ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ KHR reborn ] short fic 1827 5927 6927 2718 X27 G27 10027 127 8027 R27 0027 All27

    ลำดับตอนที่ #6 : Special Chapter 2718 Puppy LOVE

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.86K
      72
      1 พ.ค. 62






     
     
    Special Chapter  Puppy LOVE




     


                "นี่น่ะเหรอผู้นำคนใหม่ของตระกูลฮิบาริ"

     

                "หน้าโคตรตุ๊ดเลยว่ะ"

     

                "ก็ตามประสาพวกลูกคุณหนูไง"

     

     

                เสียงบทสนทนาแว่วเข้าโสตประสาท เคียวยะขมวดคิ้วแน่น รู้สึกปวดร้าวระบมทั่วร่างจากการถูกลอบทำร้ายด้วยคนนับสิบแม้จะพอรับมือได้ แต่สุดท้ายกลับพลาดท่าถูกลอบยิงยาสลบทำให้หมดสติไป

     

                เขาลืมตาแล้วแต่ภาพที่เห็นก็มีเพียงความมืดภายใต้ผ้าปิดตา แขนทั้งสองข้างถูกมัดไขว้หลังจนปวดเมื่อย
    ไปหมด ไม่เว้นกระทั่งปากที่มีเศษผ้าเหม็นอับมัดปิดไว้ พยายามจะเงี่ยหูฟังสิ่งที่คนเหล่านั้นคุยกันแต่กลับไม่มีอะไรที่เป็นประโยชน์สักนิด ชายหนุ่มลอบถอนหายใจ ลองขยับแขนที่ถูกมัดไปมาเพื่อให้เชือกคลาย

     

                "เฮ้ย! อย่าขยับไม่งั้นสมองแกเละแน่"

     

                หลังของเขาถูกเตะอย่างแรงจนเกิดเสียงตุ้บ ปลายกระบอกปืนลูกซองจ่อแนบขมับจนชายหนุ่มต้องวางมือลงแล้วนอนนิ่งๆดังเดิม อย่างน้อยตอนนี้พวกมันก็ยังฆ่าเขาไม่ได้ เพราะงั้นไม่มีอะไรต้องกลัว

     

                "เหมือนมันมีอะไรอยากพูดนะ แกะผ้า"

     

                เสียงแหบพร่าของคนที่น่าจะเป็นผู้นำของมันกล่าวขึ้นพอๆกับที่ปากของเขาได้เป็นอิสระ ชายหนุ่มหันไปตามทิศที่มาของเสียงด้วยดวงตาที่ยังถูกปิดไว้อยู่

     

                "ใครจ้างพวกแก"

     

                "เรื่องนั้นสำคัญด้วยเหรอ..?"

     

                เสียงนั้นขยับเข้ามาใกล้จนกลายเป็นกระซิบข้างหู เคียวยะตัวสั่นด้วยความหงุดหงิดขยะแขยงจนแทบคลื่นไส้แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเข้าใจเป็นอย่างอื่นจึงยิ่งได้ใจ

     

                "บอกก็ได้ แต่ขอฉันสนุกกับแกก่อนแล้วกัน"

     

                ทันทีที่พูดจบโลหะเล็กเย็นเยียบก็จ่อแนบหลังคอ เคียวยะเพิ่งจะเข้าใจว่ามันคืออะไร ก็ตอนที่อีกฝ่ายเปิดเครื่องให้กระแสไฟฟ้าแรงสูงพุ่งเข้าสู่ทั่วร่างกาย

     

                "อ๊ากก!"

     

                ความเจ็บแปล๊บแล่นทั่วร่างกายจนปวดหนึบ เคียวยะกัดฟันแน่นเรี่ยวแรงที่มีเหมือนถูกสูบฉีดออกไปหมด

     

                "ร้องให้มากกว่านี้สิ เผื่อฉันจะใจดี"  พูดย้ำพร้อมยิงเครื่องช็อตไฟฟ้าใส่อีกครั้ง

     

                ชายหนุ่มพยายามต่อสู้ ยันตัวขึ้นนั่งก่อนจะตวัดขาที่ไม่ถูกพันธนาการฟาดเข้าหน้าอีกฝ่ายเต็มแรง มันชะงักมือปาดเลือดที่ไหลจากมุมปากช้าๆด้วยสายตาไม่คาดคิด พลางส่งสัญญาณมือห้ามพวกตัวเองที่จ่ออาวุธใส่คนมองไม่เห็น

     

                สมกับเป็นผู้นำของตระกูลฮิบาริขนาดถูกมัดมือปิดตาจนมองไม่เห็น แต่..นั่นก็แค่เพราะความประมาท แรงดันไฟฟ้าถูกปรับสูงสุดจนเผาไหม้กล้ามเนื้อได้ มือหยาบกร้านคว้ากระชากเรือนผมสีขนกากดลงแนบพื้น แล้วใช้เครื่องช็อตไฟฟ้าใส่โดยไม่มีหยุดหย่อน ซ้ำแล้ว.. ซ้ำเล่า..

     

                "อั่ก! อ๊ากก!!"

     

                เคียวยะหูอื้อร่างกายปวดล้าจนชาไปทั้งตัว เขารู้สึกมึนหัวคล้ายจะสลบ แต่ก็ต้องสะดุ้งตื่นทุกครั้งเมื่อใบหน้าหวานถูกกระชากกดกระแทกพื้นปูนเพื่อรับรู้กระแสไฟฟ้าที่แล่นผ่านตัว ทั่วทั้งร่างปวดหนึบได้กลิ่นเหม็นไหม้จางๆ แผลปริแตกเล็กๆทั่วตัวแสบไปหมดราวมีดนับพันรุมกรีด เขาอ้าปากสูดลมหายใจอย่างยากลำบาก สติเริ่มเลือนลางจนไม่อาจรับรู้เวลาหรือสิ่งรอบกาย ยิ่งในยามดวงตามืดบอดมองไม่เห็นทิศทาง หนทางรอดช่างริบหรี่

     

     

     

        ปัง!

     

     

                เพียงเสียงปืนดังลั่นนัดเดียวความทรมานทั้งหมดก็หายไป เคียวยะทรุดตัวลงหายใจหอบอย่างหมดแรง ท่ามกลางกลิ่นเหม็นไหม้กับเขม่าดินปืนที่คละคลุ้งลอยตีกันจนจมูกแสบเพี้ยนกลับมีกลิ่นหนึ่งที่แรงกว่าทั้งมวลที่สัมผัสได้ชัดเจน

     

                กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งทั่วร่างเขา

     

                "อ๊าก!!"

     

                เสียงกระสุนปืนดังขึ้นติดต่อกันอีกเป็นสิบนัด ตามด้วยเสียงหนักๆของร่างไร้ชีวิตที่ทรุดลงกับพื้น ฝีเท้าคู่นั้นก้าวเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ ในขณะที่เคียวยะเริ่มฟื้นคืนสติและกลับมาหายใจด้วยจังหวะคงที่

     

                เชือกและผ้าปิดตาถูกแกะออกอย่างเบามือ ชายหนุ่มรีบลืมตามองแต่ก็ต้องหลับตาปี๋อีกครั้งเมื่อถูกแสงจ้าแยงตา เขาหลับตาให้เวลาสายตาที่ยังไม่คุ้นชินสักครู่ จนเมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งก็ได้พบใบหน้าคุ้นเคยที่จ้องมองมาด้วยสายตาประกายวาววับ

     

                "นายมาช้า"  เคียวยะติ

     

                "ขอโทษด้วยครับ คนของมันเยอะเลยใช้เวลานานไปหน่อย"

     

                เขาพูดด้วยความสำนึกผิด มือเรียวหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าเสื้อตัวเองออกมาบรรจงเช็ดแก้มใบหน้าหวานที่เลอะคราบเลือด

     

                เคียวยะหยัดกายขึ้นยืนโดยมีอีกฝ่ายคอยประคอง เขาปรายสายตามองรอบกาย มันเป็นโกดังร้างบนเกาะห่างไกลตัวเมืองพอควร ไม่แปลกที่อีกฝ่ายจะตามมาได้ช้า ทั่วทั้งโกดังเต็มไปด้วยจำนวนศพมากมายที่นอนเกลื่อนท่ามกลางเลือดที่ฉาบพื้นปูนสีซีดให้แดงฉาน เห็นกี่ครั้งก็ยังไม่อาจทำใจให้คุ้นชินได้

     

                "อะ อ่อก..."

     

                เสียงครวญครางของคนแทบเท้าดึงความสนใจเคียวยะกลับมา ร่างของหัวหน้ากลุ่มโจรถูกกระสุนปืนเจาะพรุนทั่วร่าง เว้นจุดสำคัญแต่ก็ทำให้ขยับตัวหนีไปไหนไม่ได้ เคียวยะย่อกายลงมองอีกฝ่าย บังเอิญนักที่ท่าทางนั้นคือสิ่งที่มันปฏิบัติกับเขาก่อนหน้านี้

     

                "ฉันจะถามอีกครั้ง ใครจ้างพวกแก"

     

                "ใครบางคน.. ทะ ที่อยากให้แกตายไง"

     

                เสียงตะกุกตะกักตอบกลับอย่างอ่อนแรงแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงความหยิ่งทระนงในน้ำเสียง

     

                คำตอบนั้นไม่เพียงพอเสียเลย ตระกูลฮิบาริใช่มีคนปองร้ายกระหายในอำนาจแค่คนสองคนที่ไหน เจ้าตัวส่ายหน้ายันแขนกับพื้นเพื่อดันตัวเองลุกขึ้น ฉับพลันร่างที่นอนนิ่งก็กระชากตัวเขากลับมา เคียวยะเสียการทรงตัวร่างกายล้มตามแรงโน้มถ่วง ดวงตาสีดำเบิกกว้างเมื่อเห็นปลายมีดแหลมโค้งที่จ่อรอรับลำคอของเขา

     

     

     

        ฉึก!!

     

     

                แต่คนข้างกายเขาไวกว่า แขนเรียวดึงรั้งร่างบางกลับมาซบแนบอกใหญ่ใต้ชุดสีดำสนิท ส่วนอีกข้างก็แย่งมีดมาแล้วพลิกกลับแทงฝ่ามืออีกฝ่ายตรึงไว้กับพื้นจนมันส่งเสียงร้องครวญครางอย่างเจ็บปวด

     

                เขาคลายอ้อมกอดให้เคียวยะที่หวิดจากการถูกจ้วงแทงคอกลับมานั่งหายใจหายคอปกติ ก่อนจะหันกลับมากระชากมีดเล่มเดิมแล้วแทงย้ำลงมือขวานั่นอีกครั้ง

     


                "อ๊ากกก!!"

     


                "มือนี้ใช่ไหมที่หันมีดใส่เคียวยะ"  น้ำเสียงเย็นพูดย้ำพลางแทงมีดซ้ำครั้งที่สาม



                "ขอโทษ! ฉัน อั่ก!! ผิดไป.. ละ แล้ว"


     

                "มือนี้สินะ" ครั้งที่สี่


     

                "ไม่ ไม่.. ได้โปรด อึก! อ๊าก!!"

     

     

                "แกคิดจะทำร้ายเคียวยะงั้นเหรอ คิดจะฆ่าเคียวยะงั้นเหรอ!!"

     

     

                เสียงมีดแทงย้ำถี่ขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน มือหนาโชกเลือดเป็นรอยแผลเหวอะหวะน่าสยดสยอง เคียวยะเสหน้าหนี เขาไม่อยากยืนมองภาพแบบนี้เลย

     

                ทันทีที่เสียงมีดครั้งสุดท้ายจบลงเสียงร้องโหยหวนก็เงียบไปด้วย คราวนี้มันไม่ได้ปักที่มือแต่เป็นกลางลำคอ... เคียวยะหน้าถอดสีกลิ่นคาวเลือดเหม็นรุนแรงจนเกิดอาการคลื่นเหียน เขาสบตากับเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลทึบหม่นด้วยความรู้สึกหลากหลาย

     

                "เรายังไม่รู้ว่าใครเป็นคนสั่งการ ไม่เห็นต้องฆ่ามันเลย"

     

                "มันทำร้ายคุณ"

     

                ชายหนุ่มตอบอย่างไม่หยี่ระ เรียวขายาวสมส่วนขยี้เท้าบดพื้นเช็ดคราบเลือดที่เลอะรองเท้าหนังด้วยความรังเกียจ


                คิ้วบางขมวดมุ่น ริมฝีปากสีกุหลาบเม้มแน่นจมกับความคิดตัวเอง ดวงตาสีรัตติกาลทอดมองร่างไร้ชีวิตที่กองแทบเท้า ด้วยความรู้สึกหลากหลาย

     

     

        ทั้งที่สมองคัดค้าน แต่ส่วนหนึ่งภายในใจกลับเต้นลิงโลดอย่างน่าประหลาด..

     

     

                ร่างกายเบาหวิวถูกท่อนแขนแกร่งซ้อนหลังและข้อพับช้อนตัวเขาขึ้นมาอย่างทะนุถนอม กลิ่นหอมประหลาดจากตัวชายหนุ่มแทนที่จะเป็นกลิ่นคาวสนิมทำให้อีกฝ่ายดูลึกลับและน่าค้นหาในเวลาเดียวกัน เคียวยะตาพร่าเบลอ ไม่เข้าใจความรู้สึกร้อนรุ่มดังไฟเผาที่แผ่ซ่านทั่วอณูทุกครั้งยามผิวกายสัมผัสกันและกัน นึกคิดว่าคงมีไข้ สมองขาวโพลนยามเมื่อพบคนที่ไว้วางใจร่างกายก็ปลดเปลื้องภาระความกังวลหมดสิ้น ใบหน้าหวานเอนซบบ่าใหญ่แล้วผล็อยหลับใหล ราวกับกลิ่นนั้นมัวเมากล่อมประสาทจนสติจางหาย

     

     

     

     

    ++++++

     

     

     

     

                และหลังจากวันนั้นเคียวยะก็ไข้ขึ้นสูงต้องนอนซมอยู่ที่บ้านเหมือนที่คิดไม่มีผิดเพี้ยน มือเรียวปิดหนังสือลงเมื่ออาการมึนหัวนั้นมีมากจนอ่านหนังสือไม่รู้ความ บาดแผลทั่วร่างถูกทายาและพันด้วยผ้าพันแผลสีขาวสะอาด บางครั้งก็รู้สึกอึดอัดจนอยากแกะออก หันไปมองหน้าต่างหยาดฝนยังคงตกลงมาอย่างต่อเนื่องแม้จะเข้าสู่วันใหม่แล้วก็ตาม ชายหนุ่มถอนหายใจยาวหลังวางแก้วน้ำชาที่เพิ่งดื่ม เมื่อไหร่จะหมดฤดูฝนนะ?

     

                เสียงเคาะประตูดังขัดอารมณ์ที่เหม่อลอย ดึงสติชายหนุ่มให้กลับมาอยู่กับปัจจุบัน ก่อนจะขานรับอนุญาตให้คนที่อยู่อีกฟากประตูเข้ามา

     

                "ไง ป่วยแบบนี้ไปเล่นน้ำฝนที่ไหนมาอีกล่ะ"

     

                "บ้านแกสิ ฉันเกลียดฝนจะตาย"

     

                "ฮ่าๆๆ"

     

                คนที่เข้ามาทักคือ ยามาโมโตะ ทาเคชิ เพื่อนสมัยเด็กที่เกี่ยวโยงกันทางด้านธุรกิจแต่ดันทึกทักเอาเองว่าเป็นเพื่อนสนิทของเขา เคียวยะขมวดคิ้วแค่เห็นหน้าเจ้านี่ก็รู้สึกหงุดหงิด รีบดึงผ้าห่มคลุมมิดหัวแล้วนอนหันหลังใส่ผู้มาเยือนทันที

     

                "เอ๋? งอนหรือไง ไม่เอาน่า ~"  ไม่พูดเปล่าใช้นิ้วจิ้มไปมาผ่านผ้าห่มอีก

     

                "หยุดกวน ไม่งั้นฉันจะขย้ำแก..."

     

                พูดได้เพียงนิดหน่อยก็ดันไอจนแสบคอ ถึงอย่างนั้นเจ้าของฉายาแป๊ะยิ้มก็ยังไม่เลิกใช้นิ้วเขี่ยกวนราวกับต้องการยั่วโมโห บ้าจริง คุซะเอาทอนฟาไปเก็บไว้ไหนกัน... เมื่อไม่รู้จะทำเช่นไรชายหนุ่มจึงเพิกเฉยการกระทำชวนโมโหนั่นแล้วข่มตานอนพยายามปลอบตัวเองว่าเดี๋ยวเบื่อมันคงเลิกไปเอง

     

     

     

     

        ในห้วงนิทราเคียวยะฝัน..

        ภาพความทรงจำในวันวานย้อนวนมาให้ตระหนักถึงอีกครั้ง

     

     

     

     

                ภายใต้ค่ำคืน....ที่เหล่าหยาดฝนโปรยปราย

     

     

                ชายคนหนึ่งทอดกายลงนอนกลางลานกว้างที่ไร้ซึ่งผู้คน เส้นผมเปียกลู่บดบังดวงตาสีหม่น บาดแผลทั่วกายเจ็บช้ำทุกครั้งยามหยดน้ำกระทบใส่ แต่กระนั้นมันก็ทำให้เขายิ้ม.. ยิ้มที่ได้รู้ว่าตนไม่ได้อยู่เพียงแค่ความฝัน

     

                ภาพนั้นสะท้อนอยู่ในดวงตาของผู้มาใหม่ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่จังหวะการเดินของรองเท้าหนังราคาแพงหยุดลงอยู่กับที่

     

                ใบหน้าเปี่ยมสุขที่เห็นนั้นช่างต่างจากตัวเอง ต่อให้จิตใจจะผุผังเพียงใดสำนึกที่ถูกบ่มฝังมายังคอยตอกย้ำถึงภาระที่สวมบนหน้ากากผู้ดีจอมปลอม ไม่มีทางหลีกหนี

     

     

                การพบเจอโดยบังเอิญหรือโชคชะตา

     

     

                ร่มสีใสที่ยื่นให้โดยไม่สนว่าตัวเองจะเปียกปอน

     

     

                หนึ่งอิสระล่องลอยไร้ซึ่งที่พึ่งยึดเหนี่ยวในจิตใจ อีกหนึ่งมากด้วยผู้คนล้อมรอบกายแต่กลับไร้ซึ่งความเสรี


     

                'อยากให้ฉันเป็นเจ้าของไหม เจ้าลูกหมา?'

     

     

                เกี่ยวพันโชคชะตา คำเชิญชวนที่เอื้อนเอ่ยออกไป

     

     

        ราวกับมีแสงสว่างลอดผ่านมาจากปลายอุโมงค์ที่ปิดตาย

     

     

     

     

                "เมื่อไหร่แกจะกลับไปสักที"  เคียวยะสบถคำอย่างหงุดหงิดขณะปัดช้อนข้าวต้มร้อนๆที่อีกฝ่ายจ่อมา ลืมตาตื่นมาไอ้คนหน้าแป้นแล้นเมื่อสองชั่วโมงก่อนก็ยังไม่หายไปไหน ครั้นยังถือดีมาใช้ครัวตามใจชอบอีกยิ่งไม่สบอารมณ์ไปใหญ่

     

                "ก็นายให้คนออกไปสืบเรื่องพวกที่อยู่เบื้องหลังการลักพาตัวไม่เว้นแม้แต่คุซาคาเบะ"  ยามาโมโตะนั่งทานอาหารที่ตั้งใจนำมาให้คนป่วยในทีแรกด้วยสีหน้าเอร็ดอร่อยจนเกินจริง ส่งเสียงพูดงึมงำทั้งที่ยังกลืนอาการไม่หมดปาก  "เลยกลัวว่าอยู่คนเดียวจะเหงาไง"

     

                ชายหนุ่มถอนหายใจเลิกโต้แย้ง ที่จริงเขาเองก็ไม่ได้อยู่คนเดียวอย่างที่อีกฝ่ายคิดหรอก อย่างไรหมอนั่นก็ไม่มีวันอยู่ห่างเขาอยู่แล้ว นึกคิดพลางสอดส่ายสายตาหาบุคคลที่สาม ที่ยังไม่เห็นหน้าค่าตาตั้งแต่เช้า หายไปไหนของมันกัน...

     

                "ระหว่างที่ฉันนอน มีใครมาบ้างไหม"

     

                "ใคร? ที่นี่มีแค่ฉันกับนายนะ"

     

                ชายหนุ่มส่งเสียงจิ๊ปากด้วยความหงุดหงิด อะไรของมันกันแน่ ทั้งที่ปกติชอบทำตัวตามติดเป็นหมาเชื่องๆ แต่พอเขาป่วยกลับหายหน้าหายตาไปซะอย่างนั้น ความรู้สึกแปลกๆไม่ทราบสาเหตุในใจทำให้คันแผลถลอกบริเวณข้างแก้มยิบๆ มือเรียวใต้ผ้าพันแผลขาวสะอาดกระชากผ้าก๊อซแปะแผลตามแรงอารมณ์จนคนมองดูสูดปากนึกเจ็บแทน

     

                ยิ่งมองลอดหน้าต่างท้องฟ้าที่มืดสลัวยิ่งทำให้ชายหนุ่มใจครุกกรุ่นจนอยากอาละวาด แต่ทันใดสายตาเขากลับสบกับดวงตาสีน้ำตาลหม่นของคนนอกหน้าต่างเหมาะเจาะ ใบหน้านิ่งๆกับสายตากดต่ำมองมาแค่เห็นแว๊บเดียวก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายเองก็หงุดหงิดเพียงไหน เวร คนที่ควรหงุดหงิดมันคือเขาไม่ใช่หรือไง... ชายหนุ่มสะบัดหัวไล่ความคิดมากมายที่ก่อตัว เหลือบเห็นคนตัวโตที่สมองมีแต่กล้ามข้างกายก็พลันนึกอะไรดีๆขึ้นมาได้

     

     

                ขอเอาคืนเล็กๆน้อยๆหน่อยแล้วกัน...

     

     

                "งั้นในเมื่อที่นี่มีแค่ฉันกับนาย ทำไมเราไม่มาหาอะไรสนุกๆทำด้วยกันล่ะ?"

     

                เรียวแขนเกี่ยวกระหวัดลำคอของหนุ่มนักกีฬาพลางพูดเย้าข้างหูด้วยน้ำเสียงหวานหยดย้อย

     

                ฉับพลันดวงตาเรียบนิ่งสีหม่นของบุคคลที่ยืนมองอยู่ด้านนอกก็ประกายวาวโรจน์จนน่าหวาดหวั่น ซาวาดะ สึนะโยชิ เบิกตาโพลงกัดฟันกรอดดูแล้วไม่ต่างจากสัตว์ร้ายที่พร้อมกระโจนฉีกทึ้งเหยื่อตรงหน้าอย่างไร้ปราณี

     

                เคียวยะยิ้มเยาะ เคลื่อนกายดึงรั้งอีกฝ่ายเข้าหาตัวมากยิ่งขึ้นจนกายทั้งสองแนบชิดกัน

     

                "ฮะ.. ฮิบาริ" ยามาโมโตะที่ถูกดึงมาเป็นหมากของสงครามประสาทยังคงไม่เข้าใจสถานการณ์ ใบหน้าคมแดงก่ำมือสองข้างเก้ๆกังๆขยับหาเพื่อกอดตอบร่างบาง

     

     

        เพล้ง!

     

     

                เสียงกระจกหน้าแตกทำให้ร่างนัวเนียทั้งสองสะดุ้งแยกห่างกัน ยามาโมโตะผุดลุกขึ้นเดินสำรวจที่มาของเสียง ก่อนจะถอนหายใจโล่งอกเมื่อรู้ว่าเป็นแค่กิ่งไม้ที่มากระแทกหน้าต่าง

     

                "สงสัยจะโดนลมพัดมาน่ะ"  เจ้าตัวพูดพร้อมโยนกิ่งไม้ออกนอกหน้าต่าง

     

                แต่เคียวยะไม่คิดแบบนั้น  "ฉันจะออกไปดูข้างนอก"

     

                "เอ๋? อ๊ะ! เดี๋ยวสิ..."  ยามาโมโตะเรียกอีกฝ่าย หากแต่เจ้าตัวก็เดินออกจากห้องไปก่อนหน้าแล้ว

     

     

     

     

                รู้ตัวอีกทีร่างบางก็เผลอก้าวเดินเข้ามาในป่าอย่างไร้จุดหมาย ด้วยเพราะตระกูลฮิบารินั้นรักความเป็นส่วนตัวมากคฤหาสน์จึงปลีกตัวออกจากตัวเมืองและล้อมรอบด้วยป่าทึบ ทำให้ตอนมืดค่ำฤดูฝนบรรยากาศดูค่อนข้างเต็มไปด้วยอันตรายมากมาย ดวงตาสีนิลกวาดมองหาร่างคนที่หนีหายตามมุมต่างๆที่พอเป็นไปได้พลางใช้มือปัดกิ่งไม้ที่โน้มมาขวางทาง

     

                ลมหนาวพัดวูบ กลิ่นดินโชยแตะจมูก ยิ่งรู้สึกปั่นป่วนใจเมื่อได้ยินเสียงฟ้าร้องท่ามกลางความเงียบงัน

     

                ชายหนุ่มขมวดคิ้วขณะเงยหน้ามองท้องฟ้า คงไม่ดีต่อร่างกายเขาที่ยังไม่ฟื้นไข้แน่หากไม่กลับเข้าที่พักตอนนี้ อากาศตอนกลางคืนช่างหนาวเหน็บ เคียวยะเริ่มใจเสียเมื่อนึกได้ว่าลืมแม้กระทั่งเสื้อคลุมในตอนที่เดินออกมา หงุดหงิดไม่น้อยที่เผลอหัวปั่นตามคนเอาแต่ใจจนไม่เป็นตัวของตัวเอง นี่มันไม่ใช่นิสัยของเขาด้วยซ้ำ

     

     

                หมาบ้าอย่างมันมีสิทธิ์โกรธเขาด้วยหรือไง!

     

     

                ห่าฝนที่เริ่มเทลงหนักจนเกิดเสียงกระทบดังซ่า ทำให้เคียวยะตัดสินใจได้ไม่ยาก ชายหนุ่มหมุนตัวกลับตามทางที่เคยมา แต่ระหว่างนั้นกลับมีเสียงบางอย่างดังแว่วมาเบาๆขัดจังหวะการเดิน ท่อนขาเรียวหยุดนิ่งห่างจากที่เดิมไม่กี่ก้าว รู้ดีว่าพื้นที่ส่วนตัวนี้ไม่มีทางที่สัตว์ป่าจะออกมาเดินเล่นได้ ชายหนุ่มถอนหายใจ ตอนตามหาตั้งนานไม่ยักโผล่หัวแต่พอจะกลับก็ดันออกมาง่ายๆเสียอย่างนั้น ใบหน้าเรียวก้มต่ำส่งเสียงเรียกเบาๆท่ามกลางสายฝนอย่างเหนื่อยหน่าย

     

                "สึนะโยชิ"

     

                เสียงพุ่มไม้ด้านหลังสั่นไหวตอบรับ ทันใดนั้นร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มก็พุ่งพรวดออกมา กระโจนเข้ากอดคนที่เผลอตัวอยู่จนทั้งคู่เสียหลักไปนอนราบกับพื้น

     

                เคียวยะปวดร้าวระบมแผ่นหลังที่กระแทกพื้น เขากำหมัดชกสีข้างจนอีกฝ่ายส่งเสียงโอดโอย ถึงอย่างนั้นก็ไม่คิดละอ้อมกอด ครั้นยังถูไถใบหน้ากับอกบาง เรียกเสียงก่นด่าและกำปั้นอยู่เนืองๆ

     

                "เคียวยะออกมาตามหาผมเหรอครับ ดีใจจังเลย"

     

                "หยุดนะเจ้าหมาบ้า!"

     

                เคียวยะร้องเสียงหลงเมื่อใบหน้ากระล่อนนั้นเริ่มมุดใต้ชายเสื้อมาสัมผัสหน้าท้องเปลือยเปล่า ทั้งที่ก่อนหน้านี้มันยังทำหน้าเหมือนจะฆ่าคนอยู่แท้ๆ

     

                "สึนะโยชิ ฉัน..อ๊า บอกให้หยุด!"


                มือปลาหมึกก็เริ่มโลมเล้านวดเฟ้นสะโพกสลับหยอกล้อด้านหน้าอย่างเบาแรง ชายหนุ่มเผลอเกร็งหน้าท้องรับยามลิ้นร้อนตวัดเลียไปมาแล้วพ่นลมหายใจเป่ารดให้เกิดความกระสัน เคียวยะหน้าแดงซ่านเหมือนคนไข้จับทั้งที่อุณหภูมิในกายเย็บเฉียบจนแทบหนาวตายเพราะฝน

     

                "อึก ฮ่า.."

     

     

                เวร! เจ้าบ้านี่กำลังทำให้เขามีอารมณ์!!

     

     

                เขาผิดที่ปล่อยให้คนตรงหน้ามีอิทธิพลกับตัวเขาได้ถึงขนาดนี้ เคียวยะถอนใจ อีกฝ่ายรู้จักร่างกายเขาแทบทุกส่วน หมอนั่นรู้ดีว่าตรงจุดไหนจะทำให้เขารู้สึกดีหรือจุดไหนจะทำให้เขาปั่นป่วนมากที่สุด

     

                "เคียวยะครับ.."

     

                รู้สึกตัวอีกทีเสื้อของร่างบางก็ปลิวออกไปอยู่ข้างกายเสียแล้ว  ผิวกายขาวละเอียดเปียกชุ่มน้ำฝนที่ตกลงมาทำให้กายบางดูราวกับทอแสงจันทร์เรืองรอง ตุ่มไตสีชมพูเด่นหราจนอยากเคลื่อนปากไปครอบครอง สึนะโยชิเรียกเขาด้วยเสียงแหบพร่า กลืนน้ำลายลงคออย่างกระหายพลางทำสีหน้าออดอ้อนถึงความต้องการที่คับตุงกลางเป้า ที่เจ้าตัวพยายามอดกลั้นไม่กระโจนใส่เขาโง่ๆอย่างที่ทำไปตอนแรก เห็นอย่างนั้นก็อดเห็นใจไม่ได้ ฉวยจับมือหนามาสัมผัสแก่นกลางตนที่ชูชันไม่แพ้กันขณะที่แสร้งทำไม่สนใจด้วยพวงแก้มแดงก่ำ

     

                "รับผิดชอบซะ"

     

                สึนะโยชิยิ้มกริ่ม ดีใจที่ไล่ต้อนจนเจ้าตัวออกปากเองสำเร็จ ใบหน้าคมโน้มลงไปมอบจูบแสนหวานอย่างล้ำลึก เสียงชื้นแฉะบริเวณปากดังแข่งกับเสียงฝนที่กระทบใบไม้ มือหนายื่นไปปลดเข็มขัดให้อย่างอ้อยอิ่ง ขอเพียงเขาได้มอบความสุขล้นจนแทบสำลักให้คนใต้ร่าง ให้รับรู้ถึงความรักที่ทั้งชีวิตเขามีให้ที่ใครอื่นใดไม่อาจเทียบเคียงแค่คิดหัวใจก็พองโตดั่งลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ ดวงตาสีน้ำตาลหม่นทอดมองคนที่ตนรักสุดหัวใจ หวนคิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ก็ทำให้ควบคุมตัวเองไม่อยู่เผลอดูดเม้มริมฝีปากสีสดแรงๆจนบวมเจ่อ

     

                "ฮิบาริ นั่นนายเหรอ?"

     

     

        ...!

     

     

                ราวกับมีกระแสไฟแล่นปลาบขัดกระแสอารมณ์ที่โหมกระหน่ำ เคียวยะสะดุ้งตกใจรีบลุกขึ้นนั่งชันขา ส่งผลให้เข่ากระแทกกลางเป้าเต็มแรงจนสึนะโยชิจุกน้ำตาเล็ดลงไปนอนแดดิ้นกับพื้น

     

                มือเรียวคว้าเสื้อผ้าของตนมาสวมใส่อย่างรวดเร็ว ฝนเริ่มซาแล้ว เคียวยะมองเห็นแสงไฟไกลๆคงเป็นยามาโมโตะนึกดังนั้นก็คิดจะลุกเดินไปหาอีกฝ่าย เพราะการเปลือยท่อนบนตากลมตากฝนอยู่เนิ่นนานแบบนี้รังแต่จะส่งผลเสียกับตัวเขาที่ยังไม่หายบาดเจ็บดี ทว่าไม่ทันได้ทำดังที่คิดกลับถูกคนมือดีปิดปากกระชากตัวเขาดึงรั้งแผ่นหลังใต้เสื้อเชิ้ตตัวบางมาแนบชิดอกเปียกชื้นจนได้ยินเสียงหัวใจเต้นแรงข้างหู

     

                เสียงฝีเท้าย่ำใบไม้กรอบแกรบสลับกับแสงไฟฉายที่สาดส่องไฟมาภายใต้สายฝน ทำให้เคียวยะเผลอกลั้นหายใจ นิ้วเรียวจิกเล็บลงบนท่อนแขนหนาที่กอดรัดเอวทุกครั้งที่แสงเฉียดใกล้ตัวพวกเขาทั้งสอง ไม่นานนักการเคลื่อนไหวของยามาโมโตะก็หยุดลง จังหวะนั้นหัวใจร่างบางเต้นรัวแรงเผลอกลั้นหายใจพลางขยับเคลื่อนถอยกายแนบชิดคนข้างหลังมากยิ่งขึ้นจนแทบหลอมรวมกัน

     

                "..."

     

                ยามาโมโตะถอนหายใจเมื่อไร้วี่แววของเพื่อนสนิท เขาหมุนตัวเดินกลับไปหาทางอื่นพร้อมก้าวขายาวๆจากไปอย่างรวดเร็วด้วยใจร้อนรน

     

                "ฮ๊า! พอแล้ว"

     

                เคียวยะส่งเสียงครางเมื่อมือหนาปล่อยปากบางให้เป็นอิสระ หัวทุยๆของสึนะโยชิไซร้ซอกคอเขาอย่างหื่นกระหายทันทีที่เพื่อนของเขาหันหลังใส่ และมันเป็นเรื่องยากมากที่เคียวยะต้องกลั้นเสียงไว้จนกว่ายามาโมโตะจะเดินพ้นไป ชายหนุ่มกัดฟันข่มอารมณ์ที่กำลังจะโดนปลุกเร้าเพื่อสานต่อเรื่องที่ค้างคา ฟันศอกเข้ากลางลิ้นปี่เต็มแรงแม้ความรุนแรงจะเทียบตอนใช้ทอนฟาไม่ได้ แต่เขามั่นใจว่าคงทำให้เจ้าหมาติดสัดนี่ได้สติ

     

                "เคียวยะผมเจ็บ.."

     

                "ใครสั่งให้ทำรอยจูบ!"

     

                "รักของผมไงครับ"

     

     

                แล้วสึนะโยชิก็ได้รับหมัดเสยคางเป็นค่าตอบแทน

     

     

     

     

     

                "เฮ้อ..."

     

                เคียวยะถอนหายใจกับเอกสารกองพะเนินที่ต้องพิจารณาในช่วงที่เขาหายไปพักรักษาตัวร่วมหนึ่งสัปดาห์ คุซะก็ช่วยไปตั้งครึ่งนึงทำไมมันยังเยอะขนาดนี้กันนะ มือเรียวที่จับปากการ่วมชั่วโมงละมานวดหว่างคิ้วคลายความเมื่อยล้า

     

                "เหนื่อยงั้นเหรอครับ"  เจ้าของผมทรงรีเจนต์ผู้มาใหม่เอ่ยถามพร้อมวางถ้วยน้ำชาที่ยังมีควันจางๆลอยคลุ้งลงบนโต๊ะ กลิ่นหอมอ่อนๆช่วยให้คนล้าผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น

     

                "อือ"  เคียวยะครางรับในลำคอขณะจิบชาอย่างละเมียดละไม  "แล้วเรื่องที่ฉันสั่งให้ไปทำเป็นไงบ้าง"

     

                "คนสั่งการเป็นหนึ่งในผู้นำตระกูลรองของทางเราครับ เขาระวังตัวจัดเลยสืบหาต้นตอได้ช้ากว่าที่ควร"  มือตอกปึกเอกสารกับโต๊ะให้ทุกด้านเรียบเสมอกัน  "ดูเหมือนเพราะมีข่าวการสูญเสียอดีตผู้นำกะทันหันจึงเป็นโอกาสให้พวกเขาวางแผนยึดตระกูลหลัก ตอนนี้ผมให้คนของเราจัดการถอนรากถอนโคนหมดแล้วครับ"

     

                "หึ กับอีแค่ถูกเด็กคราวลูกขึ้นกดหัวเป็นผู้นำก็วิ่งเต้นทนไม่ได้"

     

                ชายหนุ่มหัวเราะเย้ยหยันในลำคอ ดวงตาเรียวสีนิลพินิจมองเข็มกลัดสีเงินสัญลักษณ์ตระกูลในมือ

     

                "จริงสิครับคุณเคียว คุณยามาโมโตะมารอพบอยู่ที่ห้องรับแขก จะให้ผมบอกเขาไหมครับว่าคุณไม่ว่าง"

     

                "ไม่ต้อง"  เขาผุดกายลุกออกจากโต๊ะผ่านร่างสูงของลูกน้องคนสนิทที่มีสีหน้ามึนงงกับการกระทำของเจ้าตัว

     

                "เอ่อ..คุณเคียวครับ"  คุซาคาเบะเหงื่อตกรู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังจะมีงานเพิ่มขึ้น

     

                "ฉันเบื่อแล้ว นายจัดการเอกสารพวกนี้ให้หมดแล้วกัน"

     

                และใช่.. เขาคิดถูก

     

     

     

     

                ตลอดช่วงชีวิตสิบเจ็ดปี ฮิบาริ เคียวยะ เกลียดการถูกช่วงชิงอิสระมากกว่าสิ่งไหน ชายหนุ่มทำหน้าทะมึนทึงใบหน้าครึ่งล่างถูกมือหนาบดบังไว้ แต่เดาไม่ยากว่าริมฝีปากสีสดนั้นต้องคว่ำลงอย่างไม่สบอารมณ์แน่ๆ

     

                "โอ๊ย! เคียวยะกัดผมทำไมครับ"

     

                สึนะโยชิปล่อยใบหน้าของร่างบางให้เป็นอิสระทันทีราวกับโดนน้ำร้อนลวกใส่ มือหนากางออกเผยให้เห็นรอยฟันและเลือดที่ไหลซิบจางๆ

     

                "คิดจะทำอะไรเนี่ย"

     

                เคียวยะถลึงตาทำท่าทางตะคอกด้วยน้ำเสียงกระซิบ ไม่อยากให้ใครมาเห็นว่าตัวเองถูกมือดีฉวยโอกาสตอนไม่ระวังลากตัวเข้ามานอนเล่นในดงพุ่มไม้ ทำไมชีวิตเขามันถึงหนีไม่พ้นเหตุการณ์ใต้พุ่มไม้เลยกันนะ หรือหมาชอบอยู่ตรงพุ่มไม้? แบบนี้สั่งให้คนโค่นทิ้งให้หมดคงดี

     

                "ผมเหงานี่ครับ เคียวยะทำแต่งานไม่สนใจผมเลย"

     

                ถึงน้ำเสียงจะฟังดูน่าสงสารแต่ลิ้นยาวที่เลียแผลฝ่ามือไม่ต่างจากสัตว์ที่บาดเจ็บ เห็นแล้วก็รู้สึกจั๊กจี้ชอบกล

     

                "นายมีสิทธิ์ทำอะไรก็ได้ในคฤหาสน์นี้อยู่แล้วจะเหงาอะไรอีก"  เคียวยะถอนหายใจ อยู่กับเจ้านี่แล้วเขามักติดนิสัยถอนหายใจบ่อยๆอยู่เสมอ  "ไอ้นิสัยชอบทำตัวหลบๆซ่อนๆตามพุ่มไม้เนี่ย คิดว่าตัวเองกลายเป็นหมาจริงๆไปแล้วหรือไง"

     

                "โฮ่ง"

     

                คำตอบของคนที่นั่งยองๆยิ้มระรื่นราวกับมีหูและหางโบกสะบัดนั่นยิ่งทำให้เจ้าตัวรู้สึกหงุดหงิดมากไปอีก มือบางดันใบหน้าอีกฝ่ายขณะที่อีกข้างก็พยายามแกะแขนที่เกี่ยวเอวตน

     

                "พอได้แล้ว ฉันมีนัด"

     

                ใบหน้าหล่อเหลาหุบยิ้มลงทันควัน ดวงตาสีหม่นฉายแววเย็นยา สีของมันเข้มจนเกือบคล้ายดวงตาดำสนิทของเคียวยะ

     

                "ยามาโมโตะ ทาเคชิ"

     

                "นายรู้"

     

                ท่อนแขนกอดรัดแน่นยิ่งขึ้น สึนะโยชิส่งเสียงฮึดฮัดไม่พอใจคล้ายเด็กโดนแย่งของเล่น

     

                "ผมเกลียดเขา"

     

                สึนะโยชิเข้าใจธาตุแท้ของชายคนนั้น สายตาที่มองด้วยความต้องการ ใจที่คิดเกินเลยและอยากสานสัมพันธ์กับร่างบางทำให้เขาแทบบ้า ชายหนุ่มกัดฟันกรอดหวนนึกถึงตอนที่มันขโมยจูบร่างบางยามหลับใหลเมื่ออาทิตย์ก่อน และยิ่งโกรธแค้นมากยิ่งขึ้นเมื่อมือสั่นๆนั่นเคยพยายามเอื้อมมากอดก่ายเอวเล็กของคนตรงหน้า

     

                เขาเสยผมตัวเอง ทีแรกก็คิดว่าจะปล่อยทำเป็นไม่สนใจแต่มันก็ยังหน้าด้านมาที่คฤหาสน์อีก ดวงตาสีน้ำตาลเข้มแวววับด้วยความอาฆาต ในเมื่อแตะต้องเคียวยะของเขามันก็จะไม่มีโอกาสได้หายใจบนโลกต่อไป ลิ้นร้อนแลบเลียลำคอขาวสัมผัสกลิ่นกายหอมหวานชวนลุ่มหลง อา เคียวยะช่างน่ารักเหลือเกิน...

     

                "หมอนั่นเป็นเพื่อนฉัน" เสียงราบเรียบขัดกระแสอารมณ์ที่อีกฝ่ายพยายามเล้าโลม

     

     

                "ห้ามฆ่าล่ะ"

     

     

                ฉับพลันร่างทั้งร่างของสึนะโยชิก็กระตุก ใบหน้าคมมีเหงื่อผุดออกตามไรผมไม่ต่างจากคนที่ถูกจับได้ว่าคิดเรื่องไม่ดี เขายิ้มจนตาหยีส่งเสียงหัวเราะแหะๆแก้เก้อ

     

                "นี่คิดจะฆ่าจริงๆสินะ"

     

                "โถ่..เคียวยะ"  สึนะโยชิส่งเสียงร้องอย่างอ่อนใจแต่ก็ไม่คิดเถียง ซบหน้าลงบนบ่าเล็ก เหลือเพียงคราบหมาน้อยตาใสไร้พิษภัยที่กำลังออดอ้อนเจ้าของ

     

                "พวกเราน่าจะหนีไปอยู่ด้วยกันตามลำพัง"

     

                "ไร้สาระน่า"

     

                "แล้วก็มีลูกสักสามคน"

     

                ไอ้หมาบ้านี่มันเพ้อเป็นตุเป็นตะอะไรของมัน เคียวยะพยายามดันตัวเองออกจากท่อนแขนเหนียวแน่นเหมือนแปะกาวแต่ก็ไม่ได้ผล "ปล่อยฉันสักที"

     

                "ไม่ครับ ผมจะไม่มีวันปล่อยคุณไปจากชีวิตผมเด็ดขาด"

     

     

                เออ.. เยี่ยม

     

     

                อยู่ด้วยกันตรงนี้จนฟ้าดินสลายเลยไอ้บ้า

     

     

                เคียวยะกรอกตานับวันยิ่งพูดจาเอาแต่ได้จนน่าเหนื่อยใจ เมื่อคิดได้ว่ามันคงไม่ปล่อยเขาไปจริงๆแน่ ไวกว่าความคิดมือบางประคองใบหน้าอีกฝ่ายแล้วประกบทับด้วยริมฝีปากทันที รู้สึกตัวเองบ้าบิ่นมากที่เป็นคนส่งลิ้นเข้าไปกวาดควานหาความหวาบหวามในโพรงปากร้อนระอุ มันเหมือนมีดวงไฟเล็กๆแล่นผ่านแผดเผาทั่วร่างเขา ใบหน้าขาวดั่งหิมะแดงก่ำคล้ายผลไม้สุกงอมอีกทั้งอาการมวลท้องจากปีกผีเสื้อที่กระพือตีทั่วภายในจนร่างกายบิดเร่า

     

     

                สึนะโยชินั่งนิ่งเป็นหุ่นปูนปั้น ดวงตาสีทึบเคลื่อนไหวไปมาสังเกตการณ์กระทำของร่างบางโดยคิดไม่ตอบโต้

     

     

        ตึก

     

     

                แต่เหมือนเขาจะทนได้ไม่ถึงครึ่งนาทีด้วยซ้ำ

     

     

                เคียวยะที่ผละออกมายังไม่ทันสูดลมหายใจให้เต็มปอดมือหนาก็คว้าท้ายทอยดันใบหน้าหวานตอบรับจูบอันหนักหน่วง สึนะโยชิผลักเคียวยะลงไปนอนกับพื้นช้าๆโดยไม่ละจูบออกจากกัน เรียวลิ้นเกี่ยวกระหวัดหยอกล้อปลายลิ้นเล็กจนเคียวยะละอายจูบของตัวเองที่ช่างอ่อนหัดเหมือนกับเด็กๆ เปลือกตาบางปรือมองเห็นแพขนตาสลวยที่เปียกชุ่มหยาดน้ำตาจางๆ เป็นไปได้ร่างสูงก็อยากหยุดเวลาอยู่อย่างนี้ไม่ไปไหน แต่สุดท้ายก็ต้องถอดใจเมื่อกำปั้นเล็กทุบอกให้รู้ว่าควรหยุดก่อนที่มันจะเลยเถิด ชายหนุ่มพรมจูบทั่วไปหน้าก่อนจะยกตัวผู้นำตระกูลขึ้นมานั่งตักตัวเองเหมือนก่อนหน้า

     

                แม้ใจจริงเขาจะไม่สนสักนิดว่าจะเป็นอย่างไรถ้าพวกเขาเกิดมาเล่นหนังสดกันตรงนี้ แต่นึกถึงแผ่นหลังบางที่ถูกเศษหินและกิ่งไม้ครูดเป็นทางเมื่อคราวก่อนก็ทำให้สึนะโยชิต้องข่มอารมณ์บ้าคลั่งในตัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งมองใบหน้าแดงก่ำของคนที่เอนกายซบหอบหายใจข้างลำคอเขาอย่างไม่ระแวดระวังภัยแล้ว...

     

     

                มันน่าอุ้มไปมีเซ็กส์ที่ไหนเงียบๆสักที่จริงๆ

     

     

                "แฮ่กๆ ฉันจะพูด แค่ครั้งเดียวนะ.."

     

                "ครับ"  ชายหนุ่มเผลอกลืนน้ำลายลงคอเมื่อสบตากับใบหน้าแดงก่ำที่มีหยาดน้ำลายสีใสไหลลงมาตามมุมปาก  อืม.. อีโรติกชะมัด

     

                "เลิกหึงไปทั่วเหมือนหมาบ้าสักที"  เสียงหวานแผ่วลงจนคล้ายกระซิบ แต่เพราะใบหน้าคนทั้งสองอยู่ใกล้กันมากจึงไม่เป็นผล  "เพราะฉันยอมทำแบบนี้กับนายแค่คนเดียว"

     

     

     

        ตึกตัก ตึกตัก

     

     

        โอ้..

     

     

     

        โอ้...!!

     

     

     

                เหมือนกับมีใครมาตีกลองรัวในอก เสียงระฆังดังก้องกังวานข้างหูช่างไพเราะเพราะพริ้ง สึนะโยชิรู้สึกมีความสุขจนแทบสำลักตาย ใบหน้าคมซบลงกับฝ่ามือตัวเองบดบังใบหน้าที่แดงเถือกไปจนถึงหู เขาหุบยิ้มไม่ได้เลยตอนนี้

     

     

                สารภาพรักเหรอ เคียวยะสารภาพรักเหรอ!!!

     

     

                "ผมอยากมีลูกกับคุณไวๆจัง"

     

                "บอกว่าให้หยุดพุดเรื่องไร้สาระไง"

     

                สึนะโยชิแกล้งทำหูทวนลม ฝ่ามือข้างที่ไม่มีแผลลูบไล้หน้าท้องบางเบาๆเหมือนกับจะมีสิ่งมีชีวิตน้อยๆเกิดขึ้นมาจริงๆ

     

                "ลูกผู้หญิงคงสวยเหมือนแม่ แต่ถ้าเป็นผู้ชาย... ไม่ ไม่เอาผู้ชาย"

     

                เคียวยะได้แต่ฟังอีกฝ่ายพร่ำบ่นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ มันบ้าจนกู่ไม่กลับแล้ว เปลือกตาคู่สวยหลับลงกลิ่นหอมอ่อนๆจากตัวสึนะโยชิทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายเสมอ

     

                ในใจลึกๆตัวเขาเองก็ไม่ได้รำคาญหรือรังเกียจการเข้ามายุ่มย่ามทำตัวเองเป็นเจ้าเข้าเจ้าของแบบนี้ แต่จะบอกว่ากับทุกคนก็เหมือนกันก็ไม่ใช่.. เคียวยะแน่ใจว่ามันไม่ใช่ความรู้สึกหอมหวานอ่อนระทวยอย่างที่ใครเขาเรียกกันว่ารัก มันเรียบง่ายกว่านั้น คล้ายโชคชะชาที่ถูกผูกโยงเข้าด้วยกัน ต่างฝ่ายต่างเติมเต็มซึ่งกันและกัน ไม่ต่างกันเขาเองก็อยากผูกมัดอีกฝ่ายไว้กับตนและประกาศให้คนอื่นๆได้รู้ว่า

     

     

                "นายเป็นหมาของฉันคนเดียวนะ"

     

     

                ทันใดนั้นเสียงบ่นเจื้อยแจ้วไม่หยุดของสึนะโยชิก็เงียบหายราวกับมีใครมากดปิดสวิตซ์เครื่องเล่นเทปฉับพลัน เคียวยะรู้ทันทีว่าตัวเองทำพลาด เขาลืมตาขึ้นช้าๆสบตากับดวงตาสีน้ำตาลหม่นสั่นระริกปิดความต้องการไม่มิด

     

     

     


        แย่ล่ะ...

     

     

        เผลอหลุดปากไปจนได้

     

     

     

                ไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดออกมาแขนแกร่งสอดใต้หลังและข้อพับอุ้มร่างบางที่ดิ้นไปมาด้วยใบหน้าแดงก่ำตรงขึ้นห้องนอนผู้นำตระกูลทันที

     

                "สึนะโยชิ! หยุดนะ อ๊ะ! อ๊า..."

     

     

                ดูท่าว่าบทรักวันนี้คงอีกยาวไกล.....

     

     

     

     

     

     

     

         สี่ชั่วโมงผ่านไป

     

     

                น้ำชาถูกดื่มจนหมดอีกครั้งเป็นแก้วที่สิบ ยามาโมโตะหัวเราะแก้เก้อ หยาดน้ำตาซึมออกจากหางตาภายใต้ใบหน้ายิ้มแย้ม  "ฮิบาริ ยังไม่มาอีกเหรอ" 




     

     

     

     

    Talk With FONG(Writer)

     

        จะ.. จบแล้วค่า แชปนี้ยาวสุดเท่าที่เคยทำมาเลย เป็นตอนพิเศษสำหรับขอบคุณยอดเฟบเกินหนึ่งร้อยค่ะ ไม่คิดเลยว่าจะมีคนชอบงานดาร์กของตัวเองขนาดนี้  *หัวเราะ*

         ที่จริงฉันตั้งใจว่าจะแต่งแค่ประมาณสิบถึงสิบห้าหน้าแต่ดันกลายเป็นว่าไม่รู้จะจบยังไงดี สุดท้ายก็เลยเปิดฉากให้ทั้งคู่ปรับความเข้าใจกันแล้วก็ตัดจบแบบดื้อๆเลยเพราะมันเป็นตอนพิเศษนี่เนอะคงไม่น่าแปลกเท่าไหร่

         ที่มันเป็นตอนพิเศษก็เพราะสึนะโยชิได้รุกนั่นเอง...  

     

     

    มีใครสนใจนั่งดื่มน้ำชาเป็นเพื่อนยามาโมโตะไหมคะ?

     

     

     

     ด้วยรัก


    ฟง จิ้งจอกสีชาด

    T
    B
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×