คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : Beauty and The Beast: โฉมงามกับราชาอสูร
คุยกันก่อนอ่านนะคะ
สำหรับฟิคตอนใหม่ตอนนี้ขอมอบเป็นของขวัญวันเกิดให้คุณ Death Rabbit และน้องเบลล์นะคะ อาจจะมีช้าบ้างไรบ้าง แต่พิกก็พยายามเร่งสุดฝีมือแล้วนะคะ [พอดีช่วงเน้วุ่น ๆ กะเรื่องอื่นด้วยค่ะ] อ่านแล้วชอบไม่ชอบยังไงอย่าลืมช่วยแชร์ความคิดเห็นด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ ^^
***Chapter 11 Beauty and The Beast: โฉมงามกับราชาอสูร***
แสงทองที่จับขอบฟ้าสาดส่องลอดหน้าต่างของคฤหาสน์หลังงามเข้ามาภายในห้องนอนที่กว้างใหญ่ราวกับห้องบรรทม บนเตียงสี่เสาขนาดใหญ่ใจกลางห้องนั้นมีร่างของหญิงสาวคนหนึ่งกำลังนอนหลับอยู่ตามลำพัง แสงแดดยามเช้าส่องกระทบเรือนผมสีน้ำตาลของเธอทำให้มันเปล่งประกายอย่างงดงาม ใบหน้างามขยับเล็กน้อยเมื่อแสงแดดนั้นเริ่มแยงตาของเธอ
เฮอร์ไมโอนี่ มัลฟอยตื่นขึ้นมาและพบว่าตัวเองอยู่ในสถานที่ไม่รู้สึกคุ้นเคยเลยแม้แต่น้อย หญิงสาวลืมตาขึ้นมองเพดานสีเขียวอ่อนอย่างงุนงง ก่อนจะมองสำรวจรอบ ๆ ห้องพลางนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน แต่ในเวลาไม่นานนักเธอก็จำเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นได้ ทั้งเรื่องงานแต่งงานรวมทั้งเรื่องที่ลูเซียส มัลฟอยทำกับเธอเมื่อคืนนี้ด้วย!
เมื่อจำเหตุการณ์ทั้งหมดได้และรู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนแล้ว เฮอร์ไมโอนี่ก็ลุกพรวดขึ้นจากเตียงทันที และสิ่งที่หญิงสาวรู้สึกต่อมาก็คือความเจ็บปวดที่แล่นผ่านร่างกายจนเธอต้องครางออกมาเบา ๆ แต่ก่อนที่จะได้ค้นพบว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของเธอเอง ประตูบานหนึ่งซึ่งน่าจะเชื่อมต่อกับห้องน้ำก็เปิดขึ้น เผยให้เห็นร่างของชายที่เธอไม่อยากพบมากที่สุด แต่ถึงกระนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่อาจหนีไปจากเขาได้
ลูเซียส มัลฟอยก้าวออกมาจากประตูบานนั้น เขาสวมเสื้อคลุมของพ่อมดแบบเต็มยศ ในมือถือไม้เท้าของเขาไว้ตามปกติ และทันทีที่ร่างใหญ่นั้นก้าวเข้ามาในห้องนอนสายตาของเขาก็มองมายังหญิงสาวที่กำลังนอนอยู่บนเตียง
เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกว่าใบหน้าของเธอร้อนผ่าวขึ้นมาทันทีที่สายตาของนายลูเซียสจ้องมองมาทางเธอ และหญิงสาวก็ยิ่งรู้สึกร้อนวูบวาบมากขึ้นเมื่อพบว่าตัวเองไม่ได้สวมเสื้อผ้าเลยแม้แต่ชิ้นเดียว! และเมื่อเป็นเช่นนั้นเธอจึงรีบดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดบังร่างกายจากสายตาของชายตรงหน้าทันที!
นายลูเซียสยิ้มมุมปากกับท่าทีนั้น พลางเดินเข้ามาหาหญิงสาวที่เตียง และเมื่อเขาทำเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็รีบเขยิบหนีอีกทาง แต่ดูเหมือนชายผมบลอนด์จะไม่สนใจการกระทำที่เปล่าประโยชน์ของหญิงสาวเมื่อเขาพูดขึ้น
“อรุณสวัสดิ์” เขากล่าวด้วยเสียงที่นุ่มนวลราวกับแพรไหม “ฉันเห็นว่าเธอกำลังหลับอยู่ก็เลยไม่อยากปลุก แต่นี่ก็ใกล้เวลาอาหารเช้าแล้ว” นายลูเซียสพูดพลางเหลือบไปมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนัง มันบอกเวลาเจ็ดโมงครึ่ง
“ปกติแล้วอาหารเช้าที่นี่จะเริ่มเวลาแปดโมงตรง ฉันแนะนำให้เธออาบน้ำแต่งตัวเสีย แล้วเราค่อยลงไปพบกันที่ห้องอาหาร” เขาพูดด้วยท่าทีเรียบเฉยราวกับเขาไม่ได้อยู่ต่อหน้าภรรยาที่เพิ่งผ่านพิธีแต่งงานมาแต่อย่างใด
และเมื่อเห็นว่าเฮอร์ไมโอนี่ยังคงนิ่งเงียบ ชายผมบลอนด์จึงเสริมขึ้นว่า
“ฉันจะลงไปรอข้างล่างระหว่างที่เธอแต่งตัวก็แล้วกัน ในห้องแต่งตัวมีเสื้อผ้าที่เธอน่าจะใส่ได้ ถ้าหากขาดเหลืออะไรเธอก็เรียกหาทิสซี่ได้ มันจะคอยดูแลเธอ แล้วเจอกัน” เขาพูดเพียงเท่านั้นก่อนจะหันหลังกลับและเดินออกจากห้องไปโดยที่ไม่หันกลับมามองอีกเลย
เมื่อแน่ใจว่านายลูเซียสออกจากห้องไปแล้ว เฮอร์ไมโอนี่จึงค่อยลุกขึ้นจากเตียงอย่างระมัดระวัง พลางมองหาเสื้อผ้ามาสวมใส่ และเมื่อเธอทำเช่นนั้นสิ่งแรกที่หญิงสาวพบกลับไม่ใช่เสื้อผ้าที่พอจะนำมาปกปิดร่างกายได้ แต่มันกลับเป็นรอยเปื้อนเล็ก ๆ บนผ้าปูที่นอนที่บอกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอเมื่อคืน เรื่องที่ลูเซียส มัลฟอยได้ทำลงไปกับเธอ
เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกว่าขอบตาของเธอร้อนผ่าวขึ้นมาทันที เมื่อได้ค้นพบสิ่งที่มาตอกย้ำว่าเธอไม่ใช่เด็กสาวที่บริสุทธิ์ผุดผ่องคนเดิมอีกต่อไปแล้ว เพราะตอนนี้เธอได้กลายเป็นผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว รวมทั้งเธอได้สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตให้กับปีศาจร้ายอย่างลูเซียส มัลฟอยไปเสียแล้ว!
หลังจากค้นพบความจริงที่น่าโหดร้ายไม่นานนัก ความร้อนผ่าวที่ขอบตาก็เปลี่ยนมาเป็นความเปียกชื้นที่พวงแก้มเมื่อน้ำตาใสไหลรินจากดวงตาคู่สวยอีกครั้ง แต่ครั้งนี้หญิงสาวกลับไม่ปล่อยให้ตัวเองร้องไห้อยู่นานนัก เมื่อเธอยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาของตัวเองอย่างลวก ๆ ก่อนจะเลิกสนใจในสิ่งที่เธอเพิ่งค้นพบซึ่งเธอรู้ดีว่ามันไม่อาจนำประโยชน์ใด ๆ มาให้เธอได้พอ ๆ กับที่การร้องไห้ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย
เมื่อคิดได้เช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่จึงเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าเธอจนหมด ก่อนจะกวาดสายตามองหาเสื้อผ้าอีกครั้ง และเมื่อเธอทำเช่นนั้นหญิงสาวก็พบเสื้อคลุมสำหรับอาบน้ำวางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง เธอรีบหยิบมันมาสวมทันทีก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงและเงยหน้ามองนาฬิกาที่บอกเวลาเจ็ดโมงสามสิบห้านาที นายลูเซียสต้องการให้เธอลงไปทานอาหารกับเขาในเวลาแปดโมงตรง และในตอนนี้ก็เหลือเวลาอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น
และเมื่อรู้ดีว่าตัวเองไม่มีทางอื่นนอกจากจะทำตามที่ชายผมบลอนด์ซึ่งบัดนี้อยู่ในฐานะสามีของเธอต้องการ เฮอร์ไมโอนี่จึงยอมเดินไปที่ห้องน้ำแต่โดยดี
…………………………………………….
เฮอร์ไมโอนี่ใช้เวลาไม่นานนักสำหรับอาบน้ำ แม้ว่าจริง ๆ แล้วหญิงสาวจะต้องการใช้เวลานานกว่านี้เพื่อชำระร่างกายก็ตาม แต่เธอก็รู้ดีว่าถึงเธอจะอาบน้ำสักกี่ร้อยครั้ง มันก็ไม่อาจทำให้เธอกลับมาเป็นเด็กสาวที่บริสุทธิ์ผุดผ่องคนเดิมได้
นอกจากนั้นเฮอร์ไมโอนี่ยังพบปัญหาบางอย่างหลังจากที่อาบน้ำเสร็จและเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าในห้องแต่งตัวเพื่อหาเสื้อผ้าใส่ แน่นอนว่าในตู้เสื้อผ้านั้นมีเสื้อผ้าของผู้หญิงเตรียมไว้แล้วเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นชุดคลุมของแม่มดหลากหลายสีสัน เสื้อคลุมสำหรับใส่ในฤดูหนาว ไปจนถึงรองเท้าผู้หญิง หรือแม้กระทั่งชุดชั้นใน แต่ที่ทำให้หญิงสาวต้องลำบากใจก็คือ เสื้อผ้าสำหรับแม่มดแทบจะทุกตัวที่อยู่ในตู้นั้นเป็นชุดประโปรงยาวที่มีคอปาด ซึ่งมันจะเผยให้เห็นช่วงไหล่และคอของเธอยามสวมใส่ และถ้าเป็นปกติแล้วหญิงสาวก็คงไม่ลำบากใจที่จะใส่มันเท่าไหร่นัก แต่ร่างกายของเธอในตอนนี้ไม่เหมาะแก่การจะใส่ชุดแบบนี้เลยแม้แต่น้อย หรือจะพูดให้ถูกก็คือ เหตุผลที่ทำให้เธอไม่ต้องการจะใส่ชุดที่เปิดช่วงไหล่และคอแบบนี้ก็เพราะรอยจูบจำนวนมากที่นายลูเซียสได้สร้างไว้บนผิวเนื้อของเธอจากการกระทำเมื่อคืนนั่นเอง!
แม้เฮอร์ไมโอนี่จะตกใจมากเมื่อได้เห็นภาพตัวเองในกระจกก่อนที่จะอาบน้ำ เพราะว่าสิ่งที่หญิงสาวเห็นนอกจากภาพใบหน้าซีดเซียวเหมือนคนไม่สบายของตัวเองแล้ว ก็คือรอยจูบจำนวนมากบริเวณลำคอของเธอซึ่งแน่นอนว่ามันเกิดขึ้นจากการกระทำของลูเซียส มัลฟอย สามีของเธอเอง แต่สิ่งที่ทำให้หญิงสาวตกใจไปมากกว่านั้นก็คือ การที่เธอจะต้องใส่ชุดที่เปิดช่วงไหล่ลงไปทานอาหารกับชายผมบลอนด์แบบนี้ แม้ว่าสามีของเธออาจจะไม่รู้สึกแปลกใจกับสิ่งที่เห็นนักก็ตาม แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่ต้องการให้คนอื่นหรือแม้กระทั่งตัวเธอเองได้เห็นร่องรอยนี้บนตัวเธอเลย เพราะมันเป็นร่องรอยที่บ่งบอกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับเธอในคืนแต่งงานของทั้งคู่
และเมื่อเป็นเช่นนั้นหญิงสาวจึงพลิกตู้เสื้อผ้าเพื่อหาเสื้อผ้าแบบอื่นที่เธอพอจะใส่ลงไปทานอาหารได้ แต่เธอกลับไม่พบอะไรนอกจากชุดนอนบางเบา ซึ่งแน่นอนว่าเธอจะไม่มีวันใส่มันเข้านอนเป็นอันขาด กับเสื้อคลุมสำหรับใส่ออกนอกบ้านที่มีขนสัตว์ประดับซึ่งนายมัลฟอยคงต้องคิดว่าเธอบ้าไปแล้วแน่ ๆ ถ้าเธอใส่มันลงไปทานอาหารเช้ากับเขาแบบนี้
และขณะที่กำลังกลุ้มใจกับการหาชุดสำหรับใส่ลงไปทานอาหาร จนกระทั่งเกิดความคิดขึ้นมาว่าเธอจะไม่ลงไปทานอาหารเช้าในวันนี้ เสียงป็อปก็ดังขึ้นที่ด้านหลังของเฮอร์ไมโอนี่ หญิงสาวสะดุ้งทันทีเมื่อได้ยินเสียงนั้น แต่เธอก็รู้สึกโล่งอกเมื่อหันไปมองทางต้นเสียงและพบว่าร่างที่เพิ่งหายตัวเข้ามาในห้องแต่งตัวนั้นคือทิสซี่ เอลฟ์ประจำตัวของเธอ
“นายท่านสั่งให้ทิสซี่มาพานายหญิงลงไปที่ห้องอาหารเจ้าค่ะ” เอลฟ์พูดพลางก้มศีรษะลงต่ำจนจมูกยาว ๆ ของมันจรดพื้น แต่เมื่อทิสซี่เงยหน้าขึ้นมาและเห็นว่าเฮอร์ไมโอนี่ยังคงสวมชุดคลุมอาบน้ำอยู่ เอลฟ์ก็มีท่าทีตกใจเป็นอย่างมาก
“นายหญิงยังแต่งตัวไม่เสร็จหรือเจ้าคะ งั้นรีบแต่งตัวเสียเถอะเจ้าค่ะ เป็นตอนนี้ได้เวลาอาหารเช้าแล้ว นายท่านกำลังรอนายหญิงอยู่ที่ห้องอาหารเจ้าค่ะ” มันพูดรัวเร็ว พร้อมกับทำสีหน้าหวาดกลัวราวกับมันรู้ดีว่าการปล่อยให้นายท่านรอคอยนั้นไม่ใช่เรื่องดีเลย ขณะที่หญิงสาวมองเอลฟ์อย่างจนใจ มือข้างหนึ่งของเธอถือเสื้อผ้าชุดหนึ่งที่เธอได้มาจากตู้เอาไว้
“อันที่จริงฉันคิดว่าจะไม่ลงไปทานอาหารเช้าน่ะ เธอช่วยไปบอกนายท่านของเธอหน่อยได้ไหมว่า.......” ไม่ทันที่เฮอร์ไมโอนี่จะได้พูดจบ ทิสซี่ก็ขัดขึ้นมาก่อน เอลฟ์ทำท่าทีราวกับหญิงสาวเพิ่งเอ่ยชื่อโวลเดอมอร์ออกมาขณะที่มันพูดขึ้น
“ไม่ได้นะเจ้าคะ! นายหญิงไม่ลงไปทานอาหารไม่ได้นะเจ้าคะ! เป็นนายท่านสั่งเจ้าค่ะ!” ทิสซี่พูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความหวาดกลัวราวกับว่ามันกำลังจินตนการถึงนายท่านของมันเวลาที่เขาโกรธอยู่ ซึ่งนั่นทำให้เฮอร์ไมโอนี่เริ่มไม่พอใจขึ้นมา
“ฉันรู้ว่าเขาเป็นนายท่านของเธอ ทิสซี่ แต่เขาไม่ใช่เจ้าชีวิตของฉัน เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะมาสั่งให้ฉันทำอะไร” หญิงสาวพูดขึ้นอย่างกล้าหาญ แม้ว่าในใจของเธอจะไม่คิดอย่างนั้นก็ตาม เพราะเธอรู้ดีว่านายลูเซียสนั้นมีอำนาจเหนือเธอ เพียงแต่เธอไม่อยากจะยอมรับมันเท่านั้น
และเมื่อได้ยินเช่นนั้นทิสซี่ที่ดูจะแปลกใจกับอารมณ์ของเฮอร์ไมโอนี่จึงเดินเข้ามานายหญิงของมันอีกสองก้าว ดวงตาสีน้ำตาลของมันเงยขึ้นมองหญิงสาวอย่างไม่แน่ใจก่อนจะถามขึ้นมา
“นายหญิงดูอารมณ์เสีย ทิสซี่ไม่แน่ใจว่าเธอควรถามนายหญิงดีหรือไม่ แต่ทิสซี่สงสัยว่านายหญิงกับนายท่านทะเลาะกันหรือเปล่าเจ้าคะ” มันถามอย่างเขลา ๆ ราวกับว่าสิ่งเดียวที่ทำให้เฮอร์ไมโอนี่อารมณ์เสียได้คือการที่เธอทะเลาะกับสามีที่เพิ่งแต่งงานกันใหม่ ๆ ของเธอเอง ไม่ใช่การที่เธอถูกบังคับให้ทำทุกอย่างตามที่เขาต้องการแบบนี้
และเพราะคำพูดของทิสซี่เองที่ทำให้หญิงสาวมองเอลฟ์ตรงหน้าด้วยท่าทีที่อ่อนลง เธอถอนหายใจก่อนจะพูดออกมา
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกทิสซี่ ฉันจะบอกเธอก็ได้ ฉันก็แค่ไม่อยากใส่ชุดพวกนี้ก็เท่านั้น” เธอพูดพลางมองไปยังชุดสำหรับแม่มดที่เรียงรายกันอยู่ในตู้ แน่นอนว่าเสื้อผ้าเหล่านั้นล้วนแต่เป็นชุดที่สวยงามสวยงามและตัดเย็บจากผ้าชั้นดีที่มีราคา แต่เฮอร์ไมโอนี่กลับไม่รู้สึกชอบมันเลยแม้แต่น้อย อันที่จริงเธอชอบใส่เสื้อผ้าแบบมักเกิ้ลมากกว่า แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามหญิงสาวก็รู้ดีว่านายลูเซียสไม่มีวันยอมให้เธอใส่ชุดของมักเกิ้ลในบ้านของเขาอย่างแน่นอน
“นายหญิงไม่ชอบเสื้อคลุมพวกนี้หรือเจ้าคะ” ทิสซี่ถามด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา และเมื่อมันไม่เห็นว่าเฮอร์ไมโอนี่ตอบอะไรออกมา วินาทีต่อมาเอลฟ์ก็เอาหัวโขกตู้เสื้อผ้าทันที!
แม้จะตกตะลึงมากกับสิ่งที่ได้เห็นแต่หญิงสาวก็ยังมีสติพอที่จะเข้าไปห้ามไม่ให้ทิสซี่ทำร้ายตัวเอง แต่ยิ่งห้ามก็เหมือนจะยิ่งยุเพราะเมื่อเฮอร์ไมโอนี่พยายามจะจับตัวมันไว้ไม่ให้สิ่งชนตู้เสื้อผ้า ทิสซี่ก็ดิ้นรนจนมันหลุดจากเกาะกุมของเธอ และวิ่งเอาหัวชนตู้เสื้อผ้าพลางร้องออกมาว่า “ทิสซี่เลว ทิสซี่เลว!” ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ที่เห็นว่าเอลฟ์ไม่มีท่าทีจะหยุดการกระทำของมันได้ร้องห้ามออกมาว่า “ทิสซี่หยุด!”
ราวกับคำพูดนั้นของเธอเป็นประกาศิต เพราะเอลฟ์หยุดการกระทำของมันทันทีที่เฮอร์ไมโอนี่ประกาศออกไปแบบนั้น หลังจากนั้นทิสซี่ก็หันมาหานายหญิงของมันด้วยท่าทีมึนงงขณะที่มือหนึ่งของมันกำลังจัดหูที่ยับยู่ยี่ให้เรียบร้อยอยู่
“เธอทำแบบนี้ทำไมกัน” หญิงสาวถาม
“ทิสซี่ต้องลงโทษตัวเองเจ้าค่ะ เพราะทิสซี่ทำให้นายหญิงไม่พอใจ” เอลฟ์ตอบ และเมื่อมันเห็นว่าเฮอร์ไมโอนี่กำลังจะถามอะไรออกมา มันก็รีบพูดขึ้นมาก่อน
“ทิสซี่เป็นคนจัดการเรื่องเสื้อผ้าให้นายหญิงเองเจ้าค่ะ นายท่านสั่งให้ทิสซี่หาซื้อเสื้อผ้าและของใช้สำหรับนายหญิงให้พร้อม แต่ทิสซี่ไม่ดีเองที่หาซื้อเสื้อผ้าที่นายหญิงชอบมาไม่ได้ และเพราะนายหญิงไม่ชอบเสื้อผ้าพวกนี้นายหญิงเลยไม่ต้องการจะลงไปทานอาหาร ทุกอย่างเป็นความผิดของทิสซี่เองเจ้าค่ะ” มันกล่าวพลางก้มหน้าอย่างสำนึกผิด ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่มองเอลฟ์ร่างจ้อยตรงหน้าด้วยความรู้สึกประหลาดใจระคนสงสาร แต่แล้วในที่สุดหญิงสาวก็นั่งลงเพื่อให้หน้าของเธออยู่ในระดับเดียวกับมัน ก่อนจะเอื้อมมือไปแตะร่างเล็กนั้นเบา ๆ และพูดขึ้น
“ฉันมีเรื่องจะขอร้องเธอทิสซี่ ไม่ใช่สิ ฉันขอสั่งเธอว่าเธอห้ามทำร้ายตัวเองอีกเป็นอันขาด ไม่ว่าจะเธอจะทำผิดอะไรก็ตาม เข้าใจไหม” เฮอร์ไมโอนี่พูดเสียงเข้ม อันที่จริงเธอต้องการจะปล่อยทิสซี่ให้เป็นอิสระมากกว่าอะไรทั้งหมด แต่หญิงสาวก็รู้ดีว่านายลูเซียสจะต้องไม่พอใจเป็นอย่างมากหากเธอทำเช่นนั้น และเธอก็ไม่ต้องการจะมีปากเสียงกับเขาไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตามขณะที่เธออยู่ภายใต้การควบคุมของเขาแบบนี้ และการที่เขายกทิสซี่ให้เป็นเอลฟ์ประจำตัวของเธอ ก็เท่ากับเธอมีสิทธิ์ที่จะสั่งให้มันทำอะไรก็ตามที่เธอต้องการเทียบเท่ากับเธอได้เป็นเจ้านายของมัน และตอนนี้เธอก็จะสั่งให้มันเลิกทำร้ายตัวเองเป็นการถาวรเสียที
“ทิสซี่.......” เอลฟ์เงยหน้าขึ้นมองเฮอร์ไมโอนี่ ดวงตาของมันคลอเอ่อด้วยน้ำตา แม้มันจะรู้มาก่อนว่าหญิงสาวใจดีมากก็ตามแต่มันไม่เคยคิดมาก่อนว่านายหญิงคนใหม่จะเป็นคนมีเมตตาขนาดนี้
“เธอแค่สัญญากับฉันเท่านั้น เธอทำได้ไหมทิสซี่” เฮอร์ไมโอนี่ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน และเมื่อเป็นเช่นนั้นทิสซี่ถึงพยักหน้าเบา ๆ น้ำตาหยดมาจากดวงตากลมโตของมัน
และเมื่อแน่ใจว่าทิสซี่รับปากเธอแล้ว หญิงสาวก็ยืนขึ้นพลางเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า และเริ่มเลือกชุดสำหรับใส่พลางสั่งอะไรบางอย่างกับเอลฟ์
“ฉันมีเรื่องจะรบกวนเธออีกเรื่องนะ ฉันอยากให้เธอช่วยลงไปบอก......นายท่านของเธอหน่อยว่าฉันกำลังจะลงไปทานอาหารภายในสิบนาทีนี้แหละ” เธอพูดเรียบ ๆ ขณะที่เอลฟ์มีท่าทีแปลกใจ
“นายหญิงจะลงไปทานอาหารหรือเจ้าคะ ก็ในเมื่อนายหญิง…….” ไม่ทันที่ทิสซี่จะพูดจบ เฮอร์ไมโอนี่ก็พูดขึ้นก่อน
“ฉันจะลงไปทานอาหารในไม่ช้านี้แหละ แล้วฉันก็จะใส่ชุดที่เธอเป็นคนหามาให้ฉันลงไปด้วย” เธอเสริมเมื่อเห็นสีหน้างุนงงของมัน
“อันที่จริงฉันไม่ได้ไม่ชอบชุดพวกนี้หรอกนะ ฉันแค่ยังไม่ค่อยคุ้นกับมันเท่านั้นเอง” หญิงสาวเลือกใช้คำพูดอย่างระมัดระวังเพราะกลัวว่าถ้าหากเธอใช้คำพูดผิดทิสซี่อาจจะเอาหัวโขกกำแพงอีกครั้งก็เป็นได้ แต่เอลฟ์ก็ไม่ได้ทำแบบที่เฮอร์ไมโอนี่กลัว ตรงกันข้ามมันกลับมองเธอด้วยสายตาที่เกือบจะเรียกได้ว่าเทิดทูนบูชา ก่อนจะพูดขึ้น
“ทิสซี่ดีใจเหลือเกินที่นายหญิงชอบชุดที่ทิสซี่จัดหามาเจ้าค่ะ ทิสซี่จะไปทำตามที่นายหญิงสั่งเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” มันพูดด้วยน้ำเสียงสดชื่นผิดกับเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง ก่อนจะก้มศีรษะลงต่ำจนจมูกจรดพื้นห้องและหายตัวไปพร้อมเสียงดังป็อป
หลังจากเอลฟ์หายตัวออกจากห้องไปแล้ว เฮอร์ไมโอนี่ก็หยิบชุดของแม่มดที่ถืออยู่ในมือมาทาบเข้ากับร่างของเธอและมองเข้าไปในกระจกอย่างหนักใจ แต่ถึงกระนั้นหญิงสาวก็รู้ดีว่าเธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใส่ชุดที่ดูหรูหรานี้ลงไปทานอาหารเช้ากับนายลูเซียส ซึ่งบัดนี้ก็คือสามีของเธอเอง
…………………………………………….
เฮอร์ไมโอนี่สำรวจตัวเองอยู่หน้ากระจกหลังจากแต่งตัวเสร็จ แม้จะพบว่าชุดดังกล่าวนั้นทำให้เธอดูดีไม่น้อยเมื่อสวมมันก็ตาม แต่หญิงสาวก็ยังอดกังวลกับร่องรอยบริเวณลำคอไม่ได้จนเธอใช้เวลาหลายนาทีกับการพยายามจัดผมของเธอให้มาปกปิดผิวเนื้อบริเวณลำคอให้มากที่สุด และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกชอบผมหยักศกที่ดกหนาของเธอขึ้นมาทันที แม้ว่ามันจะไม่สามารถปกปิดร่องรอยบนลำคอของเธอได้ทั้งหมด แต่มันก็ช่วยได้ไม่น้อยทีเดียว
หลังจากจัดทรงผม เสื้อผ้า และสำรวจตัวเองในกระจกเป็นครั้งสุดท้ายแล้วหญิงสาวก็ตกใจเล็กน้อยเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาที่แขวนไว้บนผนังแล้วพบว่าตอนนี้เป็นเวลาแปดโมงครึ่งแล้ว เฮอร์ไมโอนี่ไม่อยากจะจินตนาการเลยว่านายลูเซียสที่กำลังรอเธออยู่ที่ห้องอาหารนั้นจะหงุดหงิดเพียงใด และเมื่อคิดถึงตรงนี้เธอก็รู้สึกไม่อยากลงไปทานอาหารขึ้นมาเสียดื้อ ๆ แต่ถึงกระนั้นหญิงสาวก็รู้ดีว่าเธอไม่อาจทำเช่นนั้นได้พอ ๆ กับที่เธอไม่อาจปล่อยให้ชายผมบลอนด์คอยเธอนานกว่านี้ได้อีกแล้ว
เมื่อคิดเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่จึงรีบเดินออกจากห้องเพื่อลงไปยังห้องอาหารทันที แต่หญิงสาวก็ต้องชะงักฝีเท้าลงหลังจากที่เธอเดินออกมาถึงระเบียงทางเดินบริเวณชั้นสามก่อนที่จะลงบันไดไป เมื่อเธอเพิ่งคิดได้ว่าเธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าห้องอาหารนั้นอยู่ส่วนไหนของคฤหาสน์มัลฟอยที่กว้างขวางแห่งนี้ แน่นนอนว่ามันน่าจะตั้งอยู่ที่ชั้นล่างของคฤหาสน์ แต่ความคิดที่ว่าเธอจะต้องลงไปเปิดประตูห้องทีละห้องที่อยู่ที่ชั้นล่างเพื่อหาห้องอาหารนั้นไม่ใช่ความคิดที่ดีเลยโดยเฉพาะตอนที่เธอกำลังรีบเช่นนี้
และในขณะที่เฮอร์ไมโอนี่กำลังคิดว่าเธอจะเรียกเอลฟ์ประจำบ้านมาถามทางดีหรือไม่ ร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงระเบียงทางเดินที่อยู่ตรงกันข้ามกับห้องนอนของเธอพอดี ถึงแม้ว่าร่างที่กำลังเดินตรงมาทางเธอนั้นจะไม่ใช่ลูเซียส มัลฟอย สามีของหญิงสาวก็ตาม แต่เขาก็ดูเหมือนนายลูเซียสในแบบที่เกือบจะเรียกได้ว่าถอดกันออกมา ร่างสูงของเดรโก มัลฟอยที่เดินมาตามระเบียงทางเดินนั้นชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นเฮอร์ไมโอนี่ ก่อนที่เขาจะเดินเข้ามาหยุดอยู่หน้าทางเดินลงบันไดใกล้ ๆ กับหญิงสาว
สิ่งแรกที่เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกต่อมาก็คือสายตาเย็นชาที่คุ้นเคยของชายหนุ่มผมบลอนด์ที่จ้องมาทางเธอ แต่เมื่อสายตาของเดรโกเลื่อนจากใบหน้าของหญิงสาวไปสะดุดเข้าไปกับอะไรบางอย่างบริเวณซอกคอของเธอแล้ว ใบหน้าที่เย็นชาของเขาก็บิดเบี้ยวด้วยความรังเกียจ ก่อนที่สายตาของเดรโกจะเลื่อนขึ้นมาสบตาเฮอร์ไมโอนี่อีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้เขามองเธออย่างเดียดฉันท์ราวกับเธอได้กลับไปเป็นเลือดสีโคลนที่เขารังเกียจอีกครั้ง ขณะที่หญิงสาวหน้าร้อนผ่าวด้วยความอับอายเมื่อเธอรู้ว่าเดรโกเห็นอะไรที่ทำให้เขามีท่าทีแบบนี้ซึ่งมันนั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่เธอต้องการให้เขาหรือใครก็ตามเห็น
“เดรโก......” เฮอร์ไมโอนี่อ้าปากเพื่อจะพูดอะไรบางอย่าง และชื่อต้นของชายผมบลอนด์ก็เป็นสิ่งเดียวที่เธอนึกได้ในตอนนี้ แต่การกระทำของเธอกลับทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงกว่าเดิม เมื่อชายหนุ่มจ้องเธอกลับด้วยท่าทีขยะแขยงก่อนจะพูดขึ้น
“เธอกล้าดียังไงถึงเรียกชื่อต้นของฉันออกมาน่ะ เกรนเจอร์!” มัลฟอยพูดด้วยน้ำเสียงเดียดฉันท์ ขณะที่เธอมองเขาอย่างตกตะลึง
“อย่าคิดนะว่าเธอแต่งงานกับพ่อของฉันแล้วเธอจะมาทำตัวสนิทสนมกับฉันได้น่ะ” ชายหนุ่มพูดอย่างใจร้ายก่อนจะมองดูหญิงสาวด้วยสายตารังเกียจราวกับเขายอมกลั้นหายใจมากกว่าที่จะทนสูดอากาศร่วมโลกกับเธอ
“ฉันเดาได้เลยว่าเธอคงจะดีใจจนแทบจะเนื้อเต้นล่ะสิที่ได้มาเป็นนายหญิงของที่นี่น่ะ ไม่ใช่สิ ฉันรู้อยู่แล้วว่าเธอคงจะดีใจตั้งแต่ที่จอมมารให้พ่อของฉันแต่งงานกับเธอแล้วใช่ไหม เธอคงอยากจะมาคุณนายมัลฟอยจนแทบจะทนไม่ไหวแล้วสิ เธอถึงได้ยอมเข้าพิธีแต่งงานกับพ่อของฉันง่าย ๆ แบบนั้น เธอคงรู้สินะว่าตระกูลของเราร่ำรวยมากแค่ไหน เพราะถ้าเทียบกันแล้วเธอก็เป็นแค่ผู้หญิงธรรมดา ๆ ที่เกิดโชคดีได้มาเป็นเจ้าหญิงแห่งความมืดเท่านั้น!” เขาพูดด้วยน้ำเสียงดูถูก ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่กำมือแน่นเพื่อบังคับไม่ให้ตัวเองโต้ตอบเดรโกออกไป แม้ว่าสิ่งที่ชายหนุ่มพูดกับเธอนั้นจะเลวร้ายมากก็ตาม แต่หญิงสาวก็รู้จักเขาดีพอจะรู้ว่าเขาพูดออกไปเพราะอารมณ์โกรธเท่านั้น
“ฉันไม่ได้คิดอย่างนั้นนะ” เธอพยายามอธิบาย แม้ว่าจะรู้สึกว่าแก้มของตัวเองร้อนผ่าวไม่น้อยเพราะคำพูดเผ็ดร้อนของชายหนุ่มตรงหน้า “เรื่องที่เธอพูดมาน่ะ เหลวไหลทั้งนั้น มันไม่จริงเลยแม้แต่นิดเดียว” เฮอร์ไมโอนี่พยายามควบคุมอารมณ์อย่างเต็มที่ขณะที่เธอพูดประโยคดังกล่าวออกไป แต่สิ่งที่เธอได้รับจากเดรโกกลับเป็นสายดูเหยียดหยามเท่านั้น
“เธอก็น่าจะรู้ว่าฉันไม่เชื่อคำพูดของเธอง่าย ๆ หรอก ฉันจะขอพูดกับเธออีกแค่ครั้งเดียวนะเกรนเจอร์ ว่าการที่เธอได้มาเป็นนายหญิงคนใหม่ของที่นี่ไม่ได้หมายความว่าเธอจะมีสิทธิ์ทำอะไรตามใจชอบอย่างที่เธอคิดหรอกนะ เพราะถึงยังไงฉันก็ไม่มีวันยอมรับเธอในฐานะแม่เลี้ยงของฉันอยู่ดี!” เขาพูดด้วยเสียงอันดังจนเกือบจะเรียกได้ว่าตะโกน แต่ก่อนที่เขาจะได้เดินลงบันไดไป ชายหนุ่มก็หันมาพูดกับเธอเป็นครั้งสุดท้ายว่า
“อ้อ แล้วก็อย่าคิดด้วยนะว่าเธอจะมาแทนที่แม่ของฉันได้น่ะ เพราะนายหญิงที่แท้จริงของบ้านหลังนี้คือแม่ของฉันเท่านั้น ไม่ใช่เธอ!” เขาพูดอย่างใจร้ายก่อนจะเดินลงบันไดไป ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่กำหมัดแน่นจนข้อนิ้วของเธอขาวโพลน หญิงสาวพยายามต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากที่จะไม่ร้องไห้ออกมา
…………………………………………….
เฮอร์ไมโอนี่ไม่ทราบเหมือนกันว่าเธอยืนอยู่ตรงนั้นนานเท่าไหร่ แต่หลังจากที่รู้ตัวแล้วสิ่งแรกที่หญิงสาวคิดได้ก็คือเธอต้องลงไปที่ห้องอาหาร แต่เมื่อเป็นเช่นนั้นเสียงเล็ก ๆ ในหัวก็ถามขึ้นมาว่าเธอจะทำได้อย่างไรเล่าในเมื่อเธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าห้องอาหารนั้นอยู่ส่วนไหนของคฤหาสน์หลังนี้
ในตอนแรกเฮอร์ไมโอนี่คิดว่าเธอจะเรียกเอลฟ์สักตัวมาถามทาง ในเมื่อสมาชิกในครอบครัวที่เธอเพิ่งเจอเมื่อครู่นี้ไม่ได้ให้โอกาสแม้แต่จะเอ่ยปากถามคำถามของเธอเลย แต่เมื่อมาคิดดูอีกทีเธอก็นึกขึ้นได้ว่าการที่เดรโกเดินลงบันไดลงไปชั้นล่างนั้นน่าจะเป็นเพราะเขาต้องลงไปที่ห้องอาหาร และเมื่อเป็นเช่นนั้นหญิงสาวจึงรีบเดินลงบันไดเพื่อตามร่างสูงของชายหนุ่มไปในทันที
และก็เป็นอย่างที่เฮอร์ไมโอนี่คิดจริง ๆ เพราะเมื่อเดรโกเดินลงมาถึงชั้นล่างของคฤหาสน์แล้วเขาก็เลี้ยวซ้ายหนึ่งครั้ง ขณะที่หญิงสาวเร่งฝีเท้าตามร่างของชายหนุ่มไปจนทันเห็นว่าเขาหายเข้าไปประตูไม้บานใหญ่บานหนึ่ง และเมื่อเฮอร์ไมโอนี่ตามเขาเข้าไปเธอก็พบว่าเธอมาถูกที่แล้ว
เมื่อหญิงสาวเปิดประตูไม้ขัดมันบานใหญ่ที่ยังไม่ทันปิดสนิทดีเข้าไป เธอก็พบกับห้องรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ ผนังด้านหนึ่งของห้องอาหารเป็นหน้าต่างที่กรุด้วยลายไม้สีทองหรูหราและถูกประดับด้วยผ้าม่านสีเขียวเข้มผืนใหญ่ ขณะที่อีกด้านหนึ่งของห้องเป็นเตาผิงสีดำขนาดใหญ่ ตรงกลางห้องมีโต๊ะไม้สีเข้มที่ถูกขัดจนมันวับวางอยู่ มันถูกล้อมรอบไปด้วยเก้าอี้จำนวนหลายสิบตัว เหนือโต๊ะอาหารนั้นเป็นโคมระย้าสีดำขนาดใหญ่ที่ปักเทียนไขซึ่งยังไม่ได้จุดไว้จำนวนมาก
เดรโกก้าวเข้าไปยังโต๊ะอาหารที่อยู่กลางห้องอย่างรวดเร็ว เสียงฝีเท้าของเขาดังก้องไปทั่วพื้นไม้ ขณะที่ร่างใหญ่ซึ่งนั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะในตำแหน่งของเจ้าบ้านนั้นเงยหน้าขึ้นจากหนังสือพิมพ์เมื่อเขารับรู้ถึงการมาของชายหนุ่มก่อนจะวางเดลี่พรอเฟ็ตในมือลง ดวงตาของนายลูเซียสจับจ้องอยู่ที่ลูกชายขณะที่เขาเลื่อนเก้าอี้ที่อยู่ทางซ้ายมือของชายผมบลอนด์ออกอย่างแรงจนมันเกิดเสียงดังด้วยสายตาที่ไม่พอใจ แต่เขาก็ทำเช่นนั้นได้ไม่นานนักเมื่อนายมัลฟอยเหลือบไปเห็นการมาของเฮอร์ไมโอนี่เสียก่อน
หญิงสาวรู้สึกราวกับขาของเธอแข็งเป็นหินขึ้นมาทันทีเมื่อเธอสบดวงตาสีเงินที่ล้ำลึกของนายลูเซียส ความรู้สึกไม่อยากทานอาหารเริ่มพุ่งสูงขึ้นทันที แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็รู้ดีว่าเธอไม่อาจเดินออกจากห้องนี้ไปเฉย ๆ ได้ พอ ๆ กับที่เธอรู้ดีว่าสามีของเธอคงไม่พอใจมากแน่ ๆ ถ้าเธอทำเช่นนั้น และเมื่อคิดได้เช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็สูดลมหายใจลึกก่อนจะเดินไปที่โต๊ะอาหาร
เมื่อเดินเข้าไปใกล้โต๊ะอาหารหญิงสาวก็สังเกตุว่าบนโต๊ะมีจานสีเงินที่บรรจุอาหารเช้าแบบอังกฤษไว้จำนวนมากเกินกว่าพวกเขาจะทานหมดวางอยู่ ขณะที่กำลังลังเลว่าเธอควรจะนั่งตรงตำแหน่งไหนของโต๊ะอาหารที่ยาวเหยียดโต๊ะนี้ดี นายลูเซียสก็ทำท่าบอกให้เธอไปนั่งที่นั่งทางขวามือของเขาซึ่งมีจานชามเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว แต่เมื่อเฮอร์ไมโอนี่นั่งลงบนเก้าอี้และสบตาของเดรโกเข้า เธอก็เห็นว่าชายหนุ่มมีสีหน้าไม่พอใจเป็นอย่างมาก และมันก็ใช้เวลาไม่นานนักสำหรับเธอที่จะเข้าใจว่า สิ่งที่ทำให้เดรโกไม่พอใจนั้นไม่ใช่แค่การที่เธอเดินตามเขาลงมาที่ห้องอาหารนี้เท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะเธอกำลังนั่งอยู่ในที่นั่งซึ่งน่าจะเคยเป็นของแม่ของเขามาก่อนแบบนี้
แต่ก่อนที่เฮอร์ไมโอนี่จะได้เอ่ยปากพูดอธิบายอะไรออกไป นายลูเซียสก็พูดขึ้นก่อน
“มาทานอาหารสายถึงสี่สิบนาทีแบบนี้ไม่ใช่มารยาทที่ดีเลยนะ” ชายผมบลอนด์กล่าวอย่างไม่เจาะจงว่าเขาต้องการต่อว่าเดรโกหรือเฮอร์ไมโอนี่กันแน่
“คือ.....” หญิงสาวพยายามจะพูดอะไรออกมา แต่เธอก็ถูกขัดจังหวะด้วยการปรากฏตัวของเอลฟ์ตัวเล็กจ้อยพร้อมกับถาดในมือที่บรรจุเหยือกน้ำเอาไว้สองเหยือก
“นายหญิงจะรับน้ำผลไม้หรือชาดีเจ้าคะ” เอลฟ์ถามขึ้น หลังจากที่คิดอยู่ไม่นานเฮอร์ไมโอนี่ก็ตอบมันออกไป “น้ำผลไม้ดีกว่าจ๊ะ ขอบใจ” เธอพูด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปสบตาสามีของเธอที่บัดนี้เริ่มทานอาหารเช้าแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดอะไรต่อหลังจากนั้นก็ตาม แต่หญิงสาวก็รู้ว่านายลูเซียสรอให้เธอและเดรโกมาถึงห้องอาหารก่อนเขาจึงจะเริ่มทานอาหาร และการที่เธอมาทานอาหารสายถึงสี่สิบนาทีแบบนี้ก็เป็นเรื่องเสียมารยาทอย่างที่สามีของเธอพูดจริง ๆ แม้ว่าเธอจะไม่ต้องการลงมาทานอาหารเช้าร่วมกับมัลฟอยพ่อลูกมากแค่ไหนก็ตาม
ดังนั้นขณะที่มือของเฮอร์ไมโอนี่เลื่อนไปคว้ามีดกับส้อมมาถือไว้เพื่อจะเริ่มรับประทานอาหาร หญิงสาวจึงมองไปทางชายผมบลอนด์ก่อนจะสูดลมหายใจลึก ๆ แล้วพูดออกไปว่า
“ฉันขอโทษนะคะที่ลงมาทานอาหารช้า ฉันมีปัญหากับการหาเสื้อผ้านิดหน่อย” เธอพูดประโยคสุดท้ายออกมาอย่างไม่เต็มปากเต็มคำเท่าไหร่นัก พลางรู้สึกเสียใจทีหลังที่พูดเหตุผลซึ่งเป็นความจริงแต่ฟังดูไม่เข้าท่าแบบนี้ออกมา ก่อนที่เธอจะก้มหน้าก้มตามองจานอาหาร และเฮอร์ไมโอนี่ที่เดิมไม่ได้คาดหวังมาก่อนว่าเธอจะได้รับคำตอบอะไรจากนายลูเซียสก็ต้องแปลกใจเมื่อเขาพูดขึ้น
“ฉันยอมรับคำขอโทษของเธอ” เขากล่าว พลางมองมาทางหญิงสาว
“ฉันรู้ว่ามันอาจจะเป็นเรื่อง......ที่ไม่คุ้นเคยนักสำหรับเธอที่จะต้องมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ แต่ถึงอย่างไรที่นี่ก็คือบ้านของเธอหลังจากนี้ อย่างที่ฉันได้เคยบอกเธอไปแล้วว่าถ้าเธอขาดเหลืออะไรก็ให้บอกทิสซี่ หรือถ้าเธอไม่ชอบเสื้อผ้าที่มันจัดหามาให้เธอก็สามารถบอกมันให้ไปซื้อเสื้อผ้าแบบที่เธอต้องการมาได้” นายลูเซียสพูดก่อนจะทานอาหารเช้าต่อ ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่เงยหน้ามองเขาอย่างคาดไม่ถึง แม้มันจะดูเป็นเรื่องธรรมดาเหลือเกินที่สามีจะเป็นห่วงภรรยาในเรื่องที่แสนจะธรรมดาแบบนี้ แต่มันกลับดูเป็นเรื่องที่น่าประหลาดยิ่งนักเมื่อคำพูดแบบนี้ออกมาจากปากของลูเซียส มัลฟอย ผู้เสพความตายมือขวาของโวลเดอมอร์รวมทั้งชายที่บังคับให้เธอแต่งงานกับเขาและช่วงชิงทุกสิ่งทุกอย่างไปจากเธอด้วย และขณะที่กำลังมองชายตรงหน้าด้วยความประหลาดใจอยู่นั้นหญิงสาวก็รู้สึกว่าเธอควรจะพูดอะไรบอกอย่างออกไป
“ขอบคุณค่ะ” เฮอร์ไมโอนี่พูดสิ่งที่เธอนึกได้เป็นสิ่งแรกออกไป และชายผมบลอนด์ก็ต้องเงยหน้าขึ้นมองเธอด้วยความแปลกใจ นายลูเซียสมองเธอด้วยสายตาราวกับเธอเพิ่งพูดออกมาว่าเธอเต็มใจจะเข้าร่วมกับฝ่ายผู้เสพความตายอย่างไรอย่างนั้น แต่ในขณะที่มัลฟอยผู้พ่อมีท่าทีประหลาดใจอยู่นั้น เดรโกที่นั่งอยู่ตรงข้ามเฮอร์ไมโอนี่ก็ทำท่าราวกับเขากำลังสำลักอาหาร แต่เมื่อพ่อของชายหนุ่มส่งสายตาปราม ๆ ไปทางเขา เดรโกก็เลิกทำเสียงดังกล่าวทันที แล้วเปลี่ยนมามองหญิงสาวด้วยสายตารังเกียจแทน
หลังจากบทสนทนาสั้น ๆ นั้นจบลง ทั้งสามก็ทานอาหารต่อท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความอึดอัดในความคิดของเฮอร์ไมโอนี่ แต่เธอก็พยายามทำเป็นไม่สนใจสายตาไม่พอใจของเดรโกที่จ้องมองเธอมาจากอีกด้านหนึ่งของโต๊ะอาหาร หญิงสาวทานอาหารเช้าไปอย่างเงียบ ๆ โดยที่ในใจหวังอยากให้มื้อเช้าที่แสนจะอึดอัดนี้จบลงในไม่ช้า โดยไม่มีอะไรมาทำให้เธออึดอัดใจไปมากกว่านี้ แต่เฮอร์ไมโอนี่ไม่รู้มาก่อนเลยว่าเธอคิดผิดเมื่อนายลูเซียสเป็นฝ่ายทำลายความเงียบในห้องอาหารขึ้นมา
ชายผมบลอนด์ที่กำลังทานอาหารอยู่เงียบ ๆ จู่ ๆ ก็เงยหน้าขึ้นมามองหญิงสาวพร้อมกับพูดขึ้น
“เมื่อคืนเธอหลับสบายดีไหม” มันเป็นคำถามที่แสนจะธรรมดาเหลือเกินที่สามีจะถามภรรยา แต่มันกลับทำให้เฮอร์ไมโอนี่แทบจะสำลักน้ำส้มของเธอเมื่อเธอได้ยินประโยคดังกล่าว หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองนายมัลฟอยทันที และเมื่อเธอเห็นสายตาของเขาที่จ้องมองมาทางเธอแล้ว เฮอร์ไมโอนี่ก็รู้สึกว่าใบหน้าของเธอร้อนผ่าวราวกับถูกแดดเผาขึ้นมาทันที
และเธอก็แน่ใจหลังจากนั้นว่าใบหน้าของเธอไม่ได้ร้อนผ่าวแต่เพียงอย่างเดียว แต่มันคงแดงก่ำอย่างมากเป็นแน่เมื่อเธอสบเข้ากับดวงตาสีเงินของนายลูเซียสที่กำลังจ้องมองเธออยู่ และในขณะที่หญิงสาวกำลังคิดหาคำพูดมากลบเกลื่อนอาการเขินอายตัวเองอยู่นั้น เสียงมีดกับส้อมที่กระทบจานอย่างแรงก็ดังขึ้น และเมื่อเฮอร์ไมโอนี่หันไปมองเธอก็พบว่าเดรโกเพิ่งจะวางผ้าเช็ดปากของเขาลงบนโต๊ะอาหารอย่างแรงราวกับมันเคยมีเรื่องกับเขามาก่อน ชายหนุ่มส่งสายตารังเกียจมายังหญิงสาวและพ่อของเขาเอง ก่อนจะลุกออกขึ้นจากเก้าอี้และเดินออกจากห้องอาหาร ขณะที่นายลูเซียสพูดไล่หลังลูกชายไปด้วยนำเสียงที่ดุดันว่า “เดรโก!”
แต่ชายหนุ่มทำราวกับไม่ได้ยินที่พ่อของเขาเรียก และไม่ได้เดินกลับมาแต่อย่างใด ตรงกันข้ามเขากลับเดินออกไปจากห้องอาหารพร้อมกับเสียงปิดประตูที่ดังเกินกว่าปกติ ขณะที่ชายผมบลอนด์มองตามหลังลูกชายไปพร้อมกับส่ายศีรษะอย่างระอา ก่อนจะหันกลับมาพูดกับเฮอร์ไมโอนี่
“อย่าไปใส่ใจเลย ทานต่อเถอะ” เขาพูด ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่พยักหน้าอย่างรับรู้และกลับไปสนใจอาหารต่อ แต่หญิงสาวก็ทานไม่ได้เยอะหลังจากนั้น และเมื่อพบว่าความอยากอาหารของเธอลดลงจนเกือบเหลือศูนย๋แล้ว เธอจึงรวบมีดกับส้อมลงและเช็ดปากด้วยผ้าเช็ดปากขณะที่นายลูเซียสมองมาทางเธอด้วยสายตาที่เกือบจะเรียกได้ว่าเป็นห่วง
“เธออย่าไปสนใจเดรโกเลย มันคงต้องใช้เวลาสักหน่อยสำหรับเขาที่จะยอมรับ.....เรื่องนี้น่ะ” ชายผมบลอนด์พูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูไม่ยี่หระ แต่ดวงตาของเขากลับแสดงถึงความกังวลออกมาอย่างชัดเจน ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่มองไปทางประตูห้องอาหารที่เดรโกเพิ่งเดินออกไปด้วยสีหน้าไม่สบายใจ
แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าเดรโกเกลียดชังเธอเพราะเธอแต่งงานกับนายลูเซียสและเข้ามาแทนที่แม่ของเขาแบบนี้ แต่ในใจลึก ๆ แล้วเฮอร์ไมโอนี่ก็หวังจะให้ชายหนุ่มเข้าใจถึงเหตุผลที่เธอยอมแต่งงานกับพ่อของเขาบ้าง หญิงสาวไม่รู้ว่าเดรโกจะรู้หรือไม่ว่าเธอถูกบังคับให้แต่งงานกับพ่อของเขาอย่างไม่เต็มใจ และเธอก็ไม่ได้ต้องการจะมาแทนที่แม่ของชายหนุ่มอย่างที่เขาเชื่อเลย และถ้าหากเฮอร์ไมโอนี่สามารถเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างได้ หญิงสาวก็จะขอให้เรื่องทั้งหมดนี่ไม่เคยเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เธอแต่งงานกับลูเซียส มัลฟอยและได้กลายเป็นแม่เลี้ยงของเดรโก หรือแม้แต่เรื่องที่เธอเป็นเจ้าหญิงแห่งความมืดแบบนี้ แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็รู้ดีว่าไม่ว่าเธอจะหวังให้เรื่องทั้งหมดนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมากเพียงใดเธอก็ไม่อาจจะที่จะสมปรารถนาได้เลย
หลังจากตกอยู่ในภวังค์ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงนายลูเซียสรวบมีดกับส้อม และเมื่อเธอมองไปทางเขา หญิงสาวก็พบว่าชายผมบลอนด์กำลังเช็ดปากอยู่ก่อนจะวางผ้าเช็ดปากลงบนโต๊ะอาหารและหันมาพูดกับเธอ
“วันนี้ฉันต้องออกไปข้างนอก” เขาเริ่มพูดด้วยประโยคที่ฟังดูปกติธรรมดามากที่สุด แต่หญิงสาวก็รู้ดีว่าคำว่า ‘ ออกไปข้างนอก ’ ของเขานั้นหมายถึงการไปทำงานรับใช้จอมมาร แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังคงมีท่าทีนิ่งเฉยเมื่อเขาพูดต่อ
“ฉันจะกลับมาทานอาหารเย็นกับเธอ อาหารเย็นที่นี่จะเริ่มเวลาทุ่มตรง ส่วนอาหารกลางวันเริ่มเวลาเที่ยงตรง” เขาอธิบาย และเมื่อชายผมบลอนด์เห็นสีหน้าอึดอัดใจของภรรยาเขาจึงพูดต่อว่า
“แต่ถ้าหากฉันไม่อยู่บ้านเธอก็ไม่จำเป็นต้องลงมาทานอาหารที่ห้องอาหาร เธอจะให้เอลฟ์จัดสำรับไปให้เธอข้างบนก็ได้ แต่เธอจะต้องลงมาทานมื้อเย็นกับฉัน” ประโยคสุดท้ายที่เขาพูดออกมานั้นไม่ใช่การขอร้องหากแต่เป็นประโยคคำสั่ง แต่ถึงอย่างนั้นหญิงสาวกลับไม่รู้สึกอึดอัดเท่าที่ควร เพราะอย่างน้อย ๆ การที่ต้องมาทานอาหารเย็นกับนายลูเซียสทุกวันก็น่าจะดีกว่าการที่เธอจะต้องลงมาทานอาหารกลางวันกับเดรโกเพียงลำพังทุกวันอย่างแน่นอน และเมื่อคิดถึงตรงนี้เฮอร์ไมโอนี่ก็นึกขอบคุณสามีของเธอไม่น้อยที่เขายอมให้เธอทานอาหารกลางวันข้างบนได้ และเมื่อคิดได้เช่นนั้นเธอจึงตอบออกไปว่า “ค่ะ”
หลังจากหญิงสาวพูดจบ ชายผมบลอนด์ก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ในตอนแรกเฮอร์ไมโอนี่คิดว่าเขาจะออกไปข้างนอกในทันที แต่เธอก็ต้องแปลกใจเมื่อชายตรงหน้าส่งมือข้างหนึ่งมาให้เธอจับก่อนจะพาเธอลุกขึ้นจากเก้าอี้
“ก่อนจะออกจากบ้านฉันจะพาเธอไปที่แห่งหนึ่งก่อน” เขาพูดเมื่อเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยของเฮอร์ไมโอนี่ และเมื่อหญิงสาวไม่ได้มีท่าทีโต้แย้งอะไรออกไปนายลูเซียสก็พาเธอเดินออกจากห้องอาหารไป
…………………………………………….
นายลูเซียสพาเฮอร์ไมโอนี่ออกมาจากห้องอาหารไปยังห้องโถงใหญ่ หญิงสาวมีท่าทีแปลกใจเล็กน้อยเมื่อชายผมบลอนด์พาเธอขึ้นบันไดไปยังชั้นสามของคฤหาสน์ทางด้านปีกตะวันตกที่เธอไม่เคยไปมาก่อน
“เราจะไปที่ไหนกันคะ” เธอพูดขณะที่นายลูเซียสหันมามองเธอด้วยสายตาที่เรียบเฉย
“เดี๋ยวเธอก็จะได้รู้เอง ใกล้จะถึงแล้ว” เขากล่าวก่อนจะพาเธอเดินไปตามทางเดินที่ปูด้วยพรมสีเขียวเข้มและผนังของมันประดับไปด้วยรูปภาพที่ดูมีราคา
เฮอร์ไมโอนี่เดินผ่านห้องหับจำนวนมากมายที่เรียงรายอยู่ระหว่างทางพลางนึกสงสัยว่ามีห้องจำนวนกี่ห้องกันแน่ในคฤหาสน์หลังนี้ และครอบครัวมัลฟอยเคยได้ใช้ห้องมากมายเหล่านี้ครบทุกห้องหรือเปล่านะ และขณะที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิดนั้น ชายผมบลอนด์ก็พาเธอมาหยุดที่ประตูบานหนึ่งซึ่งตั้งอยู่เกือบสุดทางเดินของปีกตะวันออก หญิงสาวมองประตูไม้ขัดมันบานใหญ่ตรงหน้าพลางนึกสงสัยว่าห้องนี้จะเป็นห้องอะไร และเมื่อนายลูเซียสจับลูกบิดสีทองไว้และเปิดประตูออกเธอได้พบกับคำตอบ
ด้านหลังประตูบานนี้เป็นห้องทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ที่เรียงรายไปด้วยชั้นหนังสือที่สูงจรดเพดานซึ่งบรรจุหนังสือไว้จำนวนมากมายนับไม่ถ้วน ขณะที่ด้านหนึ่งเป็นผนังที่ทำด้วยกระจกที่มีกรอบสีทองดูหรูหราและถูกประดับด้วยผ้าม่านสีเขียวเข้มเหมือนกับส่วนอื่นของคฤหาสน์ ริมผนังด้านที่เป็นกระจกนั้นเป็นที่ตั้งของโซฟาตัวใหญ่สองตัวและโต๊ะเขียนหนังสือที่มีอุปกรณ์สำหรับใช้เขียนหนังสือวางอยู่ครบครัน
เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกตกตะลึงกับภาพที่ได้เห็น เพราะนอกจากห้องของฮอกวอตส์แล้วเธอก็ไม่เคยเห็นห้องสมุดที่ไหนจะมีหนังสือบรรจุอยู่มากมายเท่านี้มาก่อน หญิงสาวมองภาพตรงหน้าอย่างตกตะลึง ก่อนจะหันไปมองชายร่างสูงที่ยืนอยู่เคียงข้างเธอด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความแปลกใจ และเมื่อเขาทำท่าทีราวกับอนุญาตให้เธอเข้าไปภายในห้องสมุดแห่งนี้ได้ เฮอร์ไมโอนี่ก็รีบพุ่งไปยังชั้นหนังสือที่อยู่ใกล้ที่สุดและเริ่มสำรวจหนังสือที่อยู่บนชั้นอย่างอดใจไม่ได้ และหญิงสาวก็ต้องแปลกใจอีกครั้งเมื่อเธอพบว่าหนังสือที่อยู่บนชั้นนั้นไม่ใช่หนังสือเกี่ยวกับศาสตร์มืดอย่างที่เธอคิดไว้แต่อย่างใด แต่มันกลับเป็นหนังสือเกี่ยวกับการแปลงร่างและคาถาโบราณซึ่งมันทำให้เธอรู้ว่าห้องสมุดแห่งนี้รวบรวมหนังสือหลากหลายประเภทเอาไว้ ไม่ใช่แค่เพียงหนังสือที่เกี่ยวกับศาสตร์มืดอย่างที่เธอเคยเข้าใจเท่านั้น
ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่กำลังสำรวจหนังสือบนชั้นด้วยความตื่นเต้นอยู่นั้น เสียงของนายลูเซียสที่ดังขึ้น
“ที่นี่เป็นห้องสมุดของตระกูลมัลฟอย ฉันรู้มาว่าเธอชอบอ่านหนังสือ ฉันก็เลยคิดว่าเธอน่าจะอยากมาใช้เวลาอยู่ที่นี่” เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ขณะที่หญิงสาวหันมามองเขาอย่างแปลกใจ
“คุณอนุญาตให้ฉันเข้ามาใช้ห้องสมุดนี้ได้หรือคะ” เธอถามด้วยน้ำเสียงที่แทบจะปกปิดความดีใจเอาไว้ไม่มิด
“แน่นอน หรือเธอคิดว่าฉันพาเธอมาที่นี่ทำไมกันล่ะ” เขาพูดพร้อมกับก้าวเข้ามาใกล้เธออีกสองก้าว “ตอนนี้เธอแต่งงานกับฉันแล้ว ห้องสมุดนี้ก็จะเป็นของเธอด้วยเหมือนกัน” ชายผมบลอนด์เน้นทุกคำที่เขาพูดอย่างชัดเจน ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ทำท่าทีราวกับเธอเพิ่งนึกได้ว่าเธอกับนายลูเซียสได้แต่งงานกันแล้ว
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวพูดออกมาพลางมองร่างสูงใหญ่เบื้องหน้าราวกับต้องการบอกเขาว่าเธอรู้สึกขอบคุณจริง ๆ ที่เขายอมให้เธอมาใช้ห้องสมุดแห่งนี้ อันที่จริงการได้มีห้องสมุดส่วนตัวนั้นเป็นความฝันของเฮอร์ไมโอนี่มาตั้งแต่เด็กแล้ว เพียงแต่เธอไม่เคยนึกมาก่อนว่ามันจะเป็นจริงหลังจากที่เธอได้แต่งงานกับลูเซียส มัลฟอยแบบนี้ ขณะที่สามีของเธอมองเธออย่างเอ็นดูก่อนจะพูดขึ้น
“อันที่จริง คฤหาสน์หลังนี้ก็เป็นของเธอเช่นเดียวกัน เธอสามารถไปใช้ห้องต่าง ๆ ในคฤหาสน์ได้ ยกเว้นก็แค่ห้องทำงานของฉัน” เขาชี้ไปยังประตูทางด้านขวามือของห้องสมุดที่ดูเหมือนจะนำไปสู่อีกห้องหนึ่ง “และห้องนอนใหญ่บนชั้นสามทางด้านตะวันออกเท่านั้น” นายลูเซียสพูด และเมื่อเขาเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยของเฮอร์ไมโอนี่ชายผมบลอนด์จึงเสริมขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความอึดอัดใจว่า
“มันเป็น….ห้องนอนเก่าของนาร์ซิสซาน่ะ” เขาพูด ขณะที่หญิงสาวพยักหน้าอย่างเข้าใจ แม้จะรู้สึกแปลกบ้างก็ตามที่ได้ยินสามีของเธอพูดชื่อภรรยาเก่าของเขาออกมาเป็นครั้งแรกแบบนี้ แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่ได้ติดใจในเรื่องของนางนาร์ซิสซามากพอที่จะถามเหตุผลที่เขาไม่ยอมให้เธอเข้าไปในห้องนอนเก่าของนางออกไป
อันที่จริงเฮอร์ไมโอนี่พอจะเดาได้ว่าการที่นายลูเซียสเก็บห้องนอนของนางนาร์ซิสซาเอาไว้โดยห้ามไม่ให้เธอเข้าไปนั้นแสดงว่าเขายังลืมภรรยาเก่าของเขาไม่ได้ แม้ว่าหล่อนจะตายจากเขาไปแล้วก็ตาม แต่หญิงสาวกลับไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองหรือน้อยใจในสิ่งที่เธอค้นพบเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเธอกลับหวังลึก ๆ ด้วยซ้ำว่าถ้านาร์ซิสซา มัลฟอยไม่ด่วนจากสามีและลูกชายของนางไปแบบนี้ เธออาจจะไม่ต้องถูกบังคับให้แต่งงานกับนายลูเซียส และต้องมาอยู่ในฐานะคุณนายมัลฟอยแบบในวันนี้ก็เป็นได้ แต่หญิงสาวก็รู้ดีว่าไม่ว่าเธอจะหวังในเรื่องนี้มากแค่ไหน ความหวังของเธอก็ไม่อาจจะสัมฤทธิ์ผลได้เลย
ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เสียงของชายผมบลอนด์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“ได้เวลาที่ฉันจะออกไปข้างนอกแล้ว อันที่จริงวันนี้ฉันควรจะพาเธอไปชมคฤหาสน์ด้วยตัวของฉันเอง แต่ฉันคิดว่าเราน่าจะหาเวลาที่สะดวกได้หลังจากนี้” เขาพูดอย่างสุภาพราวกับมันเป็นเรื่องที่จำเป็นเหลือเกินสำหรับเขาที่จะต้องพาเจ้าสาวหมาด ๆ อย่างเธอไปเดินชมคฤหาสน์หลังนี้ด้วยตัวของเขาเอง ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องจำเป็นแต่อย่างใด เพราะสิ่งที่เธอคิดว่าจำเป็นมากที่สุดในตอนนี้ก็คือการได้อ่านหนังสือในห้องสมุดแห่งนี้โดยไม่มีใครรบกวนมากกว่า ดังนั้นเธอจึงไม่ติดใจสักนิดที่นายลูเซียสจะไม่มีเวลาว่างพอที่จะพาเธอชมคฤหาสน์แบบนี้
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันเข้าใจ” เธอพูด
“งั้นก็ดี ฉันต้องไปแล้ว ถ้าเธอต้องการอะไรก็บอกทิสซี่เอาแล้วกัน” เขาพูดพลางวางคว้ามือทั้งสองข้างของหญิงสาวมากุม และขณะที่เฮอร์ไมโอนี่เงยหน้าขึ้นมองเขา เธอก็พบว่าชายผมบลอนด์มีท่าทีลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะโน้มตัวลงมาและจูบเธอที่ริมฝีปาก ซึ่งหญิงสาวก็ไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด อาจจะเป็นเพราะทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเสียจนเธอไม่มีโอกาสที่จะขัดขืนเมื่อสามีของเธอจูบเธออย่างนุ่มนวล และเมื่อเขาถอนใบหน้าออกมานายลูเซียสก็กระซิบเข้ากับริมฝีปากของเฮอร์ไมโอนี่เบา ๆ
“ฉันจะกลับมาทานอาหารเย็นกับเธอ” เขาพูดเพียงเท่านั้น ดวงตาสีเงินของนายมัลฟอยจ้องมองหญิงสาวอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะละจากร่างบางและเดินออกจากห้องสมุดไป
หลังจากที่นายลูเซียสเดินออกจากห้องไปแล้วเฮอร์ไมโอนี่ยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น มือเล็กยกขึ้นสัมผัสริมฝีปากของเธอเองเบา ๆ แววตาสีน้ำตาลแลดูสับสน แม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาจูบเธออย่างอ่อนโยนแบบนี้ แต่จูบครั้งนี้ราวกับเป็นการตอกย้ำถึงสถานภาพของทั้งสองให้กับหญิงสาวมากขึ้น เพราะการที่เขาจูบเธอก่อนจะออกไปข้างนอกบ้านแบบนี้มันไม่ต่างจากการที่สามีจูบภรรยาก่อนจะออกไปทำงานแต่อย่างใด และเมื่อคิดถึงตรงนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็ตัวสั่นขึ้นมาอย่างประหลาด แม้หญิงสาวจะยอมรับได้มากแล้วก็ตามว่าเธอได้แต่งงานกับนายลูเซียสแล้ว แต่เฮอร์ไมโอนี่แทบจะไม่เคยจินตนาการการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเขามาก่อนเลย และจูบเมื่อครู่ก็เป็นสิ่งที่บอกกับเธอว่าเธอจะต้องใช้ชีวิตอยู่กับเขาในฐานะภรรยาแบบนี้ตลอดไป เขาจะจูบเธอก่อนออกไปจากบ้านแบบนี้ในทุก ๆ เช้า และเธอก็จะต้องคอยเขากลับมาทานอาหารเย็นกับเธอแบบนี้ทุกวัน แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่แสนจะธรรมดาสำหรับคู่สามีภรรยาก็ตาม แต่เฮอร์ไมโอนี่กลับรู้สึกว่ามันน่าหวาดกลัวไม่น้อยเมื่อเธอจินตนาการถึงภาพตัวเธอเองทำสิ่งเหล่านั้นซ้ำ ๆ ไปตลอดชีวิตของเธอ นี่ยังไม่นับเรื่องที่เธอจะต้องนอนร่วมเตียงกับเขาต่อไปอีกด้วย
แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้นั้นไม่ใช่วิถีชีวิตที่เฮอร์ไมโอนี่ฝันถึงเลยแม้แต่น้อย เธอไม่ได้ต้องการชีวิตแบบนี้เลย เธอไม่ได้ต้องการจะใช้ชีวิตร่วมกับนายลูเซียส รวมทั้งไม่ต้องการกลายเป็นแม่เลี้ยงของเดรโกตอนนี้ได้เกลียดชังเธอไปแล้วด้วย แต่หญิงสาวก็รู้ดีว่าเธอไม่มีทางจะเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ได้ เพราะตั้งแต่วินาทีที่เธอได้ลงชื่อในสัญญาแต่งงาน พันธะสัญญาเวทย์มนต์ก็ได้ผูกเขากับเธอเข้าด้วยกัน รวมทั้งในพิธีแต่งงานของทั้งสอง คำสาบานของพวกเขาก็เท่ากับเป็นการผูกวิญญาณของเธอกับเขาเข้าด้วยกับอีกทบหนึ่ง แน่นอนว่าเธอไม่อาจจะหนีไปจากเขาได้จนกว่าเขาจะยอมหย่าขาดจากเธอแต่โดยดี ซึ่งเฮอร์ไมโอนี่ก็รู้ดีว่าโอกาสที่เขาจะทำเช่นนั้นมันมีน้อยพอ ๆ กับที่โวลเดอมอร์จะกลับมาเป็นคนดีเลยทีเดียว แต่ถึงจะรู้เรื่องเหล่านี้ดีก็ตาม มันก็ไม่ได้ช่วยให้หญิงสาวทำใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นได้ พอ ๆ กับที่เธอรู้ดีว่าถึงนายลูเซียสจะอ่อนโยนและดีกับเธอมากกว่านี้ก็ตาม เธอก็ไม่มีวันทำใจมาใช้ชีวิตร่วมกับปีศาจร้ายอย่างเขาด้วยความเต็มใจได้เลย
เมื่อคิดถึงตรงนี้เฮอร์ไมโอนี่ก็รู้สึกถึงความเปียกชื้นที่แก้มเมื่อน้ำตาของเธอไหลเปรอะแก้มเนียน หญิงสาวรีบยกมือขึ้นเช็ดมันทันทีก่อนจะสูดลมหายใจลึก ๆ เพื่อรวบรวมสติขึ้นมาอีกครั้ง
แม้จะรู้ดีว่าสิ่งที่เธอกำลังเผชิญนั้นหนักหนาสาหัสเพียงใดก็ตาม แต่เธอก็ไม่มีทางเลือกใดนอกจากเผชิญกับมัน และเมื่อเธอเป็นคนเลือกแต่งงานกับนายลูเซียสเพื่อที่จะรักษาชีวิตของพ่อแม่ไว้ เธอก็จะต้องยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนี้และอยู่กับมันให้ได้ แม้ว่าการมันเป็นสิ่งที่เลวร้ายมากอย่างการตกเป็นภรรยาของลูเซียส มัลฟอยก็ตาม เมื่อคิดได้เช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่จึงสูดลมหายใจลึก ๆ อีกครั้ง และเมื่อรวบรวมสติได้แล้ว หญิงสาวก็เดินไปที่ชั้นหนังสือที่อยู่ใกล้ที่สุด และเริ่มสำรวจมันทันที
และในระหว่างที่กำลังตื่นตาตื่นใจกับหนังสือมากมายในห้องสมุดของตระกูลมัลฟอยอยู่นั้น
ปลายนิ้วของหญิงสาวที่ไล่ไปตามสันหนังสือจำนวนมากมายที่เรียงรายอยู่บนชั้นหนังสือก็ไปสะดุดเข้ากับหนังสือเล่มหนึ่ง ที่มีชื่อว่า ‘ ไม้กายสิทธิ์วิทยาขั้นพื้นฐาน ’ และเพราะเหตุผลบางประการที่เฮอร์ไมโอนี่เองก็ไม่สามารถอธิบายได้ เธอก็ได้หยิบหนังสือที่เธอไม่คิดสนใจจะศึกษามาก่อนเนื่องจากความซับซ้อนของมันเองขึ้นมา ก่อนจะเริ่มอ่านคำนำ
ไม้กายสิทธิ์วิทยาเป็นศาสตร์ความรู้ทางเวทย์มนต์แขนงหนึ่งที่เก่าแก่ที่สุดซึ่งยังคงตกทอดกันมาถึงปัจจุบัน แม้ว่าการศึกษาไม้กายสิทธิ์วิทยาจะถูกจำกัดอยู่แค่ในวงแคบเท่านั้นเนื่องจากความซับซ้อนของมัน แต่เราก็สามารถพูดได้ว่าไม้กายสิทธิ์วิทยาเป็นเวทย์มนศาสตร์ที่มีความสำคัญมากที่สุดแขนงหนึ่ง เพราะหากปราศจากการศึกษาไม้กายสิทธิ์วิทยาแล้ว พ่อมดแม่มดก็อาจจะไม่สามารถใช้เวทย์มนต์คาถาที่จำเป็นอย่างที่เราใช้กันอยู่ในทุกวันนี้ได้ แม้ว่าการใช้เวทย์มนต์จะไม่มีข้อกำจัดว่าจะต้องใช้ไม้กายสิทธิ์ในการร่ายเวทย์มนต์เท่านั้น เพราะพ่อมดแม่มดที่มีความสามารถนั้นสามารถใช้เวทย์มนต์โดยไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์ได้ แต่ผลของการร่ายเวทย์มนต์นั้นจะมีข้อจำกัดและมีพลังอำนาจน้อยกว่าการร่ายเวทย์มนต์แบบใช้ไม้กายสิทธิ์อย่างเห็นได้ชัด
หลังจากอ่านย่อหน้าแรกของคำนำไปไม่นานนักหญิงสาวก็รู้สึกราวกับมีใครมากดสวิตต์ไฟในหัวของเธอ การใช้เวทย์มนต์โดยไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์อย่างนั้นหรือ ทำไมเธอไม่คิดมาก่อนนะ เฮอร์ไมโอนี่คิดด้วยหัวใจที่เต้นแรง แน่นอนว่าไม้กายสิทธิ์ของหญิงสาวนั้นถูกยึดไปตั้งแต่ตอนที่เธอถูกนายลูเซียสจับตัวได้ที่กองปริศนาแล้ว และหญิงสาวก็เดาว่าเขายังคงเก็บรักษามันไว้ แต่ปัญหาก็คือเขาไม่มีท่าทีจะคืนมันให้เธอรวมทั้งเขาไม่เคยเอ่ยถึงมันแม้แต่ครั้งเดียวตลอดเวลาที่เธอถูกคุมตัวอยู่ศูนย์บัญาชาการศาสตร์มืดหรือแม้กระทั่งตอนที่เธอได้แต่งงานกับเขาแล้วแบบนี้ และเฮอร์ไมโอนี่ก็รู้ดีว่าเหตุผลที่นายลูเซียสไม่เคยเอ่ยถึงไม้กายสิทธิ์ของเธอขึ้นมาเลยก็เพราะเขาไม่ต้องการจะคืนมันให้เธอ เพราะเขารู้ดีว่าถ้าหากเขาทำเช่นนั้นแล้วเธอจะมีอาวุธที่จะมาต่อกรกับเขา ดังนั้นการปล่อยให้เธอใช้ชีวิตอยู่ต่อไปโดยปราศจากไม้กายสิทธิ์จึงเป็นหนทางที่ปลอดภัยที่สุดที่จะป้องกันไม่ให้เธอทำเรื่องอะไรก็ตามที่เขาไม่ต้องการจะให้เกิดขึ้นลงไป และหญิงสาวก็คงจะไม่มีโอกาสได้ใช้เวทย์มนต์ไปตลอดชีวิตเป็นแน่ถ้าหากเธอไม่บังเอิญเจอหนังสือเล่มนี้เข้า!
และถ้าเธอสามารถฝึกใช้เวทย์มนต์โดยไม้กายสิทธิ์ได้มันก็อาจจะมีโอกาสที่เธอจะสามารถขโมยของไม้กายสิทธิ์ของเธอคืนถ้าหากเธอรู้ว่านายลูเซียสเก็บมันไว้ที่ไหน และเมื่อเธอได้ไม้ของเธอคืนมาแล้ว หนทางที่เธอจะหนีไปจากเขาหรือแอบส่งข่าวให้ฝ่ายมือปราบมารรู้นั้นก็ไม่ใช่จะเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป เฮอร์ไมโอนี่คิดอย่างตื่นเต้นขณะที่มือของเธอพลิกหนังสือหน้าหนังสืออย่างรวดเร็ว หญิงสาวไล่นิ้วไปตามสารบัญพลางค้นหาคำว่า ‘ เวทย์มนต์แบบไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์ ’ และเมื่อเห็นว่าหนังสือเล่มนี้มีข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่เธอต้องการค้นหาอยู่ในหน้าที่ 153 เธอก็รีบเปิดไปยังหน้าดังกล่าวพร้อมกับเริ่มอ่านทันที
ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วว่าการใช้เวทย์มนต์โดยไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์เป็นเรื่องที่ยากและซับซ้อนอย่างมาก มีพ่อมดแม่มดจำนวนเพียงหยิบมือเท่านั้นที่สามารถใช้เวทย์มนต์ประเภทได้ รวมทั้งการใช้เวทย์มนต์โดยไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์ก็มีข้อจำกัดมากกว่าการใช้เวทย์มนต์โดยใช้ไม้กายสิทธิ์อยู่มากพอสมควร อย่างเช่น เวทย์มนต์คาถาระดับกลางถึงระดับสูงจะไม่สามารถถูกเสกโดยไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์ได้ พอกับที่การแปลงร่างสัตว์และวัตถุต่าง ๆ ไม่สามารถทำได้โดยไม่มีไม้กายสิทธิ์เช่นกัน โดยส่วนมากแล้วพ่อมดแม่มดจะฝึกเวทย์มนต์โดยไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์ไว้สำหรับการใช้เรียกไม้ของตนเองเวลาที่ทำมันหลุดมือระหว่างการต่อสู้เท่านั้น
แค่เธอสามารถฝึกการใช้คาถาเรียกของได้มันก็เพียงพอแล้ว เฮอร์ไมโอนี่คิดเช่นนั้นหลังจากที่ได้อ่านข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับการใช้เวทย์มนต์โดยไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์แล้ว แม้ว่าเธอจะไม่รู้ก็ตามว่านายลูเซียสเก็บไม้กายสิทธิ์ของเธอไว้ที่ไหน และมันถูกร่ายคาถาป้องกันการขโมยไว้หรือไม่ แต่หญิงสาวก็ต้องการจะลองเสี่ยงดูซักครั้ง เฮอร์ไมโอนี่คิดว่าเธอจะลองฝึกใช้คาถาเรียกของโดยไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์ดู และเมื่อเธอใช้มันได้จนชำนาญแล้ว เธอก็จะลองใช้มันเรียกไม้กายสิทธิ์ของเธอมา และถ้าหากหญิงสาวโชคดี เธอก็อาจจะขโมยไม้กายสิทธิ์ของเธอกลับมาได้ก่อนที่สามีของเธอจะรู้ว่าเธอสามารถใช้เวทย์มนต์โดยไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์ได้เลยทีเดียว
เมื่อคิดเช่นนั้นแล้ว เฮอร์ไมโอนี่จึงพลิกหนังสือในมืออย่างรวดเร็วเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้เวทย์มนต์โดยไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์ แต่หญิงสาวก็พบว่าหนังสือเล่มนี้ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการฝึกไว้เวทย์มนต์ประเภทนี้เลย ตรงกันข้ามมันกลับมีแต่ข้อมูลเกี่ยวกับไม้กายสิทธิ์วิทยาเท่านั้น ส่วนข้อมูลของการใช้เวทย์มนต์โดยไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์เป็นเพียงส่วนเสริมในหนังสือเล่มนี้เท่านั้น
และเมื่อเป็นเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็รู้แล้วว่าสิ่งที่เธอต้องการในตอนนี้ก็คือ หนังสือที่มีข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการฝึกใช้เวทย์มนต์โดยไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์ ซึ่งแน่นอนว่าในห้องสมุดแห่งนี้คงจะต้องมีหนังสือที่เธอต้องการจะหาอยู่เป็นแน่ แต่ปัญหาก็คือเธอจะสามารถหาหนังสือที่ต้องการท่ามกลางหนังสือนับเป็นพัน ๆ เล่มในห้องสมุดนี้ได้อย่างไรกัน
หลังจากใช้เวลาครุ่นคิดอยู่ไม่นาน หญิงสาวก็นึกขึ้นได้ว่าในห้องสมุดนี้น่าจะมีเวทย์มนต์บางอย่างกำกับอยู่ เหมือนอย่างที่ห้องสมุดที่ฮอกวอตส์มี ซึ่งมันน่าจะเป็นเวทย์มนต์ที่ใช้สำหรับจำแนกหมวดหมู่และค้นหาหนังสือ รวมทั้งมันควรจะมีรายชื่อหนังสือทั้งหมดตามแบบที่ห้องสมุดทั่วไปสมควรจะมี เพียงแต่เฮอร์ไมโอนี่ไม่รู้ว่าเวทย์มนต์ที่กำกับห้องสมุดแห่งนี้อยู่นั้นจำเป็นจะต้องใช้ไม้กายสิทธิ์ในการใช้งานหรือไม่ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นจริงหญิงสาวก็ไม่ทางเลือกนอกจากจะลงมือหาหนังสือที่เธอต้องการด้วยตัวเองซึ่งมันคงกินเวลาหลายวันแน่ ๆ แต่หลังจากผ่านการไตร่ตรองอยู่ไม่นานนักเฮอร์ไมโอนี่ก็คิดอะไรบางอย่างออก และแทนที่หญิงสาวจะเริ่มลงมือค้นหาหนังสือที่เธอต้องการเธอกลับพูดขึ้นเบา ๆ
“ทิสซี่” สิ้นเสียงของเธอ เอลฟ์ร่างจ้อยก็ปรากฏตัวขึ้นทันที มันโค้งคำนับนายหญิงของมันอย่างมีมารยาทก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่แหลมเล็กว่า
“นายหญิงมีอะไรให้ทิสซี่รับใช้เจ้าคะ”
“คือ.....ฉันต้องการจะหาหนังสือบางเล่มน่ะ ฉันก็เลยอยากรู้ว่าที่ห้องสมุดนี่มีรายชื่อหนังสือทั้งหมดอยู่ไหม” เธอถาม
“นายหญิงต้องการหนังสือเล่มไหนหรือเจ้าคะ” ทิสซี่พูด ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่มีท่าทีลำบากใจ
“คือฉันอยากรู้ไว้เผื่อเวลาที่นึกอยากอ่านหนังสือบางเล่มขึ้นมาน่ะจ๊ะ” เธอตอบอย่างระมัดระวัง ก่อนที่ทิสซี่จะพูดขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นไม่ยากเลยเจ้าค่ะ เพราะห้องสมุดของตระกูลมัลฟอยมีเวทย์มนต์กำกับอยู่ เพียงแต่นายหญิงพูดชื่อหนังสือ หนังสือเล่มที่นายหญิงต้องการก็จะลอยมาหานายหญิงทันทีเจ้าค่ะ” เอลฟ์อธิบายด้วยน้ำเสียงฉะฉาน
“แล้วถ้าหากฉันไม่รู้ชื่อหนังสือล่ะจ๊ะ ฉันหมายถึงถ้าหากฉันต้องการหาหนังสือเกี่ยวกับการแปลงร่างชั้นสูง ฉันแค่พูดคำว่า ‘ การแปลงร่างขั้นสูง ’ ออกไปก็ได้อย่างนั้นหรือ” เธอถามต่อ แต่คำถามของหญิงสาวกลับถูกตอบด้วยหนังสือจำนวนนับสิบเล่มที่ลอยหวือมาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ และทุกเล่มล้วนเป็นหนังสือเกี่ยวกับการแปลงร่างขั้นสูงทั้งสิ้น ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ดูทึ่งไม่น้อยกับเวทย์มนต์แสนมีประโยชน์ที่กำกับห้องสมุดแห่งนี้อยู่
“ถ้านายหญิงต้องการหาหนังสือจากชื่อผู้แต่งก็ได้เจ้าค่ะ แค่นายหญิงพูดชื่อผู้แต่งออกมา หนังสือที่มีผู้แต่งที่นายหญิงต้องการก็จะลอยมาหานายหญิงเจ้าค่ะ” ทิสซี่อธิบายเพิ่มเติม ขณะที่หญิงสาวกำลังเปิดดูหนังสือหนึ่งในจำนวนนับสิบเล่มที่อยู่ตรงหน้าเธอในตอนนี้
“และถ้าหากนายหญิงไม่ต้องการอ่านมันแล้ว นายหญิงก็เพียงแค่บอกให้มันกลับไปอยู่บนชั้นเหมือนเดิมเท่านั้นเองเจ้าค่ะ” เอลฟ์อธิบายเพิ่มเติม และเมื่อเฮอร์ไมโอนี่ทำตามโดยการบอกให้หนังสือทั้งหมดตรงหน้าของเธอกลับไปอยู่บนชั้น หนังสือจำนวนนับสิบเล่มนั้นก็ลอยกลับไปยังที่ของมันตามเดิม ขณะที่หญิงสาวมีท่าทีทึ่งไม่น้อยในความสะดวกสบายในการใช้ห้องสมุดของที่นี่ก่อนเธอจะหันไปขอบคุณทิสซี่
“ขอบใจมากนะจ๊ะ มันเยี่ยมมากเลยจ๊ะ” เธอกล่าวพลางยิ้มให้มัน นี่เป็นครั้งแรกที่เธอนึกชอบอะไรก็ตามในคฤหาสน์มัลฟอยแห่งนี้ ขณะที่เอลฟ์มีท่าทีดีใจที่นายหญิงของมันดูพอใจมาก
“การรับใช้นายหญิงเป็นหน้าที่ของทิสซี่เจ้าคะ ไม่ทราบนายหญิงมีอะไรให้ทิสซี่รับใช้อีกไหมเจ้าคะ” มันพูดด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่กำลังจะบอกมันว่าเธอไม่มีอะไรจะให้มันทำอีก และหน้าที่ของมันจริง ๆ แล้วนั้นไม่ใช่การรับใช้เธอแต่เป็นการช่วยเหลือเธอต่างหากหญิงสาวก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“คือ......นายท่านของเธอบอกฉันไว้น่ะว่าฉันไม่ต้องลงไปทานอาหารกลางวันที่ห้องอาหาร แต่เธอสามารถจัดสำรับขึ้นมาให้ฉันข้างบนนี้ได้ ฉันหมายถึงฉันอยากทานอาหารกลางวันที่ห้องสมุดนี้น่ะ มันจะได้ไหม” เธอถามอย่างไม่แน่ใจ
“ได้เจ้าค่ะ ทิสซี่จะจัดอาหารกลางวันขึ้นมาให้นายหญิงที่ห้องสมุดนี้เจ้าค่ะ แต่นายหญิงแน่ใจหรือเจ้าคะว่าไม่อยากจะลงไปทานอาหารที่ห้องอาหาร” มันถามพลางมองเฮอร์ไมโอนี่ด้วยแววตาสงสัย ขณะที่หญิงสาวส่ายศีรษะน้อย ๆ หลังจากนึกถึงภาพตัวเองนั่งทานอาหารกลางวันกับเดรโกตามลำพัง ถ้าหากเขายอมมาทานอาหารร่วมกับเธอล่ะก็ แต่ถึงเขาจะต้องการอย่างนั้นก็ตามเธอเองก็ไม่ต้องการจะทานอาหารหรืออยู่ในห้องเดียวกับเขาตามลำพังเช่นกัน แม้มันจะเป็นเรื่องไร้สาระมากที่ชายหนุ่มเกลียดเธอเพราะเหตุผลที่เธอถูกบังคับให้แต่งงานกับพ่อของเขา แต่เธอก็ไม่อาจทำอะไรในเรื่องนี้ได้ และถ้าหากเขาไม่ต้องการเห็นหน้าหรือพูดคุยกับเธออีก เธอก็อยากจะแน่ใจว่าเธอจะไม่ต้องเจอเขาบ่อยเกินกว่าที่จำเป็น และเมื่อเป็นเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่จึงตอบเอลฟ์ออกไป
“ฉันอยากทานอาหารบนนี้มากกว่าน่ะ ทำไมอย่างนั้นหรือทิสซี่” เธอถาม
“คือ ทิสซี่แค่คิดว่าถ้านายหญิงลงไปทานอาหารกลางวันที่ห้องอาหารบางทีนายน้อยอาจจะเปลี่ยนใจกลับมาทานอาหารที่คฤหาสน์เหมือนเดิมน่ะเจ้าค่ะ ทิสซี่เพิ่งได้ยินมาว่านายน้อยจะไม่มาทานอาหารที่นี่ซักพัก และเธอคิดว่าการที่นายน้อยทำแบบนั้นอาจจะเป็นเพราะนายน้อยไม่ต้องการทานอาหารคนเดียวก็ได้เจ้าค่ะ” เอลฟ์พูดโดยที่ไม่รู้เลยว่าสิ่งที่มันเดานั้นผิดจากความจริงไปมากแค่ไหน แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่ใจร้ายพอที่จะบอกทิสซี่ออกไปตามตรงว่าการที่เดรโกออกไม่อยากทานอาหารมื้อใดก็ตามที่คฤหาสน์นั้นเป็นเพราะเขาไม่อยากทานอาหารร่วมโต๊ะกับเธอ ซึ่งตอนนี้อาจจะกลายเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งในสายตาของเขาไปแล้วก็ได้
“เธอกำลังบอกฉันว่าเดร.....นายน้อยของเธอ” เธอเปลี่ยนคำที่ใช้เรียกชายหนุ่มทันทีเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขาไม่ต้องการให้เธอเรียกชื่อต้นของเขา รวมทั้งเธอคิดได้ว่าการเรียกเขาว่ามัลฟอยนั้นคงฟังดูประหลาดไม่น้อยในเมื่อเธอและเขากลายเป็นครอบครัวเดียวกับแล้วแบบนี้ แม้ว่าตัวเดรโกรวมทั้งเฮอร์ไมโอนี่เองจะไม่ต้องการให้อีกฝ่ายมาอยู่ร่วมบ้านเดียวกันมากเท่าไหร่ก็ตาม
“เขาจะไม่กลับมาทานอาหารที่คฤหาสน์อีกอย่างนั้นหรือ”
“ใช่เจ้าค่ะ ทิสซี่รู้มาจากเอลฟ์ตัวอื่นที่ทำงานในครัวว่านายน้อยจะไม่กลับมาทานอาหารที่นี่ซักระยะเจ้าค่ะ” มีแววเศร้าสร้อยอยู่ในดวงตาของทิสซี่ขณะที่มันพูดประโยคดังกล่าวออกมา ราวกับว่าการที่เดรโกจะไม่มาทานอาหารที่นี่ซักระยะทำให้มันเจ็บปวดเป็นอย่างมาก และเฮอร์ไมโอนี่ที่เริ่มเห็นสัญญาณอันตรายก็คิดว่าเธอควรหาทางเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนาของเธอกับมันเสียก่อนที่ทิสซี่จะลงโทษตัวเองเพราะคิดไปเองว่านายน้อยของมันไม่ชอบอาหารที่มันทำหรืออะไรก็ตามขึ้นมา
“ฉันคงไม่ต้องรบกวนเธอสำหรับวันนี้แล้วล่ะทิสซี่” หญิงสาวพูดอย่างระมัดระวัง “อันที่จริงหลังจากที่เธอเอาอาหารกลางวันมาให้ฉันแล้ว ฉันอยากจะให้เธอพักผ่อนตลอดวันที่เหลือด้วย” เธอพูดอย่างใจดี แต่เอลฟ์กลับดูไม่ดีใจเลยที่มันจะได้รับวันหยุดครึ่งวันแบบนี้
“แต่ทิสซี่ไม่ควรพักผ่อนนะคะ เธอเป็นเอลฟ์ เธอไม่สมควรจะทำงานมากกว่าพักผ่อนเจ้าค่ะ” มันพูดด้วยน้ำเสียงเข็งขันราวกับว่าการหยุดงานครึ่งวันนั้นเป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรง ขณะที่นายหญิงของมันส่ายหน้า
“งานของเธอในวันนี้คือการพักผ่อน และนั่นก็เป็นสิ่งที่ฉันสั่งให้เธอทำตลอดบ่ายวันนี้ ทิสซี่ แล้วฉันคิดว่าฉันอยากจะอ่านหนังสือแล้ว คงจะดีถ้าเธอช่วยไปบอกเอลฟ์ที่ห้องครัวให้จัดอาหารสำหรับให้ฉันมาทานบนนี้น่ะ” หญิงสาวตัดบทอย่างสุภาพ และเอลฟ์ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากจะรับคำสั่งของนายหญิงของมัน ทิสซี่ก้มศีรษะลงต่ำก่อนจะหายตัวไปพร้อมเสียงดังป็อป
และเมื่อแน่ใจว่าเอลฟ์ออกจากห้องไปแล้ว เฮอร์ไมโอนี่ก็ลุกขึ้น เธอเดินตรงไปที่ชั้นหนังสือก่อนจะพูดขึ้นอย่างชัดเจนว่า
“การใช้เวทย์มนต์โดยไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์” เมื่อหญิงสาวพูดจบ ก็มีหนังสือราว ๆ ห้าถึงหกเล่มพุ่งออกมาจากชั้นตรงมาทางเธอ เฮอร์ไมโอนี่มองพวกมันพลางสูดสมหายใจลึก เธอเอื้อมมือไปคว้าหนังสือทุกเล่มตรงหน้ามาไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะอ่านหนังสือ เธอเลือกเล่มที่ดูน่าสนใจที่สุดขึ้นมาก่อนจะเริ่มอ่านมัน
…………………………………………….
เมื่อลูเซียส มัลฟอยกลับมาถึงคฤหาสน์ของเขาในตอนเย็นก็เป็นเวลาเกือบทุ่มตรงแล้ว ชายผมบลอนด์เดินออกมาจากเตาผิงพลางถอดเสื้อคลุมของเขาส่งให้กับเอลฟ์ที่มายืนคอยต้อนรับเขาอยู่ ก่อนจะถามมันว่าอาหารเย็นพร้อมหรือยัง
“อาหารเย็นพร้อมเสิร์ฟภายในห้านาทีขอรับนายท่าน” เอลฟ์ตัวจ้อยนามว่าฮอบบี้กล่าว
“แล้วนายหญิงล่ะ” เขาถามถึงสิ่งแรกที่เขาคิดได้ขึ้นมาออกไป และนายมัลฟอยก็แปลกใจไม่น้อยที่พบว่าสิ่งแรกที่เขานึกถึงก็คือเฮอร์ไมโอนี่ ซึ่งตอนนี้อยู่ในฐานะภรรยาของเขา
“นายหญิงอยู่ในห้องสมุดขอรับ อันที่จริงเธออยู่ในห้องสมุดตลอดวันเลยขอรับ นายหญิงทานอาหารกลางวันในห้องสมุดและอ่านหนังสืออยู่นั่นตลอด” เอลฟ์ตอบอย่างละเอียดราวกับมันรู้มาก่อนอยู่แล้วว่านายท่านจะต้องถามคำถามนี้กับมัน มันจึงได้เตรียมคำตอบมาเป็นอย่างดี
“พวกแกตอบจับตาดูนายหญิงตามที่ฉันสั่งไว้ตลอดเวลาใช่ไหม” เขาถามด้วยท่าทีราวกับมันเป็นเรื่องธรรมดาที่สุดในโลกที่เขาจะสั่งให้เอลฟ์จับดูภรรยาของตัวเอง
“แน่นอนขอรับ นอกจากทิสซี่ที่คอยรับใช้นายหญิงแล้ว พวกเราคอยเผลัดเปลี่ยนกันจับตาดูนายหญิงตลอดเวลาตามที่นายท่านสั่งขอรับ” ฮอบบี้ตอบ ขณะที่นายลูเซียสพยักหน้าอย่างพอใจก่อนจะสั่งเอลฟ์เพิ่มเติม
“ฉันจะทานอาหารแล้ว แกไปบอกให้ห้องครัวเตรียมเสิร์ฟอาหารได้ทันที” เขาสั่งเรียบ ๆ
“นายท่านต้องการให้ฮอบบี้ไปเชิญนายหญิงลงมาทานอาหารหรือเปล่าขอรับ” เอลฟ์ตาม ขณะที่นายลูเซียสมีสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะตอบออกมา
“ไม่ต้อง ว่าแต่เดรโกกลับมารึยัง” ชายผมบลอนด์ถาม แต่เอลฟ์กลับทีท่าทีอึดอัดใจในคำถามนี้
“คือ.....” ฮอบบี้อึกอักอยู่ได้เพียงครู่เดียวเท่านั้นก่อนจะตอบคำถามออกมาเนื่องจากนายลูเซียสส่งสายตาดุดันมาที่มัน พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เอลฟ์รู้ดีว่ามันเป็นคำขาดว่า “บอกฉันมา”
“นายน้อย...คือนายน้อยบอกว่าจะไม่กลับมาทานอาหารที่นี่ซักระยะขอรับ แต่ฮอบบี้ไม่ทราบจริง ๆ ว่านายน้อยจะไปทานอาหารที่ไหนขอรับ” เอลฟ์พูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทาพอ ๆ กับร่างกายของมัน ราวกับมันกำลังจินตนาการว่านายท่านจะลงโทษมันด้วยวิธีไหนดีโทษฐานที่นำข่าวที่ไม่น่าพอใจมาบอกเขาแบบนี้
แต่ฮอบบี้กลับคิดผิด เพราะนายท่านของมันไม่ได้ลงโทษมันแต่อย่างใด ตรงกันข้ามถึงแม้ว่าเขาจะดูตกใจเล็กน้อยในสิ่งที่เพิ่งรับรู้ แต่ชายผมบลอนด์ยังคงรักษาท่าทีที่เรียบเฉยไว้ได้ขณะที่เขาสั่งฮอบบี้ต่อ
“แกไปบอกให้ห้องครัวเตรียมตั้งโต๊ะ ฉันจะเป็นคนไปตามนายหญิงลงมาเอง” นายลูเซียสสั่งเพียงเท่านั้น และเมื่อได้ยินเช่นนั้นเอลฟ์ก็รับคำพร้อมกับก้มศีรษะลงต่ำ ขณะที่ชายผมบลอนด์ซึ่งไม่ได้สนใจกับการแสดงความเคารพของเอลฟ์ประจำบ้านนั้นเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสองของคฤหาสน์
…………………………………………….
หลังจากสั่งเอลฟ์เรื่องอาหารเย็นเสร็จแล้วนายลูเซียสก็ตรงไปยังห้องสมุดที่อยู่ที่ชั้นสองของคฤหาสน์ทันที และเมื่อนายมัลฟอยเข้าไปในห้องแล้วสิ่งที่เขาเห็นเป็นอย่างแรกนอกจากชั้นหนังสือที่สูงเกือบจรดเพดานก็คือร่างเล็ก ๆ ของหญิงสาวผมสีน้ำตาลที่กำลังฟุบอยู่กับโต๊ะอ่านหนังสือ ชายผมบลอนด์เดินเข้าไปใกล้ร่างของเฮอร์ไมโอนี่ที่กำลังนอนหลับอยู่อย่างเงียบเชียบ และก็เป็นอย่างที่เขาคาดเพราะหญิงสาวไม่รู้สึกถึงการมาของเขาแต่อย่างใด
เมื่อเขาเดินเข้ามาใกล้โต๊ะเขียนหนังสือสิ่งที่นายลูเซียสเห็นก็คือภาพภรรยาสาวของเขากำลังนอนหลับโดยใช้หนังสือแทนหมอนหนุน ถัดจากเธอไปนั้นก็มีหนังสือเล่มหนาจำนวนประมาณห้าเล่มวางซ้อนกันเป็นตั้ง แววตาของชายผมบลอนด์แลดูอ่อนโยนขึ้นมาทันทีเมื่อเขาเห็นใบหน้างามของหญิงสาวที่กำลังหลับอย่างสงบ มุมปากของชายผมบลอนด์ยกสูงในเชิงเอ็นดูที่เห็นว่าเฮอร์ไมโอนี่อ่านหนังสืออย่างหนักราวกับเธอกำลังเตรียมตัวสอบจนหลับไปแบบนี้ แต่รอยยิ้มที่หาดูได้ยากของนายลูเซียสก็ต้องหายไปเมื่อเขาเหลือบไปเห็นหนังสือเล่มที่อยู่บนสุดของตั้งหนังสือที่วางอยู่ข้างตัวของหญิงสาวซึ่งมีชื่อว่า ‘ วิธีการใช้เวทย์มนต์โดยไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์ขั้นพื้นฐาน ’ เข้า และเมื่อสายตาของนายมัลฟอยไล่ไปตามสันหนังสือเล่มที่เหลือเขาก็พบว่าหนังสือทุกเล่มบนโต๊ะนั้นล้วนเกี่ยวกับการใช้เวทย์มนต์โดยไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์ทั้งสิ้น
ใบหน้าที่ดูอ่อนโยนของนายลูเซียสเปลี่ยนเป็นโกรธขึ้งในทันทีเมื่อเขาได้รู้ว่าเฮอร์ไมโอนี่ยังไม่เลิกคิดที่หาทางต่อกรกับเขาแม้ว่าเธอจะตกเป็นภรรยาของเขาแล้วก็ตาม และความคิดนั้นเองที่ทำให้เขารู้สึกราวกับโกรธเคืองมากกว่าอะไรทั้งหมด แต่นายลูเซียสก็ยังมีสติพอที่จะไม่ปลุกหญิงสาวขึ้นมาต่อว่าหรือทำอะไรที่รุนแรงมากกว่านั้นลงไป ตรงกันข้ามเขากลับสูดสมหายใจลึก และจ้องมองร่างบางที่กำลังหลับอย่างสงบโดยที่ไม่รับรู้ถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นซึ่งมันอาจจะนำความเดือดร้อนมาสู่ตัวเธอเลย
ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่กำลังนอนหลับอยู่นั้น ร่างสูงใหญ่ที่กำลังจ้องมองเธออยู่ก็กำลังครุ่นคิดว่าเขาจะจัดการกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้อย่างไรดี เขาควรจะห้ามไม่ให้เธอเข้ามาอ่านหนังสือที่ห้องสมุดแห่งนี้อีกดีหรือไม่ หลังจากที่เขาค้นพบว่าหญิงสาวไม่ได้ใช้มันทำอะไรมากไปกว่าการพยายามหาทางต่อกรกับเขา หรือเขาควรจะร่ายคาถาเพื่อเผาหนังสือพวกนี้ทิ้งเสียทั้งหมด เธอจได้ไม่ต้องมีแหล่งข้อมูลที่จะมาศึกษาการใช้เวทย์มนต์โดยไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์อีก และแม้ว่าสิ่งที่เขาคิดออกมานั้นจะเป็นวิธีที่อาจจะได้ผลในการยับยั้งไม่ให้เฮอร์ไมโอนี่แอบฝึกเวทย์มนต์ในแบบที่นายลูเซียสไม่ต้องการได้ก็ตาม แต่ชายผมบลอนด์กลับไม่คิดจะใช้วิธีเหล่านั้นกับเธอ เพราะนอกจากมันจะเป็นวิธีที่ดูอ่อนหัดเกินไปแล้วมันยังไม่สมศักดิ์ศรีของเขาอีกด้วย ตรงกันข้ามเขากลับเลือกที่จะใช้วิธีมาอื่นจัดการกับเรื่องนี้แทน
เพราะแม้จะรู้ดีว่าหญิงสาวตรงหน้าไม่มีทางยอมที่จะตกอยู่ใต้อำนาจของเขาอย่างเต็มใจก็ตาม แต่นายลูเซียสก็ยังคงมีความคิดที่ดื้อดึงไม่แพ้เฮอร์ไมโอนี่ ว่าซักวันเขาจะต้องทำให้เธอกลายเป็นภรรยาที่ยอมเชื่อฟังเขาด้วยความเต็มใจของเธอเองจนได้ หรืออย่างน้อย ๆ เขาก็จะต้องทำให้เธอยอมเชื่อฟังเขาให้ได้ เพราะว่าเขาคงไม่ต้องการจะใช้ชีวิตที่เหลือร่วมกับผู้หญิงที่คอยจะหาขัดขืนเขาในทุก ๆ เรื่องที่เธอสามารถทำได้เป็นแน่ และการที่เขาจะทำเช่นนั้นได้มันคงจะต้องใช้อะไรที่มากกว่าการใช้กำลังอำนาจมาบีบบังคับเธอ เพราะนอกจากมันจะไม่ทำให้เธอยอมทำตามแต่โดยดีแล้ว เธอจะยิ่งพยายามหาทางขัดขืนหรือต่อต้านเขามากกว่าเดิมด้วยซ้ำ และนั่นหมายความว่ามันจะนำมาซึ่งเรื่องปวดหัวอย่างไม่มีหยุดหย่อนสำหรับเขาอย่างแน่นอน
แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังมีทางที่จะทำให้หญิงสาวโอนอ่อนผ่อนตามเขาแต่โดยดี แต่มันอาจจะยากกว่าการใช้กำลังอยู่ไม่น้อย เพราะมันต้องอาศัยสติปัญญาและระยะเวลาพอสมควรทีเดียว แต่นายลูเซียสก็มั่นใจว่าเขาสามารถทำได้ เพราะนอกจากสติปัญญาแล้ว เขาก็ยังมีเวลาอีกเหลือเฟือที่จะจัดการกับความดื้อดึงของหญิงสาวคนนี้อีกด้วย
แต่เมื่อผ่านการครุ่นคิดจนได้บทสรุปออกมาแล้ว ชายผมบลอนด์ก็โน้มร่างลงไปหาร่างของเฮอร์ไมโอนี่ที่กำลังหลับอยู่ พร้อมกับออกแรงอุ้มเธอขึ้นมาจากโต๊ะหนังสืออย่างแผ่วเบา ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ขยับตัวเล็กน้อยเมื่อมือใหญ่ของนายลูเซียสเข้ามาจับเอวของเธอ และเมื่อหญิงสาวรู้สึกตัวขึ้นมาเธอก็พบว่าเธอกำลังอยู่ในอ้อมกอดของลูเซียส มัลฟอยโดยที่เธอไม่รู้ตัวมาก่อน ดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยดูงุนงงอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นตกตะลึงอย่างรวดเร็วเมื่อเธอเห็นร่างตรงหน้า
“คุณ!” เฮอร์ไมโอนี่อุทานขึ้นมาอย่างตกใจ เธอไม่คิดมาก่อนว่าเธอจะหลับไปขณะที่อ่านหนังสือแบบนี้ และที่แย่ไปกว่านั้นก็คือดูเหมือนว่าเธอจะไม่รู้ตัวเลยเมื่อนายลูเซียสเข้ามาในห้องขณะที่เธอหลับ รวมถึงเขาได้อุ้มเธอขึ้นมาจากโต๊ะอย่างที่ทำอยู่ในตอนนี้ด้วย
“นั่นเป็นคำพูดที่ไม่ค่อยสุภาพเท่าไหร่เลยนะ อันที่จริงฉันคิดว่าเธอจะต้อนรับฉันกลับบ้านด้วยคำพูดที่น่าฟังมากกว่านี้เสียอีก” เขาพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มดุจแพรไหม แต่สีหน้าของเขากลับดูเรียบเฉยและยากที่จะอ่าน จนหญิงสาวไม่อาจรู้ได้เลยว่าก่อนหน้านี้เขาโกรธเพียงใดที่ได้ค้นพบว่าเธอตั้งใจเข้ามาหาข้อมูลอะไรในห้องสมุดแห่งนี้
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็คงหวังมากเกินไปแล้วล่ะค่ะ คุณเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่กันคะ” น้ำเสียงของหญิงสาวบ่งบอกถึงความกังวลเมื่อเธอเอ่ยประโยคสุดท้ายขึ้นมา ขณะที่เธอมองเข้าไปในแววตาของสามีแต่เธอก็ไม่อาจเห็นอะไรมากไปกว่าภาพสะท้อนของตัวเธอเองในดวงตาสีเงินของเขาเท่านั้น
“ฉันเข้ามาได้ไม่นานหรอก ว่าแต่เธอกำลังอ่านอะไรอยู่หรือ” นายลูเซียสพูดอย่างลื่นไหลราวกับเขาไม่เคยล่วงรู้มาก่อนเลยว่าหญิงสาวกำลังค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับอะไรอยู่ก่อนหน้านี้ พลางทำท่าทีราวกับเขากำลังจะหันไปมองหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือ!
หัวใจของเฮอร์ไมโอนี่ตกวูบไปอยู่ที่ตาตุ่มเมื่อเห็นว่าเขาทำเช่นนั้น และก่อนที่เธอจะนึกอะไรออกหญิงสาวก็ได้ทำสิ่งที่เธอไม่คิดว่าเธอจะทำได้ลงไป เพราะไม่ทันที่ชายผมบลอนด์จะได้มองเห็นชื่อของหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะได้อย่างชัดเจน มือเล็กของหญิงสาวก็เลื่อนไปกุมหน้าของสามีเอาไว้พร้อมกับที่เธอโน้มใบหน้าไปจูบเขาที่ริมฝีปาก
แม้จะแปลกใจไม่น้อยที่จู่ ๆ เฮอร์ไมโอนี่เป็นฝ่ายเข้ามาจูบเขาก่อน แต่นายลูเซียสก็ตกใจกับการกระทำของภรรยาได้ไม่นานก่อนที่เขาจะจูบเธอตอบและเปลี่ยนจูบที่อ่อนโยนที่หญิงสาวได้เริ่มเอาไว้ให้หนักแน่นมากขึ้น และเมื่อจูบร่างบางในอ้อมแขนจนพอใจแล้วชายผมบลอนด์ก็เม้มริมฝีปากอิ่มของเธอเล่นก่อนจะถอนใบหน้าขึ้นมา และสิ่งที่แรกที่เขาเห็นหลังจากนั้นคือดวงตาสีน้ำตาลที่มีแววสับสนของหญิงสาวที่กำลังมองมาทางเขา
“ฉันคงต้องพูดว่าเธอทำให้ฉันแปลกใจไม่น้อยทีเดียว เฮอร์ไมโอนี่” เขาพูดพลางจ้องมองเธอด้วยแววตาสีเงินล้ำลึก ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่เองรู้สึกว่าเธอหายใจติดขัดเมื่อได้ยินชื่อของเธอออกมาจากริมฝีปากบางของนายลูเซียส แต่หญิงสาวก็ใช้เวลารวบรวมสติอยู่ไม่นานก่อนจะตอบออกมา
“ก็คุณบอกเองนี่คะว่าฉันน่าจะต้อนรับคุณกลับบ้านอย่างสุภาพมากกว่านี้” เธอพูดสิ่งแรกที่เธอคิดออกไปได้ขณะที่สมองของเฮอร์ไมโอนี่ทำงานอย่างหนักเพื่อหาทางเบี่ยงเบนความสนใจของชายตรงหน้าไปจากหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะห่างจากพวกเขาไปเพียงฟุตเดียวเท่านั้น
“หรือคุณไม่ชอบให้ฉันทำอย่างนี้กันคะ” เธอเสริมออกไป และพยายามรักษาสีหน้าเรียบเฉยไว้ แม้ว่าในอกของเธอจะปั่นป่วนอย่างร้ายกาจ เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกที่เธอพูดจาในเชิงยั่วยวนลูเซียส มัลฟอยแบบนี้ และแน่นนอนว่าเธอคงจะไม่มีวันพูดจาในเชิงนี้กับเขาแน่ถ้าหากเธอมีทางเลือกอื่น แม้ว่าชายตรงหน้าจะเป็นสามีของเธออย่างถูกต้องแล้วก็ตาม
หลังจากที่หญิงสาวพูดจบ นายลูเซียสก็ยิ้มบาง ๆ ให้เธอ และนี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นเขายิ้มออกมาจริง ๆ ไม่ใช่รอยยิ้มเย้ยหยัน หรือเยาะเย้ยแบบเดียวที่กับลูกชายของเขาทำเป็นประจำเมื่อทั้งสองเจอกันที่โรงเรียน แต่มันเป็นรอยยิ้มบาง ๆ ที่บ่งบอกว่าเขากำลังพอใจในคำพูดของเธอเมื่อครู่ เพราะเหตุผลบางอย่างรอยยิ้มนั้นกลับทำให้เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกว่าแก้มของเธอร้อนผ่าวอย่างประหลาด
“ฉันไม่ได้ไม่ชอบเลยซักนิด ตรงกันข้ามฉันชอบที่เธอทำอย่างนี้มากจนฉันอยากขอให้เธอต้อนรับฉันกลับบ้านแบบนี้ตลอดไปจะได้ไหม ที่รัก” เขาถาม และเมื่อเห็นว่าหญิงสาวเขินอายกว่าที่จะตอบอะไรออกมาได้จากใบหน้าที่แดงก่ำของเธอ เขาก็ยิ้มให้เธออีกครั้งก่อนจะก้มลงไปจูบเฮอร์ไมโอนี่ที่ริมฝีปากอีกรอบก่อนจะกระซิบกับปากอิ่มสีกุหลาบของเธอว่า
“นี่ก็ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว ฉันมาพาเธอลงไปที่ห้องอาหาร” เขาพูดพลางเริ่มออกมาเดิน ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่มีท่าทีตกใจ
“เดี๋ยวค่ะ คุณจะไม่ปล่อยฉันลงก่อนหรือคะ” หญิงสาวท้วง ก่อนที่นายลูเซียสจะเลิกคิ้วให้เธอ
“ทำไมฉันจะต้องปล่อยเธอลงด้วยล่ะ หรือเธอคิดว่าฉันไม่มีแรงพอจะอุ้มเธอไปถึงห้องอาหารอย่างนั้นหรือ” เขาพูด
“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ ฉันแค่.......” เธอกัดริมฝีปาก ถ้าเป็นคู่สามีภรรยาปกติแล้วมันคงจะโรแมนติกมากถ้าหากสามีของเธอจะอุ้มเธอไปทุกที่ในบ้านแบบนี้ แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็รู้ดีว่าเธอและเขาไม่ใช่คู่สามีภรรยาธรรมดาทั่วไป การแต่งงานของพวกเขาไม่ได้เกิดขึ้นจากความเต็มใจ รวมทั้งมันเป็นการแต่งงานที่ปราศจากความรักอีกด้วย
“คือ…..ฉันชอบเดินเองมากกว่าค่ะ” เธอตอบพลางเงยหน้ามองสามี แต่เขาก็ไม่มีท่าทีว่าจะปล่อยเธอลงแต่อย่างใดขณะที่เขาอุ้มร่างเธอแล้วเดินมาหยุดอยู่ที่ประตูห้องสมุด นายลูเซียสมองหญิงสาวด้วยแววตาพิจารณา
“เธอสามารถได้สิ่งที่เธอต้องการมาอย่างง่ายดาย ที่รัก เพียงแค่เธอขอร้องอย่างสุภาพเท่านั้น” เขาเน้นประโยคสุดท้ายอย่างชัดเจน พลางมองเข้าไปในดวงตาของเฮอร์ไมโอนี่ขณะที่เธอกำลังกัดริมฝีปากอย่างชั่งใจ
“ปล่อยฉันลงเถอะค่ะ ได้โปรด” หญิงสาวพูดออกมา พลางจ้องชายตรงหน้าด้วยดวงตาสีน้ำตากลมโตของเธอ ซึ่งมันทำให้เธอดูน่าเอ็นดูมากในสายตาชายผมบลอนด์ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยเธอออกจากอ้อมแขนแต่อย่างใด
“เธอน่าจะเพิ่มเข้าไปด้วยนะว่าเธอกำลังขอร้องใครอยู่” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่มองนายลูเซียสอย่างโมโหนิด ๆ แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งที่เขาทำพูดมันก็ไม่รุนแรงพอจะทำให้เธอโกรธเขาจริง ๆ ได้บวกกับความจริงที่ว่าเธอไม่มีทางที่จะขัดขืนเขาได้แล้ว หญิงสาวจึงกัดริมฝีปากพูดประโยคที่เธอไม่อยากจะพูดมากที่สุดออกไป
“ได้โปรดปล่อยฉันลงด้วยเถอะค่ะ ลูเซียส” นี่เป็นครั้งแรกที่เฮอร์ไมโอนี่เอ่ยชื่อชายผมบลอนด์ออกไป เพราะที่ผ่านมาเธอไม่เคยเรียกเขาด้วยชื่อต้นมาก่อน ชื่อที่เธอใช้เรียกถ้าไม่เป็นนามสกุลของเขาเธอก็จะเรียกเขาว่า ‘ คุณ ’ เฉย ๆ เท่านั้น และเหตุผลเดียวที่เธอยอมเรียกชื่อต้นของชายตรงหน้าออกไปก็เพราะว่าเธอไม่อาจเรียกเขาด้วยนามสกุลได้อีกต่อไปแล้ว เนื่องจากในตอนนี้เธอได้แต่งงานกับเขารวมทั้งเธอก็ได้กลายมาเป็น ‘ มัลฟอย ’ คนหนึ่งแล้วเหมือนกัน
และความจริงที่ว่าบัดนี้เธอได้เปลี่ยนมาใช้นามสกุลมัลฟอยแล้วนั้นก็ทำให้เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกเย็นยะเยือกไปทั่วสันหลังขณะที่นายลูเซียสปล่อยเธอลงจากอ้อมแขน หญิงสาวรู้สึกหน้ามืดเล็กน้อยเมื่อเท้าของเธอแตะพื้นแต่โชคดีที่ชายผมบลอนด์จับแขนของหญิงสาวไว้และช่วยไม่ให้เธอเซไปมากกว่านี้ และเมื่อเขาแน่ใจว่าเธอกลับมายืนได้อย่างมั่นคงแล้ว เขาจึงพูดขึ้น
“ฉันคิดว่าเราควรจะลงไปที่ห้องอาหารก่อนที่เราจะสายไปมากกว่าดีไหม” เขาพูดพลางยื่นมือมาให้เฮอร์ไมโอนี่จับ หญิงสาวลังเลอยู่เพียงชั่วครู่ก่อนจะวางมือที่ชื้นเหงื่อของเธอลงบนมือใหญ่ของสามีก่อนที่เขาจะพาเธอเดินไปยังห้องอาหาร
…………………………………………….
อาหารมื้อเย็นผ่านไปอย่างไม่มีอะไรพิเศษนัก แม้เฮอร์ไมโอนี่จะรู้สึกผ่อนคลายลงบ้างเมื่อเดรโกไม่ได้มาร่วมทานอาหารเย็นด้วยก็ตาม แต่หญิงสาวก็ไม่อาจรู้สึกเป็นปกติได้เมื่อเธอต้องรับประทานอาหารกับนายลูเซียส อันที่จริงเธอไม่อาจรู้สึกเป็นปกติได้เมื่อต้องอยู่ตามลำพังกับชายผมบลอนด์มากกว่า หลังจากเรื่องทั้งหมดที่เขาทำลงไปกับเธอ ไม่ว่าจะเป็นการบังคับให้เธอแต่งงานกับเขารวมทั้งช่วงชิงสิ่งที่สำคัญมากที่สุดในชีวิตลูกผู้หญิงไปจากเธอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทั้งสองทานอาหารเสร็จและนายลูเซียสพาเฮอร์ไมโอนี่กลับไปยังห้องนอนของพวกเขา หญิงสาวก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันที เพราะการทานอาหารเย็นตามลำพังกับนายลูเซียสนั้นก็ดูจะเป็นเรื่องเล็กไปเลยเมื่อเทียบกับเรื่องที่เธอจะต้องอยู่กับเขาอยู่กับเขาสองต่อสองในห้องนอนตลอดทั้งคืนอย่างนี้
และเมื่อเป็นเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่ที่เห็นสัญญาณอันตรายอย่างชัดเจน จึงพยายามระดมสมองเป็นอย่างหนักเพื่อหาหนทางที่เธอจะหนีรอดไปจากชายผมบลอนด์ได้ แต่หญิงสาวก็ไม่สามารถคิดหาหนทางใด ๆ ได้เลยเมื่อนายลูเซียสพาเธอมาถึงห้องนอน และทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าในห้องและประตูห้องปิดลงนายมัลฟอยก็คว้าร่างเล็ก ๆ ของหญิงสาวเข้ามาไว้ในอ้อมแขนก่อนจะจูบเธอที่ริมฝีปาก
แม้จะตกใจมากกับสิ่งที่เกิดขึ้นก็ตาม แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่ได้ขัดขืนอะไรออกไป อาจจะต้องพูดว่าเธอไม่อาจจะขัดขืนอะไรได้มากกว่าเพราะว่าวงแขนแข็งแรงของร่างใหญ่นั้นกอดรัดร่างเล็กของเธอไว้อย่างแน่นหนาจนเธอไม่อาจจะดิ้นรนหรือขัดขืนได้ขณะที่เขาจูบเธออย่างดูดดื่ม ก่อนจะละจากริมฝีปากอิ่มของหญิงสาวและเลื่อนจูบของเขาลงไปที่ขากรรไกรของเธอไล่ไปจนถึงซอกคอขาวผ่อง
และเมื่อเป็นเช่นนี้เฮอร์ไมโอนี่ก็รู้ดีว่าเธอไม่ปล่อยให้เขารุกรานร่างกายเธอไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว
“อย่าค่ะ” เธอท้วง พลางพยายามดิ้นรน แต่ดูเหมือนชายตรงหน้าจะไม่สนใจคำประท้วงของหญิงสาวเลยแม้แต่น้อย เมื่อเขากระซิบเข้าไปซอกคอที่เต็มไปด้วยรอยจูบของเธอว่า
“ทำไมล่ะ” เขาถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ขณะที่มือใหญ่รั้งเอวของเฮอร์ไมโอนี่เอาไว้และดึงร่างของเธอให้เข้ามาแนบชิดกับร่างของเขามากขึ้น
“ฉัน......ฉันอยากอาบน้ำก่อนน่ะค่ะ” เธอพูดในสิ่งแรกที่คิดออกมาได้ และก็น่าแปลกเหลือเกินที่นายลูเซียสหยุดการกระทำของเขาเพราะคำพูดนั้น ดวงตาสีเงินที่บัดนี้เลื่อนมาอยู่ระดับเดียวกับใบหน้าของหญิงสาวมองเธออย่างพิจารณาก่อนที่เขาจะพูดขึ้นมา
“ก็ได้ ที่รัก ถ้าเธอต้องการอย่างนั้น” เขากระซิบพร้อมกับจูบเฮอร์ไมโอนี่ที่หน้าผาก หญิงสาวรู้สึกว่าใบหน้าของเธอร้อนผ่าวราวกับแดดเผา ราวกับทุกอณูร่างกายของริมฝีปากคู่นั้นของนายลูเซียสสัมผัสนั้นลุกเป็นไฟ เธอไม่ได้พูดอะไรออกไปนอกจากพยักหน้าเบา ๆ และทันทีที่ชายผมบลอนด์ปล่อยเธอออกจากอ้อมกอด เฮอร์ไมโอนี่ก็รีบเดินเข้าห้องน้ำไปโดยที่ไม่ยอมหันไปสบตาของสามีอีกเลย
เมื่อเข้ามาในห้องน้ำได้แล้ว หญิงสาวก็ปิดประตูพร้อมกับล็อกกลอนอย่างแน่นหนาก่อนก็พิงแผ่นหลังของเธอเข้ากับประตูบานใหญ่ที่เชื่อมต่อกับห้องนอนและถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แม้จะรู้ดีว่าการที่เธอทำแบบนี้จะไม่อาจช่วยอะไรเธอได้นอกจากซื้อเวลาให้เธอเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็หวังลึก ๆ ว่ามันอาจจะมีวิธีใดก็ตามที่ทำให้เธอไม่ต้องอยู่ใกล้ชิดผู้ชายคนนี้อีกต่อไป ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นสามีของเธออย่างถูกต้องแล้วก็ตาม แต่หญิงสาวก็หวังเป็นอย่างว่าความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาของทั้งสองจะเกิดขึ้นเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น และหลังจากที่เธอได้ยอมมอบร่างกายของเธอให้กับนายลูเซียสตามข้อตกลงในสัญญาการแต่งงานแล้ว ความสัมพันธ์ลึกซึ้งระหว่างทั้งคู่ก็จะไม่จำเป็นต้องดำเนินต่อไปอีก แต่เห็นได้ชัดเจนว่าชายผมบลอนด์ไม่ได้คิดอย่างเดียวกับเธอเลยแม้แต่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็ยังมีความหวังอยู่ว่าเธอจะสามารถหาทางหลีกเลี่ยงไม่ให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเธอดำเนินต่อไปได้ แม้ว่าเธอจะต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหนก็ตาม
แต่เฮอร์ไมโอนี่กลับไม่รู้เลยว่าในขณะที่เธอกำลังหาทางเพื่อยุติความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาของเธอกับนายลูเซียสอยู่นั้น ชายผมบลอนด์ก็พยายามคิดหาหนทางมาทำให้เธอยอมเชื่อฟังและโอนอ่อนผ่อนตามให้เขาในทุก ๆ เรื่องที่เขาต้องการเช่นกัน
*************************************************
อ่านแล้วมีความเห็นยังไง แชร์กันเข้ามานะคะ ^^
ความคิดเห็น