หนึ่งนาทีที่สายไป - หนึ่งนาทีที่สายไป นิยาย หนึ่งนาทีที่สายไป : Dek-D.com - Writer

    หนึ่งนาทีที่สายไป

    โดย P.K.Z.

    แค่วันนั้น แค่มีความกล้า เท่านั้นเอง...

    ผู้เข้าชมรวม

    209

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    7

    ผู้เข้าชมรวม


    209

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  8 ธ.ค. 58 / 22:32 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    คนเราจะต่างกัน ไม่ใช่เพราะการศึกษา ความสามารถ หรืออำนาจวาสนา แต่สิ่งที่ทำให้คนต่างกันมากมาย คือ "ใจ"
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      หนึ่งนาทีที่สายไป

                 ตกลง ผมให้คุณไปฝึกงานที่เยอรมัน คำพูดนี้มันทำให้ผมอยาก ร้องไห้ ทำไมน่ะหรือ เพราะมันไม่ใช่คำพูดสำหรับผม แต่เป็นคำพูดสำหรับเพื่อนผม องอาจ นายก้าวข้ามผมไปก้าวหนึ่งเสมอ ไม่ว่าผมจะทำอย่างไรมันก็ตามนายไม่ทันสักที

                  เรื่องมีอยู่ว่า.......ผม "มานะ เป็นพนักงานในบริษัทรถยนต์ชื่อดังแห่งหนึ่งในประเทศไทย และมีเพื่อนสนิทอยู่หนึ่งคนชื่อ องอาจ ผมและองอาจเป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยประถม เรียนด้วยกัน เล่นด้วยกัน แถมยังทำงานอยู่ในแผนกเดียวกันอีก คือแผนกออกแบบรถยนต์ พวกเราต่างมีความสามารถด้วยกันทั้งคู่ คุณวรเดช หัวหน้าแผนกของเรา ชื่นชมในตัวผมและองอาจเป็นอย่างมาก แต่ผมรู้สึกเหมือนกับว่าคุณวรเดชจะเห็นความสามารถที่ซ่อนอยู่ในตัวขององอาจมากกว่าตัวผม แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณวรเดชจะไม่สนใจในตัวผมนะครับ เขารักและเอ็นดูผมเช่นกัน เพียงแต่เขามองผมเป็นตัวสำรองขององอาจเสมอ
                   ผมคอยบอกกับตัวเองเสมอว่า ผมคิดมากเกินไป แต่ไม่ว่าคุณวรเดชจะมองผมอย่างไร ผมก็ยังเคารพและเทิดทูนเขาเสมอ นั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับผมครับ เพราะผมยังมีความฝันอันสูงสุดอยู่ นั่นก็คือ การไปฝึกงานที่ประเทศเยอรมนี คุณวรเดชเคยบอกกับพวกเราว่า บริษัทเราจะส่งพนักงานไปฝึกงานที่ต่างประเทศ เพื่อนำความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ ที่ได้รับมาพัฒนาบริษัทแห่งนี้ให้ยิ่งใหญ่ แต่คำพูดต่อจากนี้ของคุณวรเดชเป็นตัวขวางความกล้าของผมเอาไว้

                 “แต่ผมเลิกส่งพนักงานไปฝึกงานแล้ว เพราะไม่เคยมีใครรักษาคำพูดเพื่อกลับมาบริษัทอีกเลย เพราะฉะนั้นพวกคุณอย่ามาคุยเรื่องนี้กับผม ผมรู้สึกว่ามันเป็นคำพูดที่คอยดักหน้าพนักงานเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น ผมหันไปมององอาจที่ยืนอยู่ข้างๆผม แววตาของเขาไม่ต่างไปจากผม เป็นแววตาแห่งความฝันเช่นเดียวกับผม ผมหันไปมองรอบตัว ทุกคนในที่นี้ต่างก็มีแววตาเช่นเดียวกับองอาจ แต่ทุกคนก็กลัว.......เหมือนผม ในระหว่างที่ผมถูกความกลัวครอบงำ ผมไม่รู้เลยว่าข้างๆตัวผม มีคนกำลังถูกความกล้าผลักดันยืนอยู่ คุณวรเดชเป็นหัวหน้าแผนกที่มีความสามารถ ใจดี และเข้าใจพนักงาน ผมอยากรู้จักคุณวรเดชให้มากกว่านี้ จึงคอยหาความรู้ และความคิดใหม่ๆไปให้คุณวรเดชพิจารณาดูเล่นๆเสมอ มีวันหนึ่งผมเข้าไปหาคุณวรเดช เพื่อให้ดูผลงานความคิดอันใหม่ของผม ปรากฏว่าคุณวรเดชชอบและเอ่ยปากชมผมด้วย วันนั้นผมยิ้มแก้มบานทั้งวันเลย แม้แต่องอาจยังสงสัยแต่ผมไม่บอกเขาหรอกครับ ปล่อยให้งงเล่นๆ
                    วันเวลาผ่านไปผมกับคุณวรเดชก็สนิทกันมากขึ้น แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือสายตาที่มองผมกับองอาจ คุณวรเดชยังคงมององอาจสำคัญกว่าผมเสมอ จนถึงวันนั้น วันที่ผมได้รู้จักความเจ็บปวดที่บีบหัวใจผมเหมือนคนตายทั้งเป็น ก่อนหน้านี้องอาจบอกกับผมว่า เขาจะไปขอคุณวรเดชไปฝึกงานที่เมืองนอก ผมตกใจแต่ก็ดีใจมาก เพราะถ้าคุณวรเดชให้องอาจไป ผมก็มีสิทธิครับ ตอนเช้าผมก็หาความรู้แปลกๆไปให้คุณวรเดชดูเล่นอีกเช่นเคย แต่เป้าหมายที่แท้จริงของผมคือ การขอโอกาสไปฝึกงานครับ สุดท้ายผมก้ไม่พูดมันออกไป ผมกลัว...กลัวว่าความสัมพันธ์ที่ดีของคุณวรเดชต่อผมจะเปลี่ยนไป แต่นั่นทำให้ผมเสียใจไปตลอดชีวิต เพราะองอาจเข้าไปขอโอกาสฝึกงาน และที่สำคัญคุณวรเดชตกลง ผมจึงถามว่า
      "ให้องอาจไปคนเดียวหรือครับ” “ใช่ ให้องอาจไปคนเดียว คำตอบของคุณวรเดช ทำให้ผมนิ่งไปครับ มันเหมือนมีมือปีศาจมาขย้ำหัวใจผมเล่น เอามีดมากรีด แล้วราดด้วยน้ำเกลือ มันทั้งเจ็บปวดและทรมาน ความรู้สึกตอนนั้นคือ ผมอยากร้องไห้ครับ
                    ผมเดินออกมาจากห้องหัวหน้าพร้อมกับองอาจ องอาจคอยถามนู่นถามนี่ผม เพื่อให้ผมสบายใจ เพราะองอาจเป็นเพื่อนผม ทำไมถึงจะไม่รู้ว่านั่นคือทุกสิ่งทุกอย่างของผม แต่ผมก็หันไปยิ้มน้อยๆให้องอาจแล้วบอกว่า
      ไม่เป็นไร ผมไม่ได้โกรธองอาจ เขาเป็นเพื่อนรักที่สุดของผม ผมโกรธเขาไม่ลงหรอกครับ คุณวรเดชคือคนที่ผมเคารพและเทิดทูน ผมยิ่งไม่มีทางโกรธเขาเลยครับ แต่ที่ผมโกรธคือ ตัวเอง ผมมีโอกาสที่จะพูดคำที่องอาจพูดกับคุณวรเดชหลายต่อหลายครั้ง แต่ผมก็ไม่กล้า พอรู้ตัวอีกทีมันก็สายไปแล้วครับ ผมไม่สามารถแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว ผมได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า เรายังคงมีโอกาสอื่นๆอีก แต่อย่างว่าแหละครับ คำปลอบใจยังไงก็เป็นคำปลอบใจอยู่วันยันค่ำ มันไม่มีทางเป็นจริงไปได้หรอกครับ
                   วันนั้นผมนั่งรถเมล์กลับบ้านอย่างเช่นเคย แต่สติผมได้หลุดลอยไปในห้วงความคิดแล้วครับ ผมคิดวนไปวนมาอยู่ที่เดิม
      แข่งเรือแข่งพายแข่งได้ แต่แข่งบุญวาสนาแข่งไม่ได้ คำนี้ลอยเข้ามาในหัวของผม ผมคือ มานะ ผู้ซึ่งมีทั้งความมุ่งมั่นและความพยายามสมชื่อ แต่ องอาจ คือผู้ซึ่งประกอบไปด้วยความกล้าหาญ ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ผมไม่มี วันนี้ผมอยากจะร้องไห้ให้น้ำชะล้างความเศร้าออกให้หมด แต่ผมเลือกที่จะไม่ร้อง เพราะผมไม่ใช่เด็กอีกแล้ว น้ำตาไม่ช่วยอะไรให้มันดีขึ้น

        ถ้าหากพระเจ้ามีจริง และมองเห็นผมอยู่ ผมจะขอสิ่งๆเดียวและผมจะไม่อ้อนวอนขออะไรท่านอีกเลย

      ผมขอให้เวลา ช่วยพัดพาเอาความรู้สึกนี้ออกไปจากใจผมด้วยเถิด

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×