็ควรดื่มนมขาดมันเนย และเมื่อจะดื่มนมเปรี้ยว เราก็คาดหวังจะได้รับแบคทีเรียชนิดดีทั้ง 2 ชนิดดังที่ได้กล่าวมา จึงควรดื่มเพียงชั่วคราว โดยเฉพาะควรดื่มหลังจากการได้กินยาปฏิชีวนะในการรักษาอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ เมื่อดื่มนมเปรี้ยวได้สักระยะ ภายในลำไส้ใหญ่ก็จะมีแบคทีเรียชนิดดีนี้จำนวนมาก ก็ควรจะเลี้ยงแบคทีเรียนี้อย่างต่อเนื่องด้วยการรับประทานผักและผลไม้เป็นประจำทุก ๆ วัน โดยไม่จำเป็นต้องดื่มนมเปรี้ยวอีกต่อไป.


  ชา





ชาจีนสักครึ่งแก้ว ต้องให้แก่สักหน่อย ท้องเสียจะหยุดทันทม



ช็อกโกแลตดำ

 







หลังจากมีงานวิจัยหลายชิ้นที่กล่าวถึงข้อดีของการกินช็อกโกแลตดำ ( Dark Chocolate ) ที่มีต่อหัวใจ เพิ่มการไหลเวียนของเลือด รวมทั้ง ช่วยบรรเทาอาการไอ ซึ่งข้อดีต่างๆนี้ ก็เกิดจาก สารฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) ในโกโก้ที่เป็นส่วนประกอบหลักของช็อกโกแลตดำ โดยสารตัวนี้มีสรรพคุณในทำลายอนุมูลอิสระที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย จึงสามารถป้องกันการเกิดโรคร้ายต่างๆได้ ล่าสุด มีผลงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Nutrition พบว่า สารฟลาโวนอยด์ ในช็อกโกแลตดำ อาจช่วยป้องกัน หรือ บรรเทาอาการท้องเสียได้ โดยนักวิจัยกลุ่มนี้เผยว่า ในสมัยโบราณ ชาวอเมริกาทางตอนใต้ และชาวยุโรป ก็เคยใช้ช็อกโกแลตดำในการบรรเทา หรือ รักษาอาการท้องเสีย แต่ก็ยังไม่เคยมีรายงานหรือการวิจัยว่าสารตัวใดกันแน่ในช็อกโกแลตดำที่ช่วยบรรเทา หรือยับยั้งอาการท้องเสีย ทำให้กลุ่มนักวิจัยในเยอรมันหันศึกษาผลของสารสกัดโกโก้ และ สารฟลาโวนอยด์ ในช็อกโกแลตดำต่อเซลล์ลำไส้เล็ก พบว่าทั้งสารสกัดโกโก้ และ สาร ฟลาโวนอยด์นั้น สามารถยับยั้งการหลั่งหรือ การสูญเสียน้ำและเกลือแร่ของเซลล์ลำไส้เล็กได้ ปกติแล้ว อาการท้องเสียนั้น มักมีสาเหตุมาจากเชื้อจุลินทรีย์พวก Cholera หรือ E.Coli ที่มีผลต่อเซลล์ลำไส้เล็ก ก่อให้เกิดการสูญเสียน้ำและเกลือแร่ในปริมาณมากจากร่างกาย ส่งผลให้เกิดภาวะขาดน้ำ และสูญเสียสมดุลของน้ำและเกลือแร่ต่างๆ ในร่างกาย จนอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาได้ โดย นักวิจัยกลุ่มนี้ คิดว่า สารฟลาโวนอยด์ นั้นอาจไปจับกับโปรตีนชนิดหนึ่งในเซลล์ลำไส้เล็ก ที่ทำหน้าที่ในการควบคุมให้เกิดการหลั่งหรือการสูญเสียน้ำและเกลือแร่จากร่างกายแล้วยับยั้งการทำงานของโปรตีนชนิดนั้น จึงสามารถลด หรือ ยับยั้งการสูญเสียน้ำและเกลือแร่จากเซลล์ลำไส้เล็กนั้น และอาจส่งผลช่วยบรรเทาอาการท้องเสียได้ กลุ่มนักวิจัย ยังกล่าวอีกว่า ผลสรุปจากงานศึกษานี้ อาจทำให้มีการนำสารฟลาโวนอยด์ในโกโก้มาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ที่ใช้สำหรับรักษาอาการท้องเสียได้ อีกทั้ง ช็อกโกแลตดำที่ถือว่ามีส่วนประกอบของสารชนิดนี้ในปริมาณสูงมากอาจถือว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ใช้บรรเทาหรือรักษาอาการท้องเสียอย่างอ่อนอ่อนได้
อ่านถึงตรงนี้ หลายคนที่เคยเกลียดกลัวช็อกโกเลตเพราะเชื่อว่าเป็นศัตรูของความงามและน้ำหนัก อาจจะเริ่มรู้สึกว่า ปีศาจช็อกโกแลตของหลายคนก็มีดีอยู่บ้างเหมือนกัน แต่อย่าลืมว่าต้องเป็น ช็อกโกแลตดำ เท่านั้นนะคะ เพราะจะมีสารฟลาโวนอยด์มากกว่า
ช็อกโกแลตชนิดอื่น

อ้างอิง

เอกสารประกอบการสอนวิชาเภสัชวิทยาพื้นฐาน
โรงพยาบาลเซ็นทรัล ปาร์ค ถนนบางนาตราด กม.16 
หนังสือพิมพ์ข่าวสด

http://www.doctor.or.th/node/1545

http://www.thaipharasso.com/index.phplay=show&ac=article&Id=5336538&Ntype=23

http://images.google.co.th/images?gbv=2&hl=th&q=%E0%B8%8A%E0%B9%87%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%95%E0%B8%94%E0%B8%B3&sa=N&start=40&ndsp=20

ความคิดเห็น

loli-pop
loli-pop 4 ส.ค. 52 / 14:06

เด๋ว จา กิน ให้ เยอะๆ เยย

อิอิ

ความคิดเห็นที่ 2
เปิดให้บริการแล้ว! www.VayoTradeCenter.com
ศูนย์กลางการค้าส่งออนไลน์ ครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจในไทย โปรโมชั่นฟรีค่าสมาชิก รายเดือน รายปี
ประโยชน์ที่ผู้ประกอบการจะได้รับ
เพิ่มช่องทางการจัดจำหน่าย เพิ่มโอกาสในการขายสินค้า /บริการ เพิ่มโอกาสในการขยายตลาด ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ปลอดความเสี่ยงจากการจำหน่ายสินค้าแล้วลูกค้าไม่ชำระค่าสินค้า ไม่ต้องแบกรับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ลดขั้นตอนการส่งออก ที่มีขั้นตอนที่ซับซ้อน
ประโยชน์ที่ผู้ซื้อสินค้า / บริการ จาก www.VayoTradeCenter.com จะได้รับ
อยากซื้ออะไรก็มี หาอะไรก็เจอ สินค้าดี มีคุณภาพ มีมาตรฐาน ราคายุติธรรม มีระบบ QC ตรวจสอบคุณภาพสินค้าก่อนถึงมือผู้ซื้อ สิทธิพิเศษมากมายสำหรับสมาชิก
www.VayoTradeCenter.com ศูนย์กลางค้าส่งออนไลน์ ครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจในไทย
สามารถตอบโจทย์คุณได้ คลิกเข้ามาดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.VayoTradeCenter.com
ความคิดเห็นที่ 3
เปิดให้บริการแล้ว! www.VayoTradeCenter.com
ศูนย์กลางการค้าส่งออนไลน์ ครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจในไทย โปรโมชั่นฟรีค่าสมาชิก รายเดือน รายปี
ประโยชน์ที่ผู้ประกอบการจะได้รับ
เพิ่มช่องทางการจัดจำหน่าย เพิ่มโอกาสในการขายสินค้า /บริการ เพิ่มโอกาสในการขยายตลาด ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ปลอดความเสี่ยงจากการจำหน่ายสินค้าแล้วลูกค้าไม่ชำระค่าสินค้า ไม่ต้องแบกรับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ลดขั้นตอนการส่งออก ที่มีขั้นตอนที่ซับซ้อน
ประโยชน์ที่ผู้ซื้อสินค้า / บริการ จาก www.VayoTradeCenter.com จะได้รับ
อยากซื้ออะไรก็มี หาอะไรก็เจอ สินค้าดี มีคุณภาพ มีมาตรฐาน ราคายุติธรรม มีระบบ QC ตรวจสอบคุณภาพสินค้าก่อนถึงมือผู้ซื้อ สิทธิพิเศษมากมายสำหรับสมาชิก
www.VayoTradeCenter.com ศูนย์กลางค้าส่งออนไลน์ ครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจในไทย
สามารถตอบโจทย์คุณได้ คลิกเข้ามาดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.VayoTradeCenter.com
ความคิดเห็นที่ 4
ตอนนี้ผมก็กำลังท้องเสียเหมือนกัน เหอๆ ตอนนอนผมตื่นมา ก็พบว่าตัวเองนอนขมกอง . . . อยู่แล้วก็ปวดขึ้นมาแล้วก็วิ่งเข้า ห้องนำแล้วพอออกมาก็ปวดอีกก็วิ่งเข้าไปแล้วออกมาก็ปวด อีก เหอๆ
ความคิดเห็นที่ 5
เป็นประโยชน์มากๆ

ดีจิงๆ
ความคิดเห็นที่ 6
ขี้แตก
ความคิดเห็นที่ 7
ดี้ดีเยยยยยยยยยยยยยยยยเปงปาโยกมากมาก
ความคิดเห็นที่ 8
มีสาระมาก
ความคิดเห็นที่ 9
...ไม่มียาแก้ท้องเสียที่ดีกว่านี้แล้วเหรอ
ความคิดเห็นที่ 10
ขอบคุณค่ะ ดีใจจังรู้แล้ว
ความคิดเห็นที่ 11
ขอบคุงคับ
Phyria
Phyria 17 ก.ย. 54 / 21:03
ขอบคุณบทความดีๆค่ะ เป็นประโยชน์มากเลยค่ะ
ความคิดเห็นที่ 13
รักษาได้จริงจริงน่ะลองกินดิ ถ้าท้องเสีย
ความคิดเห็นที่ 14
ขอบคุณมากคะ