ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Dark Princess:เจ้าหญิงแห่งความมืด [เฮอร์ไมโอนี่/ลูเซียส]

    ลำดับตอนที่ #12 : Malfoy Manor: คฤหาสน์มัลฟอย

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.96K
      62
      19 ธ.ค. 55

     




    ***Chapter 12 Malfoy Manor: คฤหาสน์มัลฟอย***

     

    หลังจากพยายามใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวอย่างนานที่สุดเท่าที่จะทำได้เฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่อาจหาเหตุผลใด ๆ มาอ้อยอิ่งอยู่ในห้องน้ำนานไปกว่านี้ได้อีกแล้ว  เมื่อเธอตรวจสอบตัวเองในกระจกเป็นรอบที่สามสิบ  และพบว่าภาพที่เห็นก็คือหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังใส่ชุดนอนผ้าไหมที่มีเสื้อคลุมยาวกำลังจ้องตอบกลับมา (เฮอร์ไมโอนี่เจอเสื้อคลุมแขนยาวสำหรับใส่นอนในตู้เสื้อผ้าหลังจากเธอเกือบจะหมดหวังในการหาชุดนอนที่ไม่บางจนเกินไปมาใส่และเกือบจะตัดสินใจหยิบเสื้อผ้าสำหรับใส่กลางวันมาใส่นอนเสียแล้ว) เธอก็จัดเสื้อคลุมด้านหน้าของตนให้เรียบร้อยเป็นครั้งสุดท้ายพลางดึงคอเสื้อที่คว้านต่ำขึ้นมาปกปิดบริเวณเนินอกของตนเองก่อนที่จะสูดลมหายใจลึก ๆ อีกครั้ง  แน่นอนหญิงสาวรู้ดีว่าเธอไม่อาจจะอยู่ในห้องแต่งตัวแบบนี้ไปตลอดทั้งคืนได้  เพราะถ้าเธอใช้เวลาอยู่ที่นี่นานมากกว่านี้นายลูเซียสอาจจะเข้ามาตามเธอถึงในห้องแต่งตัวนี้ก็เป็นได้  แต่ในขณะเดียวกันนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็แอบหวังว่าการอาบน้ำแต่งตัวที่กินเวลายาวนานของเธอจะทำให้สามีของเธอรอคอยไม่ไหวและเข้านอนไปเสียก่อน  แต่หญิงสาวกลับพบว่าเธอคิดผิดโดยสิ้นเชิงเมื่อเธอกลับเข้าไปในห้องนอนและพบว่านายมัลฟอยกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ตรงโซฟาหน้าเตาผิง  ขณะที่มือหนึ่งของเขาถือแก้วเครื่องดื่มเอาไว้

    ชายผมบลอนด์หันมามองทางเฮอร์ไมโอนี่ทันทีที่เขาได้ยินเสียงเปิดประตู  ขณะที่หญิงสาวยืนนิ่งอยู่กับที่ราวกับถูกสะกดเมื่อเขามองมาทางเธอด้วยดวงตาสีเงินลึกลับของเขา  นายลูเซียสสวมเสื้อคลุมสำหรับเข้านอนสีเขียวเข้มที่ทำจากผ้าเนื้อดีเช่นเดียวกับชุดนอนของเฮอร์ไมโอนี่  และเมื่อสังเกตุให้ดีแล้วเธอก็พบว่าปลายผมสีบลอนด์ของเขาเปียกเล็กน้อยซึ่งบอกเธอว่าเขาเองก็เพิ่งอาบน้ำมาเช่นกัน

    “ฉันคิดว่ากำลังจะเข้าไปตามเธออยู่พอดีเชียว  ฉันนึกว่าเธอเป็นลมไปตอนกำลังแช่น้ำร้อนในอ่างเข้าเสียแล้ว” เขาพูดด้วยท่าทีปกติราวกับมันเป็นเรื่องธรรมดาที่สุดที่เขาจะเข้าไปในห้องน้ำที่หญิงสาวกำลังอาบน้ำอยู่  ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมโดยไม่รู้ว่าเธอจะก้าวไปทางไหนหรือควรจะพูดหรือทำอะไรต่อ  อันที่จริงหญิงสาวต้องการจะหนีออกไปจากห้องนี้เพื่อไปให้ไกลจากชายตรงหน้ามากกว่าอะไรทั้งหมด  แต่เธอก็พบว่าเธอไม่สามารถทำได้เมื่อสามีของเธอวางแก้วเครื่องดื่มและหนังสือพิมพ์ในมือลงบนโต๊ะกลางก่อนจะลุกขึ้นจากโซฟาและเดินมาทางเธอ  และเมื่อเฮอร์ไมโอนี่รู้ตัวอีกครั้งร่างใหญ่นั้นก็เข้ามาประชิดตัวเธอเสียแล้ว

    “อยากดื่มอะไรหน่อยไหม” เขาถามอย่างสุภาพ  พลางจ้องมองร่างเล็ก ๆ ตรงหน้าด้วยสายตาเอ็นดูซึ่งมันดูเจ้าเล่ห์มากกว่าอะไรทั้งหมดในสายตาของเฮอร์ไมโอนี่  ขณะที่หญิงสาวใช้เวลาคิดเพียงครู่เดียวก่อนจะตอบออกไป

    “ไม่ค่ะ........อันที่จริง........” คำพูดของเธอเริ่มติดขัดเมื่อร่างใหญ่ของชายผมบลอนด์โน้มเข้ามาใกล้ร่างเล็กของเฮอร์ไมโอนี่  นายลูเซียสโน้มใบหน้าของเขาเข้ามาที่ข้างแก้มของหญิงสาวราวกับเขาต้องการสูดกลิ่นกายที่หอมหวานของเธอ  แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ได้คว้าร่างบางของเธอมาโอบกอดไว้แต่อย่างใด

    “คือ  ฉันจะมาบอกคุณว่าฉันอยากจะกลับไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดต่อเสียหน่อยน่ะค่ะ” เธอพูดและพยายามเบี่ยงตัวหลบใบหน้าของนายมัลฟอยที่บัดนี้อ้อยอิ่งอยู่ข้างแก้มของเธอ  และถอยหลังออกมาอีกก้าวหนึ่ง  ในขณะเดียวกันนั้นนายลูเซียสก็ยิ้มน้อย ๆ ให้กับการเอาตัวรอดของหญิงสาวที่ไม่สู้ฉลาดนักในความคิดของเขา  เธอคิดจริง ๆ หรือว่าเธอจะหนีไปจากเขาได้  รวมทั้งเธอคิดจริง  ๆ อย่างนั้นหรือว่าเขาจะยอมให้เธอแอบฝึกเวทย์มนต์โดยไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์ใต้จมูกของเขาแบบนี้  แน่นอนว่าไม่  เขาไม่ยอมให้เธอทำเช่นนั้นเป็นแน่  รวมทั้งเขาจะไม่ยอมปล่อยเธอออกจากห้องนี้ไปจนกว่าจะถึงเวลาเช้าเท่านั้น

    เมื่อคิดได้เช่นนั้นมือใหญ่ของชายผมบลอนด์ก็เลื่อนไปจับแขนของหญิงสาวไว้ก่อนที่เธอจะมีโอกาสเดินหนีเขาไปไหน  นายลูเซียสมองเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลของภรรยาที่กำลังมองกลับมาที่เขาด้วยแววตาแปลกใจก่อนจะตอบเธอออกไป

    “เธอคงไม่คิดว่าห้องสมุดจะเปิดในเวลากลางคืนแบบนี้หรอกจริงไหม” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มราวกับแพรไหม  แต่แววตาของเขาที่มองมาทางเธอกลับทำให้เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกขนลุก  เธอจ้องเขาตอบด้วยความแปลกใจ 

    “แต่คุณบอกฉันเองไม่ใช่หรือคะว่าฉันสามารถเข้าไปใช้ห้องสมุดได้  เพราะว่า......เพราะว่ามันก็เป็นของฉันเหมือนกัน” หญิงสาวพบว่าตัวเองตอบออกไปเช่นนั้น  และเมื่อเธอมองสบตาของชายตรงหน้า  เฮอร์ไมโอนี่ก็พบว่านายลูเซียสมองเธอด้วยสายตาราวกับต้องการบอกเธอว่าเขารู้เรื่องทั้งหมดที่เธอพยายามจะปิดบังเขาไว้แล้ว

    “ใช่  ฉันพูดอย่างนั้นจริง  ก่อนที่ฉันจะรู้ว่าเธอไปที่ห้องสมุดเพื่อค้นคว้าเรื่องอะไรบ้าง” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ  แต่หญิงสาวกลับรู้สึกเย็นวาบที่สันหลังเพราะคำพูดของเขา

    “คุณรู้อย่างนั้นหรือคะ” เธอกระซิบออกมา  ขณะที่ชายผมบลอนด์ก้าวเข้ามาใกล้เธออีกก้าวจนเธอสัมผัสได้ถึงกลิ่นสบู่จาง ๆ จากร่างกายของเขา

    “เธอคิดว่าฉันโง่พอที่จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในบ้านของฉันบ้างอย่างนั้นหรือ” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา  ราวสามีที่อ่อนโยนและเอ็นดูเธอได้หายไปเพราะเขาได้กลับกลายมาเป็นลูเซียส  มัลฟอยคนเดิมเสียแล้ว  ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกราวกับหัวใจของเธอตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม  แต่ถึงกระนั้นเธอก็พยายามที่จะรักษาท่าทีให้เป็นปกติ  แม้ว่าจริง  ๆ แล้วเธอจะหวาดกลัวมากก็ตาม  โดยเฉพาะเมื่อนายลูเซียสยกมือหนึ่งของเขาขึ้นมาเชยคางของเธอให้เธอเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขา  หลังจากที่เธอหลบสายตาเขาไปมองทางอื่น

    “บอกฉันสิ  เฮอร์ไมโอนี่  เธอคิดว่าฉันจะไม่รู้เลยหรือว่าเธอแอบทำอะไรบ้านของฉันเองน่ะ” เขาถามพลางจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของหญิงสาว  เฮอร์ไมโอนี่มีท่าทีแปลกใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนเธอจะเข้าใจเรื่องทั้งหมด

    “คุณให้เอลฟ์จับตาดูฉันหรือคะ” เธอถามด้วยเสียงแหลมสูง  ราวกับเธอรู้สึกไม่พอใจในความจริงที่เธอเพิ่งค้นพบเป็นอย่างมาก  ขณะที่ชายผมบลอนด์ยังคงจ้องมองหญิงสาวอยู่

    “ฉันยอมรับว่าฉันให้เอลฟ์จับตาดูเธอ  แต่มันไม่ได้มาบอกฉันในเรื่องหนังสือที่เธออ่านวันนี้หรอก” เขาพูดกับสีหน้าที่มีแววสงสัยของภรรยา

    “เธอคิดว่าฉันจะไม่รู้จริง ๆ หรือว่าหนังสืออะไรบ้างที่อยู่บนโต๊ะในตอนที่ฉันไปเจอเธอนอนหลับอยู่ในห้องสมุดน่ะ” นายลูเซียสพูดออกมาตามตรง  ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกว่าแก้มของเธอร้อนผ่าวด้วยความอับอายราวกับเด็กที่ถูกจับได้ว่าทำผิด  แต่แน่นอนว่าสิ่งที่เธอกำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้นั้นมันร้ายแรงมากกว่าการถูกจับได้ว่าทำความผิดเล็ก ๆ น้อยมากนัก

    “ฉัน.....แต่ฉันก็มีสิทธิ์ที่จะค้นคว้ามันไม่ใช่หรือคะ” เธอเถียง  ขณะที่พยายามรักษาสีหน้าให้เรียบเฉย  ทั้งที่จริง ๆ แล้วเธอจะกลัวมากก็ตามที่เขาจับได้ว่าเธอพยายามหาทางศึกษาเวทย์มนต์เพื่อมาใช้ต่อกรกับเขาแบบนี้  เพราะสิ่งสุดท้ายที่เฮอร์ไมโอนี่ต้องการให้เกิดขึ้นในตอนนี้รองจากการที่โวลเดอมอร์ฆ่าแฮร์รี่และยึดครองโลกเวทย์มนต์ได้ก็คือการได้เห็นชายตรงหน้าโกรธนี่แหละ

    และดูเหมือนว่าเธอจะไม่ต้องรอนานเท่าไหร่นักเมื่อความกลัวอีกอย่างหนึ่งของเธอเป็นจริงขึ้นมา  เพราะหลังจากที่หญิงสาวพูดจบ  ชายตรงหน้าก็มองเธอด้วยแววตาที่เกือบจะเรียกไว้ว่าเกรี้ยวกราด  มือใหญ่ที่กุมแขนบอบบางของหญิงสาวไว้บีบมันแน่นราวกับคีมเหล็ก  ความเจ็บปวดแล่นไปตามกระดูกจนเฮอร์ไมโอนี่ต้องครางออกมาเบา ๆ และพยายามดิ้นรนจากการเกาะกุมของสามี  แต่ถึงเธอจะแสดงท่าทีว่าเธอเจ็บปวดออกมาก็ตามมันกลับไม่มีแววปราณีอยู่ในดวงตาสีเงินของนายลูเซียสที่ใช้จ้องมองภรรยาของเขาเลยแม้แต่น้อย  เมื่อเขาโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ร่างบางตรงหน้าก่อนจะจูบเธออย่างหนักหน่วง

     

    หญิงสาวพยายามขัดขืนการกระทำของร่างตรงหน้า  แต่เธอก็ไม่อาจทำอะไรมากไปกว่าดิ้นรนอยู่ภายใต้การเกาะกุมของเขาขณะที่ชายผมบลอนด์จูบเธออย่างรุนแรง  และพยายามจะสอดลิ้นเข้าไปในปากของเธอ  ซึ่งแม้ว่าเฮอร์ไมโอนี่จะพยายามต่อต้านอย่างสุดกำลังเธอก็ไม่อาจต้านทานความต้องการของร่างตรงหน้าได้  เมื่อชายผมบลอนด์จูบร่างเล็กในอ้อมแขนของเขาจนพอใจแล้วเขาก็ถอนใบหน้าออกมา  และสิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือดวงตาสีน้ำตาลที่มีแววเจ็บปวดของเฮอร์ไมโอนี่ซึ่งมองมาทางเขาอย่างเกลียดชัง!

    และเพราะสายตาของหญิงสาวนี้เองที่ทำให้นายลูเซียสรู้สึกผิดกับการกระทำของเขาขึ้นมาในทันที  แม้ว่ามันจะไม่ใช่ความรู้สึกที่เขาได้ประสบบ่อยนักก็ตาม  แต่เขากลับไม่รู้สึกชอบมันเลยแม้แต่น้อย  ตรงกันข้ามชายผมบลอนด์รู้สึกโมโหตัวเองมากกว่าอะไรทั้งหมดที่เขาจะต้องมารู้สึกแบบนี้หลังจากที่เขาเพิ่งจูบภรรยาที่แสนจะดื้อดึงของเขาคนนี้ลงไป  ซึ่งอันที่จริงแล้วมันไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่เขาจะจูบเธอ  ในเมื่อเธอได้ตกเป็นของเขาอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว  รวมทั้งเขาน่าจะโมโหในความดื้อดึงของหญิงสาวคนนี้จนลงโทษเธอหนักกว่านี้ด้วยซ้ำ  แต่มันกลับมีอะไรบางอย่างมาทำให้เขารู้สึกว่าการที่เขาทำรุนแรงกับเธอนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง  ซึ่งความคิดนั้นทำให้เขาหงุดหงิดมากกว่าอะไรทั้งหมด  และหลังจากได้สบดวงตาสีน้ำตาลที่แสดงออกถึงความเสียใจของเฮอร์ไมโอนี่แล้ว  นายลูเซียสก็รู้สึกว่าเขาควรจะต้องพูดอะไรบางอย่างออกไป

     

    เธออาจจะมีสิทธิ์ค้นคว้าข้อมูลในห้องสมุด เขากระซิบกับหญิงสาวอย่างแผ่วเบา  แต่เธอกลับได้ยินมันอย่างชัดเจน “แต่ฉันเองก็มีสิทธิ์ที่จะห้ามไม่ให้เธอทำในสิ่งที่ฉันไม่พอใจในบ้านของฉัน  เธอก็รู้ว่าฉันสามารถห้ามไม่ให้เธอเข้าไปใช้ห้องสมุดอีกเลย  หรือฉันทำได้แม้กระทั่งทำลายหนังสือทุกเล่มที่เธออ่านในวันนี้  เพื่อที่เธอจะได้ไม่ต้องแอบฝึกเวทย์มนต์โดยไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์อีก นายลูเซียสพูดด้วยน้ำเสียงวางอำนาจ  ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ตาโตเพราะคำพูดของสามี  แน่นอนว่าเธอไม่ต้องการให้เขาทำอย่างที่ที่เขาพูดแต่อย่างใด  แต่ก่อนที่เธอจะได้ทักท้วงอะไรออกไปชายผมบลอนด์ก็พูดขึ้นก่อน

    อีกอย่างการกระทำของเธอก็ไม่ได้เป็นการนำประโยชน์ใด ๆ มาให้กับเธอเลย  เพราะถึงเธอจะศึกษาการใช้เวทย์มนต์โดยไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์ได้สำเร็จก็ตาม  แต่มันก็ช่วยให้เธอหนีไปจากที่นี่ไม่ได้อยู่ดี  รวมทั้งเธอไม่สามารถใช้มันมาทำร้ายฉันได้ด้วย เขาพูดกับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น  ราวกับต้องการย้ำเตือนความเป็นจริงที่ว่าถึงแม้เธอจะสามารถใช้เวทย์มนต์โดยไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์ได้อย่างเชี่ยวชาญแล้วก็ตาม  แต่เธอก็ไม่สามารถใช้เพียงเวทย์มนตร์โดยไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์หนีไปจากคฤหาสน์แห่งนี้ได้  รวมทั้งเธอไม่อาจใช้มันทำร้ายนาย มัลฟอยซึ่งอยู่ในฐานะสามีของเธอในตอนนี้ได้เลย  เนื่องจากพันธะสัญญาการแต่งงานระบุไว้อย่างชัดเจนว่าหลังจากแต่งงานไปแล้วเธอซึ่งเป็นภรรยาของนายลูเซียสไม่อาจจะเสกเวทย์มนต์ใด ๆ ขึ้นมาทำร้ายเขาได้  เธอทำไม่ได้แม้กระทั่งขอหย่าขาดจากเขา  แต่ในทางตรงกันข้ามสัญญากลับไม่ได้ระบุห้ามการที่เขาจะเสกเวทย์มนต์ซึ่งมีผลต่อตัวเธอขึ้น  รวมทั้งเขาเป็นเพียงฝ่ายเดียวที่มีสิทธิ์ขอหย่าขาดจากเธอหากเขาต้องการ  นี่ยังไม่นับเรื่องที่เธอไม่อาจหนีไปจากคฤหาสน์หลังนี้ได้  เพราะนอกจากนายมัลฟอยจะคอยให้เอลฟ์จับตาดูเธออยู่ตลอดเวลาแล้ว  แหวนแต่งงานที่อยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายของเธอก็จะเป็นตัวบอกที่อยู่ของเธออย่างแม่นยำมากทีเดียวในกรณีที่เธอเกิดหนีไปได้

     

    หลังจากเข้าใจแล้วว่าการกระทำของเธอเองไม่อาจนำประโยชน์ใด ๆ มาให้กับเธอได้เลย  ตรงกันข้ามมันกลับจะนำความเดือดร้อนมาให้เธอด้วยซ้ำเมื่อชายผมบลอนด์ค้นพบว่าเธอกำลังหาทางขัดคำสั่งเขาแบบนี้  ในตอนนั้นเองเฮอร์ไมโอนี่ก็รู้สึกไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาในทันที  ราวกับว่ามันถึงเวลาแล้วที่เธอจะต้องยอมรับความจริงที่ว่า  ไม่ว่าเธอจะพยายามเพียงใดเธอก็ไม่อาจเอาชนะชายตรงหน้าที่เหนือกว่าเธอทั้งในด้านความคิดและพลังเวทย์มนต์ไปได้  แม้ว่าเธอจะได้ชื่อว่าเป็นแม่มดที่ฉลาดที่สุดในรุ่นรวมทั้งเป็นทายาทของเรเวนคลอก็ตาม  แต่หญิงสาวกลับรู้สึกราวกับเธอเป็นเพียงเด็กที่ไม่ประสีประสาเท่านั้น  เมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับผู้เสพความตายที่รู้ทันเธอราวกับเขาอ่านใจเธอออกแบบนี้  หรือในที่สุดมันถึงเวลาที่เธอจะต้องยอมรับได้แล้วว่าเธออยู่ในการควบคุมของนายลูเซียสในทุก ๆ เรื่องอย่างที่เขาต้องการให้มันเป็นและในอย่างที่เธอขัดขืนไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

    ในขณะเดียวกันนั้นเองชายผมบลอนด์ซึ่งกำลังจ้องมองภรรยาของเขาอยู่ก็รู้สึกพอใจไม่น้อยที่ได้เห็นท่าทีสับสนของหญิงสาว  รอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏขึ้นบนมุมปากของนายลูเซียสเมื่อเขาพบว่าหญิงสาวตรงหน้าไม่อาจหาข้อโต้แย้งใด ๆ มาโต้เถียงเขาได้  และเมื่อเป็นเช่นนั้นเขาจึงใช้มือข้างหนึ่งเชยคางของเธอขึ้นมาและบังคับให้เธอเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขา

    “การกระทำของเธอนั้นไม่ได้เรื่องที่ฉลาดเลย  เพราะนอกจากมันจะไม่นำประโยชน์ใด ๆ มาให้เธอแล้ว มันยังจะทำให้เธอสูญเสียโอกาสที่เธอจะได้ไม้กายสิทธิ์ของเธอคืนอีกด้วย” เขาพูดพลางจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเฮอร์ไมโอนี่  ขณะที่หญิงสาวจ้องเขาตอบด้วยสายตาราวกับเธอไม่เชื่อในสิ่งที่เขาเพิ่งพูดออกมา

    “คุณว่าอะไรนะคะ!” เธอกระซิบ  รอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของชายผมบลอนด์อีกครั้งเมื่อเขามองเธออย่างเอ็นดูพร้อมกับลูบแก้มเนียนของเธอด้วยมืออีกข้างหนึ่ง  เฮอร์ไมโอนี่สะดุ้งเพราะสัมผัสนั้น  แต่เธอก็ไม่ได้ถอยหนีจากเขาแต่อย่างใด

    “ฉันกำลังบอกเธอว่าฉันอาจจะคืนไม้กายสิทธิ์ให้เธอ  ถ้าหากเธอทำตัวดี ๆ และเชื่อฟังที่ฉันพูด” นายลูเซียสพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มราวกับแพรไหม  ขณะที่หญิงสาวรีบถามออกไปทันทีหลังจากที่เขาพูดจบ

    “คุณจะคืนไม้กายสิทธิ์ให้ฉันอย่างนั้นหรือคะ  เมื่อไหร่คะ” เธอถามออกไปอย่างรวดเร็ว  ชายผมบลอนด์มีท่าทีอึดอัดใจเล็กน้อยกับคำพูดของเธอ  แต่เขาก็สามารถรักษาสีหน้าให้เป็นปกติไว้ได้

    แน่นอนว่าไม่ใช่เร็ว ๆ นี้ เขาพูดด้วยท่าทีเรียบเฉย  ขณะที่แววตื่นเต้นบนใบหน้าของเฮอร์ไมโอนี่นั้นจางหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อเธอรู้ว่าเธอได้ตกหลุมพรางที่ชายตรงหน้าวางเอาไว้เสียแล้ว  เพราะเขาไม่ได้ตั้งใจจะคืนไม้กายสิทธิ์ให้เธอจริง ๆ  ตรงกันข้ามเขาแค่ต้องการให้เธอเชื่อเช่นนั้นเพื่อที่เธอจะได้ทำตามที่เขาต้องการทุกอย่าง 

    และเมื่อเห็นสีหน้าผิดหวังระคนโกรธเคืองของหญิงสาวตรงหน้าแล้ว  นายลูเซียสจึงพูดขึ้น

    “ฉันมีความตั้งใจจะคืนไม้กายสิทธิ์ให้เธอ” เขาเอ่ยอย่างหนักแน่น  ขณะที่ใช้มือหนึ่งกุมใบหน้าของเฮอร์ไมโอนี่ให้หันกลับมาสบตาเขาอีกครั้ง  และเมื่อเห็นว่าดวงตาสีน้ำตาลของหญิงสาวมองเขาอย่างไม่ไว้ใจชายผมบลอนด์จึงพูดต่อ

    “แต่ฉันจะคืนไม้กายสิทธิ์ให้เธอเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น  และฉันขอพูดได้เลยว่าฉันไม่ได้มีความตั้งใจที่จะเก็บมันไว้กับฉันตลอดไป” เขากล่าวพลางจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ  แม้ว่าสายตาที่เขาใช้มองมาที่เธอนั้นจะดูหนักแน่นและจริงใจมากก็ตาม  แต่ส่วนลึก ๆ ในสมองของเฮอร์ไมโอนี่ก็ยังคงบอกเธอไม่ให้เชื่อคำพูดของชายตรงหน้าอยู่ดี

    “แล้วเวลาที่เหมาะสมของคุณนั้นมันเมื่อไหร่กันคะ  หลังจากที่พวกคุณชนะสงคราม  หรือว่าหลังจากวันครบรอบแต่งงานปีที่สิบของเรางั้นหรือคะคุณถึงจะคืนไม้กายสิทธิ์ให้ฉันได้!” เธอโต้กลับอย่างเผ็ดร้อน  และคาดเอาไว้ว่าสามีของเธอคงจะต้องโมโหไม่น้อยกับสิ่งที่เธอเพิ่งพูดออกไป  แต่เฮอร์ไมโอนี่กลับคิดผิดเมื่อเธอเห็นว่าร่างใหญ่ตรงหน้าของเธอยังคงมีท่าทีปกติ  ริมฝีปากบางของเขายกสูงในเชิงขบขัน

    “ฉันมั่นใจว่ามันคงเร็วกว่าวันครบรอบแต่งงานปีที่สิบของเราอย่างแน่นอน” เขาพูดพลางมองเธอด้วยสายตาที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกอับอายในสิ่งที่เธอเพิ่งพูดออกไป  ราวกับว่าสิ่งที่เธอเพิ่งพูดออกมานั้นเป็นเรื่องที่น่าขบขันเหลือเกินสำหรับเขา  ในขณะเดียวกันเฮอร์ไมโอนี่กลับพบว่าความคิดที่ว่าการชีวิตแต่งงานของเธอและนายลูเซียสจะยืนยาวไปถึงสิบปีนั้นเป็นสิ่งที่ไม่น่าพิสมัยเลยแม้แต่น้อย  เพราะอย่างน้อย ๆ เธอก็ไม่ต้องการที่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้ชายที่เหมือนปีศาจร้ายคนนี้อีกแม้แต่วินาทีเดียว  แต่หญิงสาวก็รู้ดีว่าเธอไม่มีทางเลือกแต่อย่างใด

     

    หลังจากจมอยู่กับความสับสนอยู่ครู่หนึ่ง  เฮอร์ไมโอนี่ก็รู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อเธอพบว่าแรงบีบที่แขนของเธอได้คลายลง  แต่ร่างใหญ่ตรงหน้ายังคงไม่ยอมปล่อยเธอจากการเกาะกุมแต่อย่างใด  เมื่อเขาเลื่อนมือใหญ่ของเขาไปกุมข้อมือของหญิงสาวไว้ก่อนที่จะพูดขึ้น

    เธอก็น่าจะรู้ว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่จะขัดขืนฉัน เขาเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลหากแต่ฟังดูอันตราย “อันที่จริงเธอน่าจะจำได้นะว่าเธอเคยสัญญากับฉัน  ว่าเธอจะยอมเชื่อฟังฉันทุกอย่างเพื่อแลกกับที่ฉันไว้ชีวิตมาดามมัลกิ้นให้เธอ” ชายผมบลอนด์พูดพลางไล้มือใหญ่ของเขาผ่านไหล่บางที่ถูกปกคลุมไว้ด้วยชุดนอนผ้าไหมเบา ๆ

    แล้วจากที่ฉันเห็น  ฉันก็ไม่คิดว่าเธอได้ทำตามสัญญาเท่าที่ควรเลย  บางทีฉันน่าจะลองใคร่ครวญดูว่าฉันควรจะรักษาสัญญาของฉันต่อไปดีไหม เขาพูดด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์  ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่เบิกตากว้างด้วยความตกใจ  แม้จะรู้ว่ามันเป็นหลุมพรางที่เขาวางไว้ก็ตาม  แต่หญิงสาวก็ไม่มีทางเลือกนอกจากจะเดินลงไปในหลุมพรางนั้นของเขา  อันที่จริงเธอมีทางเลือกที่จะไม่ทำตามที่เขาต้องการ  แต่เธอไม่ต้องการที่จะเลือกเส้นทางนั้นเพราะเฮอร์ไมโอนี่รู้ดีว่าเธอไม่อาจทนเห็นคนบริสุทธิ์อย่างมาดามมัลกิ้นถูกฆ่าได้  แม้ว่าการช่วยชีวิตของหล่อนจะต้องแลกมากับการเสียสละอย่างมหาศาลของหญิงสาวก็ตาม

    “คุณทำอย่างนั้นไม่ได้นะคะ  คุณผิดสัญญาที่ให้ไว้กับฉันไม่ได้!” เธอพูดเสียงแหลม แต่ชายผมบลอนด์ไม่มีท่าทีตกใจแม้แต่น้อยกับท่าทีของภรรยา

    “ฉันบอกเธอแล้วไงที่รัก  ว่าฉันจะรักษาสัญญาของฉันก็ต่อเมื่อเธอทำในแบบเดียวกันเท่านั้น  แต่ถ้าเธอไม่ต้องการที่จะรักษาสัญญาต่อไปก็ไม่มีปัญหา  ฉันจะได้บอกเบลลาทริกซ์ว่าเธอไม่ต้องการจะเก็บมาดามมัลกิ้นไว้เป็นช่างตัดเสื้อคลุมประจำตัวแล้ว” เขาพูดด้วยท่าทีเรียบเฉยราวกับพวกเขาไม่ได้กำลังตกลงอะไรบางอย่างที่เกี่ยวพันถึงชีวิตแม่มดบริสุทธิ์แบบนี้  ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่มองชายที่เปรียบเสมือนปีศาจร้ายตรงหน้าอย่างเกลียดชังระคนโกรธเกรี้ยว

    “คุณกล้าดียังไงถึงทำแบบนี้กัน!  คุณไม่มีวิธีอื่นแล้วเหรอคุณถึงเอาชีวิตของคนอื่นมาข่มขู่ฉันแบบนี้น่ะ!” หญิงสาวพูดออกไปด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง  โดยไม่แม้แต่จะสนใจว่าคำพูดของเธออาจจะทำให้ชายตรงหน้าโกรธ  และมันอาจจะนำความเดือดร้อนมาสู่ตัวเธอแต่อย่างใด  เพราะเธอทนไม่ไหวแล้วที่เขามาคอยขมขู่และบงการเธอในทุก ๆ เรื่องแบบนี้

    “ฉังคงไม่ต้องใช้วิธีนี้กับเธอหรอกถ้าเธอทำตามสัญญาดี ๆ ตั้งแต่แรก  อีกอย่างฉันก็ไม่ได้เป็นคนเริ่มต้นเรื่องนี้ก่อนเลย  แต่เป็นเธอต่างหากที่ขอร้องให้ฉันไว้ชีวิตมาดามมัลกิ้นเอง” เขาพูด  ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกความโกรธที่แล่นผ่านใบหน้าจนเธอแน่ใจว่าตอนนี้ใบหน้าของเธอต้องเป็นสีแดงเหมือนกับที่รอนเป็นเวลาเขาโกรธอย่างแน่นอน  หญิงสาวอยากจะสาปใบหน้าหยิ่งยโสและถือดีของร่างตรงหน้าเหลือเกิน  แต่เธอก็รู้ดีว่าเธอไม่อาจทำเช่นนั้นได้พอ ๆ กับที่การทำร้ายเขานั้นไม่อาจนำประโยชน์ใด ๆ มาให้เธอได้  และยิ่งไปกว่านั้นก็คือการที่เฮอร์โอนี่เพิ่งค้นพบว่าคนที่เธอควรโกรธเคืองไปมากกว่าเขาก็คือตัวของเธอเองที่ยอมให้เขามามีอำนาจอยู่เหนือเธอทุกอย่างแบบนี้!

     

    แม้ว่าเธอจะเพิ่งแต่งงานกับเขาได้เพียงแค่วันเดียวก็ตามแต่เฮอร์ไมโอนี่ก็พอจะอ่านความคิดของชายตรงหน้าออกได้ในบางเรื่อง  เธอสังเกตุว่าเขาจะมีไม่กี่วิธีเท่านั้นในการทำให้เธอทำตามที่เขาต้องการ  หนึ่งในนั้นก็คือการเกลี้ยกล่อมให้เธอทำตามเขา  ถ้าเธอไม่ยอมเขาก็จะใช้กำลังบังคับเธอ  และถ้าหากเธอยังไม่ยอมทำตามที่เขาต้องการแม้จะถูกเขาบังคับแล้วก็ตาม  เขาก็จะใช้วิธีบังคับเธอทางอ้อมโดยการยกเอาความปลอดภัยของคนอื่นมาข่มขู่เธอ  แต่ที่ร้ายไปกว่านั้นก็คือเธอกลับไม่พบหนทางใดที่จะมาขัดขืนอะไรชายตรงหน้าได้เลย  เพราะถึงแม้ว่าเขาจะไม่สามารถใช้กำลังบังคับเธอทางตรงได้  เขาก็สามารถบังคับเธอทางอ้อมโดยการขู่ว่าจะทำร้ายพ่อแม่ของเธอหรือแม้กระทั่งมาดามมัลกิ้นได้อยู่ดี  ดังนั้นเฮอร์ไมโอนี่จึงไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากยอมทำตามที่เขาต้องการเท่านั้น

     

    ประโยคต่อมาที่ชายผมบลอนด์พูดนั้นดูราวกับดังมากจากที่ไกลแสนไกล  แต่น่าประหลาดเหลือเกินที่หญิงสาวกลับได้ยินมันอย่างชัดเจน

    “ฉันจะให้โอกาสเธอเพียงครั้งเดียว  เฮอร์ไมโอนี่  สัญญากับฉันมาว่าเธอจะไม่ค้นคว้าเรื่องการใช้เวทย์มนต์โดยไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์อีก  รวมทั้งเธอจะต้องทำตามที่ฉันต้องการทุกอย่างด้วย  ไม่อย่างนั้น…….” เขาละคำพูดสุดท้ายไว้  แต่เฮอร์ไมโอนี่รู้ดีว่าเขาต้องการจะบอกอะไรกับเธอ  ขณะที่เธอมองชายตรงหน้าด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย  ทั้งโกรธเคือง  สับสน  และหวาดกลัว  แต่หญิงสาวก็ใช้เวลาไม่นานนักในการตัดสินใจครั้งนี้  ราวกับว่าเธอมีคำตอบรอไว้อยู่แล้ว  แถมมันยังเป็นคำตอบที่เขาต้องการจะได้ยินเสียด้วย

    “ตกลงค่ะ” เธอพูดออกไปเรียบ ๆ แต่เมื่อเธอเห็นสายตาของสามีที่มองมา  เฮอร์ไมโอนี่จึงเสริมออกไปว่า “ฉันสัญญาว่าฉันจะไม่แอบศึกษาเวทย์มนต์โดยไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์อีก  แล้วฉันก็จะเชื่อฟังคุณทุกอย่าง  คุณพอใจหรือยัง!” หญิงสาวพูดออกไปอย่างโกรธเคือง  แต่ดูเหมือนว่าชายตรงหน้าจะไม่มีท่าทีไม่พอใจในการกระทำของเธอแต่อย่างใด  ตรงกันข้ามรอยยิ้มมุมปากของนายลูเซียสกลับบอกเธอว่าเขาพอใจในสิ่งที่เธอเพิ่งพูดออกมาเป็นอย่างมาก  จนเฮอร์ไมโอนี่ไม่อาจห้ามตัวเองไม่ให้พูดประโยคต่อไปได้

    “คุณพอใจใช่ไหมคะที่ฉันจะทำตามที่คุณต้องการทุกอย่าง!  คุณพอใจหรือยังที่คุณจะได้บงการชีวิตของฉันตามใจชอบแบบนี้!” เธอตะโกนออกมาอย่างไม่อาจจะควบคุมอารมณ์ได้  หญิงสาวรู้สึกว่าขอบตาของเธอร้อนผ่าวและเมื่อเป็นเช่นนั้นเธอจึงเลือกที่จะหันหลังให้ร่างตรงหน้าก่อนที่เธอจะแสดงความอ่อนแอออกมาให้เขาเห็นอีกครั้ง  ขณะที่ชายผมบลอนด์มองแผ่นหลังที่สั่นเทาของภรรยาอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะตัดสินใจเคลื่อนกายเข้าไปโอบกอดร่างบางนั้นจากทางด้านหลัง  นายลูเซียสแนบใบหน้าของเขาเข้าที่ข้างแก้มของเฮอร์ไมโอนี่  ขณะที่วงแขนแข็งแกร่งของเขาโอบกอดร่างเล็ก ๆ นั้นไว้อย่างแน่นหนาก่อนจะพูดออกมา

     “ฉันจะพอใจมากกว่านี้ถ้าเธอยอมเชื่อฟังฉันทุกอย่างตั้งแต่แรก” เขากระซิบเข้าที่ข้างหูของหญิงสาวในอ้อมแขน  และเมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ตอบอะไรออกมาเขาก็ก้มลงจูบเธอที่แก้มเบา ๆ แต่เมื่อชายผมบลอนด์ทำเช่นนั้นเขาก็พบว่าแก้มของเฮอร์ไมโอนี่เปียกชื้นด้วยน้ำตา  และในวินาทีต่อมาเมื่อนายลูเซียสหันร่างของหญิงสาวให้มาเผชิญหน้ากับเขา  เขาก็ได้เห็นว่าดวงตาคู่สวยของเธอมีน้ำตาคลอเอ่อ  แต่ถึงจะเห็นเช่นนั้นเขาก็ไม่ได้ยื่นมาเช็ดน้ำตาให้เธอแต่อย่างใด  ตรงกันข้ามกับกลับทำเพียงแค่จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเธอเท่านั้น

     “เธอร้องไห้ทำไมกัน” แม้ว่ามันจะเป็นคำถามที่ธรรมดามาก็ตาม  แต่หญิงสาวกลับไม่แน่ใจว่าเธอจะตอบเขาออกไปว่าอะไร 

    “คุณก็รู้ว่าทำไม” เธอพูดเพียงเท่านั้นนั้นก่อนจะเบือนหน้าหนีเขา  แต่เพราะการกระทำนั้นเองมันจึงทำให้เฮอร์ไมโอนี่ไม่มีโอกาสได้เห็นแววสับสนในดวงตาของนายลูเซียสเมื่อเธอเอ่ยถ้อยคำดังกล่าวออกมา  ถ้อยคำที่บอกว่าเธอร้องไห้เพราะการกระทำของเขา  แต่แววตาสับสนนั้นก็ปรากฏอยู่ในดวงตาสีเงินของนายมัลฟอยได้ไม่นานนักเมื่อเขาเอื้อมมือหนึ่งไปเชยคางของหญิงสาวเอาไว้  และบังคับให้เธอหันกลับมาสบตาเขา

    “ฉันรู้ว่ามันยากสำหรับเธอในเรื่องการแต่งงานของเรา.......” ไม่ทันที่เขาจะพูดจบเฮอร์ไมโอนี่ก็ขัดขึ้นก่อน

    “คุณไม่มีวันจินตนาการได้หรอกค่ะว่ามันยากแค่ไหนสำหรับฉัน” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าว ก่อนจะเบือนหน้าหนีเขาอีกรอบ  ขณะที่นายลูเซียสรู้สึกถึงความโกรธที่แล่นผ่านร่างกายของเขาราวกับยาพิษ  แน่นอนว่าเขารู้มาก่อนว่าหญิงสาวที่เขาได้แต่งงานด้วยนี้เป็นคนที่ดื้อดึงเพียงไร  แต่เขาก็ไม่คิดมาก่อนว่าเธอจะมีความสามารถในการทำให้เขาโมโหได้บ่อยขนาดนี้

    แม้ว่าชายผมบลอนด์จะโกรธหญิงสาวตรงหน้ามากแค่ไหน  แต่เขาก็ไม่ต้องการจะทำร้ายเธอซึ่งตอนนี้อยู่ในฐานะภรรยาของเขาแบบนี้  แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ทำอะไรเลยกับความอวดดีของเธอและเมื่อคิดได้เช่นนั้นนายลูเซียสจึงพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า

     

    “งั้นก็ดี  ฉันเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่ามันยากแค่ไหนที่เธอจะต้องมาเป็นภรรยาของฉันแบบนี้” เขาพูดก่อนจะก้มลงจูบหญิงสาวที่ริมฝีปาก  ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่เบิกตากว้างอย่างตกใจ  แม้จะรู้ดีว่าร่างตรงหน้ากำลังทำอะไรกับเธอก็ตาม  แต่เธอก็ไม่อาจจะขัดขืนการกระทำของเขาได้เลย  ไม่ว่าจะเป็นเพราะวงแขนแข็งแรงที่กำลังกอดรัดร่างของเธอไว้ในอ้อมแขนของเขาอย่างแน่นหนา  หรือเป็นเพราะสัมผัสเร่าร้อนจากริมฝีปากของชายตรงหน้าก็ตาม  กว่าจะรู้ตัวอีกทีเธอก็ตกอยู่ใต้การควบคุมของเขาอย่างเบ็ดเสร็จเมื่อเขาเริ่มไล้จูบของเขาไปตามขากรรไกรของหญิงสาว  ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่พยายามเบี่ยงตัวเพื่อหลีกหนีสัมผัสจากร่างตรงหน้าอย่างสุดความสามารถ

    “อย่าค่ะ!” เธอร้อง  แต่ดูเหมือนว่าร่างใหญ่ของนายลูเซียสจะไม่ได้ยินเสียงประท้วงของเธอแต่อย่างใดเมื่อเขาเลื่อนจูบของเขาไปตามขากรรไกรลงของหญิงสาว  และในขณะเดียวกันมือใหญ่ของเขาก็กุมร่างเล็กของภรรยาไว้ในอ้อมแขนอย่างแน่นหนา  ส่วนหญิงสาวนั้นทำได้เพียงแค่ดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขนของเขาเท่านั้น

    “เธอจะขัดขืนไปทำไม  เฮอร์ไมโอนี่” ลูเซียส มัลฟอยกระซิบที่ข้างหูของภรรยาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มประดุจแพรไหม  ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ตัวสั่นเมื่อพบว่าลมหายใจของเขาเป่ารดอยู่ที่ใบหู

    “เธอก็รู้ว่าเธอไม่มีวันหนีไปจากฉันได้” เขาย้ำความจริงที่ไม่น่าพิสมัยเลยแม้แต่น้อยให้เธอฟัง  ซึ่งอันที่จริงแล้วมันเป็นเรื่องที่เธอรู้ดีมาตลอดอยู่แล้ว  เพียงแต่เธอยังไม่สามารถทำใจให้ยอมรับมันได้เท่านั้นเอง  เธอไม่สามารถทำใจยอมรับการที่เธอจะต้องมาเป็นภรรยาของลูเซียส  มัลฟอยได้เลย

    เมื่อเป็นเช่นนั้นหญิงสาวจึงเงยหน้าขึ้นมองร่างตรงหน้าที่กำลังโอบกอดเธอไว้  และสิ่งเดียวที่เธอเห็นก็มีเพียงแค่ดวงตาสีเงินที่เต็มไปด้วยความปรารถนาของนายลูเซียสเท่านั้น

    “แล้วคุณต้องการอะไรจากฉันกันคะ  แค่ที่คุณได้ไปทั้งหมดนี่มันยังไม่พออีกหรือไงคะ  คุณต้องการอะไรจากฉันอีก!” เฮอร์ไมโอนี่พูดออกไปตามตรง  

    “เธอก็รู้ว่าฉันต้องการอะไร  ที่รัก” เขาตอบออกมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลพลางมองเธออย่างสเน่หา  แต่หญิงสาวกลับรู้สึกว่าสายตาของเขาที่มองมานั้นดูเป็นอันตรายมากกว่าอะไรทั้งหมด  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขากระชับวงแขนที่โอบกอดร่างของเธอเข้ามาเพื่อรั้งร่างบางให้มาแนบชิดกับร่างของเขามากขึ้นจนเธอรู้สึกถึงเสียงหัวใจของเขา

    “แล้วถ้าฉันไม่ต้องการมันล่ะคะ  คุณจะบังคับฉันอย่างนั้นหรือคะ” เธอถามออกไปตามตรง  และสิ่งที่เฮอร์ไมโอนี่ได้รับต่อมาก็คือสายตาของชายผมบลอนด์ที่มองเธอราวกับเธอกำลังถามปัญหาที่ทำให้เขาปวดหัว และเมื่อเป็นเช่นนั้นนายลูเซียสก็เริ่มคลายวงแขนของเขาออกจากร่างตรงหน้าเล็กน้อยเพื่อให้เขาสามารถมองใบหน้าเธอได้ชัดยิ่งขึ้น  มือใหญ่ของเขาเลื่อนมาลูบแก้มเนียนของหญิงสาวตรงหน้าอย่างเบามือพลางสำรวจใบหน้างามที่บัดนี้ดูเหมือนแม่แท้ ๆ ของเธออย่างไม่มีผิดเพี้ยน

    “ฉันจะไม่บังคับเธอ  แต่ฉันจะทำให้เธอยอมทำตามฉันแต่โดยดี” เขากระซิบ  พลางมองร่างตรงหน้าด้วยสายตาที่มีความหมาย  

     

    แม้ว่าลูเซียส  มัลฟอยจะเป็นผู้เสพความตายที่เคยทำเรื่องเลวร้ายมามากแล้วก็ตาม  แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่ชอบใช้กำลังบังคับผู้หญิงเรื่องแบบนี้  แม้ว่าเขาไม่มีปัญหากับการใช้กำลังบังคับให้ผู้อื่นทำตามในเรื่องอื่นก็เถอะ  แต่อย่างน้อย ๆ เขาก็ไม่ต้องการทำเช่นนั้นกับเฮอร์ไมโอนี่ที่อยู่ในฐานะภรรยาของเขาแบบนี้  ถึงแม้นายลูเซียสจะยอมรับว่าสิ่งที่เขาได้ทำลงไปกับหญิงสาวคืนแต่งงานของทั้งสองนั้นไม่ได้ต่างจากการบังคับขืนใจเท่าไหร่นัก  แต่ชายผมบลอนด์ก็คิดว่าเรื่องในทำนองนั้นไม่จำเป็นจะต้องเกิดขึ้นอีกหลังจากที่หญิงสาวได้ตกเป็นภรรยาของเขาแล้ว  เพราะเขาแน่ใจว่าต่อจากนี้ไปเขาจะสามารถทำให้หญิงสาวตรงหน้ายอมโอนอ่อนผ่อนตามเขาได้ในทุก ๆ เรื่อง  เพียงแต่มันอาจจะต้องใช้เวลาและความพยายามมากกว่าที่เขาคาดไว้เท่านั้น

    ขณะที่เห็นว่าร่างตรงหน้ากำลังพิจารณาใบหน้าของตนเองอยู่นั้น  เฮอร์ไมโอนี่ก็พูดขึ้นมา

    “ถึงยังไงคุณก็จะไม่ยอมปล่อยฉันไปใช่ไหมคะ” เธอถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าเธอจะได้รับคำตอบอย่างไร  เพราะแน่นอนว่านายลูเซียสไม่มีทางยอมปล่อยเธอไปอย่างแน่นอนไม่ว่าจะเป็นในตอนนี้หรือในอนาคตข้างหน้าก็ตาม  ขณะที่ริมฝีปากของชายผมบลอนด์ยกสูงขึ้นในเชิงขบขันในสิ่งที่เธอเพิ่งพูดออกมา

    “ฉันไม่มีเหตุผลจะต้องปล่อยเธอไปไหน  ในเมื่อเธอแต่งงานกับฉันแล้ว  อีกอย่างฉันก็จะไม่ปล่อยเธอออกจากห้องจนกว่าจะถึงเวลาเช้าเท่านั้น” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มดุจแพรไหมก่อนจะจับมือข้างหนึ่งของหญิงสาวขึ้นมาจูบเบา ๆ โดยไม่ยอมละสายตาไปจากเธอ  เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกว่าหัวใจของเธอแกว่งวูบเพราะสัมผัสของเขา  แม้ว่าเธอจะตกเป็นภรรยาของนายลูเซียสแล้วก็ตามแต่เธอก็ไม่อาจทำใจให้เคยชินกับชายที่อยู่ตรงหน้าได้เลย โดยเฉพาะเมื่อเขาพูดประโยคต่อไปออกมา

    “อันที่จริงฉันว่านี่ก็ดึกแล้ว  เราควรจะไปเข้านอนกันได้แล้ว ที่รัก” เขาพูดพลางก่อนจะออกแรงอุ้มฮอร์ไมโอนี่ไว้พร้อมกับเดินไปที่เตียง  ขณะที่หญิงสาวหวีดร้องเบา ๆ อย่างตกใจก่อนจะพยายามจะขัดขืนเขา  แต่เธอก็ไม่อาจทำอะไรได้มากเนื่องจากเธอรู้ดีว่าถึงเธอจะดิ้นรนเพียงใดเธอก็ไม่อาจหนีไปจากการอ้อมกอดของร่างตรงหน้าได้  พอ ๆ กับที่เธอรู้ดีว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปนั้นไม่ใช่แต่เพียงการนอนหลับเท่านั้น  

    แต่ถึงกระนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่อาจห้ามตัวเองไม่ให้ตื่นตระหนกได้เมื่อชายผมบลอนด์วางร่างของเธอลงบนเตียงก่อนที่เขาจะโน้มใบหน้ามาจูบเธอที่แก้ม  แม้ว่าจะหวาดกลัวในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นอยู่มากก็ตาม  แต่หญิงสาวกลับไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะขยับตัวเมื่อสามีของเธอเลื่อนจูบของเขามาที่ริมฝีปากอิ่มก่อนจะรั้งร่างของเฮอร์ไมโอนี่ลงบนเตียง  หลังจากจูบหญิงสาวในอ้อมแขนจนพอใจแล้ว  ชายผมบลอนด์ก็ละใบหน้าขึ้นมาจากและสิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวของภรรยา

    “เธอกลัวอย่างนั้นเหรอ” เขากระซิบ  แม้ว่าหญิงสาวจะไม่ยอมตอบคำถามเขาก็ตาม  แต่นายลูเซียสก็รู้ดีว่าภรรยาของเขาหวาดกลัวในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นมากแค่ไหน  ถึงแม้ว่าเขาจะเคยพาเธอผ่านมันมาแล้วก็ตามแต่เขาก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นมันไม่ได้มาจากความเต็มใจของเธอทั้งหมดแต่อย่างใด  แต่มันมาจากการที่เขาเร่งรัดเธอและเธอก็ไม่สามารถปฏิเสธเขาได้ต่างหาก

    และเมื่อคิดได้เช่นนั้นนายลูเซียสจึงเอื้อมมือไปลูบศีรษะของร่างเล็กตรงหน้าเบา ๆ ก่อนจะพูดขึ้น

    “เธอก็รู้นี่ว่ามันไม่มีอะไรน่ากลัวเลย  เมื่อฉันพาเธอผ่านมันมาแล้ว” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลพลางมองร่างเล็กในอ้อมแขนของเขาด้วยสายตาอ่อนโยน  ราวกับความรู้สึกของเธอเป็นสิ่งที่เขาห่วงใยมากกว่าอะไรทั้งหมด  และอาจจะเป็นเพราะสัมผัสรวมทั้งสายตาที่อ่อนโยนของเขาที่ทำให้หญิงสาวผ่อนคลายลงได้ไม่ยาก  แม้ว่าความสัมพันธ์ลึกซึ้งระหว่างเขากับเธอที่เพิ่งเริ่มต้นขึ้นเมื่อคืนนั้นจะเป็นสิ่งที่แปลกใหม่สำหรับเฮอร์ไมโอนี่รวมทั้งนายลูเซียสยังทำให้เธอได้สัมผัสกับความรู้สึกที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อนก็ตาม  แต่ความเจ็บปวดก็เป็นประสบการณ์ที่ไม่น่าจดจำนักในเหตุการณ์ครั้งนั้น  แต่เมื่อเธอได้เห็นสายตาที่อ่อนโยนของสามีที่มองมาทางเธอแล้ว  หญิงสาวก็ห้ามไม่ให้ตัวเองรู้สึกปลอดภัยและไว้วางใจชายตรงหน้าได้

     

    อันที่จริงเธอจะไม่ไว้วางใจเขาได้อย่างไรเล่า  ในเมื่อในตอนนี้ชีวิตของเธอในตอนนี้มีแค่เขาเท่านั้นที่เป็นที่พึ่ง  เพราะในโลกด้านใหม่ที่เธอเพิ่งหลงมานี้เธอก็มีแค่เขาเท่านั้นที่ใกล้ชิดกับเธอมากที่สุด  แม้ว่าจริง ๆ แล้วเธอจะต้องการหนีไปจากชายตรงหน้าให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ก็ตาม  แต่ในความเป็นจริงแล้วเฮอร์ไมโอนี่ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้  พอ ๆ กับที่เธอไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าเขาเป็นสมาชิกในครอบครัวที่ใกล้ชิดกับเธอมากที่สุดในโลกของผู้เสพความตายใบนี้

      และเมื่อคิดได้เช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่จึงมองลึกเข้าไปในดวงตาสีเงินที่กำลังจ้องมองเธออย่างโอนโยนแต่แฝงไปด้วยความปรารถนา  ก่อนจะพยักหน้าอย่างแผ่วเบาราวกับเธอได้ยอมรับในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับเธอต่อไปได้แล้ว  ขณะที่นายลูเซียสนั้นมองท่าทีของภรรยาพลางยิ้มให้เธออย่างเอ็นดู  เขาเข้าใจดีว่าทำไมหญิงสาวถึงได้หวาดกลัวในเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นแม้ว่าเธอจะเคยผ่านมันมาแล้วก็ตาม  แต่เพราะหตุนั้นเองมันอาจจะทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัวต่อความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในความสัมพันธ์ครั้งแรกของพวกเขา  แต่แน่นอนว่ามันจะไม่เป็นเช่นนั้นอีกต่อไป  เพราะในตอนนี้เธอไม่ใช่หญิงสาวบริสุทธิ์อีกต่อไปแล้ว  แต่เธอได้ตกเป็นภรรยาของเขาอย่างสมบูรณ์แบบเสียแล้ว  และในตอนนี้เขาก็จะสอนให้เธอได้รู้จักความสุขจากการที่ได้อยู่ในอ้อมกอดของคู่รักโดยที่ไม่มีความเจ็บปวดมาเจือปนแต่อย่างใด

    เมื่อเห็นว่าร่างตรงหน้าไม่มีท่าทีขัดขืนอีกต่อไปแล้วนายลูเซียสก้มลงไปจูบเธอที่แก้มอย่างแผ่วเบา  เขารู้สึกได้ถึงกลิ่นหอมของเนื้อสาวที่ทำให้อารมณ์ภายในกายของเขาพลุ่งพล่าน  และเมื่อเป็นเช่นนั้นชายผมบลอนด์จึงเลื่อนริมฝีปากของเขาไปจูบเฮอร์ไมโอนี่ที่ริมฝีปากอย่างอ่อนโยนก่อนจะรั้งร่างของเธอลงบนเตียงพร้อมกับที่ไฟในห้องดับลง

     

    …………………………………………….

     

     

    ดวงอาทิตย์ที่เพิ่งทอแสงในยามเช้าส่องแสงขึ้นกระทบน้ำค้างที่ประดับอยู่ตามแมกไม้ในสวนของคฤหาสน์มัลฟอยตามมาด้วยเสียงนกร้อง  แต่ดูเหมือนว่าทั้งแสงแดดและเสียงไพเราะของนกเหล่านี้จะไม่สามารถปลุกร่างสองร่างที่อยู่ในห้องนอนใหญ่ของคฤหาสน์ให้ตื่นจากหลับใหลได้

    ภายในห้องนอนที่กว้างขวางใหญ่โตและถูกตกแต่งเป็นอย่างดี  บนเตียงนอนที่กว้างใหญ่ราวกับแท่นบรรทมร่างสองร่างกำลังตระกองกอดกันอยู่บนเตียง  ร่างหนึ่งเป็นร่างของชายวัยกลางคนที่มีผมสีบลอนด์และผิวซีดเผือดซึ่งกำลังนอนหลับอยู่กึ่งกลางของเตียงโดยมีร่างเล็กของหญิงสาวผมสีน้ำตาลอยู่ในอ้อมแขน  ถึงแม้ว่าในตอนนี้จะเป็นเวลาเช้าแล้วก็ตามแต่ดูเหมือนร่างทั้งสองยังจะไม่มีท่าทีว่าจะตื่นจากการหลับใหลแต่อย่างใด และแน่นอนว่าร่างทั้งสองที่อยู่บนเตียงนั้นยังคงจะนอนหลับต่อไปจนกระทั่งแสงแดดในยามสายได้ส่องเข้ามากระทบหน้าต่างห้องนอนทำให้แสงนั้นแยงเข้าตาของเฮอร์ไมโอนี่ที่กำลังนอนหลับอยู่  และเมื่อเป็นเช่นนั้นหญิงสาวจึงกระพริบตาสู้แสงที่แยงเข้ามาก่อนจะลืมตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ และสิ่งแรกที่เธอได้เห็นหลังจากตื่นขึ้นมาก็คือแผ่นอกแข็งแกร่งของลูเซียส  มัลฟอยซึ่งเธอให้มันต่างหมอนหนุนมาตลอดทั้งคืน

    เมื่อเห็นว่าตัวเองกำลังอยู่ในสภาพไหนรวมทั้งอยู่ในอ้อมกอดของใครเฮอร์ไมโอนี่จึงรีบลุกขึ้นจากเตียงในทันที  แต่หญิงสาวกลับไม่สามารถทำเช่นนั้นได้เมื่อเธอพบว่าวงแขนแข็งแรงของนายลูเซียสนั้นโอบกอดเธอไว้อย่างแน่นหนาจนทำให้เธอไม่สามารถลุกขึ้นจากเตียงโดยไม่ทำให้เขาตื่นได้  และเมื่อเป็นเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่จึงหันไปมองทางสามีของเธอที่กำลังนอนหลับอยู่ขณะที่กำลังพยายามยกแขนหนักอึ้งของเขาออกจากร่างของเธอ  โดยไม่ได้มีการคาดหวังใด ๆ เอาไว้ล่วงหน้าหญิงสาวกลับพบว่าเธอได้เห็นภาพที่เธอไม่เคยได้เห็นมาก่อนในชีวิตซึ่งก็คือภาพลูเซียส  มัลฟอยที่กำลังนอนหลับ  และภาพดังกล่าวนั้นก็ทำให้เฮอร์ไมโอนี่ไม่อาจจะละสายตาไปจากมันได้เลย

    เพราะภาพที่เธอกำลังมองอยู่นั้นคือภาพของนายลูเซียสยามหลับใหล  สีหน้าของเขาดูสงบและดูไร้ซึ่งพิษภัยใด ๆ ต่างจากในตอนที่เขาตื่นโดยสิ้นเชิง  จนเฮอร์ไมโอนี่อดไม่ได้ที่จะมองสำรวจใบหน้าของเขายามหลับ  ผมสีบลอนด์ของเขาแผ่กระจายไปทั่วหมอนและไหล่กว้างของเขาเอง  หญิงสาวมองสำรวจร่างตรงหน้าตั้งแต่ดวงตาสีเงินที่ดูเย็นชาซึ่งซ่อนอยู่ภายใต้หนังตา  จมูกโด่งเป็นสัน  และริมฝีปากบางที่เคยจูบแทบจะทุกส่วนของร่างกายของเธอเรื่อยมาจนถึงแผ่นอกที่แข็งแกร่งของเขาซึ่งโผล่พ้นผ้าห่มออกมา  และเพราะเหตุผลบางอย่างที่เธอเองก็ไม่อาจอธิบายได้เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกว่าใบหน้าของเธอร้อนผ่าวขึ้นมาทันทีเมื่อเธอมองร่างเปลือยท่อนบนของชายตรงหน้า  ถึงแม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอเห็นร่างกายกึ่งเปลือยของสามีก็ตาม  แต่ครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นร่างกายท่อนบนของเขาอย่างชัดเจนภายใต้แสงสว่างในยามกลางวันแบบนี้  ซึ่งแน่นอนว่าชายผมบลอนด์นั้นมีรูปร่างที่ดีมากแม้ว่าอายุของเขาจะล่วงเลยเข้าเลขสี่มาแล้วก็ตาม  แต่นายลูเซียสก็ยังมีร่างกายที่ผู้ชายทุกคนปรารถนาอยากจะมีอยู่  อีกทั้งมันก็เป็นรูปร่างที่ผู้หญิงทุกคนปรารถนาให้คู่รักของพวกเธอมีด้วย  และถึงแม้ว่าเฮอร์ไมโอนี่จะไม่เต็มใจกับการแต่งงานครั้งนี้รวมทั้งเธอคิดว่าตัวเองไม่มีวันจะมาหลงเสน่ห์ชายตรงหน้าได้ก็ตาม  แต่หญิงสาวก็ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าในตอนนี้หัวใจของเธอเต้นแรงเพียงเพราะได้เห็นร่างกายเปลือยท่อนบนของเขาแบบนี้

    หลังจากเสียเวลาในการพิจารณาร่างกายของนายลูเซียสอยู่พักหนึ่ง  เฮอร์ไมโอนี่ที่เพิ่งรู้สึกตัวก็รีบเสมองไปทางอื่นทันทีก่อนจะพยายามยกแขนของร่างตรงหน้าออกจากร่างกายของเธออีกครั้งเพื่อที่เธอจะได้ลุกไปจากที่นอนก่อนที่เขาจะตื่นได้  แต่หญิงสาวกลับพบว่าตัวเองทำไม่สำเร็จเพราะเมื่อเธอกำลังพยายามจะยกแขนที่หนักราวกับท่อนซุงของเขาออกจากร่างเธอ  ชายผมบลอนด์ก็ขยับตัวเล็กน้อย  เฮอร์ไมโอนี่จึงต้องหยุดการกระทำของเธอแต่มันก็สายไปเสียแล้วเพราะในวินาทีต่อมาร่างใหญ่ตรงหน้าก็ลืมตาขึ้น

    นายลูเซียสลืมตาขึ้นและกระพริบตาสองสามครั้งเพราะแสงที่เจิดจ้าในยามสายซึ่งส่องมาจากหน้าต่าง และเมื่อสายตาของเขาเริ่มปรับเข้ากับแสงสว่างภายในห้องได้แล้ว  ชายผมบลอนด์ก็หันมายังหญิงสาวในอ้อมแขนซึ่งตื่นอยู่ก่อนหน้านั้นและกำลังกอบผ้าห่มขึ้นปกปิดร่างกายของเธอจากสายตาของเขาอยู่ซึ่งชายผมบลอนด์ก็ยิ้มออกมาน้อย ๆ เมื่อเขาเห็นท่าทีนั้นของเฮอร์ไมโอนี่

     

    “อรุณสวัสดิ์” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำและฟังดูง่วงงุน  ก่อนจะโน้มร่างเข้ามาจูบเธอที่ริมฝีปากเบา ๆ ในขณะที่เฮอร์ไมโอนี่หลับตาลงเมื่อริมฝีปากของสามีแตะเข้ากับริมฝีปากของเธอ  หญิงสาวรู้สึกราวกับขนทั้งร่างกายของเธอลุกชันเพียงเพราะสัมผัสนั้นของเขา  และเมื่อชายผมบลอนด์ละริมฝีปากของเขาออกมาจากเธอแล้วเขาก็พูดขึ้น

    “นี่กี่โมงแล้ว” เขาพูดพลางมองไปยังนาฬิกาแบบลูกตุ้มทรงโบราณที่ตั้งอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง  และเมื่อเขาทำเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่ที่มองตามสายตาของเขาไปก็พบว่าตอนนี้เป็นเวลาเกือบเก้าโมง  ซึ่งเลยเวลาอาหาเช้าไปเกือบหนึ่งชั่วโมงแล้ว  แต่เมื่อเธอหันกลับไปมองชายผมบลอนด์  เขากลับไม่มีท่าทีตกใจเลยแม้แต่น้อย  ตรงกันข้ามเขากลับล้มตัวลงนอนตามเดิมราวกับว่าพวกเขาทั้งสองไม่ได้ตื่นสายจนเลยเวลาอาหารเช้าแต่อย่างใด  และที่สำคัญเขากลับรั้งร้างของหญิงสาวให้ลงมานอนเคียงข้างเขาด้วยขณะที่เธอพูดขึ้น

    “เราตื่นสายแล้วนะคะ” เธอท้วงออกมาอย่างตื่น ๆ ราวกับว่าเธอเป็นเด็กนักเรียนที่ตื่นสายจนไปเข้าชั้นเรียนในตอนเช้าไม่ทัน  แต่ดูเหมือนสามีของเธอจะไม่ยี่หระในเรื่องนั้นเลยแม้แต่น้อย

    “ไม่เป็นไรหรอก วันนี้ฉันไม่ต้องออกไปไหน” เขาพูดพลางโอบกอดเธอด้วยแขนข้างหนึ่ง  แต่เฮอร์ไมโอนี่ยังคงไม่ยอมละเลิกความพยายามของเธอ

    “แต่เราต้องลงไปทานอาหารเช้านะคะ” เธอกล่าวราวกับการยึดมั่นในกฎเกณฑ์ที่สามีของเธอได้ตั้งไว้นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด  แต่ในภายหลังหญิงสาวก็คิดได้ว่าการยืนกรานที่จะทำตามกฎที่ชายตรงหน้าได้วางเอาไว้นั้นไม่ใช่สิ่งที่เธอควรทำเลยแม้แต่น้อย

    “เธอหิวแล้วอย่างนั้นหรือ” เขาถามขึ้น  ขณะที่หญิงสาวกระพริบตาอย่างแปลกใจ

    “ฉัน.....” เธอไม่แน่ใจว่าจะตอบอะไรออกไปดี  และเมื่อได้เห็นท่าทีลังเลของภรรยาแล้วนายลูเซียสจึงตะโกนขึ้น

    “ทิสซี่!” เขาพูดเสียงดัง  ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่เบิกตากว้างอย่างตกใจก่อนจะรีบดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างกายของเธอจนถึงคอขณะที่เธอร้องออกมาว่า คุณทำอะไรน่ะ!’ เนื่องจากเธอไม่คิดมาก่อนว่าเขาจะกล้าเรียกเอลฟ์มาหาเขาถึงห้องนอนในตอนที่ทั้งสองอยู่ด้วยกันบนเตียงนอนแบบนี้  แต่หญิงสาวก็ไม่อาจทำอะไรได้เมื่อเอลฟ์ร่างเล็กปรากฏตัวขึ้นข้างเตียงฝั่งที่นายลูเซียสนอนอยู่พร้อมกับเสียงดังป็อป

    “นายท่านมีอะไรให้ทิสซี่รับใช้เจ้าคะ” เอลฟ์พูดขึ้นพลางค้อมศีรษะลงต่ำ  ก่อนที่นายมัลฟอยจะสั่งมันด้วยน้ำเสียงปกติราวกับพวกเขากำลังอยู่ในห้องอาหารในเวลาอาหารเช้า  

    “พวกแกเตรียมอาหารเช้าไว้พร้อมหรือยัง”

    “พวกเราเตรียมอาหารเช้าไว้ให้นายท่านกับนายหญิงพร้อมแล้วเจ้าค่ะ” ทิสซี่ตอบด้วยเสียงแหลมเล็ก

    “แล้วนายน้อยล่ะ” ชายผมบลอนด์ถาม  น้ำเสียงของเขาดูสุขุมมากขึ้นเมื่อเอ่ยถึงเดรโกผู้เป็นลูกชาย

    “นายน้อยออกไปจากคฤหาสน์แต่เช้าแล้วเจ้าค่ะ” เอลฟ์ตอบ  และเฮอร์ไมโอนี่ก็ได้ยินเสียงถอนหายใจจากร่างใหญ่ที่นอนอยู่ข้าง ๆ เธอ  แน่นอนว่านายลูเซียสคงหนักใจในเรื่องของเดรโกไม่น้อยเพียงแต่เขาไม่ยอมแสดงความรู้สึกในเรื่องนี้ออกมาเท่านั้น  เพราะน้ำเสียงของเขายามที่เอ่ยประโยคต่อไปออกมานั้นฟังดูเกือบจะเหมือนปกติทุกอย่าง

    “ฉันกับนายหญิงจะลงไปทานอาหารอีกไม่เกินหนึ่งชั่วโมง  พวกแกเตรียมอุ่นอาหารเอาไว้ด้วย  แล้ววันนี้ฉันจะพานายหญิงไปชมรอบ ๆ คฤหาสน์  แกเตรียมเฮอร์มีสเอาไว้ด้วยล่ะ” เขาสั่งเรียบ ๆ แม้ว่าหญิงสาวจะไม่เข้าใจในสิ่งที่ชายผมบลอนด์พูดในประโยคสุดท้ายก็ตาม  แต่เธอก็ไม่ได้ถามอะไรออกไป ส่วนทางทิสซี่นั้นก็รีบรับคำสั่งของเจ้านายอย่างกระตือรืนร้น  เอลฟ์ก้มศีรษะลงต่ำในเชิงทำความเคารพอย่างเช่นตอนที่มันปรากฏตัวขึ้นก่อนจะหายไปพร้อมกับเสียงดังป็อป

    หลังจากที่ทิสซี่ออกจากห้องไปแล้ว  นายลูเซียสก็หันมาทางเฮอร์ไมโอนี่ที่อยู่ข้าง ๆ และริมฝีปากบางของเขาก็ยกสูงขึ้นเมื่อพบว่าใบหน้าของหญิงสาวแดงก่ำราวกับไข้ขึ้น  แต่เขาก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรออกมา ตรงกันข้ามนายลูเซียสกลับโน้มใบหน้าเข้าไปจูบแก้มแดงก่ำของภรรยาเบา ๆ ซึ่งมันส่งผลให้ใบหน้าของเธอแดงก่ำยิ่งขึ้นกว่าเดิม  และเพราะท่าทีเขินอายของหญิงสาวนั้นเองมันทำให้ชายผมบลอนด์รู้สึกเอ็นดูเธอจนเขาอดไม่ได้ที่จะเลื่อนจูบของเขาไปที่ริมฝีปากของเฮอร์ไมโอนี่แทน

    จูบครั้งนี้นั้นล้ำลึกมากกว่าจูบอรุณสวัสดิ์ที่เขามอบให้เธอนัก  เมื่อนายลูเซียสทาบริมฝีปากของเขาลงบนริมฝีปากอิ่มของร่างบางอย่างหนักแน่นขณะที่เขาเคลื่อนกายเข้ามาคร่อมร่างของเธอไว้และจูบเธออย่างเร่าร้อนโดยที่หญิงสาวไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด  แต่เมื่อเธอพบว่าจูบของชายผมบลอนด์เริ่มเลื่อนต่ำลงมาที่ซอกคอของเธอเฮอร์ไมโอนี่จึงรีบผลักร่างใหญ่ตรงหน้าออกทันที  และเมื่อเธอทำเช่นนั้นนายลูเซียสก็เงยหน้าขึ้นสบตาเธอ

    “อย่าค่ะ  ฉันว่าฉันหิวแล้วค่ะ” เธอกระซิบขึ้นมาอย่างรวดเร็ว  แน่นอนว่าทั้งชายผมบลอนด์และตัวหญิงสาวเองต่างรู้ดีว่าสิ่งที่เธอพูดมานั้นเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น  แต่ถึงกระนั้นสามีของเธอก็ยอมตามใจเธอแต่โดยดีเมื่อเขาละจากร่างบางพลางพูดขึ้น

    “ก็ได้ที่รัก งั้นเราไปทานอาหารเช้ากัน” นายลูเซียสพูดก่อนจะลุกขึ้นจากเตียง

     

    …………………………………………….

     

    ทั้งสองใช้เวลาไม่น้อยกว่าจะลงมาถึงห้องอาหารได้  ซึ่งก็เป็นเพราะเฮอร์ไมโอนี่ไม่ยอมเข้าไปใช้ห้องน้ำพร้อม ๆ กับนายลูเซียส  แม้ว่าภายในห้องน้ำที่เชื่อมต่อกับห้องนอนของทั้งสองนั้นจะมีห้องอาบน้ำแยกออกไปถึงสองห้องซึ่งพอที่จะให้พวกเขาใช้ห้องน้ำในเวลาเดียวกันได้  แต่หญิงสาวก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่ดีที่ต้องใช้ห้องน้ำในเวลาเดียวกับนายลูเซียส  แม้ว่าห้องอาบน้ำที่ว่าจะมีกระจกแบบทึบกั้นอยู่อย่างมิดชิดก็ตาม

    หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วทั้งเฮอร์ไมโอนี่และนายลูเซียสก็เดินลงมาที่ห้องอาหารด้วยกัน  อาหารเช้านั้นผ่านไปอย่างไม่มีอะไรพิเศษมากนัก  แม้ว่าความตึงเครียดของหญิงสาวจะคลายลงไปบ้างแล้วก็ตามหลังจากที่เธอได้ใช้ชีวิตอยู่ในคฤหาสน์มัลฟอยมามากกว่าหนึ่งวันแล้ว  แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่อาจรู้สึกผ่อนคลายได้อย่างแม้จริงเมื่อต้องอยู่ต่อหน้านายลูเซียส  ดังนั้นอาหารเช้าของพวกเขาจึงดำเนินไปอย่างราบเรียบและค่อนข้างจะเงียบเชียบ  เพราะไม่มีใครเปิดปากพูดอะไรออกมานัก  จนกระทั่งหลังจากที่หญิงสาวเริ่มอิ่มแล้ว  สามีของเธอก็เอ่ยปากพูดขึ้น

    “วันนี้ฉันไม่ต้องออกไปไหน....” เขาเริ่มต้นประโยคอย่างราบเรียบด้วยถ้อยคำที่เธอรู้มาก่อนอยู่แล้ว ก่อนที่จะจิบชาเข้าไปอีกอึกก่อนจึงพูดต่อ “ฉันเลยคิดว่าวันนี้ฉันน่าจะว่างพาเธอไปชมคฤหาสน์”

    “แล้วการที่คุณจะพาฉันชมคฤหาสน์มันมีอะไรเกี่ยวกับคนชื่อเฮอร์มีสหรือเปล่าคะ” เธอถามออกมาในทันทีราวกับว่าการชอบถามในสิ่งที่สงสัยเป็นนิสัยที่ฝังรากลึกในตัวของเธอเสียแล้ว  แต่แทนที่นายลูเซียสจะรู้สึกไม่พอใจกับการตั้งคำถามในทุกเรื่องที่เธอสงสัยของหญิงสาว  เขากลับยิ้มน้อย ๆ ด้วยท่าทีขบขันราวกับเธอเป็นเด็กที่พูดอะไรบางอย่างผิดอย่างน่าเอ็นดู

    “เดี๋ยวเธอก็ได้เห็นเองแหละ  ว่าแต่เธออิ่มแล้วใช่ไหม” เขาถามอย่างสุภาพเมื่อเห็นหญิงสาวเช็ดปากของเธอกับผ้าเบา ๆ และเมื่อเห็นว่าเฮอร์ไมโอนี่พยักหน้าให้เขารวมทั้งเห็นว่าเธออิ่มจากการทานอาหารเช้าแล้วจริง ๆ ชายผมบลอนด์จึงลุกขึ้นจากเก้าอี้และยื่นมือมาให้หญิงสาวจับ

    เฮอร์ไมโอนี่มีท่าทีลังเลอยู่เพียงครู่เดียวก่อนที่จะวางมือของเธอลงบนมือใหญ่ของสามีเพื่อให้เขาพาเธอเดินออกจากห้องอาหารไป  แต่หญิงสาวกลับต้องแปลกใจเมื่อเธอพบว่านายลูเซียสพาเธอเดินผ่านห้องโถงออกไปนอกคฤหาสน์  แต่ถึงจะเห็นสายตาของภรรยาที่มองมาอย่างแปลกใจก็ตามชายผมบลอนด์ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปหรือหยุดเดินแต่อย่างใด  จนกระทั่งเมื่อทั้งสองได้เดินออกมาภายนอกคฤหาสน์คำตอบที่เฮอร์ไมโอนี่กำลังสงสัยอยู่นั้นก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเธอ  เพราะในลานกว้างเบื้องหน้าคฤหาสน์นั้นมีม้าตัวหนึ่งกำลังยืนอยู่อย่างสง่างามท่ามกลางแสงแดดอ่อน ๆ ของฤดูใบไม้ร่วง  ขณะที่หญิงสาวมองภาพตรงหน้าอย่างตกตะลึงก่อนจะหันไปทางสามีของเธอด้วยความประหลาดใจ

    “ฉันจะพาเธอชมรอบ ๆ คฤหาสน์ก่อน  ซึ่งมันคงต้องใช้เวลาทั้งวันแน่ถ้าหากเราเดินกันไป” เขาอธิบายอย่างมีเหตุผล  แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่อาจทำให้ความสงสัยของเฮอร์ไมโอนี่หมดไปได้แต่อย่างใด

    “เรื่องนั้นฉันเข้าใจค่ะ  แต่ฉันไม่คิดมาก่อนว่าคุณ....จะขี่ม้าเป็นด้วย” เธอพูดพลางผายมือไปยังม้าสีเทาตัวใหญ่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าทั้งสอง  แม้ว่าจะแปลกใจกับสิ่งที่เห็นมากก็ตามเพราะเธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าคนอย่างลูเซียส  มัลฟอยจะมีม้าอยู่ในครอบครองรวมทั้งเขาจะสนใจการขี่ม้าซึ่งเป็นกิจกรรมของพวกมักเกิ้ลด้วย  แต่หญิงสาวก็พอจะดูออกว่าม้าตัวนี้เป็นม้าชั้นดีเช่นเดียวกับสมบัติทุกอย่างที่อยู่ในการครอบครองของนายมัลฟอยซึ่งล้วนแต่เป็นของชั้นดีและมีราคาทั้งสิ้น  ในขณะที่สามีของเธอมีสีหน้าเหมือนเธอเพิ่งพูดอะไรที่หยาบคายออกมา

    “แน่นอนว่ามัลฟอยทุกคนขี่ม้าเป็น  มันไม่ใช่เรื่องแปลกเลย” เขาพูดอย่างไว้ตัว  ราวกับเขาภาคภูมิใจอย่างมากในความเป็นมัลฟอยของตัวเอง  ขณะที่หญิงสาวที่เพิ่งเปลี่ยนมาเป็นคุณนายมัลฟอยคนใหม่อย่างเธอยังอดไม่ได้ที่จะมองสามีของเธอสลับกับมองม้าตัวนั้นอย่างแปลกใจ  แต่อยู่ ๆ เฮอร์ไมโอนี่ก็รู้สึกราวกับมีใครมีกดสวิตส์ไฟในสมองของเธอเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมองนายลูเซียสอีกครั้งก่อนจะพูดขึ้น

    “คุณนั่นเอง” เธอพูดด้วยน้ำเสียงราวกับเธอเพิ่งค้นพบวิธีปรุงยาเสริมกำลังแบบใหม่  และเมื่อชายผมบลอนด์มองเธออย่างไม่เข้าใจ  เธอก็พูดต่อ

    “คุณใช่ไหมคะที่เป็นคนเสกผู้พิกทักษ์ที่เป็นม้าขึ้นในกองปริศนา” เธอถามขึ้นด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น

    เฮอร์ไมโอนี่จำได้ดีว่าในตอนแรกที่เธอถูกล่อเข้าในกองปริศนาและผู้คุมวิญญาณปรากฏตัวขึ้นนั้นมีผู้พิทักษ์รูปร่างเป็นม้าปรากฏตัวขึ้นและช่วยเธอจากผู้คุม  รวมทั้งนำเธอไปยังชั้นที่มีลูกแก้วพยากรณ์ของเธออยู่ด้วย  ซึ่งในตอนนั้นหญิงสาวไม่ได้คิดเลยว่าคนที่เสกผู้พิทักษ์เพื่อช่วยชีวิตเธอไว้นั้นจะเป็นลูเซียส  มัลฟอย  แต่เมื่อลองพิจารณาจากการที่เขาเป็นคนหลอกเธอเข้าไปในกองปริศนารวมทั้งใช้ผู้พิทักษ์ของเขาหลอกล่อเธอไปหยิบลูกแก้วพยากรณ์ขึ้นมาซึ่งส่งผลทำให้เธอต้องถูกบังคับให้แต่งงานกับเขาในเวลาต่อมาแล้ว  เฮอร์ไมโอนี่ก็รู้สึกว่าการที่เขาช่วยเธอไว้จากผู้คุมวิญญาณนั้นเป็นเรื่องที่เล็กน้อยไปเลยทีเดียว  ขณะที่นายลูเซียสมองเธอด้วยท่าทีแปลกใจ

    “ฉันนึกว่าเธอรู้เรื่องนี้แล้วเสียอีก” เขาพูด  พลางพาหญิงสาวเดินไปยังม้าตัวนั้นซึ่งน่าจะมีชื่อว่า เฮอร์มีส แต่ถึงเธอเพิ่งจะรู้เรื่องก็ตาม  มันก็ยังไม่สายเกินไปที่จะขอบคุณฉันหรอกนะ เขาพูดพลางมองหน้าเธอด้วยสีหน้าและแววตาแบบมัลฟอยของแท้  และเมื่อเห็นว่าเฮอร์ไมโอนี่ไม่มีท่าทีว่าจะพูดอะไรออกมา  ชายผมบลอนด์ก็ยิ้มมุมปากกับท่าทีของหญิงสาว  และโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้าหรือการให้โอกาสเธอตั้งตัวแต่อย่างใดเขาก็ออกแรงอุ้มร่างบางไว้และยกเธอขึ้นนั่งบนหลังม้าโดยไม่สนใจเสียงหวีดร้องด้วยความตกใจของเธอแต่อย่างใด

    และเมื่อแน่ใจว่าภรรยาของเขาได้ขึ้นไปนั่งบนหลังม้าเรียบร้อยแล้ว  นายลูเซียสก็ปีนตามขึ้นไปอย่างรวดเร็ว  วงแขนแข็งแกร่งของเขาโอบกอดร่างเล็ก ๆ ที่สั่นเทาของหญิงสาวไว้ก่อนจะกระซิบเข้าที่ข้างหูของเธอ

    “เธอไม่เคยขี่ม้ามาก่อนอย่างนั้นหรือ” เขาถามด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์แม้ว่าจะรู้คำตอบจากท่าทีของเฮอร์ไมโอนี่แล้วก็ตาม  ขณะที่หญิงสาวสั่นศีรษะน้อย ๆ อย่างหวาดกลัว  อันที่จริงเธอเคยลองขี่ม้ามาก่อนในช่วงปิดเทอมฤดูร้อนแต่เธอมีประสบการณ์ที่ไม่ดีนักกับการขี่ม้า  จนหญิงสาวคิดว่าถ้าหากเธอต้องเลือกระหว่างการขี่ม้ากับการขี่ไม้กวาดล่ะก็ เธอยอมเลือกการขี่ไม้กวาดเสียดีกว่า  เพราะเธอคิดว่าการฝากชีวิตไว้กับวัตถุที่ถูกกำกับเวทย์มนต์ให้บินได้นั้นมีความเสี่ยงน้อยกว่าการจะฝากชีวิตไว้กับสัตว์ร่างใหญ่ที่พร้อมจะพยศได้ทุกเมื่อหากผู้ขี่ทำอะไรผิดพลาดลงไปอย่างแน่นอน 

    ส่วนทางด้านนายลูเซียสนั้นเมื่อเห็นว่าภรรยาของเขาไม่ได้ตอบอะไรออกมามากกว่าการสั่นศีรษะอย่างหวาดกลัวเขาจึงตัดสินใจพูดอะไรบางอย่างที่น่าจะทำให้เธอมั่นใจและคลายความกังวลลงไปได้ออกไป

    “ไม่ต้องกลัวหรอก  ฉันไม่ทำเธอร่วงอย่างแน่นอน” เขากระซิบเข้าที่ข้างหูของหญิงสาวที่กำลังนั่งอยู่เบื้องหน้าเขาจนเฮอร์ไมโอนี่สัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนผ่าวของเขาที่ปะทะอยู่ที่ข้างแก้ม  ก่อนที่นายลูเซียสจะดึงสายบังเหียนเบา ๆ และเจ้าเฮอร์มีสก็เริ่มออกเดิน

     

    …………………………………………….

     

    แม้ว่าการอยู่บนหลังม้าจะเป็นสิ่งที่เฮอร์ไมโอนี่กลัวมากกว่าการบินก็ตาม  แต่ความกลัวและความประหม่าที่ต้องขี่ม้าไปกับลูเซียส  มัลฟอยโดยที่แผ่นหลังของเธอแทบจะแนบชิดกับแผ่นอกของเขานั้นดูเหมือนจะจางหายไปบางส่วนเมื่อหญิงสาวได้เห็นทิวทัศน์ที่งดงามภายในอาณาเขตที่กว้างใหญ่ของคฤหาสน์มัลฟอยแห่งนี้  จนเธออดเห็นด้วยกับความคิดของสามีไม่ได้ที่เขาต้องการพบเธอชมคฤหาสน์โดยการขี่ม้าแบบนี้

    นายลูเซียสพาเฮอร์ไมโอนี่ไปชมสวนที่รายรอบคฤหาสน์ซึ่งถูกตกแต่งอย่างปราณีตเป็นอันดับแรกก่อนจะพาเธอไปยังทะเลสาบที่อยู่ด้านหลังของคฤหาสน์ในเวลาต่อมา  และแม้ว่าเฮอร์ไมโอนี่จะไม่ต้องการใช้ชีวิตอยู่ที่คฤหาสน์มัลฟอยแห่งนี้มากแค่ไหนก็ตาม  แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมความงดงามของทิวทัศน์บริเวณรอบทะเลสาบซึ่งประกอบไปด้วยภูเขาสูงที่เป็นตั้งตระหง่านอยู่ราวกับมันเป็นฉากหลังของทิวทัศน์นี้เรื่อยไปจนถึงพรรณไม้นานาชนิดที่ขึ้นอยู่รอบ ๆ ทะเลสาบแห่งนี้  และเพราะความงดงามของธรรมชาติรอบ ๆ ทะเลสาบนี้เองหญิงสาวจึงไม่ประท้วงออกมาแต่อย่างใดเมื่อนายลูเซียสหยุดม้าเมื่อพวกเขามาถึงบริเวณริมทะเลสาบก่อนจะอุ้มเธอลงจากหลังของเจ้าเฮอร์มีสเพื่อที่เขาจะสามารถพาเธอไปเดินเล่นที่ริมทะเลสาบได้

     

    เฮอร์ไมโอนี่มองภาพทิวทัศน์เบื้องหน้าอย่างตื่นตาตื่นใจหลังจากที่เธอได้ลงจากหลังม้าแล้ว  หญิงสาวมองพื้นน้ำสีน้ำเงินที่ทอดตัวไปจนจรดเนินเขาที่อยู่ไกลออกไปจนไม่น่าเชื่อว่าอาณาเขตของคฤหาสน์มัลฟอยจะครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดตรงนั้นอย่างประทับใจ  และเมื่อเธอเดินมาถึงริมทะเลสาบเฮอร์ไมโอนี่ก็รู้สึกถึงสายลมอ่อน ๆ ที่พัดผ่านใบหน้าของเธอเบา ๆ ขณะที่เธอหลับตาลงก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้งเพื่อดื่มด่ำกับความงดงามของธรรมชาติโดยมีสามีของเธอยืนมองอยู่เธออยู่ใกล้ ๆ ด้วยท่าทีเอ็นดู  และเมื่อหญิงสาวชื่นชมความงามของทะเลสาบจนพอใจแล้วเธอก็เริ่มสำรวจบริเวณรอบ ๆ ทะเลสาบซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมอยู่ทั่วบริเวณนั้น  แต่ต้นไม้เหล่านั้นก็ไม่ได้มีขนาดสูงใหญ่มากจนเกินไปนัก แต่พวกมันมีขนาดที่กำลังพอดีแถมต้นไม้บางต้นยังมีลักษณะที่ใกล้เคียงกับต้นบีชริมทะเลสาบที่ฮอกวอตส์ซึ่งเธอชอบไปนั่งอ่านหนังสือที่นั่นเป็นประจำอีกด้วย

    และเมื่อเห็นเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่ที่กำลังเดินสำรวจอยู่ตรงโคนต้นไม้ริมทะเลสาบจึงพูดขึ้น

    “ที่ตรงนี้เหมือนกับทะเลสาบที่ฮอกวอตส์เลยค่ะ” เธอเอ่ยขึ้นเบา ๆ “ฉันจำได้ว่าฉันชอบไปนั่งอ่านหนังสือตรงนั้นประจำ.....” เธอพูดพลางคิดไปถึงช่วงเวลาที่เธออยู่ที่ฮอกวอตส์ที่เธอได้ใช้เวลาในช่วงวัยเด็กเคียงข้างไปกับเพื่อนรักของเธออย่างแฮร์รี่และรอน  ถึงแม้ว่ามิตรภาพของทั้งสามจะมีเรื่องวุ่นวายรวมทั้งเรื่องที่เสี่ยงอันตรายอยู่มากก็ตาม  แต่ช่วงเวลาที่เฮอร์ไมโอนี่ได้อยู่กับเพื่อนทั้งสองนั้นนับได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิตของเธอทีเดียว  และเพราะการคิดถึงเพื่อนรักทั้งสองนั้นเองทำให้หญิงสาวรู้สึกเบาโหวงในท้องพร้อม ๆ กับความเจ็บปวดที่เริ่มเอ่อล้นภายในอกของเธอ  จนกระทั่งร่างกายของเธอซึ่งทนไม่ได้ไหวกับความเจ็บปวดนั้นบังคับให้ดวงตาคู่สวยหลั่งน้ำตาออกมา  และเมื่อเป็นเช่นนั้นเธอจึงรีบหันหลังให้กับร่างใหญ่ที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ พลางยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาของตัวเองเบา ๆ แต่การกระทำของเฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่รวดเร็วพอที่นายลูเซียสจะไม่สังเกตุเห็นได้เมื่อเขาก้าวเข้ามาใกล้พร้อมกับคว้าร่างของหญิงสาวเอาไว้และบังคับให้เธอกลับมาเผชิญหน้าเขาอีกครั้ง  และสิ่งที่ชายผมบลอนด์เห็นต่อมาก็คือน้ำตาที่คลอเอ่อดวงตาคู่สวยของเฮอร์ไมโอนี่

    นายลูเซียสถอนหายใจอย่างหงุดหงิดเมื่อเห็นภาพตรงหน้า  แต่เมื่อหญิงสาวทำท่าจะยกมือขึ้นซับน้ำตาของตัวเอง  ชายผมบลอนด์กลับจับมือของเธอไว้ด้วยมือข้างหนึ่งก่อนจะเลื่อนมืออีกข้างของเขาไปเช็ดน้ำตาให้เธอเบา ๆ

    “อย่าร้อง” เขากระซิบพลางเช็ดน้ำตาให้เธออย่างเบามือ  ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่กระพริบตาเบา ๆ เพราะสัมผัสของร่างตรงหน้า  แต่เธอก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะขัดขืนการกระทำของเขาแต่อย่างใด  แม้กระทั่งตอนที่นายลูเซียสแนบมือใหญ่ของเขาเข้ากับแก้มเนียนที่ปราศจากน้ำตาของหญิงสาวก่อนที่เขาจะก้มลงจูบเธออย่างแผ่วเบาที่ริมฝีปากก็ตาม

    ชายผมบลอนด์จูบเฮอร์ไมโอนี่อย่างอ่อนโยนราวกับจุดประสงค์ในการที่เขาจูบเธอในครั้งนี้นั้นไม่ได้เป็นเพราะความต้องการที่จะครอบครองริมฝีปากของเธอเพียงอย่างเดียว  หากแต่เขาต้องการปลอบโยนหญิงสาวที่กำลังโศกเศร้าเสียใจมากกว่า  แต่ที่น่าแปลกก็คือเฮอร์ไมโอนี่กลับไม่มีท่าทีว่าจะขัดขืนการกระทำของร่างตรงหน้าแต่อย่างใด  ตรงกันข้ามเธอกลับจูบเขาตอบอย่างแผ่วเบาราวกับเธอก็รับรู้ถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงในการที่เขามาจูบเธอในครั้งนี้  หลังจากที่ทั้งสองแลกจูบที่อ่อนโยนกันอยู่ครู่หนึ่ง  นายลูเซียสก็ถอนริมฝีปากออกมาก่อนจะจูบเฮอร์ไมโอนี่ที่หน้าผากอย่างอ่อนโยน  ในขณะที่เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกประหลาดใจในสิ่งที่เกิดขึ้นไม่น้อย  แต่สิ่งที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกประหลาดใจนั้นไม่ได้มีเพียงแค่การที่ชายผมบลอนด์เข้ามาจูบเธออย่างปลอบโยนเท่านั้น  แต่เป็นการที่ตัวเธอเองกลับรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยภายใต้การดูแลของชายตรงหน้า  ทั้งที่จริงแล้วเขาควรจะเป็นผู้ชายคนสุดท้ายในโลกที่เฮอร์ไมโอนี่จะต้องการให้มาแตะต้องตัวเธอด้วยซ้ำ  แต่หญิงสาวกลับรู้สึกถึงความปลอดภัยรวมทั้งรู้สึกไว้วางใจเขาได้อย่างไรนั้นเธอเองก็ไม่สามารถตอบคำถามนี้ให้กับตัวเองได้เลย

     

    …………………………………………….

     

    ท่ามกลางแสงแดดอ่อน ๆ ของเดือนกันยายน ณ บริเวณริมทะเลสาบซึ่งอยู่ในอาณาเขตของคฤหาสน์มัลฟอย  ร่างสองร่างกำลังนั่งอยู่ใต้ร่มไม้ริมทะเลสาบ อันที่จริงเรียกว่านั่งก็ไม่ถูกนักเพราะว่าภาพที่ปรากฏขึ้นนั้นเป็นภาพของเฮอร์ไมโอนี่ที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนผ้าปูสีเข้มใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง  ผมสีน้ำตาลของเธอสยายไปตามแรงลม  ขณะที่ลูเซียส  มัลฟอยสามีของเธอนั้นกำลังนอนหลับอยู่โดยใช้ตักของภรรยาต่างหมอนหนุน  ผมสีบลอนด์ของเขาปกคลุมไปตักของหญิงสาว  แม้ว่ามันจะเป็นภาพที่แปลกประหลาดอย่างมากก็ตามแต่ในขณะเดียวกันภาพที่ปรากฏขึ้นนี้ก็กลับเป็นภาพที่สวยงามและให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก

     

    หลังจากที่นายลูเซียสเห็นว่าภรรยาของเขาร้องไห้ออกมาอีกครั้งและได้ปลอบโยนรวมทั้งเช็ดน้ำตาให้เธอแล้ว  เฮอร์ไมโอนี่ซึ่งไม่ต้องการจะให้ชายผมบลอนด์เห็นความอ่อนแอของเธอมากไปกว่านี้ก็แสร้งทำตัวเป็นปกติด้วยการยกเรื่องอื่นขึ้นมาพูดกลบเกลื่อน  ซึ่งในตอนนั้นหญิงสาวก็ไม่สามารถคิดเรื่องอื่นออกนอกจากเล่าให้สามีของเธอฟังต่อว่าบริเวณริมทะเลสาบนี้เหมือนกับริมทะเลสาบที่ฮอกวอตส์ซึ่งเธอชอบมานั่งอ่านหนังสือเป็นประจำโดยเฉพาะช่วงใกล้สอบซึ่งห้องสมุดจะมีนักเรียนมาใช้บริการมากเกินกว่าปกติ  และเมื่อเป็นเช่นนั้นนายลูเซียสจึงบอกเฮอร์ไมโอนี่ว่าถ้าหากเธอต้องการเธอก็สามารถใช้เวลาอยู่ที่นี่ซักพักหนึ่งได้  เนื่องจากเขาเองก็ไม่มีธุระอื่นที่ต้องไปทำในวันนี้  และหลังจากที่ภรรยาของเขาบอกว่าเธออยากจะใช้เวลาอยู่ที่ริมทะเลสาบแห่งนี้ซักพัก  ชายผมบลอนด์ก็เสกผ้าปูขึ้นมาตรงใต้ต้นไม้ที่ทั้งสองกำลังยืนอยู่และชวนให้หญิงสาวนั่งลง  และถึงแม้ว่าการที่ได้เห็นลูเซียส  มัลฟอยนั่งลงบนอะไรก็ตามที่ไม่ใช่เก้าอี้ที่หรูหราหรือโซฟาหนังชั้นดีนั้นจะเป็นเรื่องที่แปลกมากสำหรับเฮอร์ไมโอนี่ก็ตาม  แต่มันก็เทียบไม่ได้กับสิ่งที่ชายผมบลอนด์พูดกับเธอต่อไป

    “เธออยากจะหาอะไรมาอ่านหน่อยไหม” เขาถามด้วยท่าทีปกติ  ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่กระพริบตาอย่างงุนงง

    “คุณว่าอะไรนะคะ” เธอถามออกไปเพราะไม่แน่ใจในสิ่งที่สามีของเธอเพิ่งพูดออกมา

    “ฉันถามว่าเธออยากหาอะไรมาอ่านหน่อยไหม  เธอบอกฉันเองนี่ว่าเธอชอบมานั่งอ่านหนังสือริมทะเลสาบที่ฮอกวอตส์  ถ้าเธออยากอ่านอะไรล่ะก็ฉันจะใช้คาถาเรียกของเอาหนังสือที่เธอต้องการมาจากห้องสมุดให้” นายลูเซียสพูดอีกครั้ง  แต่น้ำเสียงของเขากลับไม่มีแววหงุดหงิดปนอยู่แต่อย่างใด

    “แต่แน่นอนว่ามันต้องไม่ใช่หนังสือที่ฉันห้ามไม่ให้เธออ่าน” เขาเสริมขึ้นพลางมองลึกเข้าไปในดวงตาของหญิงสาว  ขณะเฮอร์ไมโอนี่ใช้เวลาตัดสินใจอยู่ไม่นานเธอจึงบอกเขาออกไปว่าเธอต้องการอ่านหนังสือการแปลงร่างขั้นสูงของเอ็มเมริก สวิทซ์  และเมื่อได้ยินเช่นนั้นชายผมบลอนด์ก็หยิบไม้กายสิทธิ์ของเขาออกมาจากเสื้อคลุม  ซึ่งคราวนี้มันไม่ได้ซ่อนอยู่ในไม้เท้าเหมือนอย่างปกติออกมาก่อนจะร่ายคาถาเบา ๆ หลังจากนั้นไม่นานนักหนังสือเล่มหนึ่งก็ลอยมาทางทั้งสองอย่างรวดเร็ว  นายลูเซียสรับมันไว้ด้วยมือข้างหนึ่งหลังจากที่เขาเก็บไม้กายสิทธิ์เข้าเสื้อคลุมเรียบร้อยแล้วก่อนจะส่งมันให้เฮอร์ไมโอนี่

    หญิงสาวรับหนังสือมาก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองสามี

    “ขอบคุณค่ะ” เธอพูดพลางยิ้มให้เขาบาง ๆ ก่อนจะเริ่มเปิดหนังสืออ่าน 

    แม้ว่าเฮอร์ไมโอนี่จะไม่เข้าใจถึงสิ่งที่ชายผมบลอนด์กำลังทำอยู่นักก็ตาม  แต่เธอก็ฉลาดพอที่จะไม่ปฏิเสธมัน  แน่นอนว่าชีวิตหลังการแต่งงานของเธอกับนายลูเซียสนั้นแตกต่างจากที่หญิงสาวเคยคิดไว้อย่างสิ้นเชิง  แม้ว่าตอนแรกเฮอร์ไมโอนี่จะจินตนาการเอาไว้ว่าชีวิตหลังแต่งงานของเธอกับชายตรงหน้าคงจะต้องเลวร้ายมากเป็นแน่หลังจากที่เธอตกเป็นภรรยาของเขาอย่างสมบูรณ์แล้ว  ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมันก็ยังคงไม่ใช่สิ่งที่น่าพิสมัยนักสำหรับเฮอร์ไมโอนี่ในการที่จะต้องมาอยู่ในฐานะคุณนายมัลฟอยของเขาแบบนี้  แต่เธอก็ไม่คิดมาก่อนว่าสามีของเธอจะอ่อนโยนกับเธอรวมทั้งทำอะไรหลายอย่างเพื่อเธอแบบนี้  แม้ว่าสิ่งที่เขาทำนั้นจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อเทียบกับคู่สามีภรรยาคู่อื่นก็ตาม  แต่ถ้าลองคิดว่าการกระทำเหล่านั้นมาจากลูเซียส  มัลฟอยแล้วล่ะก็มันทำทุกสิ่งที่เขาทำให้เธอนั้นดูกลายเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อไปเลยทีเดียว

     

    ในขณะที่หญิงสาวกำลังอ่านหนังสือแต่ในใจของเธอก็แอบวิเคราะห์พฤติกรรมของชายผมบลอนด์อยู่นั้น  นายลูเซียสก็ลอบสังเกตุหญิงสาวตรงหน้าอยู่เงียบ ๆ สายตาของเขาพิจารณาใบหน้างามของเฮอร์ไมโอนี่รวมทั้งอากัปกริยาของหญิงสาวอยู่เกือบจะทุกอิริยาบท  แน่นอนว่าเฮอร์ไมโอนี่เป็นผู้หญิงที่งดงามและเฉลียวฉลาดมาก แต่ถึงกระนั้นใบหน้าของเธอกลับแสดงความรู้สึกต่าง ๆ ออกมาอย่างไม่มีการปิดบังหรือเสแสร้งแต่อย่างใดจนทำให้คนอื่นสามารถเดาความคิดของเธอออกได้อย่างง่ายดาย  อย่างเช่นในตอนนี้ถ้าดูจากสีหน้าของเธอแล้วนายลูเซียสแน่ใจว่าเธอคงกำลังครุ่นคิดบางอย่างอยู่  และถ้าไม่ใช่ว่าเธอกำลังใช้ความพยายามในการทำความเข้าใจหนังสือตรงหน้าอยู่ล่ะก็  เธอก็คงกำลังครุ่นคิดเรื่องบางเรื่องที่ต้องใช้การระดมสมองอย่างหนักในการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับมันเป็นแน่  และเพราะการลอบมองภรรยาของเขาเองที่กำลังอ่านหนังสืออยู่แบบนี้มันทำให้ชายผมบลอนด์นึกย้อนไปถึงตอนที่เขาได้พบครอบครัวซิลเวียเป็นครั้งแรก  เพราะท่าทีของหญิงสาวนั้นเตือนให้เขานึกถึงพ่อแท้ ๆ ของเธอซึ่งก็คือหลุยส์  ซิลเวีย  แม้ว่าหญิงสาวจะมีใบหน้าที่ถอดแบบมาจากแม่ของเธอซึ่งเป็นแม่มดที่งดงามที่สุดในฝรั่งเศสก็ตาม  แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็มีแววตาคงแก่เรียนแบบเดียวกับพ่อของเธอซึ่งเธอได้รับมรดกในเรื่องของสติปัญญามาจากเขา  คิ้วของเธอที่ขมวดเล็กน้อยบวกกับแววตาที่ดูจริงจังคล้ายพ่อของเธอในตอนนี้นั้นทำให้นายลูเซียสเดาได้ว่าเรื่องที่เธอกำลังครุ่นคิดอยู่ต้องเป็นเรื่องที่สำคัญไม่น้อยหรือไม่ก็เป็นเรื่องที่เธอไม่สามารถขบคิดได้ตกเป็นแน่หญิงสาวจึงมีสีหน้าแบบนี้

    แน่นอนว่าเฮอร์ไมโอนี่เป็นหญิงสาวที่สมบูรณ์แบบคนหนึ่งในมุมมองของนายลูเซียส  เธอเป็นหญิงสาวที่งดงาม  เฉลียวฉลาด  และมีชาติกำเนิดที่ดี  รวมทั้งเธอมีฐานะเป็นถึงทายาทของเรเวนคลอและเจ้าหญิงแห่งความมืดด้วย  แต่เฮอร์ไมโอนี่เองก็มีข้อเสียหลายประการซึ่งทำให้การปราบพยศหญิงสาวตรงหน้านั้นไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่เขาเคยคิดไว้  เพราะความดื้อดึงของเธอรวมทั้งการรักความถูกต้องจนเกินเหตุและความไร้เดียงสามากจนเกินไปของเธอนั้นเป็นอุปสรรคที่สำคัญในการก้าวไปสู่อำนาจของเธอรวมทั้งของเขาเองด้วย  แต่ถึงกระนั้นก็ตามชายผมบลอนด์ก็แน่ใจว่าเขามีหนทางที่จะจัดการกับเรื่องนี้  เพราะเขามีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าเขาจะสามารถเปลี่ยนเธอให้เป็นในแบบที่เขาต้องการได้  เพียงแต่มันอาจจะต้องใช้เวลาและความพยายามมากกว่าที่เขาได้เคยคาดคิดไว้เท่านั้น

     

    ขณะที่กำลังอ่านหนังสืออยู่นั้นเองเฮอร์ไมโอนี่ก็ได้ยินเสียงนายลูเซียสเหยียดขาของเขาออก  ก่อนที่เขาจะเอนหลังพิงต้นไม้ใหญ่เบื้องหลังของทั้งคู่  และเมื่อเขาจัดการเปลี่ยนท่านั่งของตัวเองเรียบร้อยแล้วชายผมบลอนด์ก็เอื้อมมือไปคว้าร่างเล็ก ๆ ของหญิงสาวเข้ามาใกล้เขามากขึ้นโดยใช้แขนข้างหนึ่งของเขาโอบกอดเธอไว้ และเมื่อเฮอร์ไมโอนี่หันไปมองทางร่างใหญ่ข้าง ๆ สิ่งแรกที่เธอได้เห็นก็คือสีหน้าที่ดูง่วงงุนของสามี

    “คุณง่วงนอนหรือคะ” เธอถามขึ้นอย่างไม่แน่ใจ  ขณะที่ชายผมบลอนด์ส่ายศีรษะเบา ๆ ในเชิงต้องการไล่ความง่วงงุนมากกว่าจะปฏิเสธคำถามของเธอ

    “นิดหน่อยน่ะ” เขาตอบพลางก้มลงจูบผมของหญิงสาวเบา ๆ  ซึ่งการกระทำของเขานั้นก็ทำให้เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกว่าใบหน้าของเธอร้อนผ่าวขึ้นมาในทันทีแต่เธอก็เลือกที่จะไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ ออกไป

    “คุณอยากกลับก่อนไหมคะ” เธอถามพลางปิดหนังสือ

    “เธอไม่อยากอยู่ต่ออีกสักหน่อยหรือ” เขาถามกลับ  ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่กำลังจะเอ่ยปากตอบคำถามของเขา  แต่เธอก็เปลี่ยนใจเสียก่อนเมื่อเธอนึกขึ้นได้ว่าเธอไม่ควรที่จะเกรงใจหรือใส่ใจความรู้สึกของชายตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย  หลังจากเรื่องทั้งหมดที่เขาได้ทำลงไปกับเธอ  และเมื่อเห็นว่าหญิงสาวไม่มีท่าทีจะตอบอะไรออกมานายลูเซียสจึงพูดขึ้น

    “ฉันว่าเราอยู่ที่นี่กันซักพักแล้วค่อยกลับไปทานอาหารกลางวันหลังเที่ยงก็ได้  แต่ตอนนี้ฉันอยากพักสักหน่อย” เขาพูดพลางจัดแจงล้มตัวลงนอนลงบนตักของเฮอร์ไมโอนี่ซึ่งหญิงสาวก็มีท่าทีจะประท้วงในตอนแรกแต่เธอกลับพบว่าเธอก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลยเนื่องจากชายผมบลอนด์ได้นอนลงบนตักของเธอและหลับตาลงเรียบร้อยแล้ว  เมื่อเป็นเช่นนั้นหญิงสาวจึงถอนหายใจออกมาเบา ๆ อย่างหงุดหงิดที่เธอต้องยอมปล่อยให้เขาใช้ตักของเธอต่างหมอนหนุนไปโดยที่เธอไม่อาจทำอะไรกับเรื่องนี้ได้  ก่อนที่เธอจะหยิบหนังสือขึ้นมาและเริ่มอ่านต่ออีกครั้ง

     

    …………………………………………….

     

    เฮอร์ไมโอนี่ไม่แน่ใจว่ามันผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วที่เธอนั่งอ่านหนังสือโดยมีนายลูเซียสนอนหนุนตักของเธออยู่แบบนี้  และเมื่อหญิงสาวพบว่าสายตาของเธอเริ่มเหนื่อยล้าจากการอ่านหนังสือเธอจึงปิดมันลงและวางมันไว้ข้าง ๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นชื่นชมธรรมชาติเบื้องหน้า  แน่นอนว่าทิวทัศน์เบื้องหน้าของหญิงสาวนั้นเป็นภาพที่งดงามมาก  แต่มันกลับไม่น่าสนใจเท่ากับร่างที่กำลังหลับใหลอยู่บนตักของเฮอร์ไมโอนี่ในตอนนี้เลยเมื่อหญิงสาวละสายตาจากภาพทะเลสาบสีครามไปยังใบหน้ายามหลับใหลของสามี

    ใบหน้ายามหลับของนายลูเซียสนั้นแลดูสงบสุขแต่ก็แตกต่างจากใบหน้าปกติในยามที่เขาตื่นนอนเสียเหลือเกิน  เพราะมันดูแปลกตาไม่น้อยยามที่ได้เห็นใบหน้าของเขาโดยไม่มีดวงตาสีเงินที่ทิ่มแทงหรือรอยยิ้มเย้ยหยันของเขาประดับอยู่  แต่ถึงกระนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็ต้องยอมรับว่าชายตรงนั้นหน้ามีใบหน้าดูดีทีเดียวแม้ว่าอายุของเขาจะล่วงเลยเข้าเลขสี่มาแล้วก็ตาม  อีกทั้งหญิงสาวยังคิดว่าชายผมบลอนด์นั้นดูดีไม่น้อยเมื่อได้เห็นเขาท่ามกลางแสงแดดแบบนี้  เพราะมันทำให้ผิวพรรณที่ซีดเผือดของเขานั้นดูมีชีวิตชีวามากขึ้นจนเฮอร์ไมโอนี่อดไม่ได้ที่จะสำรวจมัน

    นายลูเซียสนั้นมีใบหน้าที่มีเค้าโครงเดียวกับเดรโกหากแต่ดูมีอายุมากกว่า  เนื่องจากทั้งคู่มีคางที่แหลมเหมือนกัน  แม้ว่าจมูกของเดรโกจะเรียวกว่าจมูกของพ่อเขาก็ตามแต่ริมฝีปากบางเฉียบของทั้งสองนั้นเหมือนกันราวกับถอดแบบกันออกมา  รวมทั้งดวงตาสีเงินของทั้งคู่ที่เหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยนอีกด้วย

    สายตาของเฮอร์ไมโอนี่สำรวจไปทั่วใบหน้าของสามีก่อนจะไล่ไปยังผมสีบลอนด์ยาวที่สว่างไสวอยู่ท่ามกลางแสงแดดของเขา  และเนื่องจากนายลูเซียสมีผมสียาวและเหยียดตรงแบบที่ผมของเฮอร์ไมโอนี่ไม่สามารถทำได้  เธอจึงรู้สึกสนใจมันเป็นพิเศษ  และเมื่อรู้ตัวอีกทีมือของหญิงสาวก็เลื่อนไปสัมผัสผมสีบลอนด์ของร่างที่กำลังหลับใหลอยู่เสียแล้ว

    ผมของนายลูเซียสให้ความรู้สึกนุ่มมืออย่างที่เธอคิดไว้  และเมื่อเป็นเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่จึงอดไม่ได้ที่จะสัมผัสเส้นผมสลวยของเขามากขึ้นโดยการไล้มือของเธอผ่านผมสีบลอนด์ยาวของเขาโดยที่เธอไม่รู้เลยว่าร่างที่เธอคิดว่ากำลังนอนหลับอยู่นั้นได้ตื่นจากหลับใหลตั้งแต่วินาทีแรกที่เธอจับผมของเขาแล้ว  และก่อนที่เธอจะได้สัมผัสเส้นผมของเขาไปมากกว่านั้น  เฮอร์ไมโอนี่ก็รู้สึกถึงมือใหญ่ของสามีที่เลื่อนเข้ามาจับมือของหญิงสาวไว้ก่อนที่เธอจะเลื่อนสายตาไปยังใบหน้าของนายมัลฟอยและเห็นว่าดวงตาสีเงินของเขากำลังมองเธออยู่

    “เธอชอบผมของฉันอย่างนั้นหรือ” เขาถามด้วยน้ำเสียงรู้ทัน  ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่มีสีหน้าเหมือนเด็กถูกจับได้ว่าทำผิด  แต่เมื่อเธอพยายามจะดึงมือของเธอกลับมานายลูเซียสกลับจับมือเล็กของเธอไว้และยกมันขึ้นสัมผัสกับริมฝีปากของเขาเบา ๆ ซึ่งมันส่งผลทำให้ใบหน้าของหญิงสาวแดงก่ำราวกับถูกแดดเผา  และเมื่อเห็นว่าเขาปล่อยมือของเธอออกแล้วเฮอร์ไมโอนี่จึงพูดขึ้น

    “คุณตื่นนานแล้วหรือคะ” เธอพูดขณะที่พยายามจะรักษาสีหน้าให้ดูปกติมากที่สุด

    “ก็ไม่นานนักหรอก” เขาตอบ “ฉันหลับไปนานไหม”

    “ก็พักหนึ่งค่ะ” หญิงสาวตอบออกมา  แต่ที่จริงแล้วเธอจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าชายตรงหน้านอนหลับอยู่บนตักของเธอนานเท่าไหร่  และเมื่อได้ยินเท่านั้นนายลูเซียสจึงลุกขึ้นมานั่ง  ผมบลอนด์ของเขาดูยุ่งเหยิงเล็กน้อยจากการนอนหลับเมื่อครู่

    “เธอหิวรึยัง” มันเป็นคำถามที่แสนจะธรรมดาเหลือเกิน  แต่นี่ก็เป็นอีกครั้งที่เฮอร์ไมโอนี่ไม่แน่ใจว่าจะตอบเขาออกไปอย่างไรดี  เธอจึงได้แต่พยักหน้าเบา ๆ และในวินาทีต่อมาหญิงสาวก็เห็นว่าสามีของเธอลุกขึ้นยืนและส่งมือของเขามาให้เธอจับพร้อมกับพูดขึ้น

    “งั้นฉันว่าเรากลับไปทานอาหารที่คฤหาสน์กันดีกว่าไหม” เขาถาม  ก่อนที่เฮอร์ไมโอนี่ที่เห็นด้วยกับคำพูดของเขาจะวางมือของเธอลงบนมือใหญ่ของชายผมบลอนด์เพื่อให้เขาช่วยให้เธอลุกขึ้นยืน  และในนาทีต่อมาหญิงสาวก็ขึ้นมาอยู่บนหลังม้าโดยมีสามีของเธอตามเธอขึ้นมาติด ๆ  นายลูเซียสกระซิบเข้าที่ข้างหูเฮอร์ไมโอนี่เบา ๆ ว่าให้เธอนั่งดี ๆ ก่อนที่เขาจะดึงสายบังเหียนและเจ้าเฮอร์มีสก็ออกวิ่งไปในทิศทางที่มุ่งตรงไปสู่คฤหาสน์

     

    …………………………………………….

     

    กว่าที่นายลูเซียสและเฮอร์ไมโอนี่จะกลับมาถึงคฤหาสน์ก็เลยเวลาบ่ายโมงมาได้พักหนึ่งแล้ว  ทั้งสองทานอาหารกลางวันด้วยกันที่ห้องอาหารเป็นครั้งแรกซึ่งเอลฟ์ได้จัดเตรียมอาหารอย่างดีไว้ให้เจ้านายของมันอย่างเช่นเคย  หลังจากอิ่มหนำกับอาหารมื้อเที่ยงแล้วนายลูเซียสก็บอกหญิงสาวว่าเขาจะพาเธอไปชมภายในคฤหาสน์หลังจากนี้  ซึ่งเฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไรออกไป แม้ว่าอันที่จริงแล้วเธอจะต้องการกลับไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดมากกว่าก็ตาม  แต่หญิงสาวก็ฉลาดพอที่จะไม่ขัดใจชายผมบลอนด์ในเรื่องที่ไม่จำเป็นแบบนี้บวกกับการที่เธอได้ให้คำสัญญากับเขาไปแล้วว่าเธอจะไม่ยอมศึกษาเวทย์มนต์โดยไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์อีก  มันจึงทำให้ความสนใจในการเข้าไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดของเฮอร์ไมโอนี่ลดลงไประดับหนึ่งทีเดียว  และเมื่อเป็นเช่นนั้นหญิงสาวจึงตอบตกลงที่จะไปชมคฤหาสน์กับสามีของเธอแต่โดยดี  และเธอก็ได้พบในทีหลังว่าคฤหาสน์มัลฟอยนั้นกว้างใหญ่และมีสิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

    ทั้งสองเริ่มจากชั้นแรกของคฤหาสน์ก่อนซึ่งมันเป็นที่ตั้งของห้องโถง  ห้องนั่งเล่น  ห้องรับแขก  ห้องอาหาร  และห้องสำหรับปรุงยาซึ่งดูเหมือนจะไม่ค่อยมีใครมาใช้งานเท่าไหร่นัก  อันที่จริงชั้นแรกนั้นเป็นที่ตั้งของห้องครัวด้วยเพียงแต่นายลูเซียสปฏิเสธที่จะพาเธอไปดูเนื่องจากเขาคิดว่ามันไม่ใช่ที่ที่เธอควรจะไปเยี่ยมชมแต่อย่างใด  เพราะว่ามันไม่มีอะไรนอกจากควันไฟ  กลิ่นอาหาร  และเอลฟ์จำนวนหนึ่งที่ทำงานอยู่ในครัวเท่านั้น

    หลังจากที่ชายผมบลอนด์พาเฮอร์ไมโอนี่ชมคฤหาสน์ชั้นแรกจนทั่วแล้ว  เขาก็พาเธอขึ้นไปยังชั้นสองของคฤหาสน์ (อันที่จริงหญิงสาวรู้ว่ามีอีกสถานที่หนึ่งนอกจากห้องครัวที่เขาไม่ยอมพาเธอเข้าไปดูซึ่งก็คือห้องลับสำหรับเก็บสิ่งของศาสตร์มืดของเขาที่ซ่อนอยู่ใต้ห้องนั่งเล่น  ซึ่งเธอรู้ความลับนี้จากแฮร์รี่และรอนที่ปลอมตัวเป็นแครบกับกอยล์เข้าไปหลอกถามเรื่องทายาทของสลิธีรินจากเดรโกในตอนที่พวกเขาอยู่ปีสอง  แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็ฉลาดพอที่จะไม่ถามเรื่องนี้ออกไปเพราะมันเท่ากับเป็นการเปิดเผยแผนการของสามสหายในตอนนั้นด้วย)

    ชั้นสองของคฤหาสน์นั้นประกอบด้วยห้องนอนเป็นส่วนใหญ่  ทั้งห้องนอนของทั้งเฮอร์ไมโอนี่และนายลูเซียสซึ่งเป็นห้องนอนใหญ่ที่ตั้งอยู่ที่ชั้นสอง  และห้องนอนของเดรโกซึ่งตั้งอยู่อีกด้านหนึ่งของคฤหาสน์ไปจนถึงห้องนอนสำหรับรับแขกที่มีจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนและห้องนั่งเล่นห้องที่สองซึ่งตั้งอยู่บนชั้นสองนี้ด้วย  แต่โดยรวมแล้วชั้นสองของคฤหาสน์นั้นก็ไม่มีอะไรพิเศษมากนัก  นายลูเซียสจึงใช้เวลาพาเธอชมชั้นนี้ไม่นานนักก่อนที่เขาจะพาเธอเดินขึ้นไปยังชั้นสาม

    ชั้นสามนั้นประกอบด้วยห้องนอนอีกจำนวนหนึ่งที่อยู่ทางด้านตะวันออกของคฤหาสน์  ส่วนทางด้านตะวันตกนั้นเป็นที่ตั้งของห้องต่าง ๆ มากมาย  เช่น  ห้องสมุด ห้องสำหรับเต้นรำซึ่งมีกระจกประดับอยู่รอบห้องและมีกลไลสำหรับทำให้พื้นห้องหมุนเอง  รวมทั้งมีเครื่องดนตรีที่บรรเลงได้เองอยู่  และรวมไปทั้งถึงทางเดินเชื่อมจากคฤหาสน์ไปยังหอดูดาว  และเรือนกระจกขนาดใหญ่ที่มีความสูงเท่ากับตึกสามชั้นซึ่งบรรจุพรรณไม้นานาชนิดเอาไว้ราวกับมีใครขนเอาต้นไม้ทั้งหมดจากเรียนกระจกของศาสตราจารย์สเปราซ์มาบรรจุเอาไว้ที่นี่  แต่ห้องที่ทำให้หญิงสาวต้องตื่นตาตื่นใจมากที่สุดนั้นเห็นจะเป็นห้องดนตรีที่มีเครื่องดนตรีเกือบจะทุกชนิดบรรจุอยู่  รวมไปถึงแกรนด์เปียโนสีดำสนิทซึ่งวางเด่นอยู่กลางห้องด้วย

    หลังจากที่ตะลึงกับความหลากหลายของเครื่องดนตรีจำนวนมากในห้องดนตรีอยู่ได้ไม่นาน  เฮอร์ไมโอนี่ก็เดินเข้าไปหาแกรนด์เปียโนที่วางอยู่กลางห้องอย่างสนใจ  หญิงสาวไล้มือไปตามผิวสีดำเงางามของมันซึ่งบอเธอว่าเปียโนตัวนี้ได้รับการดูแลอย่างดี  และเมื่อเธอลองดีดโน๊ตสองสามตัวเสียงที่ดังออกมานั้นก็บอกว่ามันได้รับการจูนเสียงอย่างดีเช่นกัน

    “ฉันไม่รู้มาก่อนเลยค่ะว่าที่นี่มีเปียโนด้วย” เธอพึมพำออกมาก่อนจะคิดได้ว่าการที่คฤหาสน์แห่งนี้มีเปียโนอยู่นั้นเป็นเรื่องที่ธรรมดามากที่สุด  เพราะมันดูราวกับว่าคฤหาสน์มัลฟอยได้รวบรวมทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ที่นี่หมดแล้ว  และในตอนนี้เฮอร์ไมโอนี่คงไม่แปลกใจเสียแล้วถ้าหากเธอจะเจอห้องแห่งความลับซ่อนอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้

    “เธอเล่นเป็นไหม” นายลูเซียสตอบคำถามของหญิงสาวด้วยการตั้งคำถามขึ้นมาใหม่ขณะที่ก้าวเข้ามายืนใกล้ ๆ ภรรยา  เมื่อเห็นว่าเฮอร์ไมโอนี่นั่งบนเก้าอี้เบื้องหน้าเปียโนตัวนั้น

    “นิดหน่อยค่ะ  ฉันเคยเรียนสมัยที่ยังเป็นเด็ก” หญิงสาวตอบก่อนจะเริ่มวางนิ้วลงบนแป้น  เธอเคยเรียนเปียโนตั้งแต่เธอยังไม่เข้าเรียนที่ฮอกวอตส์เสียอีก  เฮอร์ไมโอนี่ยังคงจำได้ดีว่าแม่ของเธอต้องขับรถไปส่งเธอในเมืองทุกวันเสาร์เพื่อเรียนเปียโนกับสถาบันสอนดนตรีชื่อดังในลอนดอน  แต่หลังจากได้รับจดหมายจากฮอกวอตส์แล้วเฮอร์ไมโอนี่ก็ตัดสินใจหยุดเรียนเปียโนไปก่อนที่เธอจะสามารถเล่นมันได้อย่างเชี่ยวชาญเพราะเธอต้องการทุ่มเทเวลาทั้งหมดของเธอไปกับการอ่านหนังสือเพื่อเตรียมตัวเข้าเรียน

    และเป็นเพราะการคิดถึงพ่อแม่ของเธอนั้นทำให้หญิงสาวรู้สึกเจ็บแปลบในอกอย่างบอกไม่ถูก  แม้ว่าเธอพยายามจะไม่แสดงความอ่อนแอของเธอออกมาต่อหน้านายลูเซียสก็ตาม  แต่หญิงสาวก็พบว่าการคิดถึงพ่อแม่ของเธอบวกกับคำถามที่เกิดขึ้นในใจว่าท่านทั้งสองจะเป็นอย่างไรบ้างในตอนนี้นั้นทำให้เธอไม่อาจมีสมาธิกับโน๊ตเพลงที่กำลังจะเล่นได้  จนในที่สุดเฮอร์ไมโอนี่ก็กดแป้นผิดจนทำให้เกิดเสียงแหลมไม่น่าฟังขึ้น

    “ฝีมือฉันแย่จังเลยค่ะ” หญิงสาวพูดพลางยิ้มกลบเกลื่อนร่องรอยกังวลบนใบหน้าของเธอ  ขณะที่ชายผมบลอนด์ที่ยืนดูเธออยู่นั้นมองเธอออกอย่างทะลุปรุโปร่งว่าเธอกำลังกังวลเรื่องอะไรอยู่  แต่เขาก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรออกไป  ตรงกันข้ามเขากลับเข้ามานั่งบนเก้าอี้ตัวเดียวกับหญิงสาว  และเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างแปลกใจนายลูเซียสก็พูดขึ้น

    “ฝีมือเธอไม่ได้แย่หรอก  เธอแค่ใจลอยไปหน่อยเท่านั้น” เขาพูดก่อนจะจับมือเล็กของหญิงสาวขึ้นมาแล้ววางมันลงบนคีย์อย่างเหมาะสม “อีกอย่างมือของเธอเล็กไปหน่อย ลองกางมือแบบนี้สิ” เขาแนะนำก่อนจะค่อย ๆ สอนเธอดีดเปียโนแบบที่ถูกต้องอย่างช้า ๆ แต่การกระทำของเขากลับทำให้เฮอร์ไมโอนี่ประหม่ามากกว่าเดิมเมื่อเธอสัมผัสถึงลมหายใจของชายผมบลอนด์ซึ่งปะทะอยู่ที่ข้างแก้มของเธอพอ ๆ กับที่วงแขนของเขาโอบกอดเธอไว้ และมือใหญ่ของเขาวางอยู่เหนือมือเล็กของเธอ แม้ว่าหญิงสาวจะพยายามรวมรวบสติมากเท่าไหร่ก็ตาม  แต่เธอก็ไม่สามารถจดจ่อสมาธิของเธออยู่กับสิ่งที่เขากำลังสอนได้เมื่อหัวใจของเธอเต้นแรงจนหญิงสาวกลัวไปว่านายลูเซียสจะได้ยินมันเข้า  และเมื่อเป็นเช่นนั้นเธอจึงชักมือของเธอออกมาจากมือใหญ่ของสามี  และเมื่อเขามองมาทางเธออย่างไม่เข้าใจเฮอร์ไมโอนี่จึงตอบออกไปว่า

    “ฉันไม่ค่อยเก่งเรื่องนี้เท่าไหร่หรอกค่ะ  คุณอย่าเสียเวลาสอนฉันเลยจะดีกว่า” เธอพูด  แต่แน่นอนว่าชายผมบลอนด์รู้ดีว่ามันเป็นเพียงแค่คำพูดกลบเกลื่อนของหญิงสาวเท่านั้น  และริมฝีปากบางของนายลูเซียสก็ยกสูงขึ้นเมื่อเขาเห็นว่าแก้มของเฮอร์ไมโอนี่ที่กลายเป็นสีชมพู  รวมทั้งท่าทีประหม่าของเธอซึ่งทำให้หญิงสาวนั้นน่าเอ็นดูขึ้นไม่น้อย  จนชายผมบลอนด์อดไม่ได้ที่จะก้มลงไปจูบเธอที่ริมฝีปาก

    แม้ว่าจะรู้ดีว่าร่างตรงหน้ากำลังทำอะไรอยู่ก็ตาม  แต่เฮอร์ไมโอนี่กลับไม่ได้ขัดขืนออกไปแต่อย่างใดราวกับว่าเธอเคยชินรวมทั้งทำใจได้กับการที่สามีของเธอจูบเธอแบบนี้  อันที่จริงความรู้สึกของหญิงสาวที่มีต่อการกระทำของนายลูเซียสนั้นเลยขั้นของการทำใจยอมรับได้ไปเสียแล้ว  เพราะแม้จะรู้ดีว่าชายตรงหน้านั้นเป็นผู้เสพความตายกระหายเลือดที่ช่วงชิงทุกอย่างไปจากเธอก็ตาม  แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็ห้ามตัวเองไม่ให้รู้สึกดีไปกับสัมผัสของเขาได้  โดยเฉพาะในยามที่เขาจูบเธอ  ยามที่ริมฝีปากบางของเขาสัมผัสปากอิ่มของเธออย่างอ่อนโยนแบบนี้เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกราวกับร่างกายของเธอเบาหวิว  หญิงสาวหลับตาลงพลางจูบตอบอย่างไม่นึกเขินอาย จนกระทั่งร่างใหญ่นั้นถอนริมฝีปากของเขาขึ้นมา

    หลังจากที่จูบร่างเล็กในอ้อมแขนของเขาจนพอใจแล้วนายลูเซียสก็ถอนริมฝีปากของเขาออกมาและจูบเธออีกครั้งที่หน้าผากพร้อมกับมองหญิงสาวด้วยสายตาเอ็นดู  จนกระทั่งเธอเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่างขึ้น

    “ลูเซียสคะ” เฮอร์ไมโอนี่เริ่มพูด  มีร่องรอยของความลังเลยอยู่ในน้ำเสียงของเธอยามที่เธอเอ่ยประโยคนั้นออกมา

    “มีอะไรหรือ” เขาถามพลางมองเธออย่างสงสัย

    “ฉันอยากถามบางอย่างกับคุณน่ะค่ะ” เธอพูดพลางจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเขา  และเมื่อเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวลของหญิงสาวที่มองมาแล้วชายผมบลอนด์จึงตอบเธอออกไป

    “เธอจะถามอะไรฉันหรือ” เขากล่าวพลางลูบแก้มเนียนของเฮอร์ไมโอนี่เบา ๆ ขณะที่หญิงสาวมีท่าทีลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจพูดออกมา

    “ฉันอยากรู้ว่าพ่อแม่ของฉันเป็นยังไงบ้างน่ะค่ะ” เธอพูดออกไปพลางมองหน้าของสามี  แน่นอนว่านายลูเซียสรู้ดีว่า พ่อแม่ ที่เฮอร์ไมโอนี่พูดถึงนั้นหมายถึงพ่อแม่บุญธรรมของเธอซึ่งเป็นมักเกิ้ล ไม่ใช่พ่อแม่แท้ ๆ ของเธอที่เสียชีวิตไปแล้วแต่อย่างใด  และเมื่อเป็นเช่นนั้นเขาจึงยิ้มบาง ๆ ให้เธอก่อนจะพูดขึ้น

    “เธอก็น่าจะรู้ดีนี่นาว่าพ่อแม่ของเธอปลอดภัยดี  พวกเขาจะได้รับการคุ้มครองอย่างดีตามที่สัญญาระบุไว้” ชายผมบลอนด์กล่าวด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลดุจแพรไหม  ซึ่งเขาจะใช้มันทุกครั้งที่เขาต้องการจะเกลี้ยกล่อมหรือชักจูงให้เธอเชื่อในเรื่องที่เขาพูดออกมา  แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็ฉลาดพอที่จะรู้ว่าชายตรงหน้าไม่ได้พูดความจริงกับเธอทั้งหมด  เพราะอันที่จริงแล้วสิ่งที่สัญญาระบุได้คือการที่ผู้เสพความตายไม่สามารถทำอันตรายใด ๆ สองสามีภรรยาเกรนเจอร์ได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น  แต่รายละเอียดของสัญญานั้นไม่ได้ครอบคลุมไปถึงการคุ้มครองพวกเขาจากภัยอันตรายอื่น ๆ นอกเหนือจากการคุมคามของลูกสมุนของจอมมารแต่อย่างใด

    “ฉันหมายความว่าฉันอยากรู้ว่าพวกท่านเป็นยังไงบ้างหลังจากที่ฉันหายไปน่ะค่ะ ฉันอยากรู้ว่าพวกท่านสบายดีไหม” น้ำเสียงของหญิงสาวสั่นเครือยามที่เธอเอ่ยถึงพ่อแม่อุปถัมด์ของเธอเอง  แม้เธอจะรู้ดีว่าพวกเขาไม่ใช่พ่อแม่แท้ ๆ ของเธอก็ตาม  แต่เฮอร์ไมโอนี่กลับไม่ได้รู้สึกรักพวกท่านทั้งสองน้อยลงไปกว่าเดิมเลย  และการพูดถึงพวกท่านก็นำความเจ็บปวดรวมทั้งความห่วงหาอย่างไม่อาจประมาณได้มาให้แก่หญิงสาว  แต่เธอก็พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะไม่ร้องไห้ออกมา  ขณะที่สามีของเธอมีสีหน้ายุ่งยากใจกับคำถามนี้  ราวกับเขาคิดไว้แล้วว่าภรรยาของเขาจะต้องร้องไห้ออกมาในอีกไม่วินาทีต่อไปอย่างแน่นอน  แต่ถึงกระนั้นนายลูเซียสก็ยอมตอบคำถามของเธอออกมาเป็นอย่างดี

    “พวกเขาสบายดี” เขาเริ่มพูด “สายของเราคอยจับตาดูพวกเขาอยู่เป็นระยะ ๆ มันไม่มีอะไรเกี่ยวกับพวกเขาที่เธอต้องเลยกังวลเลย” ชายผมบลอนด์อธิบาย  แต่เฮอร์ไมโอนี่กลับไม่สามารถทำอย่างที่เขาแนะนำได้เมื่อเธอถามเขาต่อ

    “แล้วพ่อกับแม่ของฉันเป็นยังไงบ้างคะ  พวกท่านกังวลเรื่องที่ฉันหายตัวไปหรือเปล่า” เธอถามอย่างรวดเร็ว  ขณะที่นายลูเซียสถอนหายใจออกมา  เขามีท่าทีราวกับเขารู้สึกอึกอัดใจเป็นอย่างมากในการตอบคำถามนี้  แต่เมื่อได้เห็นแววตาอ้อนวอนของภรรยาแล้ว  ชายผมบลอนด์ใช้เวลาครุ่นคิดอยู่เพียงครู่เดียวก่อนจะตัดสินใจตอบคำถามของเธอออกมา

    นายลูเซียสหันมามองหญิงสาวอย่างเต็มตาก่อนที่เขาจะพูดขึ้น

    “หลังจากที่เธอเซ็นต์สัญญาแต่งงานเรียบร้อยแล้ว  ผู้เสพความตายจำนวนหนึ่งก็เข้าไปหาพ่อแม่ของเธอที่บ้านเพื่อแปลงความทรงจำของพวกเขา” เขาอธิบาย  ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่มีสีหน้าตกใจ  แต่ก่อนที่เธอจะได้พูดอะไรออกไปนั้นสามีของเธอก็ชิงพูดขึ้นก่อน

    “เราทำไปเพื่อความปลอดภัยของพวกเขาเอง  เราจำเป็นต้องทำให้พ่อแม่ของเธอเข้าใจว่าเธอต้องไปฝึกอบรมการเป็นมือปราบมารอย่างไม่มีกำหนดซึ่งนั่นเป็นทางเดียวที่พวกเขาจะไม่ไปแจ้งกระทรวงเรื่องที่เธอหายตัวไป” เขาตอบออกมาตามตรง  แต่ดูเหมือนว่าการได้รับรู้ความจริงเกี่ยวกับพ่อแม่ของเธอนั้นจะไม่ได้ช่วยให้หญิงสาวคลายความเป็นห่วงพวกเขาลงได้เลย  ตรงกันข้ามเธอกลับตื่นตระหนกมากกว่าเดิมด้วยซ้ำเมื่อได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพ่อแม่ของเธอบ้าง

    “พวกคุณทำอะไรพวกท่านคะ!” เธอถามด้วยน้ำเสียงที่เกือบจะเรียกได้ว่าเกรี้ยวกราด  จนนายลูเซียสต้องส่งสายตาปราม ๆ มาให้เฮอร์ไมโอนี่เมื่อเธอเริ่มขึ้นเสียงกับเขา  แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ได้ทีท่าทีโกรธเคืองแต่อย่างใด

    “เธอก็รู้ว่าเราทำอะไรพวกเขาไม่ได้ตามสัญญาการแต่งงานที่เธอได้เซ็นต์ลงไป!” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น  และเมื่อลองมาพิจารณาสิ่งที่นายมัลฟอยได้พูดและเห็นว่ามันสมเหตุสมผลแล้วหญิงสาวจึงมีท่าทีที่สงบลง  แต่เธอก็ยังไม่ยอมเลิกตั้งคำถามเกี่ยวกับพ่อแม่ของเธอกับชายตรงหน้าอยู่ดี

    “คุณเป็นคนแปลงความทรงจำของพวกท่านหรือคะ” เฮอร์ไมโอนี่ถามต่อ  

    “ไม่ใช่ฉัน” เขาตอบอย่างไม่สู้พอใจนัก

    “ถ้างั้นเป็นใครกันคะ” เธอยังคงไม่ลดละความพยายามแม้จะเห็นว่าชายผมบลอนด์มีท่าทีรำคาญใจกับคำถามของเธอก็ตาม

    “เธอจะรู้ไปทำไมกัน” เขากล่าว

    “ฉันอยากรู้ค่ะ” เธอตอบอย่างแน่วแน่  ขณะที่สามีของเธอจะถอนหายใจออกมาอีกครั้ง  นายมัลฟอยมีสีหน้ายุ่งยากใจก่อนจะตอบคำถามนั้นออกมา

    “เซเวอร์รัส  เซเวอร์รัสเป็นคนร่ายคาถาปรับความทรงจำพ่อแม่ของเธอ” นายลูเซียสตอบออกมาในที่สุด และสิ่งแรกที่หญิงสาวรู้สึกหลังจากได้ยินชื่ออดีตอาจารย์วิชาปรุงยาของเธอก็คือคลื่นความเกลียดชังที่แผ่ไปทั่วร่างกายของเธอราวกับยาพิษ  แม้ว่าเฮอร์ไมโอนี่จะไม่เคยไม่ชอบอาจารย์คนไหนมากเป็นพิเศษก็ตาม (อาจจะยกเว้นอัมบริดจ์ที่ทำตัวร้ายกาจกับแฮร์รี่และสมาชิกก.ด.มากเท่านั้น) เธอกลับต้องแปลกใจที่ความรู้สึกของเธอที่มีต่อสเนปซึ่งได้ก้าวข้ามจากความไม่พอใจไปเป็นความเกลียดชังหลังจากที่เธอรู้ว่าเขาเป็นคนสังหารดัมเบิลดอร์และทรยศต่อภาคี  แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามหญิงสาวกลับรู้สึกโล่งอกไม่น้อยที่สเนปเป็นคนร่ายคาถาแปลงความทรงจำของพ่อแม่เธอ  เพราะเฮอร์ไมโอนี่รู้ดีว่านอกจากสเนปจะเชี่ยวชาญทางด้านการปรุงยาและศาสตร์มืดแล้วเขายังเป็นนักสกัดใจและพินิจใจที่เก่งกาจคนหนึ่ง  ซึ่งความสามารถในการจัดการกับความทรงจำของเขานั้นคงจะมีมากกว่าผู้เสพความตายคนอื่นเป็นแน่

    หลังจากได้รับคำตอบแล้วความเงียบที่น่าอึดอัดก็เข้ามาปกคลุมห้องดนตรี  ทั้งนายลูเซียสและเฮอร์ไมโอนี่ต่างไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรออกมาอยู่ครู่หนึ่งจนกระทั่งชายผมบลอนด์เป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นมา

    “ตอนนี้พ่อแม่ของเธอสบายดี  มันไม่มีอะไรที่เธอต้องเป็นห่วงเลย” เขาพูดขึ้นพลางบีบมือของหญิงสาวเบา ๆ ขณะที่เธอพยักหน้าอย่างรับรู้  แม้จะกังวลในเรื่องของพ่อแม่มากก็ตามแต่เฮอร์ไมโอนี่ก็ต้องทำใจยอมรับให้ได้ว่าเธอไม่อาจทำอะไรในเรื่องนี้ได้เลย  อีกทั้งการที่สเนปร่ายคาถาปรับความทรงจำของพ่อแม่ของเธอนั้นอาจจะเป็นการดีต่อพวกเขาก็เป็นได้  เพราะว่าอย่างน้อย ๆ พวกเขาก็สามารถใช้ชีวิตต่อไปอย่างปกติโดยที่ไม่ต้องมากังวลในเรื่องที่เธอหายตัวไปแบบนี้  อันที่จริงเฮอร์ไมโอนี่เองก็วางแผนที่จะแปลงความทรงจำของพ่อแม่เธอแบบเดียวกับที่ผู้เสพความตายได้ทำลงไปเหมือนกัน  เนื่องจากเธอ  แฮร์รี่  และรอนได้สัญญากันไว้ว่าหลังจากที่พวกเขาได้รับตำแหน่งมือปราบมารแล้วทั้งสามจะออกตามหาฮอกครักซ์ในทันที  และเมื่อถึงตอนนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็ตั้งใจที่จะร่ายคาถาปรับความทรงจำของพ่อแม่เธอเพื่อให้พวกเขาลืมเรื่องราวของเธอและส่งพวกเขาไปยังที่ไกล ๆ เพื่อให้พวกเขาปลอดภัยของสงคราม  แต่หญิงสาวไม่คิดมาก่อนว่าเธอจะถูกผู้เสพคความตายจับตัวมารวมทั้งจะต้องถูกบังคับให้แต่งงานกับลูเซียส  มัลฟอยแบบนี้

     

    หลังจากที่ทำใจให้สงบลงและสามารถยอมรับได้แล้วว่าสิ่งที่นายมัลฟอยได้บอกเธอนั้นเป็นข้อมูลที่มีเหตุผลรวมทั้งมีประโยชน์ต่อเธอไม่น้อย  เฮอร์ไมโอนี่จึงตัดสินใจเงยหน้าขึ้นมองสามีของเธอก่อนจะพูดขึ้น

    “ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวพูดขึ้นเบา ๆ ขณะที่นายลูเซียสมองเธอพิจารณา  และเมื่อเห็นว่าเธอมีท่าทีที่สงบลงมากแล้ว  เขาจึงตัดสินใจที่จะชวนเธอออกไปชมส่วนอื่นของคฤหาสน์ต่อ

    “ฉันว่าเราออกไปห้องอื่นกันดีกว่าไหม” เขาถามอย่างสุภาพพลางมองเข้าไปในดวงตาของภรรยา และเมื่อเห็นว่าเฮอร์ไมโอนี่ตอบรับด้วยการพยักหน้าเบา ๆ  ชายผมบลอนด์จึงพาเธอลุกจากเก้าอี้และเดินออกจากห้องไป

     

     …………………………………………….

     

    กว่าที่เฮอร์ไมโอนี่จะสำรวจห้องทุกห้องบริเวณปีกตะวันตกของชั้นสามจนครบก็ใกล้เวลาอาหารเย็นแล้ว  และเมื่อเป็นเช่นนั้นนายลูเซียสจึงพาเธอลงจากชั้นสามไปยังห้องอาหาร  แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้ลงบันไดไปยังด้านล่างหญิงสาวก็สะดุดตาเข้ากับห้องหนึ่งที่อยู่ใกล้กับระเบียงทางเดินชั้นสามขึ้นมา

    “นั่นห้องอะไรคะ” เฮอร์ไมโอนี่ถามด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติ  แต่เมื่อเธอได้เห็นสีหน้าอึดอัดใจของนายลูเซียส  เธอก็รู้ทันทีว่าเธอได้ถามคำถามที่ไม่ควรถามออกไปเสียแล้ว  เพราะเธอเพิ่งนึกขึ้นได้ในตอนนี้เองว่าห้องที่เธอเห็นนั้น่าจะเป็นหนึ่งในสองห้องที่นายลูเซียสห้ามไม่ให้เธอเข้าไปในคฤหาสน์แห่งนี้  ซึ่งห้องหนึ่งก็คือห้องทำงานของเขาที่เชื่อมต่อกับห้องสมุด  ส่วนอีกห้องนั้นเป็นห้องนอนของภรรยาเก่าของเขา

    แม้ว่าจะอึดอัดใจกับคำถามของหญิงสาวมากก็ตามแต่ชายผมบลอนด์ก็ยอมตอบคำถามนั้นออกมาแต่โดยดี

    “นั่นเป็นห้องนอนเก่าของฉันกับนาร์ซิสซา” เขาตอบออกมาด้วยท่าทีที่เรียบเฉย  แต่เฮอร์ไมโอนี่รู้ดีว่าเขาลำบากใจไม่น้อยที่จะต้องพูดเรื่องนี้ออกมา

    “ฉันขอโทษค่ะ” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงราวกับเธอต้องการบอกเขาว่าเธอรู้สึกผิดในสิ่งที่เธอเพิ่งพูดออกไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์จริง  ๆ แต่ดูเหมือนว่าสามีของเธอจะไม่ได้ติดใจการกระทำของเธอแต่อย่างใด  หรืออย่างน้อย ๆ เขาก็คงแสร้งทำเป็นว่าเขาไม่สนใจในความผิดพลาดนั้นของเธอ  ขณะที่สายตาของเขาละไปจากใบหน้าของเฮอร์ไมโอนี่และเลื่อนไปมองบานประตูซึ่งด้านหลังของมันเป็นห้องนอนเก่าที่น่าจะเต็มไปด้วยความทรงจำระหว่างเขากับนางนาร์ซิสซาด้วยแววตาที่แฝงไว้ด้วยความโศกเศร้า  และเมื่อเห็นเช่นนั้นหญิงสาวจึงตัดสินใจพูดขึ้น

    “อันที่จริงฉันอยากจะลงไปอาบน้ำก่อนทานอาหารน่ะค่ะ  แล้วเราค่อยไปเจอกันที่ห้องอาหารดีกว่านะคะ” เธอพูด  และเมื่อเห็นสีหน้าที่แสดงถึงความไม่เข้าใจของนายลูเซียสหญิงสาวจึงเสริมขึ้นอย่างแผ่วเบา

    “ฉันคิดว่าฉันน่าจะปล่อยให้คุณไว้ที่นี่ดีกว่า  เผื่อว่าคุณอยากจะเข้าไปที่ห้องนั้น.......” เธอพูดออกมาราวกับเธอเข้าใจในสิ่งที่เขารู้สึกเป็นอย่างดี  ซึ่งอันที่จริงแล้วมันเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำที่เธอจะเข้าใจความรู้สึกของเขา  เพราะเฮอร์ไมโอนี่ไม่เคยต้องสูญเสียคู่แต่งงานที่ใช้ชีวิตร่วมกับมานานอย่างที่นายลูเซียสสูญเสียภรรยาเก่าของเขา  แต่โดยไม่ได้คาดการณ์มาก่อนชายผมบลอนด์ตอบแทนข้อเสนอแนะของเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความขบขันระคนเศร้าหมองเมื่อเขาพูดขึ้นมา

    “อะไรทำให้เธอคิดว่าฉันอยากเข้าไปในห้องนั้นกัน” เขาถามกับสีหน้าแปลกใจของเฮอร์ไมโอนี่

    “ก็คุณ.....” หญิงสาวตอบเพียงเท่านั้นก่อนจะเงียบไป  เมื่อสามีของเธอก้าวเข้ามาใกล้เธออีกสองก้าว ก่อนจะมองลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ

    “ฉันไม่เคยเข้าไปในห้องนั้นอีกเลย  ตั้งแต่นาร์ซิสซาจากฉันไป” เขาตอบออกมาด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบแต่แฝงไว้ด้วยความปวดร้าวจนเฮอร์ไมโอนี่รู้สึกใจหาย

    “คุณปิดตายห้องนั้นหรือคะ” เธอถามออกไปก่อนที่จะห้ามตัวเองได้ทัน  แต่ดูเหมือนว่าคราวนี้ชายผมบลอนด์จะดูไม่โกรธเคืองแต่อย่างใดเมื่อเธอถามเรื่องอดีตของเขาออกมาตามตรงแบบนี้

    “ก็ไม่เชิงหรอก” เขาตอบ  แววตาของเขาดูเศร้าหมองอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นแววตาที่ดูสุขุมตามแบบฉบับของมัลฟอยภายในเสี้ยววินาทีเมื่อเขาพูดต่อ “ฉันว่าเราลงไปที่ห้องอาหารกันดีกว่าไหม” เขาถาม  และเมื่อเฮอร์ไมโอนี่ไม่ได้ตอบอะไรออกมานอกจากพยักหน้าเบา ๆ นายลูเซียสก็คว้ามือเล็กของเธอมากุมและพาเธอเดินลงไปยังชั้นล่างของคฤหาสน์โดยทิ้งบานประตูที่ภายในเต็มไปด้วยความทรงจำระหว่างเขากับภรรยาเก่าเอาไว้เบื้องหลัง

     

     

     

    *************************************************


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×