paween
ดู Blog ทั้งหมด

ทำความเข้าใจ และเตรียมพร้อมสำหรับปลายยุค 2G สู่ 3G/4G กันเถอะ

เขียนโดย paween
ทำความเข้าใจ และเตรียมพร้อมสำหรับปลายยุค 2G สู่ 3G/4G กันเถอะ

เนื้อหานี้จะลงไว้ 3 ที่คือ
1. เว็บบอร์ด pantip.com
2. ที่ bloggang ของผมเอง
3. ที่ My.id ของผมที่เว็บ Dek-d

จุดประสงค์ที่มาเขียนบทความนี้ เพราะผมเห็นว่ายังมีคนอีกมาก ที่กลัวว่าพอไม่มี 2G แล้วจะโทรศัพท์หากันไม่ได้ เพราะเข้าใจว่า 3G ต้องใช้แค่ internet อย่างเดียว (สังเกตุเอาจากในเว็บ pantip กับคนรอบตัวนี่แหละ)

สิ่งที่จะเขียนถึง และไม่เขียนถึงในบทความนี้ครับ

เขียน
-การเข้าใจเทคโนโลยี 2G, 3G, 4G เอาแบบภาษาชาวบ้าน
-การเข้าใจเรื่องคลื่นและเทคโนโลยี
-การใช้งาน อุปกรณ์ที่ใช้งานได้
-ลักษณะการใช้งาน และแนวทางที่จะใช้งานได้
-เปรียบเทียบการใช้งานกับอินเตอร์เน็ตตามบ้าน และลักษณะการใช้งาน

ไม่เขียน
-พื้นที่ครอบคลุมของแต่ละเครือข่าย
-ราคาแพ๊คเกจ และการเลือกแพ๊คเกจ



-การเข้าใจเทคโนโลยี 2G, 3G, 4G เอาแบบภาษาชาวบ้าน
จะพยายามไม่ลงรายละเอียดด้วยคำศัพท์เฉพาะนะครับ
โดยภาพรวมแบบภาษาชาวบ้านเลย เทคโนโลยี 2G, 3G, 4G ชื่อเฉพาะที่เกี่ยวข้องแบบรวมๆก็จะมี
2G => เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง GSM, GPRS(G), EDGE(E)
3G => เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง WCDMA, HSPA(H), HSPA+(H+)
4G => เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง LTE, LTE-A
เอาเฉพาะเทคโนโลยีในฝั่ง GSM ที่ใช้กันในประเทศไทยนะครับ ไม่พูดถึงฝั่ง CDMA ที่เลิกใช้งานในไทยไปแล้ว

สิ่งที่เหมือนกันทั้ง 2G, 3G, 4G คือ ทั้งสามเทคโนโลยี สามารถใช้งาน Internet ได้เหมือนกัน พูดภาษาชาวบ้านคือ คุณใช้มันเปิด facebook เล่น line อ่านเว็บได้เหมือนกัน แต่ความเว็วในการเข้าถึงข้อมูลต่างกัน 2G ช้าที่

สุด และเร็วที่สุดคือ 4G

สิ่งที่แตกต่างกันระหว่าง 2G, 3G, 4G คือการใช้งานโทรศัพท์หากัน
2G และ 3G การใช้งานเสียงหรือ voice หรือภาษาชาวบ้านคือ การกดโทรออก ทำงานเหมือนกัน โดยการทำงาน voice หรือเสียงบน 2G/3G ไม่เกี่ยวข้องกับ Data หรือการเล่น Internet ถ้าคุณกดปิดการทำงาน

Mobile Data บนมือถือคุณแล้วคุณยังสามารถโทรออกไปหาเครื่องอื่นได้ปกติทั้ง 2G และ 3G นั้นหมายความว่า ถึงแม้คุณจะใช้งาน 3G ก็ไม่จำเป็นต้องใช้งาน Internet ก็ได้ ใช้งานมันเป็นโทรศัพท์อย่างเดียวก็ได้

4G พื้นฐานการใช้งานของเทคโนโลยีนี้อยู่บน Data หรือก็คือต้องการ Internet รวมทั้งการโทรออกด้วย ดังนั้นหากไม่มีการใช้งาน Internet แล้ว 4G ก็คือที่ทับกระดาษดีดีนี่เอง แต่โทรศัพท์ 4G ที่สามารถโทรออกบนเทคโนโลยี

4G ได้ เรียกว่า VoLTE ตอนนี้ยังมีอุปกรณ์ไม่มากที่ใช้งานส่วนนี้ได้ ดังนั้นอุปกรณ์มือถือโดยส่วนใหญ่ ถึงคุณจะใช้ 4G อยู่ เมื่อคุณกดโทรออกหรือมีสายโทรเข้ามา ตัวมือถือจะกระโดดกลับมาจับสัญญาณ 2G หรือ 3G ตามแต่เครือข่ายที่

คุณใช้งาน และการตั้งค่าของคุณ เช่นทุกวันนี้ผมใช้ AIS ตั้งค่าให้เครื่องรับสัญญาณแค่ 3G กับ 4G เวลาผมใช้โทรศัพท์โทรออกหรือรับเข้า ตัวมือถือจะกลับมาอยู๋บนระบบ 3G)


-การเข้าใจเรื่องคลื่นและเทคโนโลยี
ขอย้อนไปถึงการประมูลที่ผ่านและการประมูลคลื่น 2100 เล็กน้อย และทำความเข้าใจกันนิด
ตั้งแต่การประมูลคลื่น 2100 หรือที่เรียกกันว่าการประมูล 3G อันที่จริงแล้ว เป็นการประมูลเอาคลื่นความถี่ รวมถึงการประมูลคลื่น 1800 และ 900 ครั้งที่ผ่านมา หรือที่เรียกกันว่าประมูล 4G ถ้าไปอ่านในเอกสารการประมูลแล้ว การประมูลทั้ง 3 ครั้ง

คือการประมูลเอาสิทธิ์ในการใช้งานคลื่น โดยสิ่งที่แตกต่างกันในสามครั้งคือ (อธิบายจากความจำนะครับ ถ้าตรงไหนผิดเตือนกันด้วย)

ประมูลคลื่น 2100 (ภาษาชาวบ้าน ประมูล 3G) คือให้เอาคลื่น 2100 ไปให้บริการ โดยต้องใช้กับเทคโนโลยีขั้นต่ำคือเทคโนโลยี 3G ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม True จึงเปิด 4G มาเป็นปี

ประมูลคลื่น 1800/900 (ภาษาชาวบ้าน ประมูล 4G) คือให้เอาคลื่น 1800/900 ไปให้บริการ เท่าที่หาเอกสารจากเว็บ กสทช ครั้งนี้ไม่ได้ระบุเทคโนโลยีที่ใช้งาน แต่บอกว่าต้องใช้กับการสื่อสารโทรคมนาคม ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะเอาไปใช้กับ 2G

โดยทั้ง 3 คลื่นที่กล่าวมา ถ้าสมมุติวันนี้เกิดเทคโนโลยี 6G ขึ้นมา ณ วินาทีเลย ผู้ให้บริการที่ได้ใบอนุญาตไป จะทำ 6G เลยก็ได้ โดยไม่ต้องรอประมูลครั้งต่อๆไป

สรุปโดยรวมคือ คลื่นทั้ง 900, 1800, 2100 ในทางทฤษฏีแล้ว สามารถนำไปใช้กับเทคโนโลยีอะไรก็ได้ ที่ตัวส่งสัญญาณและตัวรับสัญญาณมีให้ใช้ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่คลื่น 900 ต้องทำ 2G เพราะ AIS ก็เคยเอาคลื่น 900 มาทำ 3G แล้ว

ดังนั้น หากสมมุติว่า คนที่ได้คลื่น 900 ไป แล้วเอาไปทำ 3G โดยลงเสาส่งสัญญาณได้เท่ากับที่ AIS เคยทำไว้กับ 2G คลื่น 900 พื้นที่ครอบคลุมก็ใกล้เคียงกัน (จริงๆคือไม่เท่ากันหรอก แต่เอาภาพง่ายๆคือก็ใกล้เคียงกัน)


-การใช้งาน อุปกรณ์ที่ใช้งานได้
อุปกรณ์ที่ใช้งานได้ ก็คือ ก็คืออุปกรณ์ที่ใช้งานได้ (คนอ่านมองค้อนแปล๊บ)
ก็คืออุปกรณ์ที่สามารถรับสัญญาณบนเทคโนโลยีนั้นๆได้ เพราะฉะนั้นลืมรูปร่างไปเลยครับ คิดถึงกล่องสี่เหลี่ยม ที่สามารถรับสัญญาณ 2G, 3G, 4G ได้ ดังนั้นรูปลักษณ์ภายนอกกับความสามารถอื่นๆมันแค่ส่วนเสริมในการเพิ่มมูลค่า

ถ้าต้องการแค่เพียงกดรับสายกับโทรออกเท่านั้น โทรศัพท์ที่ใช้เทคโนโลยี 3G แต่เป็นแค่ปุ่มกดธรรมดาก็มีครับ มือถือแบบ 3G ไม่จำเป็นจะต้องเป็นจอสัมผัสหรือสมาร์ทโฟนครับ เพียงแค่หาซื้อยากหน่อย เพราะภาพรวมตลาดไปทางสมาร์ทโฟน

มากกว่า แต่ถามว่าถ้าจะหาซื้อก็ไม่ได้หายากขนาดนั้น แค่ว่าคนส่วนใหญ่โดนมือถือจอสัมผัสและสมาร์ทโฟนบังไปหมดแล้ว


-ลักษณะการใช้งาน และแนวทางที่จะใช้งานได้
ไม่พูดถึงการรับสายและโทรออกนะครับ อันนั้นมันพื้นฐานของโทรศัพท์อยู่แล้ว ยิ่งถ้าแค่ใช้แบบปุ่มกดแล้ว(ต่อให้เป็นเครื่อง 3G) ก็นึกไม่ออกว่าจะใช้อะไรได้อีก นอกจาก MMS
ภาพรวมขนาดใหญ่ก็คือการส่งข้อมูล ข้อมูลในที่นี้เป็นได้ทั้ง ภาพ ตัวอักษร เสียง หรืออื่นๆเท่าที่คุณนึกออก และนักพัฒนาสามารถเขียนโปรแกรมหรือที่เรียกกันติดปากว่าแอ๊ฟ (aplication, app)

ตัวอย่างการใช้งาน
1. นั่งอยู่ริมทะเล กำลังพักร้อน แต่เจ้านายโทรมาบอกว่า ขอเอกสารด่วน (T-T กรูพักร้อนอยู่) ก็ควักมือถือขึ้น ปล่อย wifi ให้เครื่องโน๊ตบุ๊ค (อุ๊ยลืมโน๊ตบุ๊คไว้ที่ห้องพัก วิ่งไปเอาแป๊บ) แล้วส่งเอกสารให้หัวหน้าเลย
2. กำลังดื่มด่ำธรรมชาติอยู่บนเขา แล้วเสียงเมล์เข้ามา ควักมือถือขึ้นมาดู ว้าว! ลูกค้าตกลงเซ็นใบสั่งซื้อแล้ว สมมุติลูกค้าอยู่อัฟกานิสถาน เราก็ส่งเอกสารต่อไปให้ office เตรียมทำเรื่องส่งของไปให้ลูกค้าได้เลย (ลูกค้ามันสั่งซื้อไรหว่า)
3. กำลังนอนเบื่อๆ นั่งเผ่าลูกเล่นน้ำที่ส่วนน้ำ ไม่มีคนเมาท์มอย แล้วอยู๋ๆเพื่อนก็ส่ง Link เข้าเว็บมาให้ เป็นเรื่องของชาวบ้านให้เราเข้าไปเผือก (แน่ใจว่าหัวข้อนี้มีประโยชน์)
4. ไปนั่งดูแลระบบให้ลูกค้า แต่งานกองอยู่ที่ server ที่บริษัทอะ (T-T ลูกค้าไม่ยอมให้ใช้เน็ตร่วมด้วย) ทางเลือกตอนนั้น ถ้าไม่มี 3G/4G คงไม่มีงานส่งหัวหน้าแน่นอนละครับ


-เปรียบเทียบการใช้งานกับอินเตอร์เน็ตตามบ้าน และลักษณะการใช้งาน
เทคโนโลยีตั้งแต่ 0G (มีด้วยเหรอ?) 1G, 2G, 3G, 4G ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานภายนอก ใช้งานขณะมีการเคลื่อนที่ หรือพื้นที่ห่างไกล โดยเทคโนโลยีพวกนี้อาศัยคลื่นความถี่ในธรรมชาติ ซึ่งเป็นของที่มีจำกัด และไม่สามารถหาเพิ่มได้

ในช่วงความถี่เดียวกัน ดังนั้นเมื่อผู้ใช้งานมากจนถึงจุดหนึ่ง จะไม่สามารถขยายการใช้งานได้ จำเป็นต้องให้ผู้ใช้งาน ไปวิ่งรับส่งข้อมูลบนคลื่นความถี่อื่นๆ แต่จะเป็นความถี่ไหน ก็ต้องเป็นความถี่ที่มีอุปกรณ์รองรับ
และด้วยที่ตัวกลางในการรับส่งสัญญาณมีปริมาณจำกัด สุดท้ายจึงต้องจำกัดการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็น
วิ่งช้าๆ แต่วิ่งได้ตลอด (เน็ตช้า, วิ่งที่ความเร็วเท่าเดิมตลอด, ไม่จำกัดปริมาณ, No FUP เพราะใช้ไม่จำกัด)
วิ่งเร็วๆ แต่จำกัดระยะทาง (เน็ตเร็ว, วิ่งที่ความเร็วเท่าเดิมตลอดปริมาณที่ใช้ได้, จำกัดปริมาณ, No FUP เพราะหมดคือหมด จ่ายเงินเพิ่ม)
วิ่งเร็วๆ แต่พอถึงระยะที่กำหนด โดนกำหนดความเร็ว (เน็ตเร็วตามปริมาณที่ได้, วิ่งที่ความเร็วเท่าเดิมตลอดปริมาณที่ตกลงไว้, ไม่จำกัดปริมาณ, FUP เมื่อครบตามปริมาณการใช้ที่ตกลง ความเร็วตก)

ในขณะที่การใช้งาน internet ตามบ้าน ไม่ว่าจะเป็น Dial Up, ADSL, FTTx, Docsis หรืออะไรทั้งหลายแหล่ ที่เป็นการลากสายสัญญาณมาหาคุณที่บ้าน มันเป็นเทคโนโลยี ที่ไม่ได้โดนจำกัดกับทรัพยากรณ์ที่มีจำกัด

ทันทีที่ผู้ให้บริการเห็นว่าสัญญาณไม่เพียงก็ลากสายเพิ่มได้เลย ไม่ได้ไปยุ่งอะไรกับคลื่นต่างๆในอากาศ แต่ถ้าผู้ให้บริการเห็นว่า ลากสายไม่คุ้ม อันนี้ก็ไม่รู็ว่าจะเอาอะไรไปบี้ให้เขาเอาสายมาลาก
ดังนั้น internet แบบนี้จะเป็นแบบใช้ไปเถอะไม่มีกำหนดปริมาณ แต่เรามาตกลงความเร็วในการใช้งานกันดีกว่า การใช้งานแบบนี้จะเหมาะกับญาติผู้ใหญ่ที่อยู่ที่บ้าน หรือผู้ที่อยู่บ้านเป็นส่วนใหญ่ คุณไม่ต้องมาเสียอารมณ์กับการที่ใช้เน็ตได้

จำกัดปริมาณ ว่าเน็ตจะหมด หรือเดี๋ยวมันจะช้า (แต่ถ้าใช้งานกันเยอะๆ มันก็ช้าได้นะ)

ดังนั้นในหัวข้อนี้ถ้าจะให้สรุปก็คือ
=> ถ้าคุณใช้ชีวิตนอกมากกว่า เทคโนโลยีไร้สายอย่าง 2G, 3G, 4G คือตัวเลือก
=> ถ้าคุณใช้ชีวิตในบ้านมากกว่า เทคโนโลยีมีสายแบบลากมาหาที่บ้านคือตัวเลือก เพราะมันจำกัดการใช้งาน ใช้ไปเลยทีเดียวทั้งเดือน แล้วมาเหมาจ่ายกันสิ้นเดือน


เรื่องที่ไม่เขียน
-พื้นที่ครอบคลุมของแต่ละเครือข่าย
-ราคาแพ๊คเกจ และการเลือกแพ๊คเกจ
ก็ไม่เขียนครับ

ความคิดเห็น

ยังไม่มีความคิดเห็น