pen-ny
ดู Blog ทั้งหมด

รสายนเวท (Alchemy : วิชาประสมแร่แปรธาตุ)

เขียนโดย pen-ny

รสายนเวท (Alchemy : วิชาประสมแร่แปรธาตุ)

รสายนเวทเป็นหนึ่งในหลายสาขาของเวทมนต์ซึ่งเริ่มมีขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 23 (ประมาณ 500 ปีก่อนคริสต์ราชช่วงราชวงศ์ที่ 26-27 ของอียิปต์โบราณ ) สมัยโรซีครูเชียน (Rosicrucian :โรซีครูเชียน คือ กลุ่มคนชาวอียิปต์โบราณที่อ้างว่าเข้าใจพลังอำนาจของเอกภพ) พลังลึกลับที่เปลี่ยนเหล็กธรรมดาให้เป็นทองได้ยังรวมไปถึงการทำยาอายุวัฒนะ หรือที่คนจีนเรียกว่า ตัน (Tan) ซึ่งกินแล้วช่วยให้เป็นหนุ่มสาวตลอดกาลอายุยืนหมื่นปีหรือเป็นอมตะและการสร้างมนุษย์สังเคราะห์ในหลอดแก้วโฮมูนคูลัส (Homunculus) ด้วย

ว่ากันว่าศาสตร์แขนงนี้ได้รับการสั่งสอนถ่ายทอดมาจาก เทพเจ้าอียิปต์โบราณที่มีนามว่า ธอธ (Thoth) ซึ่งเป็นเทพผู้สร้างวิทยาศาสตร์ ชาวกรีกกับชาวโรมัน เรียกเทพองค์เดียวกันนี้ว่า เฮอร์เมส (Hermes) ถือกันว่าเป็นเทพประจำอาชีพหลายอาชีพ

 

การค้นคว้าหาสูตรที่จะเปลี่ยนแร่ธาตุต่าง ๆ ให้กลายเป็นทองนั้นส่วนใหญ่จะถูกมองว่าเป็นเพราะความโลภมากกว่าความต้องการที่จะค้นหาสัจธรรมให้กับชีวิต ภาพของนักรสายนเวทในวรรณคดีและศิลปะ คือ นักวิทยาศาสตร์ยุคต้น ๆ ที่นั่งอยู่หน้าเตาไฟที่ร้อนระอุ พยายามทุกวิถีทางที่จะหลอมแร่ธาตุและแปรให้เป็นทอง โดยแท้จริงแล้วความตั้งใจจริงของรสายนเวทไม่ได้เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ทางเคมีใด ๆ แต่เป็นความต้องการจะค้นหาสัจธรรมและความบริสุทธิ์ของมนุษย์ซึ่งประกอบด้วย ปรัชญา ศีลธรรม และจิตวิญญาณ

 

นักรสายนเวทไม่ได้ต้องการค้นหาเวทมนต์ใด ๆ แต่ต้องการค้นหาคำตอบของเอกภพ ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากและลึกลับสำหรับมนุษย์

ที่รสายนเวทมีความเกี่ยวพันกับทอง เนื่องจากทองเป็นสัญลักษณ์แห่งความบริสุทธิ์ มีความทนทานต่อปฏิกิริยาต่าง ๆ ซึ่งทำให้ทองไม่หมองคล้ำและไม่ถูกกัดกร่อน นอกจากคุณสมบัติเฉพาะตัวแล้ว ทองยังเป็นอุปมาของความงาม ความบริสุทธิ์ และความอดทน ทองจึงเป็นตัวแทนของสิ่งที่นักรสายนเวทค้นหา

สิ่งใดที่ทำให้แร่ธาตุเปลี่ยนสภาพเป็นทองได้เร็วเท่าไรก็จะมีอำนาจต่อมนุษย์มากตามไปด้วยพิธีกรรมที่ประกอบขึ้นเป็นเพียงการแสดงประกอบการค้นหาสัจธรรมโดยใช้ทองเป็นตัวแทน

 

ประวัติรสายนเวทมีมากว่า 2,000 ปี ในแถบตะวันตก ตะวันออก และแถบประเทศอาหรับ จึงถือว่ารสายนเวทเป็นความเชื่อและพิธีกรรมที่มีอายุยาวนานที่สุด อาจจะเป็นเพราะว่าวัตถุที่นำมาประกอบพิธีคือทองนั้นเป็นที่หมายปองของมนุษย์ทุกสมัย

ความไม่ซื่อสัตย์และการหลอกลวงย่อมมีขึ้นแน่นอน แต่จุดมุ่งหมายหลักของรสายนเวทก็ยังคงอยู่ที่ความสมบูรณ์เป็นเลิศที่แทนด้วยวัตถุที่เป็นเลิศอย่างทองและหมายถึง จิตวิญญาณที่บริสุทธิ์ผุดผ่องของมนุษย์

รสายนเวทนี้มีขึ้นก่อนคริสตกาลทั้งในจีนและยุโรปตะวันออก เริ่มต้นเมื่อประเพณีของอียิปต์โบราณและกรีกถูกนำมารวมกันเพื่อค้นหากุญแจสู่เอกภพ ต่อมา 500 ปี รสายนเวทในยุโรปก็เสื่อมลงแต่กลับไปเจริญในแถบอาหรับและตะวันออกแทน และกลับมารุ่งเรืองอีกครั้งในยุโรปในพุทธศตวรรษที่17 ซึ่งได้รับการพัฒนาขึ้นกว่าเดิม จนการศึกษาค้นคว้าแตกแขนงออกไปเป็นศาสตร์หลายแขนง เช่น ปรัชญา วิทยาศาสตร์ การแพทย์ ไสยศาสตร์ โหราศาสตร์ และคณิตศาสตร์ เป็นต้น

 

นักรสายนเวทแต่ละคนต่างต่างสมัยต่างก็มีวิธีของตนที่จะค้นคว้าหาคำตอบของตนเอง จึงทำให้ไม่มีวิธีที่ซ้ำกันเลย แม้จะมีความแตกต่างในกลวิธี ใจความสำคัญ 3 ประการ ก็ยังคงเหมือนกัน

ประการแรก เน้นการศึกษาในวัตถุแร่ ศึกษาในรูปธรรมของวัตถุในห้องทดลองและการทดลอง

ประการที่ 2 คือ ความเข้าใจในความสำคัญของการบำบัดรักษาโดยใช้สมุนไพรและสารเคมีต่าง ๆ ให้เป็นยาที่มีประโยชน์ใช้รักษาได้

ประการที่ 3 เกี่ยวข้องกับปรัชญาและความลึกลับของมนุษย์ค้นหาแสงสว่างแห่งสัจธรรมเกี่ยวกับชีวิตและหน้าที่ของมนุษย์ต่อเอกภาพ

ทุกสาขาของรสายนเวทจะประกอบด้วยใจความสำคัญทั้ง 3 นี้ จะต่างกันก็ตรงที่การเน้นความสำคัญของแต่ละใจความ

 

สูตรลับในรสายนเวทนั้นมีที่มาแตกต่างกันไปแต่ละบุคคล สูตรลับนี้เรียกกันโดยทั่วไปว่าเป็นของขวัญของพระเจ้า ซึ่งแต่ละสูตรอาจได้มาจากความฝัน, นิมิตหรือจากวิญญาณ เนื่องจากนักรสายนเวทมักทำงานคนเดียวและไม่มีครูสอน การค้นพบสูตรจึงต้องเป็นไปตามวิธีที่กล่าวมาผนวกกับแรงบันดาลใจ ซึ่งบางคนอาจได้ผลลัพธ์เช่น

นักรสายนเวทอาจเชื่อว่าทุกสรรพสิ่งในจักรวาลนี้ล้วนมีมวลสารอันเป็นแก่นแท้ของตัวมันเองเป็นส่วนประกอบมากน้อยแตกต่างกันไป มวลสารนี้เรียกว่า พรีมาแมทีเรีย (Prima Materia) ซึ่ง (ในตำราแนะให้เรียกมันว่า) "แก่นมวลสาร" เช่น ปรอท นักรสายนเวทจะเอาปรอทธรรมดามาแยกหรือ "ไล่" ธาตุลม ธาตุดิน และธาตุน้ำออกไปให้หมด ส่วนที่เหลือก็จะเป็นแก่นมวลสาร เข้าใจว่าแร่หรือโลหะอื่นพอไล่ธาตุพวกนี้ออกแล้วก็จะได้แก่นมวลสาร เหมือนกันหมดแต่ได้มากน้อยแตกต่างกันไปเท่านั้น

แก่นมวลสารนี่เองที่จะนำมาเปลี่ยนเป็นทองคำ แต่จะต้องเอามาผสมกับหินฟิโลโซเฟอร์ (Philosopher's stone : หินแห่งนักปราชญ์ หรือ "จินดามณี" ซึ่งได้จากการเอากำมะถันมาไล่ส่วนประกอบอื่นออกให้หมดจนเหลือเนื้อแท้ของมัน ซึ่งมีอยู่ 2 ชนิด คือชนิดสีขาวกับชนิดสีเหลือง จินดามณีขาวเมื่อผสมกับแก่นมวลสารแล้วจะกลายเป็นเงินบริสุทธิ์ ส่วนจินดามณีสีเหลืองจะเปลี่ยนแก่นมวลสารเป็นทองคำ)

 

กรรมวิธีต่าง ๆ มีขั้นตอนสลับซับซ้อนมาก องค์ประกอบที่ถือเป็นหัวใจของการผลิตคือ "ไฟ" การหุงแร่ให้ได้แก่นมวลสารและจินดามณี ต้องใช้ไฟที่มีความร้อนสูงมาก การจะวัดอุณหภูมิของไฟ ซึ่งสมัยก่อนยังไม่มีเครื่องวัดอุณหภูมิ นักรสายนเวทจึงนิยมใช้ "ตุ๊กแกไฟ" (Salamander) เป็นที่สังเกต ถ้าซาลามันเดอร์ลงไปเกลือกกลิ้งในกองไฟเมื่อไหร่แสดงว่าไฟร้อนได้ที่ แต่ซาลามันเดอร์ต้องไปจับมาจากปล่องภูเขาไฟและจะเจอตัวมันเฉพาะตอนภูเขาไฟกำลังระเบิดพ่นหินลาวาออกมา พวกมันก็จะออกมาดำผุดดำว่ายอยู่ในธารลาวา ถ้าจะจับมันจึงต้องสวมใส่เสื้อผ้าที่ทำจาก “หนังของตุ๊กแกไฟ” อีกด้วย

ส่วน “ยาอายุวัฒนะ” ทำยากกว่าทำจินดามณีอีกเพราะตัวยาต้องประกอบด้วยธาตุหลักครบทั้ง 4 คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ เอามาผสมกับตัวยาที่ได้จากสัตว์ พืช และที่ขาดไม่ได้คือแก่นมวลสาร ฉะนั้นถ้าจะทำยาอายุวัฒนะก็ต้องรู้วิธีเปลี่ยนโลหะพื้น ๆ ให้เป็นทองคำซะก่อน

 

นักรสายนเวทบางคนเชื่อว่า  หินแห่งนักปราชญ์ (Philosopher's stone) นั้นไม่จำเป็นต้องเป็นหิน แต่เป็นอะไรก็ได้ที่สามารถเปลี่ยนวัตถุธรรมดาให้เป็นสิ่งที่มีความเป็นเลิศในทางวัตถุก็คือทอง หรือเปลี่ยนในด้านอื่นๆ ซึ่งอาจจะหมายถึงสัจธรรม, ความเป็นอมตะ หรือสิ่งใดก็ได้ที่สามารถทำให้ความเจ็บป่วยหายไป ทำให้สงครามสงบสิ้นลง มันก็คือสิ่งที่ทุกคนต้องการเป็นน้ำทิพย์แห่งชีวิต

นักรสายนเวทต่างทุ่มเทชีวิตเพื่อค้นหาศิลาแห่งปราชญ์นี้ บ้างประสบความสำเร็จ บ้างก็ผิดหวัง การค้นคว้าเกิดขึ้นในห้องทดลองพร้อมกับในจิตใจของนักรสายนเวท กลวิธีทางจิตของพวกเขาทำให้เรานึกถึงพวกหมอผีที่ใช้วิญญาณเป็นเครื่องนำทางผ่านความฝันและนิมิตต่าง ๆ หรือใช้การนั่งสมาธิเพื่อค้นหาสัจธรรม

รสายนเวทเริ่มต้นด้วยการเตรียมแร่ธาตุที่จะนำมาแปร จากนั้นก็เข้าสู่กรรมวิธีที่แตกต่างในการหล่อหลอมธาตุด้วยส่วนประกอบ 3 อย่าง คือ เกลือ, ปรอทและกัมมะถัน เมื่อส่วนประกอบทุกอย่างถูกใส่ลงไปและหลอมรวมกันแล้วก็จะได้ธาตุประกอบชนิดใหม่ที่เป็นตัวแทนของความแข็งแกร่งของจิต

นักวิทยาศาสตร์เน้นที่วัตถุประสงค์ของการทดลอง แต่นักรสายนเวทจะเน้นแค่การที่ตัวเองได้เข้าไปมีส่วนร่วมในขั้นตอนการทดลองนั้นและได้มีการเปลี่ยนแปลงทางจิตและทำสมาธิพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของแร่ธาตุที่ถูกหลอมและการเอาใจใส่กับทุกขั้นตอน
 
นักรสายนเวท มาจากหลายชนชั้นและหลายประเภท ตั้งแต่คนชั่วร้ายที่มีแต่ความโลภ จนถึงผู้ที่มีความตั้งใจจริงและทุ่มเทให้กับมันจนสิ้นเนื้อประดาตัว นักรสายนเวทผู้ทุ่มเทจะใช้เวลาทุกนาทีที่เขาตื่นไปกับงานที่เขาทำอยู่ ปริมาณของวัตถุแร่และเชื้อเพลิงที่ใช้ในการเผาไหม้หลอมละลายธาตุก็มากตามเวลาที่ทุ่มให้ บางคนโชคดีได้รับการสนับสนุนจากผู้มีทุนทรัพย์ ซึ่งก็มักหวังจะถอนทุนคืนเมื่อการทดลองสำเร็จ ความล้มเหลวอาจหมายถึงความตายได้เพราะนายทุนย่อมไม่ยอมเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์เป็นแน่ ตัวอย่างเช่น ในสมัยจักรพรรดิ รูดอล์ฟ (Rudolph) แห่งโรมัน ในพุทธศตวรรษที่ 14 มีการทุ่มเทสร้างห้องทดลองรสายนเวทอย่างจริงจัง พระองค์ทรงสร้างชุมชนสำหรับนักรสายนเวทอาศัยอยู่รวมกันและทำงานทดลอง

หนทางการเป็นนักรสายนเวทที่ประสบความสำเร็จนั้นยากลำบากมาก ต้องทุ่มเททั้งพลังสติ ปัญญา จิต
วิญญาณ เวลาและที่สำคัญคือกำลังทรัพย์

 

ที่น่าแปลกใจ คือรสายนเวท ไม่ได้เป็นที่ขัดขวางขององค์กรทางศาสนาตลอดระยะเวลา 2,000 ปีที่มีมันอยู่ แต่ก็ใช่ว่าจะราบรื่น การต่อต้านก็มีบ้างแต่เป็นการต่อต้านผู้ที่หลอกลวงเพียงเพื่อหวังลาภยศชื่อเสียงเท่านั้น

นักรสายนเวทหลายคนเป็นนักบวชในศาสนาด้วย โบสถ์ในยุคกลางหลายแห่งมีสัญลักษณ์ของรสายนเวทเป็นสัญลักษณ์ประจำโบสถ์อย่างที่โบสถ์แห่งนอร์ทเตอร์ดาม (Notre Dame) ในปารีสที่มีประตูบานใหญ่ที่สลักด้วยสัญลักษณ์ของรสายนเวทอย่างสวยงาม

นักรสายนเวทหลายคนเชื่อว่าสูตรลับได้ถูกเปิดเผยในอดีตและถูกซ่อนไว้ การค้นหาสูตรลับจึงเป็นอีกหน้าที่หนึ่งที่ นักรสายนเวท ต้องทำรสายนเวทเป็นความเชื่อที่มีพิธีกรรมอย่างเปิดเผย แต่สูตรที่ใช้ในรสายนเวทยังคงเป็นความลับที่ต้องค้นหาต่อไปไม่มีอะไรง่ายและเป็นไปอย่างตรงไปตรงมา เอกสารที่มีสูตรเขียนอยู่ไม่ได้เป็นที่เข้าใจสำหรับทุกคน สูตรมีสัญลักษณ์ต่างๆ มากมายที่รู้ความหมายเฉพาะในหมู่นักรสายนเวทเท่านั้น

 

เนื่องจากความลึกลับของสูตรและขั้นตอนของพิธีกรรมทำให้ผู้ปกครองบางสมัยเห็นว่ามันเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของตน เอกสารเกี่ยวกับสูตรลับถูกเผาหมดสิ้นในสมัยจักรพรรดิดิโอเคลเชียน (Diocletian) แห่งโรมันในพุทธศตวรรษที่ 8 พระองค์ห้ามมิให้มีการใช้วิชารสายนเวทในสมัยนั้น

ความระแวงสงสัยทำให้นักรสายนเวทตกอยู่ในอันตรายในบางครั้งและนั่นยิ่งทำให้พวกเขาปิดบังสูตรและพิธีกรรมต่างๆ มากขึ้นมี การสร้างที่ลับเฉพาะเพื่อเก็บสูตรลับและสูตรก็ยังเขียนด้วยรหัสลับอีกชั้นหนึ่งด้วย

ในพุทธศตวรรษที่ 13 นักรสายนเวท ชาวอาหรับชื่อ อาบูมูสา จาบีร์ (Abu Musa Jabir) ได้คิดค้นระบบสัญลักษณ์แทนค่าขึ้นมาและระบบนั้นเองเป็นรากฐานของสมการทางเคมีและยังมีใช้ถึงปัจจุบัน คนทั่วไปไม่สามารถเข้าใจสมการนี้ได้ สัญลักษณ์ต่างๆ ที่ประดิษฐ์ขึ้นได้เป็นส่วนหนึ่งของศาสตร์แห่งรสายนเวทที่รวมไปถึงภาพเขียนและบทเพลงที่เกิดจากพิธีกรรมด้วย

 

รสายนเวทจุดประกายการให้สัญลักษณ์สื่อความหมายต่างๆ ความคิดทำนองนี้ถูกนำไปใช้ในภาพเขียนทางประวัติศาสตร์ต่างๆ ที่เขียนขึ้นโดยมีจุดมุ่งหมายให้ผู้ที่เห็นภาพสามารถแปลภาพออกมาเป็นความหมายแตกต่างกันไปตามจินตนาการที่ไม่มีที่สิ้นสุด

ขั้นตอนของรสายนเวทนั้นเปรียบได้กับขั้นตอนการฝึกฝนด้านจิตวิญญาณ นักรสายนเวทต้องใช้สมาธิและมันสมองในการคิดสูตรลับอย่างมาก ความตั้งใจจริงที่จะบรรลุรสายนเวทเป็นการฝึกจิตให้มีสมาธิแกร่งกล้าเป็นไปในทางเดียวกับ ฤๅษีดัดตนที่ตั้งจิตแน่วแน่ที่จะฝืนกฎธรรมชาติโดยการทรมานตนจนพบทางสว่าง

ทางสว่างของนักรสายนเวทที่เป็นเครื่องพิสูจน์ความสำเร็จ คือ ธาตุที่เปลี่ยนเป็นทอง หลายครั้งในประวัติศาสตร์ที่มีข่าวลือว่า นักรสายนเวทคนนั้นบ้างคนนี้บ้างทำสำเร็จ แต่ก็ไม่ได้มีข้อพิสูจน์จริงจังอะไร ข่าวลือที่เกิดขึ้นมักเป็นสัญลักษณ์ว่า ในสมัยนั้นรสายนเวทได้เป็นที่นิยมและเจริญรุ่งเรืองยิ่ง

 

ข่าวที่น่าเชื่อถือที่สุด คือ เรื่องของแพทย์ชาว ฮอลแลนด์ (Holland) ชื่อ เฮลเวติอุส (Helvetius)ในพุทธศตวรรษที่22 แพทย์ผู้นี้เป็นที่ยกย่องนับถือของผู้คนโดยทั่วไปเนื่องมาจากความมีเหตุผลและหลักการของเขา เฮลเวติอุส เล่าว่า มีคนแปลกหน้ามาหาเขาและบอกเขาว่า รู้สูตรลับ และมี "แม่แร่" อยู่ในครอบครอง เฮลเวติอุส ได้รับตัวอย่างหินมาชิ้นหนึ่งแล้วนำมาทดลองตามสูตรที่คนแปลกหน้าบอกก็ปรากฏสิ่งที่ไม่คาดฝันขึ้น เขาได้เปลี่ยน ตะกั่วให้เป็นทอง ได้ทองจำนวนนั้นได้ผ่านการตรวจสอบและรับรองจากผู้ชำนาญการถลุงแร่ประจำเมืองว่า เป็นทองคำบริสุทธิ์จริง นักวิจารณ์บางคนกล่าวว่าเรื่องของเฮลเวติอุสเป็นเพียงนิทานเปรียบเทียบให้เห็นถึงหลักแท้จริงของวิชา รสายนเวท แต่ก็ไม่สามารถสรุปได้ว่าเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่

เช่นเดียวกับเรื่องลึกลับเรื่องอื่นที่ไม่ได้ถูกลืมหรือเสื่อมสลายเป็นการถาวร รสายนเวทได้พัฒนาและคงอยู่จนถึงปัจจุบัน การพัฒนาที่เห็นได้ชัดเจน อยู่ในปี พ.ศ. 2462 เมื่อนักฟิสิกส์ชาวอังกฤษ ชื่อ ลอร์ด รูเธอร์ฟอร์ด (Lord Rutherford) ได้ประสบความสำเร็จในการแปรไนโตรเจนเป็นออกซิเจน แม้ว่าขั้นตอนจะยากลำบากและยาวนาน ประกอบไปด้วยพลังงานกัมมันตรังสีและอื่น ๆ การพัฒนานี้ได้ล้มล้างนิยามที่ว่า ธาตุไม่สามารถแปลงไปเป็นอีกธาตุหนึ่งได้

และแล้ว วิทยาศาสตร์ก็ได้พัฒนาสิ่งที่นักรสายนเวทเชื่อและยึดถือปฏิบัติมาเป็นพันๆ ปี

 

ปัจจุบันการรวมตัวของอนุภาคที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบทำให้แปรแร่ธาตุอื่นเป็นทองสามารถทำได้ทุกเมื่อเพียงแต่ต้องใช้ทุนทรัพย์สูงเท่านั้นเอง สิ่งที่เคยเป็นเรื่องเหลวไหลในสมัยก่อนกลับเป็นเรื่องที่มีการศึกษาค้นคว้าเป็นอย่างมากในปัจจุบันดังจะเห็นได้จากการแปรอนุภาคของธาตุให้เป็นพลังงานที่สูงสุด คือ พลังงานนิวเคลียร์ 

เรียบเรียง - lilypixel
อ้างอิง – คุณ แอ้มบอร์ดไอยคุปต์, kawako บอร์ดเด็กดี

ความคิดเห็น

ยังไม่มีความคิดเห็น