คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : Malfoy Manor: คฤหาสน์มัลฟอย
***Chapter 12 Malfoy Manor: คฤหาสน์มัลฟอย***
หลังจากพยายามใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวอย่างนานที่สุดเท่าที่จะทำได้เฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่อาจหาเหตุผลใด ๆ มาอ้อยอิ่งอยู่ในห้องน้ำนานไปกว่านี้ได้อีกแล้ว เมื่อเธอตรวจสอบตัวเองในกระจกเป็นรอบที่สามสิบ และพบว่าภาพที่เห็นก็คือหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังใส่ชุดนอนผ้าไหมที่มีเสื้อคลุมยาวกำลังจ้องตอบกลับมา (เฮอร์ไมโอนี่เจอเสื้อคลุมแขนยาวสำหรับใส่นอนในตู้เสื้อผ้าหลังจากเธอเกือบจะหมดหวังในการหาชุดนอนที่ไม่บางจนเกินไปมาใส่และเกือบจะตัดสินใจหยิบเสื้อผ้าสำหรับใส่กลางวันมาใส่นอนเสียแล้ว) เธอก็จัดเสื้อคลุมด้านหน้าของตนให้เรียบร้อยเป็นครั้งสุดท้ายพลางดึงคอเสื้อที่คว้านต่ำขึ้นมาปกปิดบริเวณเนินอกของตนเองก่อนที่จะสูดลมหายใจลึก ๆ อีกครั้ง แน่นอนหญิงสาวรู้ดีว่าเธอไม่อาจจะอยู่ในห้องแต่งตัวแบบนี้ไปตลอดทั้งคืนได้ เพราะถ้าเธอใช้เวลาอยู่ที่นี่นานมากกว่านี้นายลูเซียสอาจจะเข้ามาตามเธอถึงในห้องแต่งตัวนี้ก็เป็นได้ แต่ในขณะเดียวกันนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็แอบหวังว่าการอาบน้ำแต่งตัวที่กินเวลายาวนานของเธอจะทำให้สามีของเธอรอคอยไม่ไหวและเข้านอนไปเสียก่อน แต่หญิงสาวกลับพบว่าเธอคิดผิดโดยสิ้นเชิงเมื่อเธอกลับเข้าไปในห้องนอนและพบว่านายมัลฟอยกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ตรงโซฟาหน้าเตาผิง ขณะที่มือหนึ่งของเขาถือแก้วเครื่องดื่มเอาไว้
ชายผมบลอนด์หันมามองทางเฮอร์ไมโอนี่ทันทีที่เขาได้ยินเสียงเปิดประตู ขณะที่หญิงสาวยืนนิ่งอยู่กับที่ราวกับถูกสะกดเมื่อเขามองมาทางเธอด้วยดวงตาสีเงินลึกลับของเขา นายลูเซียสสวมเสื้อคลุมสำหรับเข้านอนสีเขียวเข้มที่ทำจากผ้าเนื้อดีเช่นเดียวกับชุดนอนของเฮอร์ไมโอนี่ และเมื่อสังเกตุให้ดีแล้วเธอก็พบว่าปลายผมสีบลอนด์ของเขาเปียกเล็กน้อยซึ่งบอกเธอว่าเขาเองก็เพิ่งอาบน้ำมาเช่นกัน
“ฉันคิดว่ากำลังจะเข้าไปตามเธออยู่พอดีเชียว ฉันนึกว่าเธอเป็นลมไปตอนกำลังแช่น้ำร้อนในอ่างเข้าเสียแล้ว” เขาพูดด้วยท่าทีปกติราวกับมันเป็นเรื่องธรรมดาที่สุดที่เขาจะเข้าไปในห้องน้ำที่หญิงสาวกำลังอาบน้ำอยู่ ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมโดยไม่รู้ว่าเธอจะก้าวไปทางไหนหรือควรจะพูดหรือทำอะไรต่อ อันที่จริงหญิงสาวต้องการจะหนีออกไปจากห้องนี้เพื่อไปให้ไกลจากชายตรงหน้ามากกว่าอะไรทั้งหมด แต่เธอก็พบว่าเธอไม่สามารถทำได้เมื่อสามีของเธอวางแก้วเครื่องดื่มและหนังสือพิมพ์ในมือลงบนโต๊ะกลางก่อนจะลุกขึ้นจากโซฟาและเดินมาทางเธอ และเมื่อเฮอร์ไมโอนี่รู้ตัวอีกครั้งร่างใหญ่นั้นก็เข้ามาประชิดตัวเธอเสียแล้ว
“อยากดื่มอะไรหน่อยไหม” เขาถามอย่างสุภาพ พลางจ้องมองร่างเล็ก ๆ ตรงหน้าด้วยสายตาเอ็นดูซึ่งมันดูเจ้าเล่ห์มากกว่าอะไรทั้งหมดในสายตาของเฮอร์ไมโอนี่ ขณะที่หญิงสาวใช้เวลาคิดเพียงครู่เดียวก่อนจะตอบออกไป
“ไม่ค่ะ........อันที่จริง........” คำพูดของเธอเริ่มติดขัดเมื่อร่างใหญ่ของชายผมบลอนด์โน้มเข้ามาใกล้ร่างเล็กของเฮอร์ไมโอนี่ นายลูเซียสโน้มใบหน้าของเขาเข้ามาที่ข้างแก้มของหญิงสาวราวกับเขาต้องการสูดกลิ่นกายที่หอมหวานของเธอ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ได้คว้าร่างบางของเธอมาโอบกอดไว้แต่อย่างใด
“คือ ฉันจะมาบอกคุณว่าฉันอยากจะกลับไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดต่อเสียหน่อยน่ะค่ะ” เธอพูดและพยายามเบี่ยงตัวหลบใบหน้าของนายมัลฟอยที่บัดนี้อ้อยอิ่งอยู่ข้างแก้มของเธอ และถอยหลังออกมาอีกก้าวหนึ่ง ในขณะเดียวกันนั้นนายลูเซียสก็ยิ้มน้อย ๆ ให้กับการเอาตัวรอดของหญิงสาวที่ไม่สู้ฉลาดนักในความคิดของเขา เธอคิดจริง ๆ หรือว่าเธอจะหนีไปจากเขาได้ รวมทั้งเธอคิดจริง ๆ อย่างนั้นหรือว่าเขาจะยอมให้เธอแอบฝึกเวทย์มนต์โดยไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์ใต้จมูกของเขาแบบนี้ แน่นอนว่าไม่ เขาไม่ยอมให้เธอทำเช่นนั้นเป็นแน่ รวมทั้งเขาจะไม่ยอมปล่อยเธอออกจากห้องนี้ไปจนกว่าจะถึงเวลาเช้าเท่านั้น
เมื่อคิดได้เช่นนั้นมือใหญ่ของชายผมบลอนด์ก็เลื่อนไปจับแขนของหญิงสาวไว้ก่อนที่เธอจะมีโอกาสเดินหนีเขาไปไหน นายลูเซียสมองเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลของภรรยาที่กำลังมองกลับมาที่เขาด้วยแววตาแปลกใจก่อนจะตอบเธอออกไป
“เธอคงไม่คิดว่าห้องสมุดจะเปิดในเวลากลางคืนแบบนี้หรอกจริงไหม” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มราวกับแพรไหม แต่แววตาของเขาที่มองมาทางเธอกลับทำให้เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกขนลุก เธอจ้องเขาตอบด้วยความแปลกใจ
“แต่คุณบอกฉันเองไม่ใช่หรือคะว่าฉันสามารถเข้าไปใช้ห้องสมุดได้ เพราะว่า......เพราะว่ามันก็เป็นของฉันเหมือนกัน” หญิงสาวพบว่าตัวเองตอบออกไปเช่นนั้น และเมื่อเธอมองสบตาของชายตรงหน้า เฮอร์ไมโอนี่ก็พบว่านายลูเซียสมองเธอด้วยสายตาราวกับต้องการบอกเธอว่าเขารู้เรื่องทั้งหมดที่เธอพยายามจะปิดบังเขาไว้แล้ว
“ใช่ ฉันพูดอย่างนั้นจริง ก่อนที่ฉันจะรู้ว่าเธอไปที่ห้องสมุดเพื่อค้นคว้าเรื่องอะไรบ้าง” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ แต่หญิงสาวกลับรู้สึกเย็นวาบที่สันหลังเพราะคำพูดของเขา
“คุณรู้อย่างนั้นหรือคะ” เธอกระซิบออกมา ขณะที่ชายผมบลอนด์ก้าวเข้ามาใกล้เธออีกก้าวจนเธอสัมผัสได้ถึงกลิ่นสบู่จาง ๆ จากร่างกายของเขา
“เธอคิดว่าฉันโง่พอที่จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในบ้านของฉันบ้างอย่างนั้นหรือ” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา ราวสามีที่อ่อนโยนและเอ็นดูเธอได้หายไปเพราะเขาได้กลับกลายมาเป็นลูเซียส มัลฟอยคนเดิมเสียแล้ว ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกราวกับหัวใจของเธอตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม แต่ถึงกระนั้นเธอก็พยายามที่จะรักษาท่าทีให้เป็นปกติ แม้ว่าจริง ๆ แล้วเธอจะหวาดกลัวมากก็ตาม โดยเฉพาะเมื่อนายลูเซียสยกมือหนึ่งของเขาขึ้นมาเชยคางของเธอให้เธอเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขา หลังจากที่เธอหลบสายตาเขาไปมองทางอื่น
“บอกฉันสิ เฮอร์ไมโอนี่ เธอคิดว่าฉันจะไม่รู้เลยหรือว่าเธอแอบทำอะไรบ้านของฉันเองน่ะ” เขาถามพลางจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของหญิงสาว เฮอร์ไมโอนี่มีท่าทีแปลกใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนเธอจะเข้าใจเรื่องทั้งหมด
“คุณให้เอลฟ์จับตาดูฉันหรือคะ” เธอถามด้วยเสียงแหลมสูง ราวกับเธอรู้สึกไม่พอใจในความจริงที่เธอเพิ่งค้นพบเป็นอย่างมาก ขณะที่ชายผมบลอนด์ยังคงจ้องมองหญิงสาวอยู่
“ฉันยอมรับว่าฉันให้เอลฟ์จับตาดูเธอ แต่มันไม่ได้มาบอกฉันในเรื่องหนังสือที่เธออ่านวันนี้หรอก” เขาพูดกับสีหน้าที่มีแววสงสัยของภรรยา
“เธอคิดว่าฉันจะไม่รู้จริง ๆ หรือว่าหนังสืออะไรบ้างที่อยู่บนโต๊ะในตอนที่ฉันไปเจอเธอนอนหลับอยู่ในห้องสมุดน่ะ” นายลูเซียสพูดออกมาตามตรง ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกว่าแก้มของเธอร้อนผ่าวด้วยความอับอายราวกับเด็กที่ถูกจับได้ว่าทำผิด แต่แน่นอนว่าสิ่งที่เธอกำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้นั้นมันร้ายแรงมากกว่าการถูกจับได้ว่าทำความผิดเล็ก ๆ น้อยมากนัก
“ฉัน.....แต่ฉันก็มีสิทธิ์ที่จะค้นคว้ามันไม่ใช่หรือคะ” เธอเถียง ขณะที่พยายามรักษาสีหน้าให้เรียบเฉย ทั้งที่จริง ๆ แล้วเธอจะกลัวมากก็ตามที่เขาจับได้ว่าเธอพยายามหาทางศึกษาเวทย์มนต์เพื่อมาใช้ต่อกรกับเขาแบบนี้ เพราะสิ่งสุดท้ายที่เฮอร์ไมโอนี่ต้องการให้เกิดขึ้นในตอนนี้รองจากการที่โวลเดอมอร์ฆ่าแฮร์รี่และยึดครองโลกเวทย์มนต์ได้ก็คือการได้เห็นชายตรงหน้าโกรธนี่แหละ
และดูเหมือนว่าเธอจะไม่ต้องรอนานเท่าไหร่นักเมื่อความกลัวอีกอย่างหนึ่งของเธอเป็นจริงขึ้นมา เพราะหลังจากที่หญิงสาวพูดจบ ชายตรงหน้าก็มองเธอด้วยแววตาที่เกือบจะเรียกไว้ว่าเกรี้ยวกราด มือใหญ่ที่กุมแขนบอบบางของหญิงสาวไว้บีบมันแน่นราวกับคีมเหล็ก ความเจ็บปวดแล่นไปตามกระดูกจนเฮอร์ไมโอนี่ต้องครางออกมาเบา ๆ และพยายามดิ้นรนจากการเกาะกุมของสามี แต่ถึงเธอจะแสดงท่าทีว่าเธอเจ็บปวดออกมาก็ตามมันกลับไม่มีแววปราณีอยู่ในดวงตาสีเงินของนายลูเซียสที่ใช้จ้องมองภรรยาของเขาเลยแม้แต่น้อย เมื่อเขาโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ร่างบางตรงหน้าก่อนจะจูบเธออย่างหนักหน่วง
หญิงสาวพยายามขัดขืนการกระทำของร่างตรงหน้า แต่เธอก็ไม่อาจทำอะไรมากไปกว่าดิ้นรนอยู่ภายใต้การเกาะกุมของเขาขณะที่ชายผมบลอนด์จูบเธออย่างรุนแรง และพยายามจะสอดลิ้นเข้าไปในปากของเธอ ซึ่งแม้ว่าเฮอร์ไมโอนี่จะพยายามต่อต้านอย่างสุดกำลังเธอก็ไม่อาจต้านทานความต้องการของร่างตรงหน้าได้ เมื่อชายผมบลอนด์จูบร่างเล็กในอ้อมแขนของเขาจนพอใจแล้วเขาก็ถอนใบหน้าออกมา และสิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือดวงตาสีน้ำตาลที่มีแววเจ็บปวดของเฮอร์ไมโอนี่ซึ่งมองมาทางเขาอย่างเกลียดชัง!
และเพราะสายตาของหญิงสาวนี้เองที่ทำให้นายลูเซียสรู้สึกผิดกับการกระทำของเขาขึ้นมาในทันที แม้ว่ามันจะไม่ใช่ความรู้สึกที่เขาได้ประสบบ่อยนักก็ตาม แต่เขากลับไม่รู้สึกชอบมันเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามชายผมบลอนด์รู้สึกโมโหตัวเองมากกว่าอะไรทั้งหมดที่เขาจะต้องมารู้สึกแบบนี้หลังจากที่เขาเพิ่งจูบภรรยาที่แสนจะดื้อดึงของเขาคนนี้ลงไป ซึ่งอันที่จริงแล้วมันไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่เขาจะจูบเธอ ในเมื่อเธอได้ตกเป็นของเขาอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว รวมทั้งเขาน่าจะโมโหในความดื้อดึงของหญิงสาวคนนี้จนลงโทษเธอหนักกว่านี้ด้วยซ้ำ แต่มันกลับมีอะไรบางอย่างมาทำให้เขารู้สึกว่าการที่เขาทำรุนแรงกับเธอนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งความคิดนั้นทำให้เขาหงุดหงิดมากกว่าอะไรทั้งหมด และหลังจากได้สบดวงตาสีน้ำตาลที่แสดงออกถึงความเสียใจของเฮอร์ไมโอนี่แล้ว นายลูเซียสก็รู้สึกว่าเขาควรจะต้องพูดอะไรบางอย่างออกไป
“เธออาจจะมีสิทธิ์ค้นคว้าข้อมูลในห้องสมุด” เขากระซิบกับหญิงสาวอย่างแผ่วเบา แต่เธอกลับได้ยินมันอย่างชัดเจน “แต่ฉันเองก็มีสิทธิ์ที่จะห้ามไม่ให้เธอทำในสิ่งที่ฉันไม่พอใจในบ้านของฉัน เธอก็รู้ว่าฉันสามารถห้ามไม่ให้เธอเข้าไปใช้ห้องสมุดอีกเลย หรือฉันทำได้แม้กระทั่งทำลายหนังสือทุกเล่มที่เธออ่านในวันนี้ เพื่อที่เธอจะได้ไม่ต้องแอบฝึกเวทย์มนต์โดยไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์อีก” นายลูเซียสพูดด้วยน้ำเสียงวางอำนาจ ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ตาโตเพราะคำพูดของสามี แน่นอนว่าเธอไม่ต้องการให้เขาทำอย่างที่ที่เขาพูดแต่อย่างใด แต่ก่อนที่เธอจะได้ทักท้วงอะไรออกไปชายผมบลอนด์ก็พูดขึ้นก่อน
“อีกอย่างการกระทำของเธอก็ไม่ได้เป็นการนำประโยชน์ใด ๆ มาให้กับเธอเลย เพราะถึงเธอจะศึกษาการใช้เวทย์มนต์โดยไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์ได้สำเร็จก็ตาม แต่มันก็ช่วยให้เธอหนีไปจากที่นี่ไม่ได้อยู่ดี รวมทั้งเธอไม่สามารถใช้มันมาทำร้ายฉันได้ด้วย” เขาพูดกับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น ราวกับต้องการย้ำเตือนความเป็นจริงที่ว่าถึงแม้เธอจะสามารถใช้เวทย์มนต์โดยไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์ได้อย่างเชี่ยวชาญแล้วก็ตาม แต่เธอก็ไม่สามารถใช้เพียงเวทย์มนตร์โดยไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์หนีไปจากคฤหาสน์แห่งนี้ได้ รวมทั้งเธอไม่อาจใช้มันทำร้ายนาย มัลฟอยซึ่งอยู่ในฐานะสามีของเธอในตอนนี้ได้เลย เนื่องจากพันธะสัญญาการแต่งงานระบุไว้อย่างชัดเจนว่าหลังจากแต่งงานไปแล้วเธอซึ่งเป็นภรรยาของนายลูเซียสไม่อาจจะเสกเวทย์มนต์ใด ๆ ขึ้นมาทำร้ายเขาได้ เธอทำไม่ได้แม้กระทั่งขอหย่าขาดจากเขา แต่ในทางตรงกันข้ามสัญญากลับไม่ได้ระบุห้ามการที่เขาจะเสกเวทย์มนต์ซึ่งมีผลต่อตัวเธอขึ้น รวมทั้งเขาเป็นเพียงฝ่ายเดียวที่มีสิทธิ์ขอหย่าขาดจากเธอหากเขาต้องการ นี่ยังไม่นับเรื่องที่เธอไม่อาจหนีไปจากคฤหาสน์หลังนี้ได้ เพราะนอกจากนายมัลฟอยจะคอยให้เอลฟ์จับตาดูเธออยู่ตลอดเวลาแล้ว แหวนแต่งงานที่อยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายของเธอก็จะเป็นตัวบอกที่อยู่ของเธออย่างแม่นยำมากทีเดียวในกรณีที่เธอเกิดหนีไปได้
หลังจากเข้าใจแล้วว่าการกระทำของเธอเองไม่อาจนำประโยชน์ใด ๆ มาให้กับเธอได้เลย ตรงกันข้ามมันกลับจะนำความเดือดร้อนมาให้เธอด้วยซ้ำเมื่อชายผมบลอนด์ค้นพบว่าเธอกำลังหาทางขัดคำสั่งเขาแบบนี้ ในตอนนั้นเองเฮอร์ไมโอนี่ก็รู้สึกไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาในทันที ราวกับว่ามันถึงเวลาแล้วที่เธอจะต้องยอมรับความจริงที่ว่า ไม่ว่าเธอจะพยายามเพียงใดเธอก็ไม่อาจเอาชนะชายตรงหน้าที่เหนือกว่าเธอทั้งในด้านความคิดและพลังเวทย์มนต์ไปได้ แม้ว่าเธอจะได้ชื่อว่าเป็นแม่มดที่ฉลาดที่สุดในรุ่นรวมทั้งเป็นทายาทของเรเวนคลอก็ตาม แต่หญิงสาวกลับรู้สึกราวกับเธอเป็นเพียงเด็กที่ไม่ประสีประสาเท่านั้น เมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับผู้เสพความตายที่รู้ทันเธอราวกับเขาอ่านใจเธอออกแบบนี้ หรือในที่สุดมันถึงเวลาที่เธอจะต้องยอมรับได้แล้วว่าเธออยู่ในการควบคุมของนายลูเซียสในทุก ๆ เรื่องอย่างที่เขาต้องการให้มันเป็นและในอย่างที่เธอขัดขืนไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
ในขณะเดียวกันนั้นเองชายผมบลอนด์ซึ่งกำลังจ้องมองภรรยาของเขาอยู่ก็รู้สึกพอใจไม่น้อยที่ได้เห็นท่าทีสับสนของหญิงสาว รอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏขึ้นบนมุมปากของนายลูเซียสเมื่อเขาพบว่าหญิงสาวตรงหน้าไม่อาจหาข้อโต้แย้งใด ๆ มาโต้เถียงเขาได้ และเมื่อเป็นเช่นนั้นเขาจึงใช้มือข้างหนึ่งเชยคางของเธอขึ้นมาและบังคับให้เธอเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขา
“การกระทำของเธอนั้นไม่ได้เรื่องที่ฉลาดเลย เพราะนอกจากมันจะไม่นำประโยชน์ใด ๆ มาให้เธอแล้ว มันยังจะทำให้เธอสูญเสียโอกาสที่เธอจะได้ไม้กายสิทธิ์ของเธอคืนอีกด้วย” เขาพูดพลางจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเฮอร์ไมโอนี่ ขณะที่หญิงสาวจ้องเขาตอบด้วยสายตาราวกับเธอไม่เชื่อในสิ่งที่เขาเพิ่งพูดออกมา
“คุณว่าอะไรนะคะ!” เธอกระซิบ รอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของชายผมบลอนด์อีกครั้งเมื่อเขามองเธออย่างเอ็นดูพร้อมกับลูบแก้มเนียนของเธอด้วยมืออีกข้างหนึ่ง เฮอร์ไมโอนี่สะดุ้งเพราะสัมผัสนั้น แต่เธอก็ไม่ได้ถอยหนีจากเขาแต่อย่างใด
“ฉันกำลังบอกเธอว่าฉันอาจจะคืนไม้กายสิทธิ์ให้เธอ ถ้าหากเธอทำตัวดี ๆ และเชื่อฟังที่ฉันพูด” นายลูเซียสพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มราวกับแพรไหม ขณะที่หญิงสาวรีบถามออกไปทันทีหลังจากที่เขาพูดจบ
“คุณจะคืนไม้กายสิทธิ์ให้ฉันอย่างนั้นหรือคะ เมื่อไหร่คะ” เธอถามออกไปอย่างรวดเร็ว ชายผมบลอนด์มีท่าทีอึดอัดใจเล็กน้อยกับคำพูดของเธอ แต่เขาก็สามารถรักษาสีหน้าให้เป็นปกติไว้ได้
“แน่นอนว่าไม่ใช่เร็ว ๆ นี้” เขาพูดด้วยท่าทีเรียบเฉย ขณะที่แววตื่นเต้นบนใบหน้าของเฮอร์ไมโอนี่นั้นจางหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อเธอรู้ว่าเธอได้ตกหลุมพรางที่ชายตรงหน้าวางเอาไว้เสียแล้ว เพราะเขาไม่ได้ตั้งใจจะคืนไม้กายสิทธิ์ให้เธอจริง ๆ ตรงกันข้ามเขาแค่ต้องการให้เธอเชื่อเช่นนั้นเพื่อที่เธอจะได้ทำตามที่เขาต้องการทุกอย่าง
และเมื่อเห็นสีหน้าผิดหวังระคนโกรธเคืองของหญิงสาวตรงหน้าแล้ว นายลูเซียสจึงพูดขึ้น
“ฉันมีความตั้งใจจะคืนไม้กายสิทธิ์ให้เธอ” เขาเอ่ยอย่างหนักแน่น ขณะที่ใช้มือหนึ่งกุมใบหน้าของเฮอร์ไมโอนี่ให้หันกลับมาสบตาเขาอีกครั้ง และเมื่อเห็นว่าดวงตาสีน้ำตาลของหญิงสาวมองเขาอย่างไม่ไว้ใจชายผมบลอนด์จึงพูดต่อ
“แต่ฉันจะคืนไม้กายสิทธิ์ให้เธอเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น และฉันขอพูดได้เลยว่าฉันไม่ได้มีความตั้งใจที่จะเก็บมันไว้กับฉันตลอดไป” เขากล่าวพลางจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ แม้ว่าสายตาที่เขาใช้มองมาที่เธอนั้นจะดูหนักแน่นและจริงใจมากก็ตาม แต่ส่วนลึก ๆ ในสมองของเฮอร์ไมโอนี่ก็ยังคงบอกเธอไม่ให้เชื่อคำพูดของชายตรงหน้าอยู่ดี
“แล้วเวลาที่เหมาะสมของคุณนั้นมันเมื่อไหร่กันคะ หลังจากที่พวกคุณชนะสงคราม หรือว่าหลังจากวันครบรอบแต่งงานปีที่สิบของเรางั้นหรือคะคุณถึงจะคืนไม้กายสิทธิ์ให้ฉันได้!” เธอโต้กลับอย่างเผ็ดร้อน และคาดเอาไว้ว่าสามีของเธอคงจะต้องโมโหไม่น้อยกับสิ่งที่เธอเพิ่งพูดออกไป แต่เฮอร์ไมโอนี่กลับคิดผิดเมื่อเธอเห็นว่าร่างใหญ่ตรงหน้าของเธอยังคงมีท่าทีปกติ ริมฝีปากบางของเขายกสูงในเชิงขบขัน
“ฉันมั่นใจว่ามันคงเร็วกว่าวันครบรอบแต่งงานปีที่สิบของเราอย่างแน่นอน” เขาพูดพลางมองเธอด้วยสายตาที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกอับอายในสิ่งที่เธอเพิ่งพูดออกไป ราวกับว่าสิ่งที่เธอเพิ่งพูดออกมานั้นเป็นเรื่องที่น่าขบขันเหลือเกินสำหรับเขา ในขณะเดียวกันเฮอร์ไมโอนี่กลับพบว่าความคิดที่ว่าการชีวิตแต่งงานของเธอและนายลูเซียสจะยืนยาวไปถึงสิบปีนั้นเป็นสิ่งที่ไม่น่าพิสมัยเลยแม้แต่น้อย เพราะอย่างน้อย ๆ เธอก็ไม่ต้องการที่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้ชายที่เหมือนปีศาจร้ายคนนี้อีกแม้แต่วินาทีเดียว แต่หญิงสาวก็รู้ดีว่าเธอไม่มีทางเลือกแต่อย่างใด
หลังจากจมอยู่กับความสับสนอยู่ครู่หนึ่ง เฮอร์ไมโอนี่ก็รู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อเธอพบว่าแรงบีบที่แขนของเธอได้คลายลง แต่ร่างใหญ่ตรงหน้ายังคงไม่ยอมปล่อยเธอจากการเกาะกุมแต่อย่างใด เมื่อเขาเลื่อนมือใหญ่ของเขาไปกุมข้อมือของหญิงสาวไว้ก่อนที่จะพูดขึ้น
“เธอก็น่าจะรู้ว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่จะขัดขืนฉัน” เขาเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลหากแต่ฟังดูอันตราย “อันที่จริงเธอน่าจะจำได้นะว่าเธอเคยสัญญากับฉัน ว่าเธอจะยอมเชื่อฟังฉันทุกอย่างเพื่อแลกกับที่ฉันไว้ชีวิตมาดามมัลกิ้นให้เธอ” ชายผมบลอนด์พูดพลางไล้มือใหญ่ของเขาผ่านไหล่บางที่ถูกปกคลุมไว้ด้วยชุดนอนผ้าไหมเบา ๆ
“แล้วจากที่ฉันเห็น ฉันก็ไม่คิดว่าเธอได้ทำตามสัญญาเท่าที่ควรเลย บางทีฉันน่าจะลองใคร่ครวญดูว่าฉันควรจะรักษาสัญญาของฉันต่อไปดีไหม” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่เบิกตากว้างด้วยความตกใจ แม้จะรู้ว่ามันเป็นหลุมพรางที่เขาวางไว้ก็ตาม แต่หญิงสาวก็ไม่มีทางเลือกนอกจากจะเดินลงไปในหลุมพรางนั้นของเขา อันที่จริงเธอมีทางเลือกที่จะไม่ทำตามที่เขาต้องการ แต่เธอไม่ต้องการที่จะเลือกเส้นทางนั้นเพราะเฮอร์ไมโอนี่รู้ดีว่าเธอไม่อาจทนเห็นคนบริสุทธิ์อย่างมาดามมัลกิ้นถูกฆ่าได้ แม้ว่าการช่วยชีวิตของหล่อนจะต้องแลกมากับการเสียสละอย่างมหาศาลของหญิงสาวก็ตาม
“คุณทำอย่างนั้นไม่ได้นะคะ คุณผิดสัญญาที่ให้ไว้กับฉันไม่ได้!” เธอพูดเสียงแหลม แต่ชายผมบลอนด์ไม่มีท่าทีตกใจแม้แต่น้อยกับท่าทีของภรรยา
“ฉันบอกเธอแล้วไงที่รัก ว่าฉันจะรักษาสัญญาของฉันก็ต่อเมื่อเธอทำในแบบเดียวกันเท่านั้น แต่ถ้าเธอไม่ต้องการที่จะรักษาสัญญาต่อไปก็ไม่มีปัญหา ฉันจะได้บอกเบลลาทริกซ์ว่าเธอไม่ต้องการจะเก็บมาดามมัลกิ้นไว้เป็นช่างตัดเสื้อคลุมประจำตัวแล้ว” เขาพูดด้วยท่าทีเรียบเฉยราวกับพวกเขาไม่ได้กำลังตกลงอะไรบางอย่างที่เกี่ยวพันถึงชีวิตแม่มดบริสุทธิ์แบบนี้ ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่มองชายที่เปรียบเสมือนปีศาจร้ายตรงหน้าอย่างเกลียดชังระคนโกรธเกรี้ยว
“คุณกล้าดียังไงถึงทำแบบนี้กัน! คุณไม่มีวิธีอื่นแล้วเหรอคุณถึงเอาชีวิตของคนอื่นมาข่มขู่ฉันแบบนี้น่ะ!” หญิงสาวพูดออกไปด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง โดยไม่แม้แต่จะสนใจว่าคำพูดของเธออาจจะทำให้ชายตรงหน้าโกรธ และมันอาจจะนำความเดือดร้อนมาสู่ตัวเธอแต่อย่างใด เพราะเธอทนไม่ไหวแล้วที่เขามาคอยขมขู่และบงการเธอในทุก ๆ เรื่องแบบนี้
“ฉังคงไม่ต้องใช้วิธีนี้กับเธอหรอกถ้าเธอทำตามสัญญาดี ๆ ตั้งแต่แรก อีกอย่างฉันก็ไม่ได้เป็นคนเริ่มต้นเรื่องนี้ก่อนเลย แต่เป็นเธอต่างหากที่ขอร้องให้ฉันไว้ชีวิตมาดามมัลกิ้นเอง” เขาพูด ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกความโกรธที่แล่นผ่านใบหน้าจนเธอแน่ใจว่าตอนนี้ใบหน้าของเธอต้องเป็นสีแดงเหมือนกับที่รอนเป็นเวลาเขาโกรธอย่างแน่นอน หญิงสาวอยากจะสาปใบหน้าหยิ่งยโสและถือดีของร่างตรงหน้าเหลือเกิน แต่เธอก็รู้ดีว่าเธอไม่อาจทำเช่นนั้นได้พอ ๆ กับที่การทำร้ายเขานั้นไม่อาจนำประโยชน์ใด ๆ มาให้เธอได้ และยิ่งไปกว่านั้นก็คือการที่เฮอร์โอนี่เพิ่งค้นพบว่าคนที่เธอควรโกรธเคืองไปมากกว่าเขาก็คือตัวของเธอเองที่ยอมให้เขามามีอำนาจอยู่เหนือเธอทุกอย่างแบบนี้!
แม้ว่าเธอจะเพิ่งแต่งงานกับเขาได้เพียงแค่วันเดียวก็ตามแต่เฮอร์ไมโอนี่ก็พอจะอ่านความคิดของชายตรงหน้าออกได้ในบางเรื่อง เธอสังเกตุว่าเขาจะมีไม่กี่วิธีเท่านั้นในการทำให้เธอทำตามที่เขาต้องการ หนึ่งในนั้นก็คือการเกลี้ยกล่อมให้เธอทำตามเขา ถ้าเธอไม่ยอมเขาก็จะใช้กำลังบังคับเธอ และถ้าหากเธอยังไม่ยอมทำตามที่เขาต้องการแม้จะถูกเขาบังคับแล้วก็ตาม เขาก็จะใช้วิธีบังคับเธอทางอ้อมโดยการยกเอาความปลอดภัยของคนอื่นมาข่มขู่เธอ แต่ที่ร้ายไปกว่านั้นก็คือเธอกลับไม่พบหนทางใดที่จะมาขัดขืนอะไรชายตรงหน้าได้เลย เพราะถึงแม้ว่าเขาจะไม่สามารถใช้กำลังบังคับเธอทางตรงได้ เขาก็สามารถบังคับเธอทางอ้อมโดยการขู่ว่าจะทำร้ายพ่อแม่ของเธอหรือแม้กระทั่งมาดามมัลกิ้นได้อยู่ดี ดังนั้นเฮอร์ไมโอนี่จึงไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากยอมทำตามที่เขาต้องการเท่านั้น
ประโยคต่อมาที่ชายผมบลอนด์พูดนั้นดูราวกับดังมากจากที่ไกลแสนไกล แต่น่าประหลาดเหลือเกินที่หญิงสาวกลับได้ยินมันอย่างชัดเจน
“ฉันจะให้โอกาสเธอเพียงครั้งเดียว เฮอร์ไมโอนี่ สัญญากับฉันมาว่าเธอจะไม่ค้นคว้าเรื่องการใช้เวทย์มนต์โดยไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์อีก รวมทั้งเธอจะต้องทำตามที่ฉันต้องการทุกอย่างด้วย ไม่อย่างนั้น…….” เขาละคำพูดสุดท้ายไว้ แต่เฮอร์ไมโอนี่รู้ดีว่าเขาต้องการจะบอกอะไรกับเธอ ขณะที่เธอมองชายตรงหน้าด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย ทั้งโกรธเคือง สับสน และหวาดกลัว แต่หญิงสาวก็ใช้เวลาไม่นานนักในการตัดสินใจครั้งนี้ ราวกับว่าเธอมีคำตอบรอไว้อยู่แล้ว แถมมันยังเป็นคำตอบที่เขาต้องการจะได้ยินเสียด้วย
“ตกลงค่ะ” เธอพูดออกไปเรียบ ๆ แต่เมื่อเธอเห็นสายตาของสามีที่มองมา เฮอร์ไมโอนี่จึงเสริมออกไปว่า “ฉันสัญญาว่าฉันจะไม่แอบศึกษาเวทย์มนต์โดยไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์อีก แล้วฉันก็จะเชื่อฟังคุณทุกอย่าง คุณพอใจหรือยัง!” หญิงสาวพูดออกไปอย่างโกรธเคือง แต่ดูเหมือนว่าชายตรงหน้าจะไม่มีท่าทีไม่พอใจในการกระทำของเธอแต่อย่างใด ตรงกันข้ามรอยยิ้มมุมปากของนายลูเซียสกลับบอกเธอว่าเขาพอใจในสิ่งที่เธอเพิ่งพูดออกมาเป็นอย่างมาก จนเฮอร์ไมโอนี่ไม่อาจห้ามตัวเองไม่ให้พูดประโยคต่อไปได้
“คุณพอใจใช่ไหมคะที่ฉันจะทำตามที่คุณต้องการทุกอย่าง! คุณพอใจหรือยังที่คุณจะได้บงการชีวิตของฉันตามใจชอบแบบนี้!” เธอตะโกนออกมาอย่างไม่อาจจะควบคุมอารมณ์ได้ หญิงสาวรู้สึกว่าขอบตาของเธอร้อนผ่าวและเมื่อเป็นเช่นนั้นเธอจึงเลือกที่จะหันหลังให้ร่างตรงหน้าก่อนที่เธอจะแสดงความอ่อนแอออกมาให้เขาเห็นอีกครั้ง ขณะที่ชายผมบลอนด์มองแผ่นหลังที่สั่นเทาของภรรยาอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะตัดสินใจเคลื่อนกายเข้าไปโอบกอดร่างบางนั้นจากทางด้านหลัง นายลูเซียสแนบใบหน้าของเขาเข้าที่ข้างแก้มของเฮอร์ไมโอนี่ ขณะที่วงแขนแข็งแกร่งของเขาโอบกอดร่างเล็ก ๆ นั้นไว้อย่างแน่นหนาก่อนจะพูดออกมา
“ฉันจะพอใจมากกว่านี้ถ้าเธอยอมเชื่อฟังฉันทุกอย่างตั้งแต่แรก” เขากระซิบเข้าที่ข้างหูของหญิงสาวในอ้อมแขน และเมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ตอบอะไรออกมาเขาก็ก้มลงจูบเธอที่แก้มเบา ๆ แต่เมื่อชายผมบลอนด์ทำเช่นนั้นเขาก็พบว่าแก้มของเฮอร์ไมโอนี่เปียกชื้นด้วยน้ำตา และในวินาทีต่อมาเมื่อนายลูเซียสหันร่างของหญิงสาวให้มาเผชิญหน้ากับเขา เขาก็ได้เห็นว่าดวงตาคู่สวยของเธอมีน้ำตาคลอเอ่อ แต่ถึงจะเห็นเช่นนั้นเขาก็ไม่ได้ยื่นมาเช็ดน้ำตาให้เธอแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกับกลับทำเพียงแค่จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเธอเท่านั้น
“เธอร้องไห้ทำไมกัน” แม้ว่ามันจะเป็นคำถามที่ธรรมดามาก็ตาม แต่หญิงสาวกลับไม่แน่ใจว่าเธอจะตอบเขาออกไปว่าอะไร
“คุณก็รู้ว่าทำไม” เธอพูดเพียงเท่านั้นนั้นก่อนจะเบือนหน้าหนีเขา แต่เพราะการกระทำนั้นเองมันจึงทำให้เฮอร์ไมโอนี่ไม่มีโอกาสได้เห็นแววสับสนในดวงตาของนายลูเซียสเมื่อเธอเอ่ยถ้อยคำดังกล่าวออกมา ถ้อยคำที่บอกว่าเธอร้องไห้เพราะการกระทำของเขา แต่แววตาสับสนนั้นก็ปรากฏอยู่ในดวงตาสีเงินของนายมัลฟอยได้ไม่นานนักเมื่อเขาเอื้อมมือหนึ่งไปเชยคางของหญิงสาวเอาไว้ และบังคับให้เธอหันกลับมาสบตาเขา
“ฉันรู้ว่ามันยากสำหรับเธอในเรื่องการแต่งงานของเรา.......” ไม่ทันที่เขาจะพูดจบเฮอร์ไมโอนี่ก็ขัดขึ้นก่อน
“คุณไม่มีวันจินตนาการได้หรอกค่ะว่ามันยากแค่ไหนสำหรับฉัน” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าว ก่อนจะเบือนหน้าหนีเขาอีกรอบ ขณะที่นายลูเซียสรู้สึกถึงความโกรธที่แล่นผ่านร่างกายของเขาราวกับยาพิษ แน่นอนว่าเขารู้มาก่อนว่าหญิงสาวที่เขาได้แต่งงานด้วยนี้เป็นคนที่ดื้อดึงเพียงไร แต่เขาก็ไม่คิดมาก่อนว่าเธอจะมีความสามารถในการทำให้เขาโมโหได้บ่อยขนาดนี้
แม้ว่าชายผมบลอนด์จะโกรธหญิงสาวตรงหน้ามากแค่ไหน แต่เขาก็ไม่ต้องการจะทำร้ายเธอซึ่งตอนนี้อยู่ในฐานะภรรยาของเขาแบบนี้ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ทำอะไรเลยกับความอวดดีของเธอและเมื่อคิดได้เช่นนั้นนายลูเซียสจึงพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า
“งั้นก็ดี ฉันเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่ามันยากแค่ไหนที่เธอจะต้องมาเป็นภรรยาของฉันแบบนี้” เขาพูดก่อนจะก้มลงจูบหญิงสาวที่ริมฝีปาก ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่เบิกตากว้างอย่างตกใจ แม้จะรู้ดีว่าร่างตรงหน้ากำลังทำอะไรกับเธอก็ตาม แต่เธอก็ไม่อาจจะขัดขืนการกระทำของเขาได้เลย ไม่ว่าจะเป็นเพราะวงแขนแข็งแรงที่กำลังกอดรัดร่างของเธอไว้ในอ้อมแขนของเขาอย่างแน่นหนา หรือเป็นเพราะสัมผัสเร่าร้อนจากริมฝีปากของชายตรงหน้าก็ตาม กว่าจะรู้ตัวอีกทีเธอก็ตกอยู่ใต้การควบคุมของเขาอย่างเบ็ดเสร็จเมื่อเขาเริ่มไล้จูบของเขาไปตามขากรรไกรของหญิงสาว ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่พยายามเบี่ยงตัวเพื่อหลีกหนีสัมผัสจากร่างตรงหน้าอย่างสุดความสามารถ
“อย่าค่ะ!” เธอร้อง แต่ดูเหมือนว่าร่างใหญ่ของนายลูเซียสจะไม่ได้ยินเสียงประท้วงของเธอแต่อย่างใดเมื่อเขาเลื่อนจูบของเขาไปตามขากรรไกรลงของหญิงสาว และในขณะเดียวกันมือใหญ่ของเขาก็กุมร่างเล็กของภรรยาไว้ในอ้อมแขนอย่างแน่นหนา ส่วนหญิงสาวนั้นทำได้เพียงแค่ดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขนของเขาเท่านั้น
“เธอจะขัดขืนไปทำไม เฮอร์ไมโอนี่” ลูเซียส มัลฟอยกระซิบที่ข้างหูของภรรยาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มประดุจแพรไหม ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ตัวสั่นเมื่อพบว่าลมหายใจของเขาเป่ารดอยู่ที่ใบหู
“เธอก็รู้ว่าเธอไม่มีวันหนีไปจากฉันได้” เขาย้ำความจริงที่ไม่น่าพิสมัยเลยแม้แต่น้อยให้เธอฟัง ซึ่งอันที่จริงแล้วมันเป็นเรื่องที่เธอรู้ดีมาตลอดอยู่แล้ว เพียงแต่เธอยังไม่สามารถทำใจให้ยอมรับมันได้เท่านั้นเอง เธอไม่สามารถทำใจยอมรับการที่เธอจะต้องมาเป็นภรรยาของลูเซียส มัลฟอยได้เลย
เมื่อเป็นเช่นนั้นหญิงสาวจึงเงยหน้าขึ้นมองร่างตรงหน้าที่กำลังโอบกอดเธอไว้ และสิ่งเดียวที่เธอเห็นก็มีเพียงแค่ดวงตาสีเงินที่เต็มไปด้วยความปรารถนาของนายลูเซียสเท่านั้น
“แล้วคุณต้องการอะไรจากฉันกันคะ แค่ที่คุณได้ไปทั้งหมดนี่มันยังไม่พออีกหรือไงคะ คุณต้องการอะไรจากฉันอีก!” เฮอร์ไมโอนี่พูดออกไปตามตรง
“เธอก็รู้ว่าฉันต้องการอะไร ที่รัก” เขาตอบออกมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลพลางมองเธออย่างสเน่หา แต่หญิงสาวกลับรู้สึกว่าสายตาของเขาที่มองมานั้นดูเป็นอันตรายมากกว่าอะไรทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขากระชับวงแขนที่โอบกอดร่างของเธอเข้ามาเพื่อรั้งร่างบางให้มาแนบชิดกับร่างของเขามากขึ้นจนเธอรู้สึกถึงเสียงหัวใจของเขา
“แล้วถ้าฉันไม่ต้องการมันล่ะคะ คุณจะบังคับฉันอย่างนั้นหรือคะ” เธอถามออกไปตามตรง และสิ่งที่เฮอร์ไมโอนี่ได้รับต่อมาก็คือสายตาของชายผมบลอนด์ที่มองเธอราวกับเธอกำลังถามปัญหาที่ทำให้เขาปวดหัว และเมื่อเป็นเช่นนั้นนายลูเซียสก็เริ่มคลายวงแขนของเขาออกจากร่างตรงหน้าเล็กน้อยเพื่อให้เขาสามารถมองใบหน้าเธอได้ชัดยิ่งขึ้น มือใหญ่ของเขาเลื่อนมาลูบแก้มเนียนของหญิงสาวตรงหน้าอย่างเบามือพลางสำรวจใบหน้างามที่บัดนี้ดูเหมือนแม่แท้ ๆ ของเธออย่างไม่มีผิดเพี้ยน
“ฉันจะไม่บังคับเธอ แต่ฉันจะทำให้เธอยอมทำตามฉันแต่โดยดี” เขากระซิบ พลางมองร่างตรงหน้าด้วยสายตาที่มีความหมาย
แม้ว่าลูเซียส มัลฟอยจะเป็นผู้เสพความตายที่เคยทำเรื่องเลวร้ายมามากแล้วก็ตาม แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่ชอบใช้กำลังบังคับผู้หญิงเรื่องแบบนี้ แม้ว่าเขาไม่มีปัญหากับการใช้กำลังบังคับให้ผู้อื่นทำตามในเรื่องอื่นก็เถอะ แต่อย่างน้อย ๆ เขาก็ไม่ต้องการทำเช่นนั้นกับเฮอร์ไมโอนี่ที่อยู่ในฐานะภรรยาของเขาแบบนี้ ถึงแม้นายลูเซียสจะยอมรับว่าสิ่งที่เขาได้ทำลงไปกับหญิงสาวคืนแต่งงานของทั้งสองนั้นไม่ได้ต่างจากการบังคับขืนใจเท่าไหร่นัก แต่ชายผมบลอนด์ก็คิดว่าเรื่องในทำนองนั้นไม่จำเป็นจะต้องเกิดขึ้นอีกหลังจากที่หญิงสาวได้ตกเป็นภรรยาของเขาแล้ว เพราะเขาแน่ใจว่าต่อจากนี้ไปเขาจะสามารถทำให้หญิงสาวตรงหน้ายอมโอนอ่อนผ่อนตามเขาได้ในทุก ๆ เรื่อง เพียงแต่มันอาจจะต้องใช้เวลาและความพยายามมากกว่าที่เขาคาดไว้เท่านั้น
ขณะที่เห็นว่าร่างตรงหน้ากำลังพิจารณาใบหน้าของตนเองอยู่นั้น เฮอร์ไมโอนี่ก็พูดขึ้นมา
“ถึงยังไงคุณก็จะไม่ยอมปล่อยฉันไปใช่ไหมคะ” เธอถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าเธอจะได้รับคำตอบอย่างไร เพราะแน่นอนว่านายลูเซียสไม่มีทางยอมปล่อยเธอไปอย่างแน่นอนไม่ว่าจะเป็นในตอนนี้หรือในอนาคตข้างหน้าก็ตาม ขณะที่ริมฝีปากของชายผมบลอนด์ยกสูงขึ้นในเชิงขบขันในสิ่งที่เธอเพิ่งพูดออกมา
“ฉันไม่มีเหตุผลจะต้องปล่อยเธอไปไหน ในเมื่อเธอแต่งงานกับฉันแล้ว อีกอย่างฉันก็จะไม่ปล่อยเธอออกจากห้องจนกว่าจะถึงเวลาเช้าเท่านั้น” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มดุจแพรไหมก่อนจะจับมือข้างหนึ่งของหญิงสาวขึ้นมาจูบเบา ๆ โดยไม่ยอมละสายตาไปจากเธอ เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกว่าหัวใจของเธอแกว่งวูบเพราะสัมผัสของเขา แม้ว่าเธอจะตกเป็นภรรยาของนายลูเซียสแล้วก็ตามแต่เธอก็ไม่อาจทำใจให้เคยชินกับชายที่อยู่ตรงหน้าได้เลย โดยเฉพาะเมื่อเขาพูดประโยคต่อไปออกมา
“อันที่จริงฉันว่านี่ก็ดึกแล้ว เราควรจะไปเข้านอนกันได้แล้ว ที่รัก” เขาพูดพลางก่อนจะออกแรงอุ้มฮอร์ไมโอนี่ไว้พร้อมกับเดินไปที่เตียง ขณะที่หญิงสาวหวีดร้องเบา ๆ อย่างตกใจก่อนจะพยายามจะขัดขืนเขา แต่เธอก็ไม่อาจทำอะไรได้มากเนื่องจากเธอรู้ดีว่าถึงเธอจะดิ้นรนเพียงใดเธอก็ไม่อาจหนีไปจากการอ้อมกอดของร่างตรงหน้าได้ พอ ๆ กับที่เธอรู้ดีว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปนั้นไม่ใช่แต่เพียงการนอนหลับเท่านั้น
แต่ถึงกระนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่อาจห้ามตัวเองไม่ให้ตื่นตระหนกได้เมื่อชายผมบลอนด์วางร่างของเธอลงบนเตียงก่อนที่เขาจะโน้มใบหน้ามาจูบเธอที่แก้ม แม้ว่าจะหวาดกลัวในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นอยู่มากก็ตาม แต่หญิงสาวกลับไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะขยับตัวเมื่อสามีของเธอเลื่อนจูบของเขามาที่ริมฝีปากอิ่มก่อนจะรั้งร่างของเฮอร์ไมโอนี่ลงบนเตียง หลังจากจูบหญิงสาวในอ้อมแขนจนพอใจแล้ว ชายผมบลอนด์ก็ละใบหน้าขึ้นมาจากและสิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวของภรรยา
“เธอกลัวอย่างนั้นเหรอ” เขากระซิบ แม้ว่าหญิงสาวจะไม่ยอมตอบคำถามเขาก็ตาม แต่นายลูเซียสก็รู้ดีว่าภรรยาของเขาหวาดกลัวในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นมากแค่ไหน ถึงแม้ว่าเขาจะเคยพาเธอผ่านมันมาแล้วก็ตามแต่เขาก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นมันไม่ได้มาจากความเต็มใจของเธอทั้งหมดแต่อย่างใด แต่มันมาจากการที่เขาเร่งรัดเธอและเธอก็ไม่สามารถปฏิเสธเขาได้ต่างหาก
และเมื่อคิดได้เช่นนั้นนายลูเซียสจึงเอื้อมมือไปลูบศีรษะของร่างเล็กตรงหน้าเบา ๆ ก่อนจะพูดขึ้น
“เธอก็รู้นี่ว่ามันไม่มีอะไรน่ากลัวเลย เมื่อฉันพาเธอผ่านมันมาแล้ว” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลพลางมองร่างเล็กในอ้อมแขนของเขาด้วยสายตาอ่อนโยน ราวกับความรู้สึกของเธอเป็นสิ่งที่เขาห่วงใยมากกว่าอะไรทั้งหมด และอาจจะเป็นเพราะสัมผัสรวมทั้งสายตาที่อ่อนโยนของเขาที่ทำให้หญิงสาวผ่อนคลายลงได้ไม่ยาก แม้ว่าความสัมพันธ์ลึกซึ้งระหว่างเขากับเธอที่เพิ่งเริ่มต้นขึ้นเมื่อคืนนั้นจะเป็นสิ่งที่แปลกใหม่สำหรับเฮอร์ไมโอนี่รวมทั้งนายลูเซียสยังทำให้เธอได้สัมผัสกับความรู้สึกที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อนก็ตาม แต่ความเจ็บปวดก็เป็นประสบการณ์ที่ไม่น่าจดจำนักในเหตุการณ์ครั้งนั้น แต่เมื่อเธอได้เห็นสายตาที่อ่อนโยนของสามีที่มองมาทางเธอแล้ว หญิงสาวก็ห้ามไม่ให้ตัวเองรู้สึกปลอดภัยและไว้วางใจชายตรงหน้าได้
อันที่จริงเธอจะไม่ไว้วางใจเขาได้อย่างไรเล่า ในเมื่อในตอนนี้ชีวิตของเธอในตอนนี้มีแค่เขาเท่านั้นที่เป็นที่พึ่ง เพราะในโลกด้านใหม่ที่เธอเพิ่งหลงมานี้เธอก็มีแค่เขาเท่านั้นที่ใกล้ชิดกับเธอมากที่สุด แม้ว่าจริง ๆ แล้วเธอจะต้องการหนีไปจากชายตรงหน้าให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ก็ตาม แต่ในความเป็นจริงแล้วเฮอร์ไมโอนี่ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ พอ ๆ กับที่เธอไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าเขาเป็นสมาชิกในครอบครัวที่ใกล้ชิดกับเธอมากที่สุดในโลกของผู้เสพความตายใบนี้
และเมื่อคิดได้เช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่จึงมองลึกเข้าไปในดวงตาสีเงินที่กำลังจ้องมองเธออย่างโอนโยนแต่แฝงไปด้วยความปรารถนา ก่อนจะพยักหน้าอย่างแผ่วเบาราวกับเธอได้ยอมรับในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับเธอต่อไปได้แล้ว ขณะที่นายลูเซียสนั้นมองท่าทีของภรรยาพลางยิ้มให้เธออย่างเอ็นดู เขาเข้าใจดีว่าทำไมหญิงสาวถึงได้หวาดกลัวในเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นแม้ว่าเธอจะเคยผ่านมันมาแล้วก็ตาม แต่เพราะหตุนั้นเองมันอาจจะทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัวต่อความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในความสัมพันธ์ครั้งแรกของพวกเขา แต่แน่นอนว่ามันจะไม่เป็นเช่นนั้นอีกต่อไป เพราะในตอนนี้เธอไม่ใช่หญิงสาวบริสุทธิ์อีกต่อไปแล้ว แต่เธอได้ตกเป็นภรรยาของเขาอย่างสมบูรณ์แบบเสียแล้ว และในตอนนี้เขาก็จะสอนให้เธอได้รู้จักความสุขจากการที่ได้อยู่ในอ้อมกอดของคู่รักโดยที่ไม่มีความเจ็บปวดมาเจือปนแต่อย่างใด
เมื่อเห็นว่าร่างตรงหน้าไม่มีท่าทีขัดขืนอีกต่อไปแล้วนายลูเซียสก้มลงไปจูบเธอที่แก้มอย่างแผ่วเบา เขารู้สึกได้ถึงกลิ่นหอมของเนื้อสาวที่ทำให้อารมณ์ภายในกายของเขาพลุ่งพล่าน และเมื่อเป็นเช่นนั้นชายผมบลอนด์จึงเลื่อนริมฝีปากของเขาไปจูบเฮอร์ไมโอนี่ที่ริมฝีปากอย่างอ่อนโยนก่อนจะรั้งร่างของเธอลงบนเตียงพร้อมกับที่ไฟในห้องดับลง
…………………………………………….
ดวงอาทิตย์ที่เพิ่งทอแสงในยามเช้าส่องแสงขึ้นกระทบน้ำค้างที่ประดับอยู่ตามแมกไม้ในสวนของคฤหาสน์มัลฟอยตามมาด้วยเสียงนกร้อง แต่ดูเหมือนว่าทั้งแสงแดดและเสียงไพเราะของนกเหล่านี้จะไม่สามารถปลุกร่างสองร่างที่อยู่ในห้องนอนใหญ่ของคฤหาสน์ให้ตื่นจากหลับใหลได้
ภายในห้องนอนที่กว้างขวางใหญ่โตและถูกตกแต่งเป็นอย่างดี บนเตียงนอนที่กว้างใหญ่ราวกับแท่นบรรทมร่างสองร่างกำลังตระกองกอดกันอยู่บนเตียง ร่างหนึ่งเป็นร่างของชายวัยกลางคนที่มีผมสีบลอนด์และผิวซีดเผือดซึ่งกำลังนอนหลับอยู่กึ่งกลางของเตียงโดยมีร่างเล็กของหญิงสาวผมสีน้ำตาลอยู่ในอ้อมแขน ถึงแม้ว่าในตอนนี้จะเป็นเวลาเช้าแล้วก็ตามแต่ดูเหมือนร่างทั้งสองยังจะไม่มีท่าทีว่าจะตื่นจากการหลับใหลแต่อย่างใด และแน่นอนว่าร่างทั้งสองที่อยู่บนเตียงนั้นยังคงจะนอนหลับต่อไปจนกระทั่งแสงแดดในยามสายได้ส่องเข้ามากระทบหน้าต่างห้องนอนทำให้แสงนั้นแยงเข้าตาของเฮอร์ไมโอนี่ที่กำลังนอนหลับอยู่ และเมื่อเป็นเช่นนั้นหญิงสาวจึงกระพริบตาสู้แสงที่แยงเข้ามาก่อนจะลืมตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ และสิ่งแรกที่เธอได้เห็นหลังจากตื่นขึ้นมาก็คือแผ่นอกแข็งแกร่งของลูเซียส มัลฟอยซึ่งเธอให้มันต่างหมอนหนุนมาตลอดทั้งคืน
เมื่อเห็นว่าตัวเองกำลังอยู่ในสภาพไหนรวมทั้งอยู่ในอ้อมกอดของใครเฮอร์ไมโอนี่จึงรีบลุกขึ้นจากเตียงในทันที แต่หญิงสาวกลับไม่สามารถทำเช่นนั้นได้เมื่อเธอพบว่าวงแขนแข็งแรงของนายลูเซียสนั้นโอบกอดเธอไว้อย่างแน่นหนาจนทำให้เธอไม่สามารถลุกขึ้นจากเตียงโดยไม่ทำให้เขาตื่นได้ และเมื่อเป็นเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่จึงหันไปมองทางสามีของเธอที่กำลังนอนหลับอยู่ขณะที่กำลังพยายามยกแขนหนักอึ้งของเขาออกจากร่างของเธอ โดยไม่ได้มีการคาดหวังใด ๆ เอาไว้ล่วงหน้าหญิงสาวกลับพบว่าเธอได้เห็นภาพที่เธอไม่เคยได้เห็นมาก่อนในชีวิตซึ่งก็คือภาพลูเซียส มัลฟอยที่กำลังนอนหลับ และภาพดังกล่าวนั้นก็ทำให้เฮอร์ไมโอนี่ไม่อาจจะละสายตาไปจากมันได้เลย
เพราะภาพที่เธอกำลังมองอยู่นั้นคือภาพของนายลูเซียสยามหลับใหล สีหน้าของเขาดูสงบและดูไร้ซึ่งพิษภัยใด ๆ ต่างจากในตอนที่เขาตื่นโดยสิ้นเชิง จนเฮอร์ไมโอนี่อดไม่ได้ที่จะมองสำรวจใบหน้าของเขายามหลับ ผมสีบลอนด์ของเขาแผ่กระจายไปทั่วหมอนและไหล่กว้างของเขาเอง หญิงสาวมองสำรวจร่างตรงหน้าตั้งแต่ดวงตาสีเงินที่ดูเย็นชาซึ่งซ่อนอยู่ภายใต้หนังตา จมูกโด่งเป็นสัน และริมฝีปากบางที่เคยจูบแทบจะทุกส่วนของร่างกายของเธอเรื่อยมาจนถึงแผ่นอกที่แข็งแกร่งของเขาซึ่งโผล่พ้นผ้าห่มออกมา และเพราะเหตุผลบางอย่างที่เธอเองก็ไม่อาจอธิบายได้เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกว่าใบหน้าของเธอร้อนผ่าวขึ้นมาทันทีเมื่อเธอมองร่างเปลือยท่อนบนของชายตรงหน้า ถึงแม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอเห็นร่างกายกึ่งเปลือยของสามีก็ตาม แต่ครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นร่างกายท่อนบนของเขาอย่างชัดเจนภายใต้แสงสว่างในยามกลางวันแบบนี้ ซึ่งแน่นอนว่าชายผมบลอนด์นั้นมีรูปร่างที่ดีมากแม้ว่าอายุของเขาจะล่วงเลยเข้าเลขสี่มาแล้วก็ตาม แต่นายลูเซียสก็ยังมีร่างกายที่ผู้ชายทุกคนปรารถนาอยากจะมีอยู่ อีกทั้งมันก็เป็นรูปร่างที่ผู้หญิงทุกคนปรารถนาให้คู่รักของพวกเธอมีด้วย และถึงแม้ว่าเฮอร์ไมโอนี่จะไม่เต็มใจกับการแต่งงานครั้งนี้รวมทั้งเธอคิดว่าตัวเองไม่มีวันจะมาหลงเสน่ห์ชายตรงหน้าได้ก็ตาม แต่หญิงสาวก็ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าในตอนนี้หัวใจของเธอเต้นแรงเพียงเพราะได้เห็นร่างกายเปลือยท่อนบนของเขาแบบนี้
หลังจากเสียเวลาในการพิจารณาร่างกายของนายลูเซียสอยู่พักหนึ่ง เฮอร์ไมโอนี่ที่เพิ่งรู้สึกตัวก็รีบเสมองไปทางอื่นทันทีก่อนจะพยายามยกแขนของร่างตรงหน้าออกจากร่างกายของเธออีกครั้งเพื่อที่เธอจะได้ลุกไปจากที่นอนก่อนที่เขาจะตื่นได้ แต่หญิงสาวกลับพบว่าตัวเองทำไม่สำเร็จเพราะเมื่อเธอกำลังพยายามจะยกแขนที่หนักราวกับท่อนซุงของเขาออกจากร่างเธอ ชายผมบลอนด์ก็ขยับตัวเล็กน้อย เฮอร์ไมโอนี่จึงต้องหยุดการกระทำของเธอแต่มันก็สายไปเสียแล้วเพราะในวินาทีต่อมาร่างใหญ่ตรงหน้าก็ลืมตาขึ้น
นายลูเซียสลืมตาขึ้นและกระพริบตาสองสามครั้งเพราะแสงที่เจิดจ้าในยามสายซึ่งส่องมาจากหน้าต่าง และเมื่อสายตาของเขาเริ่มปรับเข้ากับแสงสว่างภายในห้องได้แล้ว ชายผมบลอนด์ก็หันมายังหญิงสาวในอ้อมแขนซึ่งตื่นอยู่ก่อนหน้านั้นและกำลังกอบผ้าห่มขึ้นปกปิดร่างกายของเธอจากสายตาของเขาอยู่ซึ่งชายผมบลอนด์ก็ยิ้มออกมาน้อย ๆ เมื่อเขาเห็นท่าทีนั้นของเฮอร์ไมโอนี่
“อรุณสวัสดิ์” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำและฟังดูง่วงงุน ก่อนจะโน้มร่างเข้ามาจูบเธอที่ริมฝีปากเบา ๆ ในขณะที่เฮอร์ไมโอนี่หลับตาลงเมื่อริมฝีปากของสามีแตะเข้ากับริมฝีปากของเธอ หญิงสาวรู้สึกราวกับขนทั้งร่างกายของเธอลุกชันเพียงเพราะสัมผัสนั้นของเขา และเมื่อชายผมบลอนด์ละริมฝีปากของเขาออกมาจากเธอแล้วเขาก็พูดขึ้น
“นี่กี่โมงแล้ว” เขาพูดพลางมองไปยังนาฬิกาแบบลูกตุ้มทรงโบราณที่ตั้งอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง และเมื่อเขาทำเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่ที่มองตามสายตาของเขาไปก็พบว่าตอนนี้เป็นเวลาเกือบเก้าโมง ซึ่งเลยเวลาอาหาเช้าไปเกือบหนึ่งชั่วโมงแล้ว แต่เมื่อเธอหันกลับไปมองชายผมบลอนด์ เขากลับไม่มีท่าทีตกใจเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเขากลับล้มตัวลงนอนตามเดิมราวกับว่าพวกเขาทั้งสองไม่ได้ตื่นสายจนเลยเวลาอาหารเช้าแต่อย่างใด และที่สำคัญเขากลับรั้งร้างของหญิงสาวให้ลงมานอนเคียงข้างเขาด้วยขณะที่เธอพูดขึ้น
“เราตื่นสายแล้วนะคะ” เธอท้วงออกมาอย่างตื่น ๆ ราวกับว่าเธอเป็นเด็กนักเรียนที่ตื่นสายจนไปเข้าชั้นเรียนในตอนเช้าไม่ทัน แต่ดูเหมือนสามีของเธอจะไม่ยี่หระในเรื่องนั้นเลยแม้แต่น้อย
“ไม่เป็นไรหรอก วันนี้ฉันไม่ต้องออกไปไหน” เขาพูดพลางโอบกอดเธอด้วยแขนข้างหนึ่ง แต่เฮอร์ไมโอนี่ยังคงไม่ยอมละเลิกความพยายามของเธอ
“แต่เราต้องลงไปทานอาหารเช้านะคะ” เธอกล่าวราวกับการยึดมั่นในกฎเกณฑ์ที่สามีของเธอได้ตั้งไว้นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด แต่ในภายหลังหญิงสาวก็คิดได้ว่าการยืนกรานที่จะทำตามกฎที่ชายตรงหน้าได้วางเอาไว้นั้นไม่ใช่สิ่งที่เธอควรทำเลยแม้แต่น้อย
“เธอหิวแล้วอย่างนั้นหรือ” เขาถามขึ้น ขณะที่หญิงสาวกระพริบตาอย่างแปลกใจ
“ฉัน.....” เธอไม่แน่ใจว่าจะตอบอะไรออกไปดี และเมื่อได้เห็นท่าทีลังเลของภรรยาแล้วนายลูเซียสจึงตะโกนขึ้น
“ทิสซี่!” เขาพูดเสียงดัง ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่เบิกตากว้างอย่างตกใจก่อนจะรีบดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างกายของเธอจนถึงคอขณะที่เธอร้องออกมาว่า ‘คุณทำอะไรน่ะ!’ เนื่องจากเธอไม่คิดมาก่อนว่าเขาจะกล้าเรียกเอลฟ์มาหาเขาถึงห้องนอนในตอนที่ทั้งสองอยู่ด้วยกันบนเตียงนอนแบบนี้ แต่หญิงสาวก็ไม่อาจทำอะไรได้เมื่อเอลฟ์ร่างเล็กปรากฏตัวขึ้นข้างเตียงฝั่งที่นายลูเซียสนอนอยู่พร้อมกับเสียงดังป็อป
“นายท่านมีอะไรให้ทิสซี่รับใช้เจ้าคะ” เอลฟ์พูดขึ้นพลางค้อมศีรษะลงต่ำ ก่อนที่นายมัลฟอยจะสั่งมันด้วยน้ำเสียงปกติราวกับพวกเขากำลังอยู่ในห้องอาหารในเวลาอาหารเช้า
“พวกแกเตรียมอาหารเช้าไว้พร้อมหรือยัง”
“พวกเราเตรียมอาหารเช้าไว้ให้นายท่านกับนายหญิงพร้อมแล้วเจ้าค่ะ” ทิสซี่ตอบด้วยเสียงแหลมเล็ก
“แล้วนายน้อยล่ะ” ชายผมบลอนด์ถาม น้ำเสียงของเขาดูสุขุมมากขึ้นเมื่อเอ่ยถึงเดรโกผู้เป็นลูกชาย
“นายน้อยออกไปจากคฤหาสน์แต่เช้าแล้วเจ้าค่ะ” เอลฟ์ตอบ และเฮอร์ไมโอนี่ก็ได้ยินเสียงถอนหายใจจากร่างใหญ่ที่นอนอยู่ข้าง ๆ เธอ แน่นอนว่านายลูเซียสคงหนักใจในเรื่องของเดรโกไม่น้อยเพียงแต่เขาไม่ยอมแสดงความรู้สึกในเรื่องนี้ออกมาเท่านั้น เพราะน้ำเสียงของเขายามที่เอ่ยประโยคต่อไปออกมานั้นฟังดูเกือบจะเหมือนปกติทุกอย่าง
“ฉันกับนายหญิงจะลงไปทานอาหารอีกไม่เกินหนึ่งชั่วโมง พวกแกเตรียมอุ่นอาหารเอาไว้ด้วย แล้ววันนี้ฉันจะพานายหญิงไปชมรอบ ๆ คฤหาสน์ แกเตรียมเฮอร์มีสเอาไว้ด้วยล่ะ” เขาสั่งเรียบ ๆ แม้ว่าหญิงสาวจะไม่เข้าใจในสิ่งที่ชายผมบลอนด์พูดในประโยคสุดท้ายก็ตาม แต่เธอก็ไม่ได้ถามอะไรออกไป ส่วนทางทิสซี่นั้นก็รีบรับคำสั่งของเจ้านายอย่างกระตือรืนร้น เอลฟ์ก้มศีรษะลงต่ำในเชิงทำความเคารพอย่างเช่นตอนที่มันปรากฏตัวขึ้นก่อนจะหายไปพร้อมกับเสียงดังป็อป
หลังจากที่ทิสซี่ออกจากห้องไปแล้ว นายลูเซียสก็หันมาทางเฮอร์ไมโอนี่ที่อยู่ข้าง ๆ และริมฝีปากบางของเขาก็ยกสูงขึ้นเมื่อพบว่าใบหน้าของหญิงสาวแดงก่ำราวกับไข้ขึ้น แต่เขาก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรออกมา ตรงกันข้ามนายลูเซียสกลับโน้มใบหน้าเข้าไปจูบแก้มแดงก่ำของภรรยาเบา ๆ ซึ่งมันส่งผลให้ใบหน้าของเธอแดงก่ำยิ่งขึ้นกว่าเดิม และเพราะท่าทีเขินอายของหญิงสาวนั้นเองมันทำให้ชายผมบลอนด์รู้สึกเอ็นดูเธอจนเขาอดไม่ได้ที่จะเลื่อนจูบของเขาไปที่ริมฝีปากของเฮอร์ไมโอนี่แทน
จูบครั้งนี้นั้นล้ำลึกมากกว่าจูบอรุณสวัสดิ์ที่เขามอบให้เธอนัก เมื่อนายลูเซียสทาบริมฝีปากของเขาลงบนริมฝีปากอิ่มของร่างบางอย่างหนักแน่นขณะที่เขาเคลื่อนกายเข้ามาคร่อม ร่างของเธอไว้และจูบเธออย่างเร่าร้อนโดยที่หญิงสาวไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด แต่เมื่อเธอพบว่าจูบของชายผมบลอนด์เริ่มเลื่อนต่ำลงมาที่ซอกคอของเธอเฮอร์ไมโอนี่จึงรีบผลักร่างใหญ่ตรงหน้าออกทันที และเมื่อเธอทำเช่นนั้นนายลูเซียสก็เงยหน้าขึ้นสบตาเธอ
“อย่าค่ะ ฉันว่าฉันหิวแล้วค่ะ” เธอกระซิบขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าทั้งชายผมบลอนด์และตัวหญิงสาวเองต่างรู้ดีว่าสิ่งที่เธอพูดมานั้นเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น แต่ถึงกระนั้นสามีของเธอก็ยอมตามใจเธอแต่โดยดีเมื่อเขาละจากร่างบางพลางพูดขึ้น
“ก็ได้ที่รัก งั้นเราไปทานอาหารเช้ากัน” นายลูเซียสพูดก่อนจะลุกขึ้นจากเตียง
…………………………………………….
ทั้งสองใช้เวลาไม่น้อยกว่าจะลงมาถึงห้องอาหารได้ ซึ่งก็เป็นเพราะเฮอร์ไมโอนี่ไม่ยอมเข้าไปใช้ห้องน้ำพร้อม ๆ กับนายลูเซียส แม้ว่าภายในห้องน้ำที่เชื่อมต่อกับห้องนอนของทั้งสองนั้นจะมีห้องอาบน้ำแยกออกไปถึงสองห้องซึ่งพอที่จะให้พวกเขาใช้ห้องน้ำในเวลาเดียวกันได้ แต่หญิงสาวก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่ดีที่ต้องใช้ห้องน้ำในเวลาเดียวกับนายลูเซียส แม้ว่าห้องอาบน้ำที่ว่าจะมีกระจกแบบทึบกั้นอยู่อย่างมิดชิดก็ตาม
หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วทั้งเฮอร์ไมโอนี่และนายลูเซียสก็เดินลงมาที่ห้องอาหารด้วยกัน อาหารเช้านั้นผ่านไปอย่างไม่มีอะไรพิเศษมากนัก แม้ว่าความตึงเครียดของหญิงสาวจะคลายลงไปบ้างแล้วก็ตามหลังจากที่เธอได้ใช้ชีวิตอยู่ในคฤหาสน์มัลฟอยมามากกว่าหนึ่งวันแล้ว แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่อาจรู้สึกผ่อนคลายได้อย่างแม้จริงเมื่อต้องอยู่ต่อหน้านายลูเซียส ดังนั้นอาหารเช้าของพวกเขาจึงดำเนินไปอย่างราบเรียบและค่อนข้างจะเงียบเชียบ เพราะไม่มีใครเปิดปากพูดอะไรออกมานัก จนกระทั่งหลังจากที่หญิงสาวเริ่มอิ่มแล้ว สามีของเธอก็เอ่ยปากพูดขึ้น
“วันนี้ฉันไม่ต้องออกไปไหน....” เขาเริ่มต้นประโยคอย่างราบเรียบด้วยถ้อยคำที่เธอรู้มาก่อนอยู่แล้ว ก่อนที่จะจิบชาเข้าไปอีกอึกก่อนจึงพูดต่อ “ฉันเลยคิดว่าวันนี้ฉันน่าจะว่างพาเธอไปชมคฤหาสน์”
“แล้วการที่คุณจะพาฉันชมคฤหาสน์มันมีอะไรเกี่ยวกับคนชื่อเฮอร์มีสหรือเปล่าคะ” เธอถามออกมาในทันทีราวกับว่าการชอบถามในสิ่งที่สงสัยเป็นนิสัยที่ฝังรากลึกในตัวของเธอเสียแล้ว แต่แทนที่นายลูเซียสจะรู้สึกไม่พอใจกับการตั้งคำถามในทุกเรื่องที่เธอสงสัยของหญิงสาว เขากลับยิ้มน้อย ๆ ด้วยท่าทีขบขันราวกับเธอเป็นเด็กที่พูดอะไรบางอย่างผิดอย่างน่าเอ็นดู
“เดี๋ยวเธอก็ได้เห็นเองแหละ ว่าแต่เธออิ่มแล้วใช่ไหม” เขาถามอย่างสุภาพเมื่อเห็นหญิงสาวเช็ดปากของเธอกับผ้าเบา ๆ และเมื่อเห็นว่าเฮอร์ไมโอนี่พยักหน้าให้เขารวมทั้งเห็นว่าเธออิ่มจากการทานอาหารเช้าแล้วจริง ๆ ชายผมบลอนด์จึงลุกขึ้นจากเก้าอี้และยื่นมือมาให้หญิงสาวจับ
เฮอร์ไมโอนี่มีท่าทีลังเลอยู่เพียงครู่เดียวก่อนที่จะวางมือของเธอลงบนมือใหญ่ของสามีเพื่อให้เขาพาเธอเดินออกจากห้องอาหารไป แต่หญิงสาวกลับต้องแปลกใจเมื่อเธอพบว่านายลูเซียสพาเธอเดินผ่านห้องโถงออกไปนอกคฤหาสน์ แต่ถึงจะเห็นสายตาของภรรยาที่มองมาอย่างแปลกใจก็ตามชายผมบลอนด์ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปหรือหยุดเดินแต่อย่างใด จนกระทั่งเมื่อทั้งสองได้เดินออกมาภายนอกคฤหาสน์คำตอบที่เฮอร์ไมโอนี่กำลังสงสัยอยู่นั้นก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเธอ เพราะในลานกว้างเบื้องหน้าคฤหาสน์นั้นมีม้าตัวหนึ่งกำลังยืนอยู่อย่างสง่างามท่ามกลางแสงแดดอ่อน ๆ ของฤดูใบไม้ร่วง ขณะที่หญิงสาวมองภาพตรงหน้าอย่างตกตะลึงก่อนจะหันไปทางสามีของเธอด้วยความประหลาดใจ
“ฉันจะพาเธอชมรอบ ๆ คฤหาสน์ก่อน ซึ่งมันคงต้องใช้เวลาทั้งวันแน่ถ้าหากเราเดินกันไป” เขาอธิบายอย่างมีเหตุผล แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่อาจทำให้ความสงสัยของเฮอร์ไมโอนี่หมดไปได้แต่อย่างใด
“เรื่องนั้นฉันเข้าใจค่ะ แต่ฉันไม่คิดมาก่อนว่าคุณ....จะขี่ม้าเป็นด้วย” เธอพูดพลางผายมือไปยังม้าสีเทาตัวใหญ่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าทั้งสอง แม้ว่าจะแปลกใจกับสิ่งที่เห็นมากก็ตามเพราะเธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าคนอย่างลูเซียส มัลฟอยจะมีม้าอยู่ในครอบครองรวมทั้งเขาจะสนใจการขี่ม้าซึ่งเป็นกิจกรรมของพวกมักเกิ้ลด้วย แต่หญิงสาวก็พอจะดูออกว่าม้าตัวนี้เป็นม้าชั้นดีเช่นเดียวกับสมบัติทุกอย่างที่อยู่ในการครอบครองของนายมัลฟอยซึ่งล้วนแต่เป็นของชั้นดีและมีราคาทั้งสิ้น ในขณะที่สามีของเธอมีสีหน้าเหมือนเธอเพิ่งพูดอะไรที่หยาบคายออกมา
“แน่นอนว่ามัลฟอยทุกคนขี่ม้าเป็น มันไม่ใช่เรื่องแปลกเลย” เขาพูดอย่างไว้ตัว ราวกับเขาภาคภูมิใจอย่างมากในความเป็นมัลฟอยของตัวเอง ขณะที่หญิงสาวที่เพิ่งเปลี่ยนมาเป็นคุณนายมัลฟอยคนใหม่อย่างเธอยังอดไม่ได้ที่จะมองสามีของเธอสลับกับมองม้าตัวนั้นอย่างแปลกใจ แต่อยู่ ๆ เฮอร์ไมโอนี่ก็รู้สึกราวกับมีใครมีกดสวิตส์ไฟในสมองของเธอเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมองนายลูเซียสอีกครั้งก่อนจะพูดขึ้น
“คุณนั่นเอง” เธอพูดด้วยน้ำเสียงราวกับเธอเพิ่งค้นพบวิธีปรุงยาเสริมกำลังแบบใหม่ และเมื่อชายผมบลอนด์มองเธออย่างไม่เข้าใจ เธอก็พูดต่อ
“คุณใช่ไหมคะที่เป็นคนเสกผู้พิกทักษ์ที่เป็นม้าขึ้นในกองปริศนา” เธอถามขึ้นด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น
เฮอร์ไมโอนี่จำได้ดีว่าในตอนแรกที่เธอถูกล่อเข้าในกองปริศนาและผู้คุมวิญญาณปรากฏตัวขึ้นนั้นมีผู้พิทักษ์รูปร่างเป็นม้าปรากฏตัวขึ้นและช่วยเธอจากผู้คุม รวมทั้งนำเธอไปยังชั้นที่มีลูกแก้วพยากรณ์ของเธออยู่ด้วย ซึ่งในตอนนั้นหญิงสาวไม่ได้คิดเลยว่าคนที่เสกผู้พิทักษ์เพื่อช่วยชีวิตเธอไว้นั้นจะเป็นลูเซียส มัลฟอย แต่เมื่อลองพิจารณาจากการที่เขาเป็นคนหลอกเธอเข้าไปในกองปริศนารวมทั้งใช้ผู้พิทักษ์ของเขาหลอกล่อเธอไปหยิบลูกแก้วพยากรณ์ขึ้นมาซึ่งส่งผลทำให้เธอต้องถูกบังคับให้แต่งงานกับเขาในเวลาต่อมาแล้ว เฮอร์ไมโอนี่ก็รู้สึกว่าการที่เขาช่วยเธอไว้จากผู้คุมวิญญาณนั้นเป็นเรื่องที่เล็กน้อยไปเลยทีเดียว ขณะที่นายลูเซียสมองเธอด้วยท่าทีแปลกใจ
“ฉันนึกว่าเธอรู้เรื่องนี้แล้วเสียอีก” เขาพูด พลางพาหญิงสาวเดินไปยังม้าตัวนั้นซึ่งน่าจะมีชื่อว่า ‘ เฮอร์มีส ’ “แต่ถึงเธอเพิ่งจะรู้เรื่องก็ตาม มันก็ยังไม่สายเกินไปที่จะขอบคุณฉันหรอกนะ” เขาพูดพลางมองหน้าเธอด้วยสีหน้าและแววตาแบบมัลฟอยของแท้ และเมื่อเห็นว่าเฮอร์ไมโอนี่ไม่มีท่าทีว่าจะพูดอะไรออกมา ชายผมบลอนด์ก็ยิ้มมุมปากกับท่าทีของหญิงสาว และโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้าหรือการให้โอกาสเธอตั้งตัวแต่อย่างใดเขาก็ออกแรงอุ้มร่างบางไว้และยกเธอขึ้นนั่งบนหลังม้าโดยไม่สนใจเสียงหวีดร้องด้วยความตกใจของเธอแต่อย่างใด
และเมื่อแน่ใจว่าภรรยาของเขาได้ขึ้นไปนั่งบนหลังม้าเรียบร้อยแล้ว นายลูเซียสก็ปีนตามขึ้นไปอย่างรวดเร็ว วงแขนแข็งแกร่งของเขาโอบกอดร่างเล็ก ๆ ที่สั่นเทาของหญิงสาวไว้ก่อนจะกระซิบเข้าที่ข้างหูของเธอ
“เธอไม่เคยขี่ม้ามาก่อนอย่างนั้นหรือ” เขาถามด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์แม้ว่าจะรู้คำตอบจากท่าทีของเฮอร์ไมโอนี่แล้วก็ตาม ขณะที่หญิงสาวสั่นศีรษะน้อย ๆ อย่างหวาดกลัว อันที่จริงเธอเคยลองขี่ม้ามาก่อนในช่วงปิดเทอมฤดูร้อนแต่เธอมีประสบการณ์ที่ไม่ดีนักกับการขี่ม้า จนหญิงสาวคิดว่าถ้าหากเธอต้องเลือกระหว่างการขี่ม้ากับการขี่ไม้กวาดล่ะก็ เธอยอมเลือกการขี่ไม้กวาดเสียดีกว่า เพราะเธอคิดว่าการฝากชีวิตไว้กับวัตถุที่ถูกกำกับเวทย์มนต์ให้บินได้นั้นมีความเสี่ยงน้อยกว่าการจะฝากชีวิตไว้กับสัตว์ร่างใหญ่ที่พร้อมจะพยศได้ทุกเมื่อหากผู้ขี่ทำอะไรผิดพลาดลงไปอย่างแน่นอน
ส่วนทางด้านนายลูเซียสนั้นเมื่อเห็นว่าภรรยาของเขาไม่ได้ตอบอะไรออกมามากกว่าการสั่นศีรษะอย่างหวาดกลัวเขาจึงตัดสินใจพูดอะไรบางอย่างที่น่าจะทำให้เธอมั่นใจและคลายความกังวลลงไปได้ออกไป
“ไม่ต้องกลัวหรอก ฉันไม่ทำเธอร่วงอย่างแน่นอน” เขากระซิบเข้าที่ข้างหูของหญิงสาวที่กำลังนั่งอยู่เบื้องหน้าเขาจนเฮอร์ไมโอนี่สัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนผ่าวของเขาที่ปะทะอยู่ที่ข้างแก้ม ก่อนที่นายลูเซียสจะดึงสายบังเหียนเบา ๆ และเจ้าเฮอร์มีสก็เริ่มออกเดิน
…………………………………………….
แม้ว่าการอยู่บนหลังม้าจะเป็นสิ่งที่เฮอร์ไมโอนี่กลัวมากกว่าการบินก็ตาม แต่ความกลัวและความประหม่าที่ต้องขี่ม้าไปกับลูเซียส มัลฟอยโดยที่แผ่นหลังของเธอแทบจะแนบชิดกับแผ่นอกของเขานั้นดูเหมือนจะจางหายไปบางส่วนเมื่อหญิงสาวได้เห็นทิวทัศน์ที่งดงามภายในอาณาเขตที่กว้างใหญ่ของคฤหาสน์มัลฟอยแห่งนี้ จนเธออดเห็นด้วยกับความคิดของสามีไม่ได้ที่เขาต้องการพบเธอชมคฤหาสน์โดยการขี่ม้าแบบนี้
นายลูเซียสพาเฮอร์ไมโอนี่ไปชมสวนที่รายรอบคฤหาสน์ซึ่งถูกตกแต่งอย่างปราณีตเป็นอันดับแรกก่อนจะพาเธอไปยังทะเลสาบที่อยู่ด้านหลังของคฤหาสน์ในเวลาต่อมา และแม้ว่าเฮอร์ไมโอนี่จะไม่ต้องการใช้ชีวิตอยู่ที่คฤหาสน์มัลฟอยแห่งนี้มากแค่ไหนก็ตาม แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมความงดงามของทิวทัศน์บริเวณรอบทะเลสาบซึ่งประกอบไปด้วยภูเขาสูงที่เป็นตั้งตระหง่านอยู่ราวกับมันเป็นฉากหลังของทิวทัศน์นี้เรื่อยไปจนถึงพรรณไม้นานาชนิดที่ขึ้นอยู่รอบ ๆ ทะเลสาบแห่งนี้ และเพราะความงดงามของธรรมชาติรอบ ๆ ทะเลสาบนี้เองหญิงสาวจึงไม่ประท้วงออกมาแต่อย่างใดเมื่อนายลูเซียสหยุดม้าเมื่อพวกเขามาถึงบริเวณริมทะเลสาบก่อนจะอุ้มเธอลงจากหลังของเจ้าเฮอร์มีสเพื่อที่เขาจะสามารถพาเธอไปเดินเล่นที่ริมทะเลสาบได้
เฮอร์ไมโอนี่มองภาพทิวทัศน์เบื้องหน้าอย่างตื่นตาตื่นใจหลังจากที่เธอได้ลงจากหลังม้าแล้ว หญิงสาวมองพื้นน้ำสีน้ำเงินที่ทอดตัวไปจนจรดเนินเขาที่อยู่ไกลออกไปจนไม่น่าเชื่อว่าอาณาเขตของคฤหาสน์มัลฟอยจะครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดตรงนั้นอย่างประทับใจ และเมื่อเธอเดินมาถึงริมทะเลสาบเฮอร์ไมโอนี่ก็รู้สึกถึงสายลมอ่อน ๆ ที่พัดผ่านใบหน้าของเธอเบา ๆ ขณะที่เธอหลับตาลงก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้งเพื่อดื่มด่ำกับความงดงามของธรรมชาติโดยมีสามีของเธอยืนมองอยู่เธออยู่ใกล้ ๆ ด้วยท่าทีเอ็นดู และเมื่อหญิงสาวชื่นชมความงามของทะเลสาบจนพอใจแล้วเธอก็เริ่มสำรวจบริเวณรอบ ๆ ทะเลสาบซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมอยู่ทั่วบริเวณนั้น แต่ต้นไม้เหล่านั้นก็ไม่ได้มีขนาดสูงใหญ่มากจนเกินไปนัก แต่พวกมันมีขนาดที่กำลังพอดีแถมต้นไม้บางต้นยังมีลักษณะที่ใกล้เคียงกับต้นบีชริมทะเลสาบที่ฮอกวอตส์ซึ่งเธอชอบไปนั่งอ่านหนังสือที่นั่นเป็นประจำอีกด้วย
และเมื่อเห็นเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่ที่กำลังเดินสำรวจอยู่ตรงโคนต้นไม้ริมทะเลสาบจึงพูดขึ้น
“ที่ตรงนี้เหมือนกับทะเลสาบที่ฮอกวอตส์เลยค่ะ” เธอเอ่ยขึ้นเบา ๆ “ฉันจำได้ว่าฉันชอบไปนั่งอ่านหนังสือตรงนั้นประจำ.....” เธอพูดพลางคิดไปถึงช่วงเวลาที่เธออยู่ที่ฮอกวอตส์ที่เธอได้ใช้เวลาในช่วงวัยเด็กเคียงข้างไปกับเพื่อนรักของเธออย่างแฮร์รี่และรอน ถึงแม้ว่ามิตรภาพของทั้งสามจะมีเรื่องวุ่นวายรวมทั้งเรื่องที่เสี่ยงอันตรายอยู่มากก็ตาม แต่ช่วงเวลาที่เฮอร์ไมโอนี่ได้อยู่กับเพื่อนทั้งสองนั้นนับได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิตของเธอทีเดียว และเพราะการคิดถึงเพื่อนรักทั้งสองนั้นเองทำให้หญิงสาวรู้สึกเบาโหวงในท้องพร้อม ๆ กับความเจ็บปวดที่เริ่มเอ่อล้นภายในอกของเธอ จนกระทั่งร่างกายของเธอซึ่งทนไม่ได้ไหวกับความเจ็บปวดนั้นบังคับให้ดวงตาคู่สวยหลั่งน้ำตาออกมา และเมื่อเป็นเช่นนั้นเธอจึงรีบหันหลังให้กับร่างใหญ่ที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ พลางยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาของตัวเองเบา ๆ แต่การกระทำของเฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่รวดเร็วพอที่นายลูเซียสจะไม่สังเกตุเห็นได้เมื่อเขาก้าวเข้ามาใกล้พร้อมกับคว้าร่างของหญิงสาวเอาไว้และบังคับให้เธอกลับมาเผชิญหน้าเขาอีกครั้ง และสิ่งที่ชายผมบลอนด์เห็นต่อมาก็คือน้ำตาที่คลอเอ่อดวงตาคู่สวยของเฮอร์ไมโอนี่
นายลูเซียสถอนหายใจอย่างหงุดหงิดเมื่อเห็นภาพตรงหน้า แต่เมื่อหญิงสาวทำท่าจะยกมือขึ้นซับน้ำตาของตัวเอง ชายผมบลอนด์กลับจับมือของเธอไว้ด้วยมือข้างหนึ่งก่อนจะเลื่อนมืออีกข้างของเขาไปเช็ดน้ำตาให้เธอเบา ๆ
“อย่าร้อง” เขากระซิบพลางเช็ดน้ำตาให้เธออย่างเบามือ ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่กระพริบตาเบา ๆ เพราะสัมผัสของร่างตรงหน้า แต่เธอก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะขัดขืนการกระทำของเขาแต่อย่างใด แม้กระทั่งตอนที่นายลูเซียสแนบมือใหญ่ของเขาเข้ากับแก้มเนียนที่ปราศจากน้ำตาของหญิงสาวก่อนที่เขาจะก้มลงจูบเธออย่างแผ่วเบาที่ริมฝีปากก็ตาม
ชายผมบลอนด์จูบเฮอร์ไมโอนี่อย่างอ่อนโยนราวกับจุดประสงค์ในการที่เขาจูบเธอในครั้งนี้นั้นไม่ได้เป็นเพราะความต้องการที่จะครอบครองริมฝีปากของเธอเพียงอย่างเดียว หากแต่เขาต้องการปลอบโยนหญิงสาวที่กำลังโศกเศร้าเสียใจมากกว่า แต่ที่น่าแปลกก็คือเฮอร์ไมโอนี่กลับไม่มีท่าทีว่าจะขัดขืนการกระทำของร่างตรงหน้าแต่อย่างใด ตรงกันข้ามเธอกลับจูบเขาตอบอย่างแผ่วเบาราวกับเธอก็รับรู้ถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงในการที่เขามาจูบเธอในครั้งนี้ หลังจากที่ทั้งสองแลกจูบที่อ่อนโยนกันอยู่ครู่หนึ่ง นายลูเซียสก็ถอนริมฝีปากออกมาก่อนจะจูบเฮอร์ไมโอนี่ที่หน้าผากอย่างอ่อนโยน ในขณะที่เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกประหลาดใจในสิ่งที่เกิดขึ้นไม่น้อย แต่สิ่งที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกประหลาดใจนั้นไม่ได้มีเพียงแค่การที่ชายผมบลอนด์เข้ามาจูบเธออย่างปลอบโยนเท่านั้น แต่เป็นการที่ตัวเธอเองกลับรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยภายใต้การดูแลของชายตรงหน้า ทั้งที่จริงแล้วเขาควรจะเป็นผู้ชายคนสุดท้ายในโลกที่เฮอร์ไมโอนี่จะต้องการให้มาแตะต้องตัวเธอด้วยซ้ำ แต่หญิงสาวกลับรู้สึกถึงความปลอดภัยรวมทั้งรู้สึกไว้วางใจเขาได้อย่างไรนั้นเธอเองก็ไม่สามารถตอบคำถามนี้ให้กับตัวเองได้เลย
…………………………………………….
ท่ามกลางแสงแดดอ่อน ๆ ของเดือนกันยายน ณ บริเวณริมทะเลสาบซึ่งอยู่ในอาณาเขตของคฤหาสน์มัลฟอย ร่างสองร่างกำลังนั่งอยู่ใต้ร่มไม้ริมทะเลสาบ อันที่จริงเรียกว่านั่งก็ไม่ถูกนักเพราะว่าภาพที่ปรากฏขึ้นนั้นเป็นภาพของเฮอร์ไมโอนี่ที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนผ้าปูสีเข้มใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง ผมสีน้ำตาลของเธอสยายไปตามแรงลม ขณะที่ลูเซียส มัลฟอยสามีของเธอนั้นกำลังนอนหลับอยู่โดยใช้ตักของภรรยาต่างหมอนหนุน ผมสีบลอนด์ของเขาปกคลุมไปตักของหญิงสาว แม้ว่ามันจะเป็นภาพที่แปลกประหลาดอย่างมากก็ตามแต่ในขณะเดียวกันภาพที่ปรากฏขึ้นนี้ก็กลับเป็นภาพที่สวยงามและให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก
หลังจากที่นายลูเซียสเห็นว่าภรรยาของเขาร้องไห้ออกมาอีกครั้งและได้ปลอบโยนรวมทั้งเช็ดน้ำตาให้เธอแล้ว เฮอร์ไมโอนี่ซึ่งไม่ต้องการจะให้ชายผมบลอนด์เห็นความอ่อนแอของเธอมากไปกว่านี้ก็แสร้งทำตัวเป็นปกติด้วยการยกเรื่องอื่นขึ้นมาพูดกลบเกลื่อน ซึ่งในตอนนั้นหญิงสาวก็ไม่สามารถคิดเรื่องอื่นออกนอกจากเล่าให้สามีของเธอฟังต่อว่าบริเวณริมทะเลสาบนี้เหมือนกับริมทะเลสาบที่ฮอกวอตส์ซึ่งเธอชอบมานั่งอ่านหนังสือเป็นประจำโดยเฉพาะช่วงใกล้สอบซึ่งห้องสมุดจะมีนักเรียนมาใช้บริการมากเกินกว่าปกติ และเมื่อเป็นเช่นนั้นนายลูเซียสจึงบอกเฮอร์ไมโอนี่ว่าถ้าหากเธอต้องการเธอก็สามารถใช้เวลาอยู่ที่นี่ซักพักหนึ่งได้ เนื่องจากเขาเองก็ไม่มีธุระอื่นที่ต้องไปทำในวันนี้ และหลังจากที่ภรรยาของเขาบอกว่าเธออยากจะใช้เวลาอยู่ที่ริมทะเลสาบแห่งนี้ซักพัก ชายผมบลอนด์ก็เสกผ้าปูขึ้นมาตรงใต้ต้นไม้ที่ทั้งสองกำลังยืนอยู่และชวนให้หญิงสาวนั่งลง และถึงแม้ว่าการที่ได้เห็นลูเซียส มัลฟอยนั่งลงบนอะไรก็ตามที่ไม่ใช่เก้าอี้ที่หรูหราหรือโซฟาหนังชั้นดีนั้นจะเป็นเรื่องที่แปลกมากสำหรับเฮอร์ไมโอนี่ก็ตาม แต่มันก็เทียบไม่ได้กับสิ่งที่ชายผมบลอนด์พูดกับเธอต่อไป
“เธออยากจะหาอะไรมาอ่านหน่อยไหม” เขาถามด้วยท่าทีปกติ ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่กระพริบตาอย่างงุนงง
“คุณว่าอะไรนะคะ” เธอถามออกไปเพราะไม่แน่ใจในสิ่งที่สามีของเธอเพิ่งพูดออกมา
“ฉันถามว่าเธออยากหาอะไรมาอ่านหน่อยไหม เธอบอกฉันเองนี่ว่าเธอชอบมานั่งอ่านหนังสือริมทะเลสาบที่ฮอกวอตส์ ถ้าเธออยากอ่านอะไรล่ะก็ฉันจะใช้คาถาเรียกของเอาหนังสือที่เธอต้องการมาจากห้องสมุดให้” นายลูเซียสพูดอีกครั้ง แต่น้ำเสียงของเขากลับไม่มีแววหงุดหงิดปนอยู่แต่อย่างใด
“แต่แน่นอนว่ามันต้องไม่ใช่หนังสือที่ฉันห้ามไม่ให้เธออ่าน” เขาเสริมขึ้นพลางมองลึกเข้าไปในดวงตาของหญิงสาว ขณะเฮอร์ไมโอนี่ใช้เวลาตัดสินใจอยู่ไม่นานเธอจึงบอกเขาออกไปว่าเธอต้องการอ่านหนังสือการแปลงร่างขั้นสูงของเอ็มเมริก สวิทซ์ และเมื่อได้ยินเช่นนั้นชายผมบลอนด์ก็หยิบไม้กายสิทธิ์ของเขาออกมาจากเสื้อคลุม ซึ่งคราวนี้มันไม่ได้ซ่อนอยู่ในไม้เท้าเหมือนอย่างปกติออกมาก่อนจะร่ายคาถาเบา ๆ หลังจากนั้นไม่นานนักหนังสือเล่มหนึ่งก็ลอยมาทางทั้งสองอย่างรวดเร็ว นายลูเซียสรับมันไว้ด้วยมือข้างหนึ่งหลังจากที่เขาเก็บไม้กายสิทธิ์เข้าเสื้อคลุมเรียบร้อยแล้วก่อนจะส่งมันให้เฮอร์ไมโอนี่
หญิงสาวรับหนังสือมาก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองสามี
“ขอบคุณค่ะ” เธอพูดพลางยิ้มให้เขาบาง ๆ ก่อนจะเริ่มเปิดหนังสืออ่าน
แม้ว่าเฮอร์ไมโอนี่จะไม่เข้าใจถึงสิ่งที่ชายผมบลอนด์กำลังทำอยู่นักก็ตาม แต่เธอก็ฉลาดพอที่จะไม่ปฏิเสธมัน แน่นอนว่าชีวิตหลังการแต่งงานของเธอกับนายลูเซียสนั้นแตกต่างจากที่หญิงสาวเคยคิดไว้อย่างสิ้นเชิง แม้ว่าตอนแรกเฮอร์ไมโอนี่จะจินตนาการเอาไว้ว่าชีวิตหลังแต่งงานของเธอกับชายตรงหน้าคงจะต้องเลวร้ายมากเป็นแน่หลังจากที่เธอตกเป็นภรรยาของเขาอย่างสมบูรณ์แล้ว ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมันก็ยังคงไม่ใช่สิ่งที่น่าพิสมัยนักสำหรับเฮอร์ไมโอนี่ในการที่จะต้องมาอยู่ในฐานะคุณนายมัลฟอยของเขาแบบนี้ แต่เธอก็ไม่คิดมาก่อนว่าสามีของเธอจะอ่อนโยนกับเธอรวมทั้งทำอะไรหลายอย่างเพื่อเธอแบบนี้ แม้ว่าสิ่งที่เขาทำนั้นจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อเทียบกับคู่สามีภรรยาคู่อื่นก็ตาม แต่ถ้าลองคิดว่าการกระทำเหล่านั้นมาจากลูเซียส มัลฟอยแล้วล่ะก็มันทำทุกสิ่งที่เขาทำให้เธอนั้นดูกลายเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อไปเลยทีเดียว
ในขณะที่หญิงสาวกำลังอ่านหนังสือแต่ในใจของเธอก็แอบวิเคราะห์พฤติกรรมของชายผมบลอนด์อยู่นั้น นายลูเซียสก็ลอบสังเกตุหญิงสาวตรงหน้าอยู่เงียบ ๆ สายตาของเขาพิจารณาใบหน้างามของเฮอร์ไมโอนี่รวมทั้งอากัปกริยาของหญิงสาวอยู่เกือบจะทุกอิริยาบท แน่นอนว่าเฮอร์ไมโอนี่เป็นผู้หญิงที่งดงามและเฉลียวฉลาดมาก แต่ถึงกระนั้นใบหน้าของเธอกลับแสดงความรู้สึกต่าง ๆ ออกมาอย่างไม่มีการปิดบังหรือเสแสร้งแต่อย่างใดจนทำให้คนอื่นสามารถเดาความคิดของเธอออกได้อย่างง่ายดาย อย่างเช่นในตอนนี้ถ้าดูจากสีหน้าของเธอแล้วนายลูเซียสแน่ใจว่าเธอคงกำลังครุ่นคิดบางอย่างอยู่ และถ้าไม่ใช่ว่าเธอกำลังใช้ความพยายามในการทำความเข้าใจหนังสือตรงหน้าอยู่ล่ะก็ เธอก็คงกำลังครุ่นคิดเรื่องบางเรื่องที่ต้องใช้การระดมสมองอย่างหนักในการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับมันเป็นแน่ และเพราะการลอบมองภรรยาของเขาเองที่กำลังอ่านหนังสืออยู่แบบนี้มันทำให้ชายผมบลอนด์นึกย้อนไปถึงตอนที่เขาได้พบครอบครัวซิลเวียเป็นครั้งแรก เพราะท่าทีของหญิงสาวนั้นเตือนให้เขานึกถึงพ่อแท้ ๆ ของเธอซึ่งก็คือหลุยส์ ซิลเวีย แม้ว่าหญิงสาวจะมีใบหน้าที่ถอดแบบมาจากแม่ของเธอซึ่งเป็นแม่มดที่งดงามที่สุดในฝรั่งเศสก็ตาม แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็มีแววตาคงแก่เรียนแบบเดียวกับพ่อของเธอซึ่งเธอได้รับมรดกในเรื่องของสติปัญญามาจากเขา คิ้วของเธอที่ขมวดเล็กน้อยบวกกับแววตาที่ดูจริงจังคล้ายพ่อของเธอในตอนนี้นั้นทำให้นายลูเซียสเดาได้ว่าเรื่องที่เธอกำลังครุ่นคิดอยู่ต้องเป็นเรื่องที่สำคัญไม่น้อยหรือไม่ก็เป็นเรื่องที่เธอไม่สามารถขบคิดได้ตกเป็นแน่หญิงสาวจึงมีสีหน้าแบบนี้
แน่นอนว่าเฮอร์ไมโอนี่เป็นหญิงสาวที่สมบูรณ์แบบคนหนึ่งในมุมมองของนายลูเซียส เธอเป็นหญิงสาวที่งดงาม เฉลียวฉลาด และมีชาติกำเนิดที่ดี รวมทั้งเธอมีฐานะเป็นถึงทายาทของเรเวนคลอและเจ้าหญิงแห่งความมืดด้วย แต่เฮอร์ไมโอนี่เองก็มีข้อเสียหลายประการซึ่งทำให้การปราบพยศหญิงสาวตรงหน้านั้นไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่เขาเคยคิดไว้ เพราะความดื้อดึงของเธอรวมทั้งการรักความถูกต้องจนเกินเหตุและความไร้เดียงสามากจนเกินไปของเธอนั้นเป็นอุปสรรคที่สำคัญในการก้าวไปสู่อำนาจของเธอรวมทั้งของเขาเองด้วย แต่ถึงกระนั้นก็ตามชายผมบลอนด์ก็แน่ใจว่าเขามีหนทางที่จะจัดการกับเรื่องนี้ เพราะเขามีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าเขาจะสามารถเปลี่ยนเธอให้เป็นในแบบที่เขาต้องการได้ เพียงแต่มันอาจจะต้องใช้เวลาและความพยายามมากกว่าที่เขาได้เคยคาดคิดไว้เท่านั้น
ขณะที่กำลังอ่านหนังสืออยู่นั้นเองเฮอร์ไมโอนี่ก็ได้ยินเสียงนายลูเซียสเหยียดขาของเขาออก ก่อนที่เขาจะเอนหลังพิงต้นไม้ใหญ่เบื้องหลังของทั้งคู่ และเมื่อเขาจัดการเปลี่ยนท่านั่งของตัวเองเรียบร้อยแล้วชายผมบลอนด์ก็เอื้อมมือไปคว้าร่างเล็ก ๆ ของหญิงสาวเข้ามาใกล้เขามากขึ้นโดยใช้แขนข้างหนึ่งของเขาโอบกอดเธอไว้ และเมื่อเฮอร์ไมโอนี่หันไปมองทางร่างใหญ่ข้าง ๆ สิ่งแรกที่เธอได้เห็นก็คือสีหน้าที่ดูง่วงงุนของสามี
“คุณง่วงนอนหรือคะ” เธอถามขึ้นอย่างไม่แน่ใจ ขณะที่ชายผมบลอนด์ส่ายศีรษะเบา ๆ ในเชิงต้องการไล่ความง่วงงุนมากกว่าจะปฏิเสธคำถามของเธอ
“นิดหน่อยน่ะ” เขาตอบพลางก้มลงจูบผมของหญิงสาวเบา ๆ ซึ่งการกระทำของเขานั้นก็ทำให้เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกว่าใบหน้าของเธอร้อนผ่าวขึ้นมาในทันทีแต่เธอก็เลือกที่จะไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ ออกไป
“คุณอยากกลับก่อนไหมคะ” เธอถามพลางปิดหนังสือ
“เธอไม่อยากอยู่ต่ออีกสักหน่อยหรือ” เขาถามกลับ ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่กำลังจะเอ่ยปากตอบคำถามของเขา แต่เธอก็เปลี่ยนใจเสียก่อนเมื่อเธอนึกขึ้นได้ว่าเธอไม่ควรที่จะเกรงใจหรือใส่ใจความรู้สึกของชายตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย หลังจากเรื่องทั้งหมดที่เขาได้ทำลงไปกับเธอ และเมื่อเห็นว่าหญิงสาวไม่มีท่าทีจะตอบอะไรออกมานายลูเซียสจึงพูดขึ้น
“ฉันว่าเราอยู่ที่นี่กันซักพักแล้วค่อยกลับไปทานอาหารกลางวันหลังเที่ยงก็ได้ แต่ตอนนี้ฉันอยากพักสักหน่อย” เขาพูดพลางจัดแจงล้มตัวลงนอนลงบนตักของเฮอร์ไมโอนี่ซึ่งหญิงสาวก็มีท่าทีจะประท้วงในตอนแรกแต่เธอกลับพบว่าเธอก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลยเนื่องจากชายผมบลอนด์ได้นอนลงบนตักของเธอและหลับตาลงเรียบร้อยแล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้นหญิงสาวจึงถอนหายใจออกมาเบา ๆ อย่างหงุดหงิดที่เธอต้องยอมปล่อยให้เขาใช้ตักของเธอต่างหมอนหนุนไปโดยที่เธอไม่อาจทำอะไรกับเรื่องนี้ได้ ก่อนที่เธอจะหยิบหนังสือขึ้นมาและเริ่มอ่านต่ออีกครั้ง
…………………………………………….
เฮอร์ไมโอนี่ไม่แน่ใจว่ามันผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วที่เธอนั่งอ่านหนังสือโดยมีนายลูเซียสนอนหนุนตักของเธออยู่แบบนี้ และเมื่อหญิงสาวพบว่าสายตาของเธอเริ่มเหนื่อยล้าจากการอ่านหนังสือเธอจึงปิดมันลงและวางมันไว้ข้าง ๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นชื่นชมธรรมชาติเบื้องหน้า แน่นอนว่าทิวทัศน์เบื้องหน้าของหญิงสาวนั้นเป็นภาพที่งดงามมาก แต่มันกลับไม่น่าสนใจเท่ากับร่างที่กำลังหลับใหลอยู่บนตักของเฮอร์ไมโอนี่ในตอนนี้เลยเมื่อหญิงสาวละสายตาจากภาพทะเลสาบสีครามไปยังใบหน้ายามหลับใหลของสามี
ใบหน้ายามหลับของนายลูเซียสนั้นแลดูสงบสุขแต่ก็แตกต่างจากใบหน้าปกติในยามที่เขาตื่นนอนเสียเหลือเกิน เพราะมันดูแปลกตาไม่น้อยยามที่ได้เห็นใบหน้าของเขาโดยไม่มีดวงตาสีเงินที่ทิ่มแทงหรือรอยยิ้มเย้ยหยันของเขาประดับอยู่ แต่ถึงกระนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็ต้องยอมรับว่าชายตรงนั้นหน้ามีใบหน้าดูดีทีเดียวแม้ว่าอายุของเขาจะล่วงเลยเข้าเลขสี่มาแล้วก็ตาม อีกทั้งหญิงสาวยังคิดว่าชายผมบลอนด์นั้นดูดีไม่น้อยเมื่อได้เห็นเขาท่ามกลางแสงแดดแบบนี้ เพราะมันทำให้ผิวพรรณที่ซีดเผือดของเขานั้นดูมีชีวิตชีวามากขึ้นจนเฮอร์ไมโอนี่อดไม่ได้ที่จะสำรวจมัน
นายลูเซียสนั้นมีใบหน้าที่มีเค้าโครงเดียวกับเดรโกหากแต่ดูมีอายุมากกว่า เนื่องจากทั้งคู่มีคางที่แหลมเหมือนกัน แม้ว่าจมูกของเดรโกจะเรียวกว่าจมูกของพ่อเขาก็ตามแต่ริมฝีปากบางเฉียบของทั้งสองนั้นเหมือนกันราวกับถอดแบบกันออกมา รวมทั้งดวงตาสีเงินของทั้งคู่ที่เหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยนอีกด้วย
สายตาของเฮอร์ไมโอนี่สำรวจไปทั่วใบหน้าของสามีก่อนจะไล่ไปยังผมสีบลอนด์ยาวที่สว่างไสวอยู่ท่ามกลางแสงแดดของเขา และเนื่องจากนายลูเซียสมีผมสียาวและเหยียดตรงแบบที่ผมของเฮอร์ไมโอนี่ไม่สามารถทำได้ เธอจึงรู้สึกสนใจมันเป็นพิเศษ และเมื่อรู้ตัวอีกทีมือของหญิงสาวก็เลื่อนไปสัมผัสผมสีบลอนด์ของร่างที่กำลังหลับใหลอยู่เสียแล้ว
ผมของนายลูเซียสให้ความรู้สึกนุ่มมืออย่างที่เธอคิดไว้ และเมื่อเป็นเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่จึงอดไม่ได้ที่จะสัมผัสเส้นผมสลวยของเขามากขึ้นโดยการไล้มือของเธอผ่านผมสีบลอนด์ยาวของเขาโดยที่เธอไม่รู้เลยว่าร่างที่เธอคิดว่ากำลังนอนหลับอยู่นั้นได้ตื่นจากหลับใหลตั้งแต่วินาทีแรกที่เธอจับผมของเขาแล้ว และก่อนที่เธอจะได้สัมผัสเส้นผมของเขาไปมากกว่านั้น เฮอร์ไมโอนี่ก็รู้สึกถึงมือใหญ่ของสามีที่เลื่อนเข้ามาจับมือของหญิงสาวไว้ก่อนที่เธอจะเลื่อนสายตาไปยังใบหน้าของนายมัลฟอยและเห็นว่าดวงตาสีเงินของเขากำลังมองเธออยู่
“เธอชอบผมของฉันอย่างนั้นหรือ” เขาถามด้วยน้ำเสียงรู้ทัน ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่มีสีหน้าเหมือนเด็กถูกจับได้ว่าทำผิด แต่เมื่อเธอพยายามจะดึงมือของเธอกลับมานายลูเซียสกลับจับมือเล็กของเธอไว้และยกมันขึ้นสัมผัสกับริมฝีปากของเขาเบา ๆ ซึ่งมันส่งผลทำให้ใบหน้าของหญิงสาวแดงก่ำราวกับถูกแดดเผา และเมื่อเห็นว่าเขาปล่อยมือของเธอออกแล้วเฮอร์ไมโอนี่จึงพูดขึ้น
“คุณตื่นนานแล้วหรือคะ” เธอพูดขณะที่พยายามจะรักษาสีหน้าให้ดูปกติมากที่สุด
“ก็ไม่นานนักหรอก” เขาตอบ “ฉันหลับไปนานไหม”
“ก็พักหนึ่งค่ะ” หญิงสาวตอบออกมา แต่ที่จริงแล้วเธอจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าชายตรงหน้านอนหลับอยู่บนตักของเธอนานเท่าไหร่ และเมื่อได้ยินเท่านั้นนายลูเซียสจึงลุกขึ้นมานั่ง ผมบลอนด์ของเขาดูยุ่งเหยิงเล็กน้อยจากการนอนหลับเมื่อครู่
“เธอหิวรึยัง” มันเป็นคำถามที่แสนจะธรรมดาเหลือเกิน แต่นี่ก็เป็นอีกครั้งที่เฮอร์ไมโอนี่ไม่แน่ใจว่าจะตอบเขาออกไปอย่างไรดี เธอจึงได้แต่พยักหน้าเบา ๆ และในวินาทีต่อมาหญิงสาวก็เห็นว่าสามีของเธอลุกขึ้นยืนและส่งมือของเขามาให้เธอจับพร้อมกับพูดขึ้น
“งั้นฉันว่าเรากลับไปทานอาหารที่คฤหาสน์กันดีกว่าไหม” เขาถาม ก่อนที่เฮอร์ไมโอนี่ที่เห็นด้วยกับคำพูดของเขาจะวางมือของเธอลงบนมือใหญ่ของชายผมบลอนด์เพื่อให้เขาช่วยให้เธอลุกขึ้นยืน และในนาทีต่อมาหญิงสาวก็ขึ้นมาอยู่บนหลังม้าโดยมีสามีของเธอตามเธอขึ้นมาติด ๆ นายลูเซียสกระซิบเข้าที่ข้างหูเฮอร์ไมโอนี่เบา ๆ ว่าให้เธอนั่งดี ๆ ก่อนที่เขาจะดึงสายบังเหียนและเจ้าเฮอร์มีสก็ออกวิ่งไปในทิศทางที่มุ่งตรงไปสู่คฤหาสน์
…………………………………………….
กว่าที่นายลูเซียสและเฮอร์ไมโอนี่จะกลับมาถึงคฤหาสน์ก็เลยเวลาบ่ายโมงมาได้พักหนึ่งแล้ว ทั้งสองทานอาหารกลางวันด้วยกันที่ห้องอาหารเป็นครั้งแรกซึ่งเอลฟ์ได้จัดเตรียมอาหารอย่างดีไว้ให้เจ้านายของมันอย่างเช่นเคย หลังจากอิ่มหนำกับอาหารมื้อเที่ยงแล้วนายลูเซียสก็บอกหญิงสาวว่าเขาจะพาเธอไปชมภายในคฤหาสน์หลังจากนี้ ซึ่งเฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไรออกไป แม้ว่าอันที่จริงแล้วเธอจะต้องการกลับไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดมากกว่าก็ตาม แต่หญิงสาวก็ฉลาดพอที่จะไม่ขัดใจชายผมบลอนด์ในเรื่องที่ไม่จำเป็นแบบนี้บวกกับการที่เธอได้ให้คำสัญญากับเขาไปแล้วว่าเธอจะไม่ยอมศึกษาเวทย์มนต์โดยไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์อีก มันจึงทำให้ความสนใจในการเข้าไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดของเฮอร์ไมโอนี่ลดลงไประดับหนึ่งทีเดียว และเมื่อเป็นเช่นนั้นหญิงสาวจึงตอบตกลงที่จะไปชมคฤหาสน์กับสามีของเธอแต่โดยดี และเธอก็ได้พบในทีหลังว่าคฤหาสน์มัลฟอยนั้นกว้างใหญ่และมีสิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
ทั้งสองเริ่มจากชั้นแรกของคฤหาสน์ก่อนซึ่งมันเป็นที่ตั้งของห้องโถง ห้องนั่งเล่น ห้องรับแขก ห้องอาหาร และห้องสำหรับปรุงยาซึ่งดูเหมือนจะไม่ค่อยมีใครมาใช้งานเท่าไหร่นัก อันที่จริงชั้นแรกนั้นเป็นที่ตั้งของห้องครัวด้วยเพียงแต่นายลูเซียสปฏิเสธที่จะพาเธอไปดูเนื่องจากเขาคิดว่ามันไม่ใช่ที่ที่เธอควรจะไปเยี่ยมชมแต่อย่างใด เพราะว่ามันไม่มีอะไรนอกจากควันไฟ กลิ่นอาหาร และเอลฟ์จำนวนหนึ่งที่ทำงานอยู่ในครัวเท่านั้น
หลังจากที่ชายผมบลอนด์พาเฮอร์ไมโอนี่ชมคฤหาสน์ชั้นแรกจนทั่วแล้ว เขาก็พาเธอขึ้นไปยังชั้นสองของคฤหาสน์ (อันที่จริงหญิงสาวรู้ว่ามีอีกสถานที่หนึ่งนอกจากห้องครัวที่เขาไม่ยอมพาเธอเข้าไปดูซึ่งก็คือห้องลับสำหรับเก็บสิ่งของศาสตร์มืดของเขาที่ซ่อนอยู่ใต้ห้องนั่งเล่น ซึ่งเธอรู้ความลับนี้จากแฮร์รี่และรอนที่ปลอมตัวเป็นแครบกับกอยล์เข้าไปหลอกถามเรื่องทายาทของสลิธีรินจากเดรโกในตอนที่พวกเขาอยู่ปีสอง แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็ฉลาดพอที่จะไม่ถามเรื่องนี้ออกไปเพราะมันเท่ากับเป็นการเปิดเผยแผนการของสามสหายในตอนนั้นด้วย)
ชั้นสองของคฤหาสน์นั้นประกอบด้วยห้องนอนเป็นส่วนใหญ่ ทั้งห้องนอนของทั้งเฮอร์ไมโอนี่และนายลูเซียสซึ่งเป็นห้องนอนใหญ่ที่ตั้งอยู่ที่ชั้นสอง และห้องนอนของเดรโกซึ่งตั้งอยู่อีกด้านหนึ่งของคฤหาสน์ไปจนถึงห้องนอนสำหรับรับแขกที่มีจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนและห้องนั่งเล่นห้องที่สองซึ่งตั้งอยู่บนชั้นสองนี้ด้วย แต่โดยรวมแล้วชั้นสองของคฤหาสน์นั้นก็ไม่มีอะไรพิเศษมากนัก นายลูเซียสจึงใช้เวลาพาเธอชมชั้นนี้ไม่นานนักก่อนที่เขาจะพาเธอเดินขึ้นไปยังชั้นสาม
ชั้นสามนั้นประกอบด้วยห้องนอนอีกจำนวนหนึ่งที่อยู่ทางด้านตะวันออกของคฤหาสน์ ส่วนทางด้านตะวันตกนั้นเป็นที่ตั้งของห้องต่าง ๆ มากมาย เช่น ห้องสมุด ห้องสำหรับเต้นรำซึ่งมีกระจกประดับอยู่รอบห้องและมีกลไลสำหรับทำให้พื้นห้องหมุนเอง รวมทั้งมีเครื่องดนตรีที่บรรเลงได้เองอยู่ และรวมไปทั้งถึงทางเดินเชื่อมจากคฤหาสน์ไปยังหอดูดาว และเรือนกระจกขนาดใหญ่ที่มีความสูงเท่ากับตึกสามชั้นซึ่งบรรจุพรรณไม้นานาชนิดเอาไว้ราวกับมีใครขนเอาต้นไม้ทั้งหมดจากเรียนกระจกของศาสตราจารย์สเปราซ์มาบรรจุเอาไว้ที่นี่ แต่ห้องที่ทำให้หญิงสาวต้องตื่นตาตื่นใจมากที่สุดนั้นเห็นจะเป็นห้องดนตรีที่มีเครื่องดนตรีเกือบจะทุกชนิดบรรจุอยู่ รวมไปถึงแกรนด์เปียโนสีดำสนิทซึ่งวางเด่นอยู่กลางห้องด้วย
หลังจากที่ตะลึงกับความหลากหลายของเครื่องดนตรีจำนวนมากในห้องดนตรีอยู่ได้ไม่นาน เฮอร์ไมโอนี่ก็เดินเข้าไปหาแกรนด์เปียโนที่วางอยู่กลางห้องอย่างสนใจ หญิงสาวไล้มือไปตามผิวสีดำเงางามของมันซึ่งบอเธอว่าเปียโนตัวนี้ได้รับการดูแลอย่างดี และเมื่อเธอลองดีดโน๊ตสองสามตัวเสียงที่ดังออกมานั้นก็บอกว่ามันได้รับการจูนเสียงอย่างดีเช่นกัน
“ฉันไม่รู้มาก่อนเลยค่ะว่าที่นี่มีเปียโนด้วย” เธอพึมพำออกมาก่อนจะคิดได้ว่าการที่คฤหาสน์แห่งนี้มีเปียโนอยู่นั้นเป็นเรื่องที่ธรรมดามากที่สุด เพราะมันดูราวกับว่าคฤหาสน์มัลฟอยได้รวบรวมทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ที่นี่หมดแล้ว และในตอนนี้เฮอร์ไมโอนี่คงไม่แปลกใจเสียแล้วถ้าหากเธอจะเจอห้องแห่งความลับซ่อนอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้
“เธอเล่นเป็นไหม” นายลูเซียสตอบคำถามของหญิงสาวด้วยการตั้งคำถามขึ้นมาใหม่ขณะที่ก้าวเข้ามายืนใกล้ ๆ ภรรยา เมื่อเห็นว่าเฮอร์ไมโอนี่นั่งบนเก้าอี้เบื้องหน้าเปียโนตัวนั้น
“นิดหน่อยค่ะ ฉันเคยเรียนสมัยที่ยังเป็นเด็ก” หญิงสาวตอบก่อนจะเริ่มวางนิ้วลงบนแป้น เธอเคยเรียนเปียโนตั้งแต่เธอยังไม่เข้าเรียนที่ฮอกวอตส์เสียอีก เฮอร์ไมโอนี่ยังคงจำได้ดีว่าแม่ของเธอต้องขับรถไปส่งเธอในเมืองทุกวันเสาร์เพื่อเรียนเปียโนกับสถาบันสอนดนตรีชื่อดังในลอนดอน แต่หลังจากได้รับจดหมายจากฮอกวอตส์แล้วเฮอร์ไมโอนี่ก็ตัดสินใจหยุดเรียนเปียโนไปก่อนที่เธอจะสามารถเล่นมันได้อย่างเชี่ยวชาญเพราะเธอต้องการทุ่มเทเวลาทั้งหมดของเธอไปกับการอ่านหนังสือเพื่อเตรียมตัวเข้าเรียน
และเป็นเพราะการคิดถึงพ่อแม่ของเธอนั้นทำให้หญิงสาวรู้สึกเจ็บแปลบในอกอย่างบอกไม่ถูก แม้ว่าเธอพยายามจะไม่แสดงความอ่อนแอของเธอออกมาต่อหน้านายลูเซียสก็ตาม แต่หญิงสาวก็พบว่าการคิดถึงพ่อแม่ของเธอบวกกับคำถามที่เกิดขึ้นในใจว่าท่านทั้งสองจะเป็นอย่างไรบ้างในตอนนี้นั้นทำให้เธอไม่อาจมีสมาธิกับโน๊ตเพลงที่กำลังจะเล่นได้ จนในที่สุดเฮอร์ไมโอนี่ก็กดแป้นผิดจนทำให้เกิดเสียงแหลมไม่น่าฟังขึ้น
“ฝีมือฉันแย่จังเลยค่ะ” หญิงสาวพูดพลางยิ้มกลบเกลื่อนร่องรอยกังวลบนใบหน้าของเธอ ขณะที่ชายผมบลอนด์ที่ยืนดูเธออยู่นั้นมองเธอออกอย่างทะลุปรุโปร่งว่าเธอกำลังกังวลเรื่องอะไรอยู่ แต่เขาก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรออกไป ตรงกันข้ามเขากลับเข้ามานั่งบนเก้าอี้ตัวเดียวกับหญิงสาว และเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างแปลกใจนายลูเซียสก็พูดขึ้น
“ฝีมือเธอไม่ได้แย่หรอก เธอแค่ใจลอยไปหน่อยเท่านั้น” เขาพูดก่อนจะจับมือเล็กของหญิงสาวขึ้นมาแล้ววางมันลงบนคีย์อย่างเหมาะสม “อีกอย่างมือของเธอเล็กไปหน่อย ลองกางมือแบบนี้สิ” เขาแนะนำก่อนจะค่อย ๆ สอนเธอดีดเปียโนแบบที่ถูกต้องอย่างช้า ๆ แต่การกระทำของเขากลับทำให้เฮอร์ไมโอนี่ประหม่ามากกว่าเดิมเมื่อเธอสัมผัสถึงลมหายใจของชายผมบลอนด์ซึ่งปะทะอยู่ที่ข้างแก้มของเธอพอ ๆ กับที่วงแขนของเขาโอบกอดเธอไว้ และมือใหญ่ของเขาวางอยู่เหนือมือเล็กของเธอ แม้ว่าหญิงสาวจะพยายามรวมรวบสติมากเท่าไหร่ก็ตาม แต่เธอก็ไม่สามารถจดจ่อสมาธิของเธออยู่กับสิ่งที่เขากำลังสอนได้เมื่อหัวใจของเธอเต้นแรงจนหญิงสาวกลัวไปว่านายลูเซียสจะได้ยินมันเข้า และเมื่อเป็นเช่นนั้นเธอจึงชักมือของเธอออกมาจากมือใหญ่ของสามี และเมื่อเขามองมาทางเธออย่างไม่เข้าใจเฮอร์ไมโอนี่จึงตอบออกไปว่า
“ฉันไม่ค่อยเก่งเรื่องนี้เท่าไหร่หรอกค่ะ คุณอย่าเสียเวลาสอนฉันเลยจะดีกว่า” เธอพูด แต่แน่นอนว่าชายผมบลอนด์รู้ดีว่ามันเป็นเพียงแค่คำพูดกลบเกลื่อนของหญิงสาวเท่านั้น และริมฝีปากบางของนายลูเซียสก็ยกสูงขึ้นเมื่อเขาเห็นว่าแก้มของเฮอร์ไมโอนี่ที่กลายเป็นสีชมพู รวมทั้งท่าทีประหม่าของเธอซึ่งทำให้หญิงสาวนั้นน่าเอ็นดูขึ้นไม่น้อย จนชายผมบลอนด์อดไม่ได้ที่จะก้มลงไปจูบเธอที่ริมฝีปาก
แม้ว่าจะรู้ดีว่าร่างตรงหน้ากำลังทำอะไรอยู่ก็ตาม แต่เฮอร์ไมโอนี่กลับไม่ได้ขัดขืนออกไปแต่อย่างใดราวกับว่าเธอเคยชินรวมทั้งทำใจได้กับการที่สามีของเธอจูบเธอแบบนี้ อันที่จริงความรู้สึกของหญิงสาวที่มีต่อการกระทำของนายลูเซียสนั้นเลยขั้นของการทำใจยอมรับได้ไปเสียแล้ว เพราะแม้จะรู้ดีว่าชายตรงหน้านั้นเป็นผู้เสพความตายกระหายเลือดที่ช่วงชิงทุกอย่างไปจากเธอก็ตาม แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็ห้ามตัวเองไม่ให้รู้สึกดีไปกับสัมผัสของเขาได้ โดยเฉพาะในยามที่เขาจูบเธอ ยามที่ริมฝีปากบางของเขาสัมผัสปากอิ่มของเธออย่างอ่อนโยนแบบนี้เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกราวกับร่างกายของเธอเบาหวิว หญิงสาวหลับตาลงพลางจูบตอบอย่างไม่นึกเขินอาย จนกระทั่งร่างใหญ่นั้นถอนริมฝีปากของเขาขึ้นมา
หลังจากที่จูบร่างเล็กในอ้อมแขนของเขาจนพอใจแล้วนายลูเซียสก็ถอนริมฝีปากของเขาออกมาและจูบเธออีกครั้งที่หน้าผากพร้อมกับมองหญิงสาวด้วยสายตาเอ็นดู จนกระทั่งเธอเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่างขึ้น
“ลูเซียสคะ” เฮอร์ไมโอนี่เริ่มพูด มีร่องรอยของความลังเลยอยู่ในน้ำเสียงของเธอยามที่เธอเอ่ยประโยคนั้นออกมา
“มีอะไรหรือ” เขาถามพลางมองเธออย่างสงสัย
“ฉันอยากถามบางอย่างกับคุณน่ะค่ะ” เธอพูดพลางจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเขา และเมื่อเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวลของหญิงสาวที่มองมาแล้วชายผมบลอนด์จึงตอบเธอออกไป
“เธอจะถามอะไรฉันหรือ” เขากล่าวพลางลูบแก้มเนียนของเฮอร์ไมโอนี่เบา ๆ ขณะที่หญิงสาวมีท่าทีลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจพูดออกมา
“ฉันอยากรู้ว่าพ่อแม่ของฉันเป็นยังไงบ้างน่ะค่ะ” เธอพูดออกไปพลางมองหน้าของสามี แน่นอนว่านายลูเซียสรู้ดีว่า ‘ พ่อแม่ ’ ที่เฮอร์ไมโอนี่พูดถึงนั้นหมายถึงพ่อแม่บุญธรรมของเธอซึ่งเป็นมักเกิ้ล ไม่ใช่พ่อแม่แท้ ๆ ของเธอที่เสียชีวิตไปแล้วแต่อย่างใด และเมื่อเป็นเช่นนั้นเขาจึงยิ้มบาง ๆ ให้เธอก่อนจะพูดขึ้น
“เธอก็น่าจะรู้ดีนี่นาว่าพ่อแม่ของเธอปลอดภัยดี พวกเขาจะได้รับการคุ้มครองอย่างดีตามที่สัญญาระบุไว้” ชายผมบลอนด์กล่าวด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลดุจแพรไหม ซึ่งเขาจะใช้มันทุกครั้งที่เขาต้องการจะเกลี้ยกล่อมหรือชักจูงให้เธอเชื่อในเรื่องที่เขาพูดออกมา แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็ฉลาดพอที่จะรู้ว่าชายตรงหน้าไม่ได้พูดความจริงกับเธอทั้งหมด เพราะอันที่จริงแล้วสิ่งที่สัญญาระบุได้คือการที่ผู้เสพความตายไม่สามารถทำอันตรายใด ๆ สองสามีภรรยาเกรนเจอร์ได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่รายละเอียดของสัญญานั้นไม่ได้ครอบคลุมไปถึงการคุ้มครองพวกเขาจากภัยอันตรายอื่น ๆ นอกเหนือจากการคุมคามของลูกสมุนของจอมมารแต่อย่างใด
“ฉันหมายความว่าฉันอยากรู้ว่าพวกท่านเป็นยังไงบ้างหลังจากที่ฉันหายไปน่ะค่ะ ฉันอยากรู้ว่าพวกท่านสบายดีไหม” น้ำเสียงของหญิงสาวสั่นเครือยามที่เธอเอ่ยถึงพ่อแม่อุปถัมด์ของเธอเอง แม้เธอจะรู้ดีว่าพวกเขาไม่ใช่พ่อแม่แท้ ๆ ของเธอก็ตาม แต่เฮอร์ไมโอนี่กลับไม่ได้รู้สึกรักพวกท่านทั้งสองน้อยลงไปกว่าเดิมเลย และการพูดถึงพวกท่านก็นำความเจ็บปวดรวมทั้งความห่วงหาอย่างไม่อาจประมาณได้มาให้แก่หญิงสาว แต่เธอก็พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะไม่ร้องไห้ออกมา ขณะที่สามีของเธอมีสีหน้ายุ่งยากใจกับคำถามนี้ ราวกับเขาคิดไว้แล้วว่าภรรยาของเขาจะต้องร้องไห้ออกมาในอีกไม่วินาทีต่อไปอย่างแน่นอน แต่ถึงกระนั้นนายลูเซียสก็ยอมตอบคำถามของเธอออกมาเป็นอย่างดี
“พวกเขาสบายดี” เขาเริ่มพูด “สายของเราคอยจับตาดูพวกเขาอยู่เป็นระยะ ๆ มันไม่มีอะไรเกี่ยวกับพวกเขาที่เธอต้องเลยกังวลเลย” ชายผมบลอนด์อธิบาย แต่เฮอร์ไมโอนี่กลับไม่สามารถทำอย่างที่เขาแนะนำได้เมื่อเธอถามเขาต่อ
“แล้วพ่อกับแม่ของฉันเป็นยังไงบ้างคะ พวกท่านกังวลเรื่องที่ฉันหายตัวไปหรือเปล่า” เธอถามอย่างรวดเร็ว ขณะที่นายลูเซียสถอนหายใจออกมา เขามีท่าทีราวกับเขารู้สึกอึกอัดใจเป็นอย่างมากในการตอบคำถามนี้ แต่เมื่อได้เห็นแววตาอ้อนวอนของภรรยาแล้ว ชายผมบลอนด์ใช้เวลาครุ่นคิดอยู่เพียงครู่เดียวก่อนจะตัดสินใจตอบคำถามของเธอออกมา
นายลูเซียสหันมามองหญิงสาวอย่างเต็มตาก่อนที่เขาจะพูดขึ้น
“หลังจากที่เธอเซ็นต์สัญญาแต่งงานเรียบร้อยแล้ว ผู้เสพความตายจำนวนหนึ่งก็เข้าไปหาพ่อแม่ของเธอที่บ้านเพื่อแปลงความทรงจำของพวกเขา” เขาอธิบาย ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่มีสีหน้าตกใจ แต่ก่อนที่เธอจะได้พูดอะไรออกไปนั้นสามีของเธอก็ชิงพูดขึ้นก่อน
“เราทำไปเพื่อความปลอดภัยของพวกเขาเอง เราจำเป็นต้องทำให้พ่อแม่ของเธอเข้าใจว่าเธอต้องไปฝึกอบรมการเป็นมือปราบมารอย่างไม่มีกำหนดซึ่งนั่นเป็นทางเดียวที่พวกเขาจะไม่ไปแจ้งกระทรวงเรื่องที่เธอหายตัวไป” เขาตอบออกมาตามตรง แต่ดูเหมือนว่าการได้รับรู้ความจริงเกี่ยวกับพ่อแม่ของเธอนั้นจะไม่ได้ช่วยให้หญิงสาวคลายความเป็นห่วงพวกเขาลงได้เลย ตรงกันข้ามเธอกลับตื่นตระหนกมากกว่าเดิมด้วยซ้ำเมื่อได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพ่อแม่ของเธอบ้าง
“พวกคุณทำอะไรพวกท่านคะ!” เธอถามด้วยน้ำเสียงที่เกือบจะเรียกได้ว่าเกรี้ยวกราด จนนายลูเซียสต้องส่งสายตาปราม ๆ มาให้เฮอร์ไมโอนี่เมื่อเธอเริ่มขึ้นเสียงกับเขา แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ได้ทีท่าทีโกรธเคืองแต่อย่างใด
“เธอก็รู้ว่าเราทำอะไรพวกเขาไม่ได้ตามสัญญาการแต่งงานที่เธอได้เซ็นต์ลงไป!” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น และเมื่อลองมาพิจารณาสิ่งที่นายมัลฟอยได้พูดและเห็นว่ามันสมเหตุสมผลแล้วหญิงสาวจึงมีท่าทีที่สงบลง แต่เธอก็ยังไม่ยอมเลิกตั้งคำถามเกี่ยวกับพ่อแม่ของเธอกับชายตรงหน้าอยู่ดี
“คุณเป็นคนแปลงความทรงจำของพวกท่านหรือคะ” เฮอร์ไมโอนี่ถามต่อ
“ไม่ใช่ฉัน” เขาตอบอย่างไม่สู้พอใจนัก
“ถ้างั้นเป็นใครกันคะ” เธอยังคงไม่ลดละความพยายามแม้จะเห็นว่าชายผมบลอนด์มีท่าทีรำคาญใจกับคำถามของเธอก็ตาม
“เธอจะรู้ไปทำไมกัน” เขากล่าว
“ฉันอยากรู้ค่ะ” เธอตอบอย่างแน่วแน่ ขณะที่สามีของเธอจะถอนหายใจออกมาอีกครั้ง นายมัลฟอยมีสีหน้ายุ่งยากใจก่อนจะตอบคำถามนั้นออกมา
“เซเวอร์รัส เซเวอร์รัสเป็นคนร่ายคาถาปรับความทรงจำพ่อแม่ของเธอ” นายลูเซียสตอบออกมาในที่สุด และสิ่งแรกที่หญิงสาวรู้สึกหลังจากได้ยินชื่ออดีตอาจารย์วิชาปรุงยาของเธอก็คือคลื่นความเกลียดชังที่แผ่ไปทั่วร่างกายของเธอราวกับยาพิษ แม้ว่าเฮอร์ไมโอนี่จะไม่เคยไม่ชอบอาจารย์คนไหนมากเป็นพิเศษก็ตาม (อาจจะยกเว้นอัมบริดจ์ที่ทำตัวร้ายกาจกับแฮร์รี่และสมาชิกก.ด.มากเท่านั้น) เธอกลับต้องแปลกใจที่ความรู้สึกของเธอที่มีต่อสเนปซึ่งได้ก้าวข้ามจากความไม่พอใจไปเป็นความเกลียดชังหลังจากที่เธอรู้ว่าเขาเป็นคนสังหารดัมเบิลดอร์และทรยศต่อภาคี แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามหญิงสาวกลับรู้สึกโล่งอกไม่น้อยที่สเนปเป็นคนร่ายคาถาแปลงความทรงจำของพ่อแม่เธอ เพราะเฮอร์ไมโอนี่รู้ดีว่านอกจากสเนปจะเชี่ยวชาญทางด้านการปรุงยาและศาสตร์มืดแล้วเขายังเป็นนักสกัดใจและพินิจใจที่เก่งกาจคนหนึ่ง ซึ่งความสามารถในการจัดการกับความทรงจำของเขานั้นคงจะมีมากกว่าผู้เสพความตายคนอื่นเป็นแน่
หลังจากได้รับคำตอบแล้วความเงียบที่น่าอึดอัดก็เข้ามาปกคลุมห้องดนตรี ทั้งนายลูเซียสและเฮอร์ไมโอนี่ต่างไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรออกมาอยู่ครู่หนึ่งจนกระทั่งชายผมบลอนด์เป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นมา
“ตอนนี้พ่อแม่ของเธอสบายดี มันไม่มีอะไรที่เธอต้องเป็นห่วงเลย” เขาพูดขึ้นพลางบีบมือของหญิงสาวเบา ๆ ขณะที่เธอพยักหน้าอย่างรับรู้ แม้จะกังวลในเรื่องของพ่อแม่มากก็ตามแต่เฮอร์ไมโอนี่ก็ต้องทำใจยอมรับให้ได้ว่าเธอไม่อาจทำอะไรในเรื่องนี้ได้เลย อีกทั้งการที่สเนปร่ายคาถาปรับความทรงจำของพ่อแม่ของเธอนั้นอาจจะเป็นการดีต่อพวกเขาก็เป็นได้ เพราะว่าอย่างน้อย ๆ พวกเขาก็สามารถใช้ชีวิตต่อไปอย่างปกติโดยที่ไม่ต้องมากังวลในเรื่องที่เธอหายตัวไปแบบนี้ อันที่จริงเฮอร์ไมโอนี่เองก็วางแผนที่จะแปลงความทรงจำของพ่อแม่เธอแบบเดียวกับที่ผู้เสพความตายได้ทำลงไปเหมือนกัน เนื่องจากเธอ แฮร์รี่ และรอนได้สัญญากันไว้ว่าหลังจากที่พวกเขาได้รับตำแหน่งมือปราบมารแล้วทั้งสามจะออกตามหาฮอกครักซ์ในทันที และเมื่อถึงตอนนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็ตั้งใจที่จะร่ายคาถาปรับความทรงจำของพ่อแม่เธอเพื่อให้พวกเขาลืมเรื่องราวของเธอและส่งพวกเขาไปยังที่ไกล ๆ เพื่อให้พวกเขาปลอดภัยของสงคราม แต่หญิงสาวไม่คิดมาก่อนว่าเธอจะถูกผู้เสพคความตายจับตัวมารวมทั้งจะต้องถูกบังคับให้แต่งงานกับลูเซียส มัลฟอยแบบนี้
หลังจากที่ทำใจให้สงบลงและสามารถยอมรับได้แล้วว่าสิ่งที่นายมัลฟอยได้บอกเธอนั้นเป็นข้อมูลที่มีเหตุผลรวมทั้งมีประโยชน์ต่อเธอไม่น้อย เฮอร์ไมโอนี่จึงตัดสินใจเงยหน้าขึ้นมองสามีของเธอก่อนจะพูดขึ้น
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวพูดขึ้นเบา ๆ ขณะที่นายลูเซียสมองเธอพิจารณา และเมื่อเห็นว่าเธอมีท่าทีที่สงบลงมากแล้ว เขาจึงตัดสินใจที่จะชวนเธอออกไปชมส่วนอื่นของคฤหาสน์ต่อ
“ฉันว่าเราออกไปห้องอื่นกันดีกว่าไหม” เขาถามอย่างสุภาพพลางมองเข้าไปในดวงตาของภรรยา และเมื่อเห็นว่าเฮอร์ไมโอนี่ตอบรับด้วยการพยักหน้าเบา ๆ ชายผมบลอนด์จึงพาเธอลุกจากเก้าอี้และเดินออกจากห้องไป
…………………………………………….
กว่าที่เฮอร์ไมโอนี่จะสำรวจห้องทุกห้องบริเวณปีกตะวันตกของชั้นสามจนครบก็ใกล้เวลาอาหารเย็นแล้ว และเมื่อเป็นเช่นนั้นนายลูเซียสจึงพาเธอลงจากชั้นสามไปยังห้องอาหาร แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้ลงบันไดไปยังด้านล่างหญิงสาวก็สะดุดตาเข้ากับห้องหนึ่งที่อยู่ใกล้กับระเบียงทางเดินชั้นสามขึ้นมา
“นั่นห้องอะไรคะ” เฮอร์ไมโอนี่ถามด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติ แต่เมื่อเธอได้เห็นสีหน้าอึดอัดใจของนายลูเซียส เธอก็รู้ทันทีว่าเธอได้ถามคำถามที่ไม่ควรถามออกไปเสียแล้ว เพราะเธอเพิ่งนึกขึ้นได้ในตอนนี้เองว่าห้องที่เธอเห็นนั้น่าจะเป็นหนึ่งในสองห้องที่นายลูเซียสห้ามไม่ให้เธอเข้าไปในคฤหาสน์แห่งนี้ ซึ่งห้องหนึ่งก็คือห้องทำงานของเขาที่เชื่อมต่อกับห้องสมุด ส่วนอีกห้องนั้นเป็นห้องนอนของภรรยาเก่าของเขา
แม้ว่าจะอึดอัดใจกับคำถามของหญิงสาวมากก็ตามแต่ชายผมบลอนด์ก็ยอมตอบคำถามนั้นออกมาแต่โดยดี
“นั่นเป็นห้องนอนเก่าของฉันกับนาร์ซิสซา” เขาตอบออกมาด้วยท่าทีที่เรียบเฉย แต่เฮอร์ไมโอนี่รู้ดีว่าเขาลำบากใจไม่น้อยที่จะต้องพูดเรื่องนี้ออกมา
“ฉันขอโทษค่ะ” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงราวกับเธอต้องการบอกเขาว่าเธอรู้สึกผิดในสิ่งที่เธอเพิ่งพูดออกไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์จริง ๆ แต่ดูเหมือนว่าสามีของเธอจะไม่ได้ติดใจการกระทำของเธอแต่อย่างใด หรืออย่างน้อย ๆ เขาก็คงแสร้งทำเป็นว่าเขาไม่สนใจในความผิดพลาดนั้นของเธอ ขณะที่สายตาของเขาละไปจากใบหน้าของเฮอร์ไมโอนี่และเลื่อนไปมองบานประตูซึ่งด้านหลังของมันเป็นห้องนอนเก่าที่น่าจะเต็มไปด้วยความทรงจำระหว่างเขากับนางนาร์ซิสซาด้วยแววตาที่แฝงไว้ด้วยความโศกเศร้า และเมื่อเห็นเช่นนั้นหญิงสาวจึงตัดสินใจพูดขึ้น
“อันที่จริงฉันอยากจะลงไปอาบน้ำก่อนทานอาหารน่ะค่ะ แล้วเราค่อยไปเจอกันที่ห้องอาหารดีกว่านะคะ” เธอพูด และเมื่อเห็นสีหน้าที่แสดงถึงความไม่เข้าใจของนายลูเซียสหญิงสาวจึงเสริมขึ้นอย่างแผ่วเบา
“ฉันคิดว่าฉันน่าจะปล่อยให้คุณไว้ที่นี่ดีกว่า เผื่อว่าคุณอยากจะเข้าไปที่ห้องนั้น.......” เธอพูดออกมาราวกับเธอเข้าใจในสิ่งที่เขารู้สึกเป็นอย่างดี ซึ่งอันที่จริงแล้วมันเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำที่เธอจะเข้าใจความรู้สึกของเขา เพราะเฮอร์ไมโอนี่ไม่เคยต้องสูญเสียคู่แต่งงานที่ใช้ชีวิตร่วมกับมานานอย่างที่นายลูเซียสสูญเสียภรรยาเก่าของเขา แต่โดยไม่ได้คาดการณ์มาก่อนชายผมบลอนด์ตอบแทนข้อเสนอแนะของเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความขบขันระคนเศร้าหมองเมื่อเขาพูดขึ้นมา
“อะไรทำให้เธอคิดว่าฉันอยากเข้าไปในห้องนั้นกัน” เขาถามกับสีหน้าแปลกใจของเฮอร์ไมโอนี่
“ก็คุณ.....” หญิงสาวตอบเพียงเท่านั้นก่อนจะเงียบไป เมื่อสามีของเธอก้าวเข้ามาใกล้เธออีกสองก้าว ก่อนจะมองลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ
“ฉันไม่เคยเข้าไปในห้องนั้นอีกเลย ตั้งแต่นาร์ซิสซาจากฉันไป” เขาตอบออกมาด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบแต่แฝงไว้ด้วยความปวดร้าวจนเฮอร์ไมโอนี่รู้สึกใจหาย
“คุณปิดตายห้องนั้นหรือคะ” เธอถามออกไปก่อนที่จะห้ามตัวเองได้ทัน แต่ดูเหมือนว่าคราวนี้ชายผมบลอนด์จะดูไม่โกรธเคืองแต่อย่างใดเมื่อเธอถามเรื่องอดีตของเขาออกมาตามตรงแบบนี้
“ก็ไม่เชิงหรอก” เขาตอบ แววตาของเขาดูเศร้าหมองอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นแววตาที่ดูสุขุมตามแบบฉบับของมัลฟอยภายในเสี้ยววินาทีเมื่อเขาพูดต่อ “ฉันว่าเราลงไปที่ห้องอาหารกันดีกว่าไหม” เขาถาม และเมื่อเฮอร์ไมโอนี่ไม่ได้ตอบอะไรออกมานอกจากพยักหน้าเบา ๆ นายลูเซียสก็คว้ามือเล็กของเธอมากุมและพาเธอเดินลงไปยังชั้นล่างของคฤหาสน์โดยทิ้งบานประตูที่ภายในเต็มไปด้วยความทรงจำระหว่างเขากับภรรยาเก่าเอาไว้เบื้องหลัง
*************************************************
ความคิดเห็น