คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #19 : Seduction: ถ่วงเวลา +++แก้ไขรอบสุดท้ายเรียบร้อยแล้วค่ะ เข้ามาเซฟกันใหม่นะคะ+++
คุยกันก่อนอ่านนะคะ
ขอโทษค่ะที่หายไปเนิ่นนานมาก ๆ ไม่มีถ้อยคำอื่นใดมากบอกว่าขอโทษจริง ๆ ที่ไม่ได้อัพนานมาก เนื่องจากติดภารกิจทั้งเรื่องงาน เรื่องเรียน จนแทบจะไม่มีเวลาว่างเลยค่ะ แต่ยังไงเราก็ยังยืนยันความตั้งใจเดิมนะคะว่าเราอยากจะเขียนฟิคเรื่องนี้ให้จบ และก็ขอบคุณทุกท่านที่ยังติดตามกันอยู่นะคะ สำหรับตอนนี้ลงให้เป็นของขวัญวันวาเลนไทน์สำหรับรีดเดอร์ที่น่ารักทุกคนค่ะ (เลทมา 2 วันก็หยวนๆ หน่อยนะคะ) สำหรับตอนนี้ แม้ ว่าจะไม่มีฉากหวานแบบน้ำตาลขึ้นคอมเหมือนช่วงแต่งงานแรก ๆ แต่ไรต์เตอร์รับประกันนะคะว่าจะมีฉากน่ารักของพระนางแทรกไว้ให้ได้ยิ้มกัน ประปราย (หลังจากผ่านดราม่ามาหลายตอนเกิน = =) เอาเป็นว่าไปอ่านกันดีกว่าค่ะ ตอนที่ 19 นี้มีความยาวถึง 41 หน้าเลยนะคะ รับรองว่ารีดทุกท่านอ่านกันตาแฉะคุ้มค่ากับที่รอคอยเลยค่ะ อ้อ สำหรับตอนใหม่นี้ พิกตรวจไปแค่รอบเดียวเท่านั้นนะคะ ตรวจไปตรวจมามึนตัวอักษรซะเองเลยเอามาลงเลยดีกว่า อีกไม่เกินวันสองวันจะแวะมาตรวจคำผิดให้อีกรอบนะคะ สุดท้ายนี้ขอให้อ่านให้สนุกนะคะ แล้วถ้ารีดท่านใดมีความคิดเห็นใด ๆ ชอบหรือไม่ชอบอย่างไร ทิ้งคอมเม้นไว้พูดคุยกับไรต์เตอร์นะคะ เรายินดีรับฟังทุกความคิดเห็นค่ะ ^^
อ้อ ลืมบอกไปเลยค่ะ ขอบคุณ คุณ severus_zach นะคะที่คอยมาส่งข่าวคราวเรื่องฟิคตอนที่เราไม่ว่าง ขอขอบคุณจริงๆ ค่ะ
ลืมบอกอีกครั้งค่ะ ภาพประกอบด้านล่างเราไม่ได้ทำเองนะคะ แต่เห็นว่าเข้ากับฟิคตอนนี้ก็เลยเอามาแปะให้ดูกันน่ะค่ะ
***Chapter 19 ถ่วงเวลา: Seduction***
‘ ฉันต้องการให้เธอจับตาดูลูเซียสเอาไว้ไม่ให้คลาดสายตา ไม่ใช่สิ เธอจะต้องอยู่กับเขาตลอดเวลาในระหว่างที่ฉันออกไปตามหาเดรโกเพื่อลบความทรงจำของเขา และเมื่อฉันพูดว่าตลอดเวลาฉันหมายถึงเธอจะต้องอยู่กับเขาตลอดเวลาจริง ๆ เกรนเจอร์ เพราะเธอเป็นคนเดียวเท่านั้นที่สามารถกันไม่ให้เดรโกและพ่อของเขาได้พบกันจนกว่าฉันจะทำงานของฉันเสร็จเรียบร้อยซึ่งฉันก็ไม่แน่ใจว่ามันจะต้องใช้เวลานานแค่ไหน แต่ถ้าเราโชคดีฉันเชื่อว่าทุกอย่างก็น่าจะเรียบร้อยภายในคืนนี้ ’
เฮอร์ไมโอนี่จ้องมองข้อความที่อดีตอาจารย์วิชาปรุงยาของเธอส่งมาให้ด้วยสีหน้าและแววตาที่เต็มไปด้วยความสับสน และถึงแม้ว่าถ้อยคำดังกล่าวจะบอกเธออย่างละเอียดถี่ถ้วนในสิ่งที่เธอจำเป็นต้องทำต่อไปก็ตาม แต่ถึงกระนั้นหญิงสาวก็ไม่อาจจะห้ามตัวเองให้รู้สึกลำบากใจกับสิ่งที่เซเวอร์รัส สเนปกำลังขอร้องให้เธอทำได้เลย เพราะสิ่งที่อดีตอาจารย์วิชาปรุงยาผู้เป็นสายลับที่ซื่อสัตย์ที่สุดของดัมเบิลดอร์ต้องการให้เธอทำเพื่อช่วยเขาปกปิดความลับที่มีค่าต่อเขาอย่างยิ่งยวดนั้นก็คือการให้เธอเข้าไปอยู่กับลูเซียส มัลฟอยเพื่อถ่วงเวลาเขาเอาไว้จนกว่าสเนปจะตามหาและลบความทรงจำของเดรโก มัลฟอยสำเร็จ ซึ่งการทำตามที่ชายผมดำต้องการนี้มันแทบจะหมายความได้ว่าเฮอร์ไมโอนี่จะต้องเอาตัวไปใกล้ชิดกับนายลูเซียสซึ่งเป็นสามีของเธอและเป็นคนเดียวกับชายที่เคยใช้กำลังบังคับขืนใจเธอมาก่อนไปตลอดทั้งค่ำคืนนี้!
และถึงแม้ว่าจะลำบากใจกับสิ่งที่อดีตอาจารย์วิชาปรุงยาขอให้เธอทำมากเพียงใดก็ตาม แต่ถึงกระนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่อาจจะออกปากปฏิเสธเขาได้ เนื่องจากการที่สเนปจำเป็นจะต้องออกไปตามหาเดรโกและลบความทรงจำของชายหนุ่มเสียในระหว่างที่เขาขอให้เธอช่วยกันนายลูเซียสไว้ไม่ให้เขาพบกับลูกชายนั้น ส่วนหนึ่งแล้วมันมีสาเหตุมาจากเธอด้วย เนื่องจากเดรโกไปเห็นเธอและสเนปออกมาจากห้องนอนของนางนาร์ซิสซาผู้เป็นแม่ของเขาพร้อม ๆ กัน อีกทั้งเป็นเพราะความอยากรู้อยากเห็นของหญิงสาวเองด้วยที่ทำให้เธอต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการรักษาความลับที่มีค่ายิ่งชีวิตของสเนปแบบนี้ ดังนั้นในฐานะผู้ร่วมรับรู้ความลับที่อาจเป็นตัวตัดสินความเป็นความตายของชายผมดำได้หากมันตกไปอยู่ในมือของคนอื่นแบบนี้แล้ว เฮอร์ไมโอนี่จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะยอมช่วยเหลืออดีตอาจารย์ของเธอรักษาความลับนี้ไว้เท่านั้น ถึงแม้ว่าสิ่งที่เธอจำเป็นจะต้องทำเพื่อรักษาความลับนี้ไว้นั้นจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เธอต้องการจะทำก็ตาม
และเมื่อคิดได้เช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่จึงสูดลมหายใจลึก ๆ ก่อนจะขยับมือที่ถือปากกาค้างไว้เพื่อเตรียมจะเขียนตอบอีกฝ่ายออกไป แต่ก่อนที่ปลายปากกาในมือของหญิงสาวจะจรดลงบนหน้ากระดาษสีขาวนั้น เส้นหมึกสีดำอันเป็นข้อความที่ส่งมาจากฝ่ายตรงข้ามก็ปรากฎขึ้นตรงหน้าเธอเสียก่อน
‘ ว่าอย่างไร เกรนเจอร์ เธอสามารถทำสิ่งที่ฉันพูดได้ไหม เธอสามารถกันลูเซียสไม่ให้เขาเจอกับเดรโกตลอดทั้งคืนได้หรือเปล่า ’ สเนปถามออกมา และถึงแม้ว่าหญิงสาวจะไม่ต้องการทำสิ่งที่ชายผมดำร้องขอเธอรวมทั้งเธอจะรู้สึกลำบากใจและต้องการจะเขียนปฏิเสธเขาไปมากเพียงใดก็ตาม เฮอร์ไมโอนี่ก็จรดปากกาขนนกลงไปบนพื้นที่ว่างด้านล่างของข้อความที่สเนปเพิ่งส่งมาใหม่ โดยข้อความใหม่ของหญิงสาวมีใจความว่า
‘ ได้ค่ะ ฉันจะพยายามรั้งตัวลูเซียสไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ’ เธอเขียนตอบออกไปเช่นนั้น หลังเขียนจบริมฝีปากอิ่มของเธอก็เม้มแน่นด้วยท่าทีครุ่นคิดก่อนที่เธอจะตัดสินใจเขียนประโยคต่อไปออกมา
‘ แล้วอาจารย์จะออกไปตามหาเดรโกในตอนนี้เลยหรือเปล่าคะ ‘ เธอถามออกไปเช่นนั้น และภายในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจอีกฝ่ายก็เขียนตอบกลับมา และเมื่อเฮอร์ไมโอนี่ได้อ่านถ้อยคำที่ปรากฎขึ้นบนกระดาษสีขาวตรงหน้าแล้วนั้นเธอก็รู้สึกราวกับสเนปมาพูดถ้อยคำนั้นที่ข้างหูของเธอ หญิงสาวสาบานว่าเธอสามารถจับความตึงเครียดและแววรำคาญใจในข้อความของเขาได้ไม่ต่างจากตอนที่เขาพูดกับเธอต่อหน้าเลยแม้แต่น้อย
‘ แน่นอน เธอก็น่าจะรู้ดีมากกว่าอะไรทั้งหมดว่าฉันไม่สามารถรอไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว ’ เขาตอบออกมาเช่นนั้น และถึงแม้ว่าเฮอร์ไมโอนี่จะรู้สึกหงุดหงิดไม่น้อยกับคำพูดประชดประชันที่เหมือนจะเป็นนิสัยประจำตัวของสเนปไปแล้วก็ตาม แต่หญิงสาวก็อดเห็นด้วยกับเขาในครั้งนี้ไม่ได้
‘ ฉันจะออกไปตามหาเดรโกเดี๋ยวนี้ ส่วนเธอก็ต้องรีบไปหาลูเซียสในตอนนี้เลย ถ้าได้เรื่องยังไงฉันจะติดต่อเธอไปอีกที แต่จำให้ดีล่ะเกรนเจอร์ เธอจะต้องไม่ปล่อยให้ลูเซียสคลาดสายตาเธอไปตลอดทั้งคืนนี้ ’ ชายผมดำทิ้งข้อความสุดท้ายของเขาไว้เพียงเท่านี้ และถึงแม้ว่าข้อความดังกล่าวจะเป็นเพียงตัวหนังสือสีดำบนกระดาษสมุดสีขาวเท่านั้นแต่เฮอร์ไมโอนี่กลับรู้สึกราวกับอดีตอาจารย์วิชาปรุงยาของเธอมาเน้นย้ำถ้อยคำนี้อยู่ที่ข้างหูเธอ เพราะหญิงสาวแทบจะรู้สึกได้ถึงความหนักแน่นของน้ำเสียงของชายผมดำยามที่เธออ่านข้อความนี้ ราวกับเขาต้องการเน้นย้ำกับเธอว่า มีเพียงทางเดียวเท่านั้นที่เขาและเธอจะร่วมมือกันรักษาความลับอันสำคัญยิ่งชีวิตของเขาไว้ได้โดยการที่เธอจะต้องไปจับตาดูนายลูเซียสไว้เป็นอย่างดีขณะที่เขาออกไปตามหาเดรโกเพื่อลบความทรงจำของชายหนุ่ม
หลังจากที่ข้อความดังกล่าวของสเนปปรากฎขึ้นบนหน้ากระดาษสมุดที่ทั้งสองใช้ติดต่อกันแล้วนั้นก็ไม่มีข้อความใหม่ปรากฎขึ้นอีกเลย ซึ่งมันทำให้เฮอร์ไมโอนี่รู้ว่าอดีตอาจารย์วิชาปรุงยาของเธอได้ออกไปทำหน้าที่ของเขาในการตามหาและลบความทรงจำของเดรโก มัลฟอยเสียแล้ว และเมื่อเห็นเช่นนั้น ถึงแม้ว่าเธอจะรู้สึกลำบากใจรวมทั้งหวาดกลัวในการทำสิ่งที่ชายผมดำต้องการให้เธอทำมากเพียงใดก็ตาม แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็รู้ดีว่าเธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำตามที่เธอตกลงไว้กับสเนปเท่านั้น เธอไม่มีทางเลือกอื่นที่จะช่วยรักษาความลับที่สำคัญยิ่งชีวิตของสายลับเพียงคนเดียวของดัมเบิลดอร์ได้เลยนอกเสียจากการที่เธอจะต้องเอาตัวเองไปใกล้ชิดกับนายลูเซียสในช่วงเวลาที่สเนปออกไปตามหาลูกชายของเขาซึ่งภารกิจดังกล่าวอาจจะกินเวลาตลอดทั้งค่ำคืนนี้เลยด้วยซ้ำ!
และถึงแม้ว่าภารกิจที่เธอจะต้องทำในครั้งนี้จะหนักหนาสาหัสเสียยิ่งกว่าบททดสอบการเป็นมือปราบมารของกระทรวงก็ตาม แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกเสียจากจะทำมันให้สำเร็จเท่านั้น!
เมื่อคิดได้เช่นนั้นหญิงสาวก็ปิดสมุดบันทึกตรงหน้าลงและเก็บมันใส่ไว้ในลิ้นชักโต๊ะทำงาน เธอเก็บรวบรวมเครื่องเขียนที่เพิ่งใช้งานให้เข้าที่เข้าทางของมันหลังจากที่เธอหยิบกระดาษสำหรับเขียนจดหมายขึ้นมาแผ่นหนึ่ง และแกล้งเขียนหัวจดหมายทิ้งไว้ให้ดูราวกับว่าเธอตั้งใจเขียนจดหมายหานายลูเซียสแต่เธอเขียนไม่จบ ก่อนที่เธอจะเก็บข้าวของทั้งหมดบนโต๊ะลงในลิ้นชักตามสมุดบันทึกของเธอไป และหลังจากจัดการโต๊ะเครื่องเขียนของเธอเรียบร้อยแล้วเฮอร์ไมโอนี่ก็ยืนขึ้น หญิงสาวสูดลมหายใจลึก ๆ และพยายามปั้นสีหน้าให้ดูเป็นปกติมากที่สุดขณะที่เธอเดินไปยังประตูห้องนอนของเธอเพื่อไปทำหน้าที่ที่เธอจำเป็นจะต้องทำ
…………………………………………….
เฮอร์ไมโอนี่ใช้เวลาไม่นานนักเธอก็เดินมาถึงปีกทางด้านตะวันตก และถึงแม้ว่าหญิงสาวจะต้องการให้การเดินทางจากห้องนอนของเธอที่อยู่ทางปีกตะวันออกไปยังห้องนอนใหม่ของนายลูเซียสซึ่งตั้งอยู่อีกด้านหนึ่งของคฤหาสน์นั้นยาวนานมากกว่านี้ก็ตาม แต่เธอก็ไม่อาจจะถ่วงเวลาในการเดินของเธอไปมากกว่านี้ได้เมื่อหญิงสาวได้เดินมาถึงปีกตะวันตกที่มีห้องหับเรียงรายอยู่ตามระเบียงทางเดิน และเมื่อเดินมาถึงตรงจุดนั้นเฮอร์ไมโอนี่ที่มัวแต่กังวลกับการเผชิญหน้ากันอีกครั้งระหว่างเธอกับนายมัลฟอยอยู่นั้นก็นึกขึ้นได้หลังจากที่เธอเห็นประตูจำนวนมากเรียงรายกันอยู่ตามทางเดินของปีกตะวันตกว่าเธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่านายลูเซียสผู้เป็นสามีของเธอนั้นพักอยู่ที่ห้องนอนห้องไหนในปีกตะวันตกแห่งนี้
เมื่อเป็นเช่นนั้น เฮอร์ไมโอนี่จึงเงยหน้าขึ้นมองประตูขัดมันบานแล้วบานเล่าที่เรียงรายอยู่ตรงหน้าด้วยท่าทีสับสน หญิงสาวก็นึกโมโหตัวเองในใจที่เธอไม่ได้สอบถามสามีของเธอหรือแม้กระทั่งเอลฟ์ประจำบ้านก่อนหน้านี้ และในขณะที่กำลังคิดว่าเธอควรจะเรียกทิสซี่มาถามดีหรือไม่ว่าห้องนอนที่ชายผมบลอนด์ย้ายไปนอนนั้นเป็นห้องไหนกันแน่ เนื่องจากเฮอร์ไมโอนี่คิดว่ามันคงไม่เป็นการกระทำที่ฉลาดนักถ้าหากเธอจะเดินไปเคาะประตูห้องนอนทุกห้องที่ตั้งอยู่ที่ปีกตะวันตกแห่งนี้เพื่อค้นหาว่านายลูเซียสพักอยู่ห้องไหน ในขณะนั้นเองประตูบานที่อยู่ด้านในสุดของระเบียงทางเดินก็เปิดออกพร้อมกับการปรากฎตัวของเอลฟ์ประจำบ้านตัวจ้อยที่หญิงสาวไม่รู้จักชื่อ
เอลฟ์ตัวดังกล่าวสวมผ้าม่านขาด ๆ และมันกำลังเดินออกมาจากประตูห้องนอนด้านในสุดของทางเดิน เอลฟ์ไม่ได้สังเกตเห็นเฮอร์ไมโอนี่ในตอนแรกเพราะมันมัวแต่ปิดประตูใหญ่ที่อยู่ด้านหลังมัน แต่หลังจากที่มันหันกลับมาแล้ว ดวงตาของเอลฟ์ตัวดังกล่าวก็เบิกกว้างขึ้นด้วยความแปลกใจก่อนที่มันจะเดินเตาะแตะเข้ามาหาหญิงสาวที่ยืนอยู่ตามลำพังกลางระเบียงทางเดินขณะที่เธอพูดขึ้น
“สวัสดีจ้ะ เอ่อ…….” หญิงสาวพูดออกมาเพียงเท่านั้นก่อนจะมองไปยังร่างเล็กจ้อยที่บัดนี้ได้เดินเข้ามาใกล้หญิงสาวมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งมันมาหยุดอยู่ห่างจากเธอไม่เกิน 3 ก้าว
“ฮ็อบบี้ขอรับ นายหญิง” เอลฟ์พูดพลางก้มศีรษะลงต่ำจนจมูกยาว ๆ ของมันแทบจะจรดพื้น “ฮ็อบบี้มีหน้าที่ดูแลในครัวและห้องโถงใหญ่ขอรับ” มันอธิบายหลังจากเงยหน้าขึ้นมาแล้ว และเพราะคำพูดนั้นของมันเองที่ทำให้เฮอร์ไมโอนี่ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“อย่างนั้นหรือจ๊ะ ว่าแต่เธอมาทำอะไรที่นี่ล่ะ” หญิงสาวถามออกไป และฮ็อบบี้ก็ตอบออกมาแทบจะในทันทีด้วยน้ำเสียงที่ฉะฉาน
“ฮ็อบบี้มาที่นี่เพื่อนำชาและของว่างมาเสิร์ฟนายท่านขอรับ” เอลฟ์กล่าว “ว่าแต่นายหญิงมาทำอะไรที่นี่หรือขอรับ” คำถามนั้นเป็นเพียงคำถามที่เกิดจากความสงสัยของเอลฟ์เท่านั้น แต่มันก็พอที่จะทำให้เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกลำบากใจได้ เมื่อหญิงสาวมีท่าทีอึกอักก่อนที่จะตัดสินใจตอบความจริงกับฮ็อบบี้ออกไป
“คือ ฉัน…….ฉันตั้งใจจะมาหานายท่านน่ะ” เฮอร์ไมโอนี่ตอบออกไปโดยเธอเลือกใช้ถ้อยคำแทนตัวนายลูเซียสราวกับว่าเธอเป็นหนึ่งในเอลฟ์ประจำบ้านของเขา แต่ดูเหมือนว่าฮ็อบบี้จะไม่ได้ติดใจการใช้คำสรรพนามแทนตัวที่ผิดของหญิงสาว ตรงกันข้ามมันกลับดูดีใจมากกว่าอะไรทั้งหมดเมื่อได้ยินว่านายหญิงของมันลงทุนมาหานายท่านถึงห้องนอนใหม่ของเขาด้วยตัวเอง
“นายหญิงมาที่นี่เพื่อมาหานายท่านอย่างนั้นหรือขอรับ” ฮ็อบบี้ถามด้วยน้ำเสียงราวกับมันไม่เชื่อในเรื่องที่ได้ยิน ขณะที่นายหญิงของมันนั้นพยักหน้าให้มันเบา ๆ ก่อนที่เธอจะตอบออกไป
“จ้ะ ฉันตั้งใจมาหานายท่านของเธอ เพียงแต่ฉันไม่รู้เท่านั้นว่าเขาพักอยู่ห้องนอนไหน ห้องนอนใหม่ของเขามันใช่ห้องที่เธอเพิ่งเดินออกมาหรือเปล่าจ๊ะ ฮ็อบบี้” เฮอร์ไมโอนี่ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนขณะที่เธอนั่งลงเพื่อที่เธอจะได้พูดคุยกับเอลฟ์ร่างจ้อยได้อย่างสะดวก ส่วนทางด้านฮ็อบบี้นั้นมีท่าทีดีใจเป็นอย่างมากเมื่อมันได้ยินถ้อยคำที่ยืนยันว่านายหญิงตั้งใจมาหานายท่านถึงห้องนอนใหม่จริง ๆ และเมื่อเป็นเช่นนั้นเอลฟ์จึงตอบออกไปว่า
“ใช่ ขอรับ! นายท่านอยู่ในห้องนอนห้องในสุดของทางเดินขอรับ ฮ็อบบี้เพิ่งเอาน้ำชาไปเสิร์ฟนายท่านเมื่อครู่เองขอรับ” เอลฟ์บอกอย่างกระตือรือร้น ก่อนที่เฮอร์ไมโอนี่จะขอบคุณมันเบา ๆ
“ขอบใจนะจ๊ะ ถ้าอย่างนั้นฉันไปก่อนนะ” หญิงสาวพูดกับเอลฟ์ด้วยท่าทีใจดีก่อนที่เธอจะสูดลมหายใจลึก ๆ แล้วลุกขึ้นยืน แต่ก่อนที่เฮอร์ไมโอนี่จะเดินไปยังประตูห้องนอนห้องในสุดของปีกตะวันตกนั้นเอลฟ์ตัวจ้อยก็พูดขึ้นก่อน
“นายหญิงอยากให้ฮ็อบบี้เดินไปส่งนายหญิงไหมขอรับ” เอลฟ์ถามขึ้นพลางมองเจ้านายของมันด้วยดวงตาสีฟ้าสดใสที่ดูซื่อตรงมากกว่าอะไรทั้งหมด และเมื่อเห็นเช่นนั้น แม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดและกระอักกระอ่วนใจสำหรับเฮอร์ไมโอนี่มากก็ตาม แต่หญิงสาวก็อดยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อเธอได้สบดวงตาอันใสซื่อของมันก่อนที่เธอจะพูดขึ้น
“ไม่ต้องหรอกจ้ะ ฉันไปเองได้ เธอไปทำงานของเธอต่อเถอะ ฮ็อบบี้” เธอพูดพร้อมกับยิ้มให้มันอย่างอ่อนโยน แต่เมื่อเธอทำเช่นนั้นเอลฟ์ตัวจ้อยกลับมีท่าทีราวกับว่ามันต้องการจะพูดอะไรบางอย่างต่อขณะที่มันจ้องมองหญิงสาวด้วยดวงตากลมโตของมัน
“ฮ็อบบี้ไม่แน่ใจว่าฮ็อบบี้ควรจะพูดออกไปดีหรือไม่” เอลฟ์กล่าวด้วยท่าทีลังเล ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่มองมันด้วยท่าทีสงสัย “แต่ฮ็อบบี้อยากให้นายหญิงทราบว่า ฮ็อบบี้อยากให้นายหญิงคืนดีกับนายท่าน” มันพูดออกมาตามตรงขณะที่หญิงสาวตรงหน้าของมันแลดูแปลกใจไม่น้อยที่ได้ยินคำพูดแบบนั้นออกมาจากปากของเอลฟ์ที่เธอไม่เคยรู้จักหรือพูดคุยด้วยมาก่อนเลย
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฮอร์ไมโอนี่จึงถามเอลฟ์ร่างจ้อยตรงหน้าออกไปด้วยคำถามแรกที่เธอคิดได้ “ทำไมเธอถึงคิดแบบนั้นล่ะ ฮ็อบบี้” เธอถามพลางจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมโตของมัน และหญิงสาวก็พบว่าเอลฟ์จ้องตอบมาด้วยสีหน้าและแววตาที่ใสซื่ออย่างที่สุดจนมันทำให้เฮอร์ไมโอนี่นึกถึงดวงตาของทิสซี่ยามมันพยายามจัดหาอุปกรณ์การเขียนจดหมายมาให้เธอเพราะมันเชื่อว่าการช่วยเหลือของมันอาจจะทำให้เธอและนายท่านของมันกลับมาคืนดีกันได้ขณะที่ฮ็อบบี้ตอบคำถามของเธอออกมา
“ฮ็อบบี้ก็ไม่รู้ว่าทำไมขอรับนายหญิง ฮ็อบบี้แค่อยากให้นายหญิงกับนายท่านคืนดีกันเท่านั้นขอรับ” มันตอบเธอออกมาพลางมองเธอด้วยดวงตาที่ดูใสซื่อบริสุทธิ์มากกว่าอะไรทั้งหมด และเป็นเพราะคำพูดและสีหน้าแววตาของฮ็อบบี้นี้เองที่ทำให้เฮอร์ไมโอนี่เกือบจะคิดไปว่าการคืนดีกับนายลูเซียสเป็นทางเลือกที่ดีไม่น้อย แม้ว่าเธอจะผ่านเรื่องเลวร้ายที่มาจากการกระทำของเขามาแล้วก็ตาม
หากแต่ความรู้สึกที่ว่าการคืนดีกับนายลูเซียสนั้นเป็นทางเลือกที่น่าสนใจไม่น้อยเพราะอย่างน้อย ๆ มันก็สามารถการันตีความปลอดภัยของเธอในอนาคตอันใกล้ได้นั้นก็จางหายไปในเวลาไม่นานเมื่อหญิงสาวนึกขึ้นได้ว่าเธอมาอยู่ที่นี่เพราะอะไร และสิ่งที่เธอต้องทำนั้นคือสิ่งใด เพราะสิ่งที่เฮอร์ไมโอนี่ต้องทำในตอนนี้นั้นไม่ใช่การพยายามหาทางคืนดีกับสามีของเธออย่างนายลูเซียส แต่เป็นการรั้งตัวเขาไว้กับเธอจนกว่าจะถึงเช้าวันพรุ่งนี้เท่านั้น ซึ่งหญิงสาวเองก็ไม่แน่ใจว่าการกลับไปคืนดีกับชายผมบลอนด์จะสามารถช่วยให้เธอรั้งตัวเขาไว้กับเธอจนถึงเวลาที่เธอต้องการได้หรือไม่ แต่ในขณะนี้เฮอร์ไมโอนี่รู้เพียงแค่ว่าเธอจะต้องทำทุกอย่างอย่างสุดความสามารถเพื่อรั้งตัวเขาไว้กับเธอให้จงได้ ส่วนเรื่องที่เธอจะกลับไปคืนดีกับเขาหรือไม่นั้น มันเป็นเรื่องของอนาคตที่หญิงสาวเองก็ไม่สามารถให้คำตอบได้ เพราะสำหรับเธอในตอนนี้แล้ว สิ่งที่สำคัญเพียงหนึ่งเดียวสำหรับเธอในตอนนี้คือการที่เธอจะสามารถทำหน้าที่ที่เธอได้ตกลงไว้กับสเนปได้สำเร็จและผ่านคืนนี้ไปให้ได้เพียงเท่านั้น
เมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้ว เฮอร์ไมโอนี่จึงยิ้มให้กับเอลฟ์ร่างจ้อยตรงหน้าที่ยังคงมองเธอด้วยแววตาใสซื่อของมันราวกับว่าความหวังสูงสุดของมันคือการให้เธอและนายลูเซียสกลับมาคืนดีกัน ก่อนที่หญิงสาวจะตัดสินใจพูดขึ้นว่า
“ฉันจะไปแล้ว เธอกลับไปทำงานของเธอเถอะนะ ฮ็อบบี้” เธอพูดเรียบ ๆ และยิ้มให้มันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เธอจะลุกขึ้นแล้วหันหลังให้เอลฟ์ตัวจ้อยที่จ้องมองมาทางเธออย่างเป็นห่วงขณะที่หญิงสาวเดินไปยังประตูบานสุดท้ายของทางเดินด้วยความรู้สึกว่าเธอกำลังเดินไปสู่บททดสอบที่หนักหนาสาหัสอีกครั้งหนึ่งในชีวิต
…………………………………………….
เสียงเคาะประตูเล็ก ๆ ดังขึ้นขณะที่ลูเซียส มัลฟอยกำลังลงมือรินชาให้ตัวเอง และเมื่อได้ยินเช่นนั้นคิ้วของชายผมบลอนด์ก็เลิกขึ้นในเชิงสงสัยก่อนที่สายตาของเขาจะละจากถ้วยชาในมือไปยังประตูไม้ขัดมันที่อยู่ห่างจากโซฟาที่เขากำลังนั่งอยู่หลายเมตร ในตอนแรกนายลูเซียสคิดว่าผู้ที่มาเคาะประตูเป็นฮ็อบบี้ เอลฟ์ที่เพิ่งเข้ามาเสิร์ฟชาและของว่างให้เขาเมื่อครู่ และถึงแม้ว่านายมัลฟอยจะสงสัยไม่น้อยว่าเหตุใดฮ็อบบี้จึงมาเคาะประตูห้องนอนของเขาอีกครั้งหลังจากที่มันเพิ่งออกไปจากห้องของเขาเมื่อครู่เท่านั้นก็ตาม แต่ชายผมบลอนด์ก็ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความรำคาญว่า
“เข้ามาได้” นายลูเซียสกล่าวพร้อมกับยกชาขึ้นมาจิบหลังจากที่เขาละสายตาไปจากประตูห้องอย่างไม่ใส่ใจ พลางคิดอย่างหงุดหงิดในใจว่าถ้าหากเอลฟ์ไม่มีเหตุผลดี ๆ ให้เขาในการที่มันมารบกวนเวลาดื่มน้ำชาของเขาในตอนนี้ล่ะก็ เขาจะลงโทษมันให้หลาบจำทีเดียว และบางทีเขาอาจจะเพิ่มโทษขึ้นเป็นสองสามเท่าก็เป็นได้โทษฐานที่มันมารบกวนเขาในเวลาที่เขากำลังอยากอยู่คนเดียวมากที่สุดอย่างในตอนนี้
ใช่แล้ว นายลูเซียสต้องการจะอยู่คนเดียวมากที่สุดในสถานการณ์เช่นนี้ หลังจากที่มันเพิ่งเกิดเรื่องราวที่เขาไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นมาก่อนได้ เมื่อเขากลับมาที่บ้านและเข้ามาเจอลูกชายแท้ ๆ ของเขากำลังล่วงเกินรวมถึงทำร้ายเฮอร์ไมโอนี่ผู้เป็นภรรยาใหม่ของเขาและแม่เลี้ยงของเดรโกเอง รวมทั้งการที่เขาได้ลงมือสั่งสอนเดรโกไปในแบบที่เขาเองก็ไม่คิดว่าเขาจะทำได้จนชายหนุ่มหนีออกไปจากคฤหาสน์แบบนี้แล้วนั้น ชายผมบลอนด์ก็คิดว่าหลังจากที่เกิดเหตุการณ์วุ่นวายทั้งหมดนี้ขึ้นนั้น เขาต้องการเวลาสำหรับอยู่คนเดียวเพื่อจะครุ่นคิดรวมถึงทนทวนเรื่องที่เกิดขึ้นรวมทั้งหาทางแก้ปัญหาเรื่องเดรโกมากกว่าอะไรทั้งหมด แต่ความสงบสุขในเวลาน้ำชาช่วงบ่ายของเขาในวันนี้ซึ่งมันควรจะเป็นช่วงเวลาที่เขาได้ใช้คิดทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดอย่างเงียบ ๆ นั้นกลับถูกรบกวนด้วยเอลฟ์ที่ไม่รู้กาลเทศะตัวหนึ่ง
ในขณะที่กำลังคิดหงุดหงิดที่ความเป็นส่วนตัวของเขาถูกรบกวนอยู่ในขณะนี้ รวมทั้งกำลังรอที่จะสอบถามและสั่งลงโทษเอลฟ์ร่างจ้อยที่กำลังจะก้าวผ่านธรณีประตูเข้ามาในห้องนอนใหม่ของเขาอยู่นั้น เมื่อประตูเปิดขึ้น นายมัลฟอยก็เงยหน้าจากถ้วยชาที่เขาเพิ่งจิบไปได้เพียงอึกเดียวและมองไปยังธรณีประตูที่เขาคิดในตอนแรกว่าเขาจะได้เห็นร่างเล็กจ้อยของฮ็อบบี้ยืนอยู่ตรงนั้น ชายผมบลอนด์กลับต้องแปลกใจเมื่อสิ่งที่เขาเห็นนั้นกลับไม่ใช่ร่างของเอลฟ์ประจำบ้านที่เขาเตรียมจะดุด่าและลงโทษมัน แต่กลับเป็นร่างบอบบางของหญิงสาวผู้เป็นภรรยาของเขาซึ่งกำลังยืนอยู่หน้าประตูที่เปิดแง้มไปจนทำให้เขาได้เห็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของใบหน้างามของเธอเท่านั้น เมื่อเฮอร์ไมโอนี่มองเขามาจากทางประตูห้องอย่างไม่แน่ใจหญิงสาวมีท่าทีราวกับเธอต้องการจะพูดบางอย่างขึ้นมา หากแต่คำพูดดังกล่าวก็ไม่สามารถเล็ดลอดผ่านลำคอระหงของเธอออกมาได้เมื่อเธอตัดสินใจกลืนมันลงไปพร้อมกับการกลืนน้ำลายซึ่งบ่งบอกถึงความประหม่าของเธอ ขณะที่นายลูเซียสยืนขึ้นจากโซฟาพลางมองร่างภรรยาสาวของเขา ซึ่งเป็นคนสุดท้ายที่ชายผมบลอนด์คิดว่าจะมาหาเขาที่นี่ในสถานการณ์เช่นนี้ และในขณะที่นายมัลฟอยกำลังก้าวขาเพื่อเดินไปหาเธอนั้น เฮอร์ไมโอนี่ก็พูดขึ้นด้วยท่าทีที่ดูประหม่าไม่ต่างจากตอนที่เขาเห็นเธอในห้องโถงสำหรับจัดพิธีแต่งงานของทั้งคู่ขณะที่เธอต้องเดินผ่านผู้เสพความตายจำนวนมากมาหาเขาที่แท่นประกอบพิธีว่า
“ขอฉันเข้าไปหน่อยได้ไหมคะ” หญิงสาวพูดเพียงเท่านั้นก่อนที่ชายผมบลอนด์จะพยักหน้าให้เธอเบา ๆ และในวินาทีต่อมาเฮอร์ไมโอนี่ก็ก้าวเท้าเล็ก ๆ ของเธอเข้ามาในห้องนอนใหม่ของสามีด้วยท่าทีประหม่ามากกว่าอะไรทั้งหมด ราวกับว่าเธอเพิ่งพบว่าตัวเองกำลังก้าวย่างเข้าไปในสถานที่สุดท้ายที่เธอต้องการจะมาอย่างไรอย่างนั้น
หลังจากก้าวผ่านธรณีประตูไปได้สองสามก้าวหญิงสาวก็มีสีหน้าราวกับเธอเพิ่งนึกอะไรบางอย่างได้ ทำให้เธอหันกลับไปด้านหลังราวกับเธอนึกขึ้นได้ว่าเธอลืมที่จะปิดประตูห้อง แต่ในขณะเดียวกันเธอก็ไม่อยากจะให้ประตูไม้ขัดมันบานใหญ่นั้นต้องปิดลงเนื่องจากการปิดประตูบานดังกล่าวเท่ากับเป็นการที่เธอเอาตัวเข้ามาอยู่ในที่รโหฐานกับนายลูเซียส ชายผู้เคยลงมือทำร้ายและขืนใจเธอมาก่อนแม้ว่าเขาจะเป็นคน ๆ เดียวกับสามีของเธอก็ตาม แต่ถึงกระนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็รู้ดีว่าเธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการจะเอาตัวเองมาอยู่ในห้องนอนของนายมัลฟอยเพียงลำพังกับเขาเพื่อทำภารกิจที่เธอได้รับมอบหมายมาจากอดีตอาจารย์ของเธอ และเธอก็ไม่อาจจะทำมันได้หากเธอไม่ได้อยู่ในห้องเดียวกับเขาเหมือนกับในเวลานี้ รวมไปถึงการดำเนินตามแผนการที่เธอกับสเนปได้ตกลงกันไว้นั้นซึ่งมันเป็นการที่เธอต้องเอาตัวเองเข้ามาใกล้ชิดกับนายมัลฟอยในระยะเวลาซึ่งหญิงสาวเองก็บอกไม่ได้ว่ามันจะเนิ่นนานเท่าไหร่ ดังนั้นการปิดประตูห้องเพื่อให้เธออยู่กับเขาเพียงสองต่อสองจึงเป็นสิ่งที่ควรทำหากเธอต้องการให้แผนการในการถ่วงเวลาชายผมบลอนด์ดำเนินไปได้ หากแต่การกระทำนี้มันก็ไม่ต่างจากแผนการทั้งหมดที่สเนปขอให้เธอทำแต่อย่างใด คือมันเป็นสิ่งที่แม้ว่าเฮอร์ไมโอนี่จะรู้อยู่เต็มอกว่ามันเป็นเพียงทางเลือกเดียวสำหรับเธอเท่านั้น หากแต่การที่จะทำใจยอมรับมันให้ได้นั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายดายสำหรับเธอเลย
แต่หลังจากเสียเวลาครุ่นคิดอยู่เพียงครู่เดียวเท่านั้น เฮอร์ไมโอนี่ซึ่งเป็นแม่มดที่ฉลาดที่สุดในรุ่นของเธอก็รู้ดีว่าเธอควรจะทำสิ่งใดบ้างเพื่อทำให้แผนการระหว่างเธอกับสเนปในครั้งนี้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี แม้มันจะนำความลำบากใจมาให้เธอไม่น้อยก็ตามในการที่จะต้องทำมันลงไป แต่ถึงกระนั้นหญิงสาวก็ต้องทำเรื่องที่ฝืนใจตัวเองมาหลายต่อหลายครั้งแล้วตั้งแต่เธอถูกผู้เสพความตายจับตัวมา ไม่ว่าจะเป็นการที่เธอต้องยอมแต่งงานกับนายลูเซียส รวมทั้งยอมเป็นภรรยาของเขาอย่างไม่มีข้อแม้ซึ่งมันน่าจะเป็นสิ่งที่เฮอร์ไมโอนี่ไม่ต้องการที่จะทำมากที่สุดเลยด้วยซ้ำ และเมื่อเป็นเช่นนั้น เมื่อเธอสามารถทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความต้องการของเธอโดยสิ้นเชิงเพื่อที่จะรักษาไว้ซึ่งชีวิตของคนที่เธอรักอย่างพ่อแม่ของเธอมาได้ครั้งหนึ่งแล้วนั้น ทำไมเธอจะยอมเสียสละโดยการทำสิ่งที่ฝืนใจตัวเองเพื่อที่จะช่วยอาจารย์ของเธอเก็บรักษาความลับของเขาให้ปลอดภัยอย่างในครั้งนี้ไม่ได้กันเล่า และเมื่อคิดได้เช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่จึงตัดสินใจเอื้อมมือของเธอไปปิดประตูห้องนอนที่อยู่เบื้องหน้า และเมื่อเธอรับรู้ว่าประตูไม้ขัดมันบานใหญ่ที่กั้นห้อง ๆ นี้ออกจากส่วนอื่นของคฤหาสน์ได้ปิดลงแล้ว และเธอก็กำลังอยู่เพียงลำพังกับนายลูเซียสในห้องนอนใหม่ของเขาแล้วนั้น หญิงสาวก็สูดลมหายใจลึก ๆ ก่อนที่จะหันไปเผชิญหน้าสามีของเธอ
ทันทีที่เฮอร์ไมโอนี่หันหลังกลับมาเผชิญหน้ากับนายลูเซียสนั้น สิ่งแรกที่หญิงสาวได้พบก็คือดวงตาสีเงินที่เคยดูเย็นชาของเขาซึ่งในบัดนี้กำลังมองมาทางเธอด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยอย่างที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน ราวกับเธอเป็นสิ่งที่มาอยู่ผิดที่ผิดทางมากที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอมา และเพราะสายตาเช่นนั้นของชายผมบลอนด์เองสร้างความอึดอัดขึ้นระหว่างทั้งสองโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็เลือกที่จะทำลายความเงียบและบรรยากาศที่น่าอึดอัดภายในห้องลงโดยการพูดสิ่งแรกที่เธอคิดได้ออกมา
“ฉันมารบกวนคุณหรือเปล่าคะ” เธอถามขึ้นพลางเงยหน้าขึ้นสบตาชายตรงหน้า และถึงแม้ว่าการสบดวงตาสีเงินของนายมัลฟอยนั้นจะทำให้เธอประหม่ามากเพียงใดก็ตาม แต่หญิงสาวก็ไม่อาจจะละสายตาไปจากเขาได้ด้วยเหตุผลส่วนหนึ่งที่ว่าเธอต้องการจะสังเกตท่าทีและพฤติกรรมของอีกฝ่ายอย่างใกล้ชิดมากกว่าทุกครั้ง และสิ่งที่เฮอร์ไมโอนี่สังเกตเห็นในครั้งนี้ก็มีเพียงความแปลกใจที่ปรากฎขึ้นทั้งทางใบหน้าและแววตาของอีกฝ่ายเมื่อชายผมบลอนด์พูดขึ้น
“ไม่หรอก ฉันกำลังดื่มชาอยู่” เขากล่าวพลางพยักพเยิดไปทางโต๊ะกลางที่อยู่ติดกับโซฟาซึ่งมีชุดน้ำชาและของว่างที่ดูราวกับยังไม่ได้ถูกแตะต้องวางอยู่ และเมื่อเขาทำเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่จึงมองตามมือของชายผมบลอนด์ไปโดยที่เธอไม่รู้เลยว่าในระหว่างที่สายตาของเธอกำลังจับจ้องอยู่ที่โต๊ะน้ำชาอยู่นั้น นายลูเซียสก็ถือโอกาสนั้นก้าวเข้ามาใกล้หญิงสาวอีกสองสามก้าว จนเมื่อเธอหันหน้ากลับมาหาเขาอีกครั้งเขาก็มายืนอยู่ตรงหน้าเธอเสียแล้ว
แม้จะตกใจไม่น้อยที่จู่ ๆ นายลูเซียสก็เข้ามาประชิดตัวเธออย่างรวดเร็วแบบนี้ แต่ถึงกระนั้นหญิงสาวก็พยายามรักษาท่าทีที่เรียบเฉยเอาไว้ให้มากที่สุด ถึงแม้ว่าความประหม่าของหญิงสาวจะแสดงออกมาทางแววตาของเธออย่างชัดเจนก็ตาม และเมื่อเป็นเช่นนั้น ท่ามกลางสถานการณ์ที่น่าอึดอัดเนื่องจากความใกล้ชิดอย่างกะทันหันของเธอและชายผมบลอนด์ที่เกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้ทำให้หญิงสาวจำเป็นต้องสรรหาคำพูดเพื่อทำลายบรรยากาศที่น่าอึดอัดนี้เสีย และสิ่งแรกที่เธอคิดรวมทั้งได้ทำลงไปในครั้งนี้ก็คือการเสมองไปรอบ ๆ ห้องนอนใหม่ของนายมัลฟอย ก่อนจะพูดขึ้นว่า
“นี่ห้องนอนใหม่ของคุณหรือคะ” หญิงสาวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแปลกแปร่งซึ่งทำให้อีกฝ่ายรู้ในทันทีว่าเธอกำลังพูดเรื่องนี้เพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกประหม่ารวมทั้งจุดประสงค์ที่แท้จริงที่เธอมาที่นี่เท่านั้น และเมื่อเห็นเช่นนั้นนายลูเซียสซึ่งอ่านท่าทีของหญิงสาวออกตั้งแต่ตอนที่เธอก้าวผ่านประตูห้องมาแล้วนั้นจึงจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลที่แสดงออกถึงความไม่มั่นใจของภรรยาก่อนจะพูดขึ้น
“เธอมาหาฉันที่นี่ทำไมหรือ เฮอร์ไมโอนี่” ชายผมบลอนด์ถามขึ้น เขาถามเธอด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบและปราศจากการคาดคั้น แต่ถึงกระนั้นก็ตามคำถามนี้ของนายมัลฟอยก็สร้างความลำบากใจอย่างใหญ่หลวงให้กับหญิงสาวที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขาอยู่ดี เมื่อเธอเริ่มนิ่งเงียบ ขณะที่ดวงตาสีน้ำตาลของเธอที่จ้องมองชายตรงหน้าอยู่นั้นแลดูเคร่งเครียดขึ้น เฮอร์ไมโอนี่มีท่าทีลำบากใจไม่น้อยกับคำถามนั้นของสามี หากแต่หลังจากผ่านการครุ่นคิดและการลังเลอยู่ครู่หนึ่งไปแล้วนั้นเธอก็ตัดสินใจพูดออกมา
“ฉันอยากมาขอบคุณคุณ…..ในเรื่องที่เกิดขึ้นน่ะค่ะ” เธอกล่าวออกไปในที่สุด แม้ว่ามันจะไม่ใช่คำตอบที่ฉลาดและเหมาะสมกับเป็นคำพูดของแม่มดที่เฉลียวฉลาดที่สุดในรุ่นอย่างเธอก็ตาม หากแต่เฮอร์ไมโอนี่ก็รู้ดีว่าเธอไม่อาจจะตอบสิ่งอื่นออกไปโดยที่ชายผมบลอนด์ไม่สงสัยได้ เพราะนายมัลฟอยคงฉลาดพอที่จะรู้ว่าเธอคงโกหกแน่หากเธอพูดออกมาว่าเธอมาหาเขาที่นี่เพราะอยากเจอเขาหรือเพราะเธอคิดถึงสามีของเธอจนทนไม่ไหว
แต่ถึงหญิงสาวจะพยายามเลือกคำตอบที่เสี่ยงต่อการถูกสงสัยน้อยที่สุดไปแล้วก็ตาม แต่ถึงกระนั้นคำตอบดังกล่าวที่เธอเลือกมาอย่างดีแล้วนั้นก็ยังคงนำความแปลกใจมาให้กับชายผมบลอนด์ผู้เป็นสามีของเธอจนได้เมื่อคิ้วของนายลูเซียสขมวดเล็กน้อยด้วยท่าทีครุ่นคิดในสิ่งที่ภรรยาสาวของเขาพูดออกมา ที่ว่าเธอมาขอบคุณเขาเรื่องเมื่อครู่ ที่เขาได้ช่วยเธอไว้จากการล่วงเกินของลูกชายแท้ ๆ ของเขา และถึงแม้ว่าการกระทำดังกล่าวอาจจะเป็นสิ่งที่เหมาะสมในการที่เฮอร์ไมโอนี่มาขอบคุณเขาหลังจากนั้นก็ตาม แต่มันก็มีอีกเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นซึ่งนายลูเซียสไม่ได้ลืมเลือนมันไปแต่อย่างใด รวมทั้งเขาคิดว่าหญิงสาวตรงหน้าของเขาก็ไม่มีทางจะลืมเลือนมันไปได้เป็นแน่ว่าเขาเองก็ได้เคยทำสิ่งเดียวกับที่ลูกชายของเขาทำกับเธอ แถมยังร้ายแรงกว่ามากนัก และถึงแม้ว่าเฮอร์ไมโอนี่จะรู้สึกซาบซึ้งในการกระทำของเขาเมื่อครู่เพียงใดก็ตาม แต่ถ้าพิจารณาดูแล้วเธอก็คงไม่ลงทุนมาหาเขาซึ่งเป็นคนที่ใช้กำลังบังคับขืนใจเธอมาก่อนหน้านั้นถึงที่ห้องนอนใหม่ซึ่งเป็นสถานที่ที่เธอรู้ดีว่าเธอจะต้องอยู่กับเขาเพียงลำพังอย่างแน่นอน
เมื่อคิดได้เช่นนั้น รวมทั้งเขาเห็นท่าทีที่ดูราวกับมีบางอย่างแอบแฝงอยู่ของหญิงสาวแล้วนั้น นายลูเซียสจึงตัดสินใจพูดออกไป
“ฉันไม่คิดว่าเธอจะมาหาฉันที่นี่เพราะแค่ต้องการขอบคุณฉันหรอกนะ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบหากแต่ปราศจากการคาดคั้น แต่ถึงกระนั้นคำพูดดังกล่าวกลับทำให้หญิงสาวตรงหน้าของเขาใจหายได้ไม่ยาก หัวใจของเฮอร์ไมโอนี่แกว่งวูบด้วยความหวาดกลัวเมื่อเธอรู้ว่าชายตรงหน้ารู้ทันการกระทำของเธอตั้งแต่เธอยังไม่ทันจะเอ่ยปากพูดอะไรออกไป แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ถึงหญิงสาวจะรู้สึกหวาดกลัวและประหม่ายามถูกดวงตาสีเงินของชายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีของเธอจ้องมองมากเพียงใดก็ตาม แต่เธอยังไม่ลดละความพยายามที่จะสรรหาถ้อยคำที่น่าจะช่วยแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าวได้มาพูดออกไป
“ฉัน……..” แต่ถึงจะพยายามหาคำพูดที่ดูดีมีเหตุผลมาพูดออกไปเพียงใด เฮอร์ไมโอนี่ก็พูดได้เพียงเท่านั้นหลังจากที่เธอถูกจ้องมองด้วยดวงตาสีเงินล้ำลึกของนายมัลฟอย และถึงแม้ว่าเธอจะแต่งงานกับเขามาระยะหนึ่งแล้วก็ตาม แต่หญิงสาวไม่อาจจะทำใจให้คุ้นเคยและไม่รู้สึกประหม่ายามถูกดวงตาคู่นั้นจ้องมองได้เลย
ในขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ที่กำลังประหม่าและตกใจพยายามสรรหาถ้อยคำมาพูดออกไปนั้น ชายผมบลอนด์ที่เป็นฝ่ายสังเกตท่าทีของหญิงสาวตรงหน้าอยู่ตลอดเวลาก็ก้าวเข้ามาใกล้เธออีกก้าวหนึ่งพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“เธอมีธุระอะไรกับฉันกันแน่ เฮอร์ไมโอนี่” เขาพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนกว่าเดิม รวมทั้งแววตาที่เขาใช้มองหญิงสาวนั้นมันเป็นแววตาที่แลดูอ่อนโยนและเห็นอกเห็นใจมากกว่าอะไรทั้งหมด และถึงแม้ว่านายลูเซียสจะไม่แน่ใจว่าเฮอร์ไมโอนี่จะสังเกตถึงน้ำเสียงและท่าทีของเขาที่เปลี่ยนไปเพราะเขาไม่ต้องการจะให้เธอรู้สึกกังวลหรือกลัวเขาไปมากกว่านี้ได้หรือไม่ก็ตาม แต่ในวินาทีต่อมา หลังจากที่เขาเห็นว่าดวงตาสีน้ำตาลของหญิงสาวตรงหน้าจ้องมองเขาอย่างสังเกตและพินิจพิเคราะห์อยู่ครู่หนึ่ง นายลูเซียสก็พบว่าหญิงสาวตรงหน้าของเขาตัดสินใจพูดขึ้น โดยที่เธอมองลึกเข้าไปดวงตาสีเงินที่เคยดูเย็นชาของนายลูเซียสด้วยความรู้สึกไม่แน่ใจ แต่ถึงกระนั้นเธอก็เลือกที่จะพูดออกมา
“ฉันมาที่นี่เพื่อที่จะขอบคุณคุณ” เธอยืนยันความตั้งใจเดิมของเธอ ก่อนที่เธอจะสูดลมหายใจลึก ๆ และพูดออกมาว่า “และเพื่อคุยกับคุณในเรื่องที่เกิดขึ้นค่ะ” เธอกล่าวออกไปในที่สุดท่ามกลางสายตาที่มองมาทางเธออย่างแปลกใจของชายผมบลอนด์
…………………………………………….
เธอกล่าวออกไปในที่สุด แม้ว่ามันจะไม่ใช่คำตอบที่ฉลาดที่สุดก็ตาม หากแต่เหตุผลที่เฮอร์ไมโอนี่เลือกที่จะตอบนายลูเซียสออกไปเช่นนั้นก็เป็นเพราะเธอรู้ดีว่าเธอไม่อาจจะหาคำถามอื่นมาตอบเขาโดยที่ชายผมบลอนด์จะไม่สงสัยได้ เพราะนายมัลฟอยคงฉลาดพอที่จะรู้ว่าเธอคงโกหกแน่หากเธอพูดออกมาว่าเธอมาหาเขาที่นี่เพราะอยากเจอเขาหรือเพราะเธอคิดถึงสามีของเธอจนทนไม่ไหว
หลังจากหญิงสาวพูดถ้อยคำดังกล่าวของเธอออกมาแล้ว ชายผมบลอนด์ก็มองเธอด้วยสายตาที่แสดงถึงความแปลกใจกับประโยคที่เธอเอ่ยออกมาว่าเธอต้องการมาพูดกับเขาเรื่องที่เกิดขึ้น แต่สีหน้าและแววตาที่แสดงออกถึงความประหลาดใจและความสงสัยนั้นก็ปรากฎอยู่บนใบหน้าของนายลูเซียสได้ไม่นานนักเมื่อเขาตัดสินใจเอ่ยปากตอบคำพูดของเฮอร์ไมโอนี่ออกไป
“เรื่องไหนกันล่ะ” เขาถาม และเมื่อได้ยินเช่นนั้นหญิงสาวก็กัดริมฝีปากอย่างลังเลก่อนจะตัดสินใจพูดออกมา “เธอจะมาพูดกับฉันเรื่องที่เกิดขึ้นเรื่องไหนกัน เรื่องลูกชายของฉันหรือว่าเรื่องอาจารย์ของเธอ” เขากล่าวพลางมองลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลของหญิงสาวตรงหน้าด้วยท่าทีที่เรียบเฉย และเมื่อเขาทำเช่นนั้นสิ่งเดียวที่นายลูเซียสได้เห็นก็คือแววตาที่แสดงถึงความอึดอัดจนเกือบจะเรียกได้ว่าลำบากใจของภรรยาสาวของเขา!
หลังจากเฮอร์ไมโอนี่ตัดสินใจบอกนายลูเซียสไปว่าเหตุผลที่เธอมาหาเขาถึงที่ห้องนอนใหม่ของเขาแห่งนี้นั้นเป็นเพราะเธอต้องการจะพูดกับเขาในเรื่องที่เกิดขึ้นเนื่องจากมันเป็นข้ออ้างเพียงหนึ่งเดียวเท่าที่เฮอร์ไมโอนี่จะหาได้ในการใช้ถ่วงเวลาชายผมบลอนด์เอาไว้ เพราะหญิงสาวรู้ดีว่าเธอไม่อาจจะใช้ข้ออ้างอื่นที่ไม่สมเหตุสมผลอย่างเช่น การที่เธอคิดถึงสามีของเธอจนทนไม่ไหว หรือการที่เธอไม่อาจจะอยู่คนเดียวโดยปราศจากเขาได้มารั้งตัวนายมัลฟอยไว้กับเธอได้นาน เพราะเขาฉลาดพอที่จะรู้ว่าข้ออ้างเหล่านั้นไม่เป็นความจริงและเฮอร์ไมโอนี่จะต้องมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงในการที่เธอเข้ามาหาเขาในครั้งนี้อย่างแน่นอน แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ถึงแม้ว่าหญิงสาวจะพยายามเลือกข้ออ้างที่ดูเหมาะสมที่สุดมาใช้เพื่อบอกกล่าวชายตรงหน้าถึงสาเหตุในการมาหาเขาของเธอในครั้งนี้ว่าเธอต้องการจะพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับเขาแล้วก็ตาม แต่เมื่อนายลูเซียสถามกลับว่าเธอต้องการจะพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งใดกันแน่ ในครั้งที่ชายผมบลอนด์เข้ามาเห็นเธออยู่ด้วยกันสองต่อสองกับเพื่อนสนิทของเขาซึ่งก็คือเซเวอร์รัส สเนป จนเขาบันดาลโทสะและลงมือขืนใจเธอไปเพราะเขาปักใจเชื่อว่าเฮอร์ไมโอนี่และเพื่อนผู้เสพความตายของเขามีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกัน หรือจะเป็นเรื่องที่นายลูเซียสบังเอิญเข้ามาเห็นลูกชายแท้ ๆ ของเขาลงมือทำร้ายและข่มเหงแม่เลี้ยงของตัวเองผู้เป็นภรรยาของเขาลงไปนั้นจนเขาเกิดพลั้งมือสั่งสอนเดรโกเพื่อช่วยเฮอร์ไมโอนี่เอาไว้กันแน่ และเมื่อเป็นเช่นนั้นหญิงสาวก็ไม่อาจจะตอบคำถามของชายผู้เป็นสามีของเธอได้เลย และเหตุผลที่มันเป็นเช่นนั้นก็เพราะอันที่จริงแล้วเธอไม่ต้องการเอ่ยถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหนก็ตาม แต่ที่เฮอร์ไมโอนี่จำเป็นต้องบอกนายลูเซียสไปเช่นนั้นก็เพราะเธอไม่อาจจะคิดหาเหตุผลอื่นมาตอบเขาไปได้ต่างหากว่าเธอมาหาเขาที่นี่ด้วยเรื่องอะไร แต่เมื่อชายผมบลอนด์มาย้อนเธอด้วยคำถามที่ว่าเธอต้องการจะพูดคุยกับเขาในเรื่องใด เรื่องอาจารย์ของเธอหรือเรื่องลูกชายของเขานั้น หญิงสาวก็ไม่อาจจะตอบเขาออกไปได้จริง ๆ ว่าเธอจะต้องการพูดคุยในเรื่องใดกับเขาเพราะอันที่จริงแล้ว เหตุการณ์ทั้งสองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นล้วนเต็มไปด้วยความทรงจำที่เลวร้ายที่ทำให้เธอไม่ต้องการจะพูดหรือแม้กระทั่งนึกถึงมันเลยแม้แต่เพียงเรื่องเดียว!
แต่ถึงเธอจะไม่ต้องการนึกหรือพูดถึงเรื่องราวเลวร้ายที่เกิดขึ้นเพียงใดก็ตาม แต่หญิงสาวก็รู้ดีว่าเธอไม่อาจจะทำเช่นนั้นได้ พอ ๆ กับที่เธอรู้ดีว่าเธอไม่อาจจะปิดปากเงียบและไม่ตอบคำถามของนายลูเซียสออกไปได้ และหลังจากผ่านการตัดสินใจที่เคร่งเครียดและกดดันไปแล้วครู่หนึ่ง เฮอร์ไมโอนี่ก็เงยหน้าขึ้นสบดวงตาสีเงินของนายมัลฟอยที่มันทำให้เธอรู้สึกราวกับเธอจมดิ่งลงไปในทะเลสาบช่วงฤดูหนาวทุกครั้งยามที่เธอจ้องมองมัน ริมฝีปากอิ่มของเธอเม้มเป็นเส้นตรงก่อนที่เธอจะเอ่ยปากพูดขึ้น
“ฉันอยากคุยกับคุณทั้งสองเรื่องค่ะ ฉันอยากจะอธิบายกับคุณ” เธอพูดออกไปเช่นนั้นก่อนจะกลั้นใจรอฟังคำตอบจากอีกฝ่าย ขณะที่นายลูเซียสมีท่าทีแปลกใจในการกระทำของหญิงสาวตรงหน้า เขามองลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลของเฮอร์ไมโอนี่ด้วยท่าทีพินิจพิเคราะห์ราวกับเขารู้สึกประหลาดใจมากกว่าอะไรทั้งหมดในการที่เขาจะเชื่อว่าหญิงสาวตรงหน้าตั้งใจมาหาเขาที่นี่เพียงเพราะเธอต้องการอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง เรื่องที่เขาได้เป็นฝ่ายลงมือข่มเหงรวมทั้งขืนใจเธอลงไป! และเมื่อเป็นเช่นนั้น ในเมื่อเธอเป็นคนที่เขาได้ลงมือทำร้ายด้วยมือของเขาเองไปแล้วนั้น เธอจะต้องการมาอธิบายเรื่องใดกับเขาอีกกันเล่า มันควรที่จะเป็นเขามากกว่าที่ต้องเป็นฝ่ายอธิบายรวมทั้งขอโทษเธอในสิ่งที่เขาได้ทำลงไปกับเธอ เฮอร์ไมโอนี่ไม่จำเป็นจะต้องมาอธิบายอะไรกับเขาเลยแม้แต่น้อย ในเมื่อเขาเป็นคนที่ทำผิดต่อเธอ แต่การกระทำในครั้งนี้ของหญิงสาวนั้นช่างแปลกประหลาดและดูตรงกันข้ามกับสิ่งที่สมควรจะทำเสียเหลือเกิน ราวกับว่าเธอเป็นผู้ทำผิดเสียเองเธอจึงต้องการจะมาอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้เขาฟัง
‘ ใช่แล้ว เธอจะมาอธิบายทำไมในเมื่อเธอไม่ได้เป็นผู้ที่ทำความผิด มีแต่เพียงคนที่ทำความผิดและต้องการแก้ตัวเท่านั้นที่ต้องการมาอธิบายเรื่องการกระทำของเขา ‘
ความคิดนั้นผุดขึ้นในหัวของนายลูเซียส ขณะที่ภรรยาสาวของเขากำลังรอคอยคำตอบจากเขาอยู่ และเมื่อคิดได้เช่นนั้นชายผมบลอนด์จึงจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าของเขาด้วยแววตาที่เปลี่ยนไปก่อนที่เขาตัดสินใจพูดขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นเธอต้องการอธิบายอะไรกับฉันล่ะ” เขากล่าวก่อนจะจ้องมองฝ่ายตรงข้ามด้วยสายตาประเมินที่ทำให้เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกราวกับหัวใจของเธอได้ตกไปอยู่ที่ตาตุ่มอีกครั้งเมื่อถูกจ้องมองด้วยแววตาคู่นั้น มันทำให้หญิงสาวรู้สึกประหม่ามากกว่าครั้งใดยามที่เธอพยายามนึกหาถ้อยคำมาเพื่อตอบนายลูเซียสออกไป
“อย่างเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ เรื่องเดรโกน่ะค่ะ” เธอเริ่มด้วยการพูดถึงเหตุการณ์ที่เธอสามารถพูดออกมาได้ง่ายดายที่สุด เพราะถึงแม้ว่าหญิงสาวจะไม่ต้องการพูดถึงเรื่องของลูกชายเพียงคนเดียวของนายลูเซียสรวมถึงเรื่องที่ชายหนุ่มได้ลงมือทำร้ายเธอไปก่อนหน้านี้ก็ตาม แต่มันก็เป็นเรื่องที่เธอต้องการจะเอ่ยถึงมากกว่าเรื่องที่เธอและสเนปมาลักลอบพบกันในคฤหาสน์ขณะที่สามีของเธอไม่อยู่อย่างแน่นอน และเมื่อเฮอร์ไมโอนี่พูดประโยคแรกของเธอออกไป ชายผมบลอนด์ก็หันมามองเธอด้วยท่าทีราวกับเขาตั้งใจฟังสิ่งที่เธอกำลังจะพูดออกมามากกว่าอะไรทั้งหมด ซึ่งการกระทำของเขามันกลับยิ่งทำให้เฮอร์ไมโอนี่มีท่าทีประหม่ามากขึ้นยามที่เธอตัดสินใจพูดประโยคต่อไปออกมา
“ในตอนนั้นฉันกำลังจะเดินออกไปที่ห้องสมุด ฉันไม่เห็นว่าเขามายืนอยู่ตรงระเบียงทางเดินหน้าห้องนอนของฉัน อยู่ ๆ เขาก็เข้ามาตะคอกฉันแล้วก็ต่อว่าฉัน…….” หญิงสาวเริ่มเล่าตั้งแต่แรก หากแต่เธอไม่มีโอกาสจะเล่าจนจบเมื่อนายมัลฟอยขัดขึ้นมาก่อน
“เธอเล่าเรื่องพวกนี้ให้ฉันฟังทำไมกัน” ชายผมบลอนด์ถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ที่ถูกตัดบทเสียก่อนที่เธอจะได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจบจนนั้นก็มีท่าทีลำบากใจมากกว่าอะไรทั้งหมด หญิงสาวแลดูลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตอบออกมา
“ฉันก็แค่อยากให้คุณรับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเท่านั้น ฉัน……” เธอพยายามพูดแต่นายลูเซียสก็ขัดเธอขึ้นอีกครั้งพร้อมกับที่เขาก้าวเข้ามาประชิดตัวหญิงสาวมากขึ้นจนในตอนนี้เธอสามารถสัมผัสได้ถึงลมหายใจของเขา
“เธอต้องการให้ฉันรู้ว่าลูกชายของฉันทำร้ายและข่มเหงภรรยาของฉันยังไงอย่างนั้นหรือ” เสียงของเขาอ่อนลงยามที่เขาเอ่ยคำว่า ‘ ภรรยาของฉัน ’ ออกมาจนเฮอร์ไมโอนี่สังเกตได้ อีกทั้งเธอยังสามารถมองเห็นแววตาที่แสดงออกถึงความเสียใจและความอึดอัดฉายชัดอยู่ในดวงตาสีเงินที่ปกติจะดูเย็นชาของเขาอย่างที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน และเมื่อเป็นเช่นนั้นหญิงสาวจึงกลืนน้ำลายก่อนที่จะพูดออกไป
“ไม่ใช่ค่ะ ฉันไม่ได้ต้องการอย่างนั้นค่ะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลพลางมองเขาด้วยแววตาอ้อนวอนอย่างที่ชายผมบลอนด์ไม่ค่อยจะได้เห็นมันบ่อยนักเมื่อเธอเริ่มพูดต่อ
“ฉันแค่อยากจะให้คุณรู้ไว้ว่าฉันไม่ได้เต็มใจในเรื่องที่เกิดขึ้น ฉันไม่ได้ต้องการให้มันเกิดขึ้นเลยซักนิด”เธอพูดออกไป และสิ่งที่เธอได้รับกลับมาก็คือสายตาที่เต็มไปด้วยความฉงนสนเท่ห์ของฝ่ายตรงข้ามราวกับเขาเพิ่งได้ยินถ้อยคำที่เขาไม่เคยคิดว่าจะได้ยินมาก่อน ก่อนที่นายมัลฟอยจะพูดขึ้น
“ฉันรู้ว่าเธอไม่เต็มใจในสิ่งที่เดรโกทำกับเธอ” เขาพูด ริมฝีปากบางของนายลูเซียสกระตุกเมื่อเขาเอ่ย คำว่า ‘ เดรโก ’ ขึ้นมาราวกับว่าคำ ๆ นี้เป็นคำต้องห้ามสำหรับเขา
“แต่ฉันไม่เข้าใจว่าเธอต้องการมาอธิบายกับฉันในเรื่องนี้ทำไม เธอคิดว่าฉันจะเชื่อว่าเธอยินยอมในสิ่งที่ลูกชายของฉันทำลงไปกับเธออย่างนั้นหรือ” เขาพูดพลางมองเธอด้วยแววตาไม่เข้าใจ แต่ลึกลงไปกว่านั้นเฮอร์ไมโอนี่สามารถสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดและผิดหวังที่แฝงอยู่ในแววตาของชายตรงหน้า ราวกับเขาเสียใจในสิ่งที่หญิงสาวคิด ซึ่งก็คือการที่เขาเชื่อว่าภรรยาของเขายินยอมพร้อมใจกับการล่วงเกินของเดรโกผู้เป็นลูกชายของนายมัลฟอย จนเธอต้องลงทุนมาอธิบายเรื่องนี้กับเขาด้วยตัวของเธอเอง
ใช่แล้ว นายลูเซียสผิดหวังในตัวเฮอร์ไมโอนี่จนเกือบจะพูดได้ว่าเขาเสียใจในสิ่งที่เกิดขึ้น หากแต่สิ่งที่ทำให้ชายผมบลอนด์รู้สึกเสียใจนั้นไม่ใช่การกระทำอันโหดร้ายที่ลูกชายของเขาได้ลงมือทำร้ายภรรยาของเขาเองลงไป หากแต่เป็นการที่เฮอร์ไมโอนี่เข้ามาอธิบายกับเขาต่างหากว่าเธอไม่ได้ยินยอมพร้อมใจในการกระทำของเดรโก ราวกับเธอได้ปักใจเชื่อไปแล้วว่าเขาจะคิดว่าเธอเต็มใจยอมให้ลูกชายของเขาทำเรื่องน่ารังเกียจอย่างนั้นกับเธอ ราวกับเธอเชื่อไปก่อนแล้วว่าในวินาทีแรกที่เขาเห็นภาพเดรโกกำลังล่วงเกินเฮอร์ไมโอนี่อยู่นั้น ชายผมบลอนด์จะคิดไปก่อนแล้วว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่การบังคับขืนใจหากแต่เป็นการสมยอมของหญิงสาวเอง
และเพราะความคิดเช่นนั้นของเฮอร์ไมโอนี่เองที่ทำให้นายมัลฟอยรู้สึกผิดหวังในตัวเธอมากที่เธอมองเขาไปในแง่ร้ายถึงเพียงนั้น จริงอยู่ที่ว่านายลูเซียสยอมรับว่าตัวเขาเองไม่ใช่คนดี การเป็นผู้เสพความตายของเขาก็เป็นสิ่งที่บ่งบอกอย่างชัดเจนอยู่แล้วในเรื่องนี้ รวมทั้งความจริงที่เขาเคยทำเรื่องที่เลวร้ายมามากมายจนแทบจะนับไม่ถ้วน แต่ถึงกระนั้นก็ตามสิ่งที่เรียกได้ว่าเลวร้ายซึ่งเขาได้ทำลงไปทั้งหมดตลอดทั้งชีวิตของเขานั้นก็คงไม่อาจจะเลวร้ายมากไปกว่าการที่เขาลงมือขืนใจผู้หญิงคนหนึ่ง โดยเฉพาะเมื่อผู้หญิงคนนั้นมีฐานะเป็นภรรยาของเขาเองอย่างที่เขาเคยได้ทำลงไปก่อนหน้านี้ หากแต่การกระทำที่เลวร้ายของเขาในครั้งนั้นก็ยังไม่อาจทำให้เขารู้สึกผิดได้มากเท่ากับการได้รับรู้ว่าเฮอร์ไมโอนี่ผู้เป็นภรรยาของเขาหวาดระแวงในตัวเขาจนปักใจเชื่อว่าเขาจะเข้าใจเธอผิดในเรื่องที่เกิดขึ้นจนเธอต้องมาอธิบายด้วยตัวเองว่าเธอไม่ได้ยินยอมพร้อมใจในการข่มเหงของเดรโกแบบนี้!
ส่วนทางด้านเฮอร์ไมโอนี่ที่เป็นผู้ตั้งใจมาพูดคุยและอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดในตอนแรกนั้น เมื่อเธอได้เห็นสีหน้ารวมทั้งแววตาที่แสดงออกถึงความผิดหวังของอีกฝ่ายอย่างที่เธอไม่เคยได้เห็นมาก่อนแล้วนั้นหญิงสาวก็รู้สึกว่าเธอพูดอะไรบางอย่างที่ไม่สมควรพูดออกไปเสียแล้ว แต่ถึงแม้ว่าเฮอร์ไมโอนี่จะไม่เข้าใจแจ่มแจ้งถึงสิ่งที่อยู่ในใจของชายผมบลอนด์ที่เขาแสดงออกผ่านสีหน้าและแววตาของเขาออกมาก็ตาม แต่เมื่อเห็นท่าทีของฝ่ายตรงข้ามที่เปลี่ยนแปลงไปแบบนี้แล้วหญิงสาวจึงตัดสินใจปรับเปลี่ยนคำพูดของเธอที่กำลังจะพูดออกไปเสียใหม่ก่อนที่เธอจะเอ่ยปากพูดออกไปด้วยน้ำเสียงและท่าทีที่นุ่มนวลมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ว่า
“ฉันไม่ได้คิดอย่างนั้นนะคะ” เฮอร์ไมโอนี่พูดออกไปพลางมองชายตรงหน้าด้วยแววตาราวกับเธอพยายามจะบอกเขาว่าเธอหมายความตามที่พูดจริง ๆ
“ฉันแค่อยากจะให้คุณรู้ว่า……..มันไม่ใช่ความผิดของคุณในเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น มันไม่ใช่ความผิดของใครเลย” หญิงสาวพยายามจะอธิบายให้เขาเข้าใจว่า สำหรับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นนั้นเธอไม่ได้คิดว่าเขาจะระแวงเธอไปจนถึงขั้นที่เธอต้องมาแก้ตัวกับเขาว่าเดรโกเป็นฝ่ายมาข่มเหงเธอเองอย่างที่เขาเข้าใจ แต่มันกลับกลายเป็นว่าเธอได้พูดสิ่งที่ไม่สมควรจะพูดออกมาอีกครั้ง มันอาจจะเป็นเพราะว่าทั้งเธอและนายลูเซียสต่างมีมุมมองที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น หรืออาจจะพูดได้ว่าทั้งสองมีมุมมองที่แตกต่างกันในทุก ๆ เรื่องก็เป็นได้ ซึ่งทำให้ไม่ว่าเธอหรือเขาจะพยายามพูดหรืออธิบายในสิ่งที่ตัวเองคิดออกไปมากเพียงใด แต่ก็ดูราวกับว่าอีกฝ่ายนั้นไม่อาจจะเข้าใจหรือรับรู้ถึงเจตนารมณ์ที่แท้จริงซึ่งเขาหรือเธอต้องการสื่อออกมาเลย เพราะหลังจากที่เฮอร์ไมโอนี่เอ่ยถ้อยคำดังกล่าวออกไปแล้วนั้น นายลูเซียสก็หันกลับมามองหญิงสาวด้วยแววตาดุดัน คิ้วทั้งสองข้างของเขาขมวดอย่างตึงเครียดก่อนที่เขาจะถามขึ้น
“เธอไม่คิดว่ามีใครเป็นฝ่ายผิดในเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ รวมทั้งเดรโกด้วยอย่างนั้นหรือ” เขาถามเธอออกมา และเป็นเพราะคำพูดนั้นเองที่ทำให้เฮอร์ไมโอนี่รู้ว่าสามีของเธอได้ตีความถ้อยคำที่เธอพูดออกไปผิดจากสิ่งที่เธอต้องการจะบอกเขาไปมากทีเดียว และเมื่อเห็นเช่นนั้นหญิงสาวจึงรีบพูดขึ้นทันที
“ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้นค่ะ” เธอรีบออกตัว หากแต่ดูเหมือนว่ามันจะสายเกินไปเสียแล้วเพราะว่าเฮอร์ไมโอนี่ได้มองเห็นแววโกรธเกรี้ยวที่ฉายอยู่ในดวงตาสีเงินของนายมัลฟอยยามที่เขาพูดประโยคต่อไปออกมาเสียแล้ว
“แล้วเธอหมายความว่ายังไงล่ะ เฮอร์ไมโอนี่ เธอจะช่วยบอกฉันทีได้ไหมว่าที่เธอพูดมาทั้งหมดนี้นั้น มันหมายความว่ายังไงกันแน่” ชายผมบลอนด์พูดออกมาด้วยโทสะ แม้ในใจลึก ๆ ของเขาจะมีเสียงเล็ก ๆ ที่เตือนเอาไว้ว่าเขาไม่ควรจะเกรี้ยวกราดหรือแม้กระทั่งพูดจาทำร้ายจิตใจของหญิงสาวตรงหน้าอีก หลังจากเรื่องราวทั้งหมดที่เขารวมทั้งลูกชายของเขาได้ทำลงไปกับเธอแล้ว เขาไม่สมควรที่จะบันดาลโทสะหรือแม้กระทั่งพูดจาให้เธอเสียน้ำใจอีกเลย แต่ถึงกระนั้นนายลูเซียสก็ไม่อาจจะห้ามตัวเองได้ยามที่เขาพูดประโยคดังกล่าวออกไป อาจจะเป็นเพราะคำพูดของหญิงสาวที่เธอบอกว่าเธอไม่โทษว่าใครเป็นคนผิดในเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ แม้กระทั่งเดรโกที่เป็นคนลงมือทำร้ายเธอที่อยู่ในฐานะแม่เลี้ยงของเขาอย่างที่น่าให้อภัยลงไปนั้นเธอก็กลับไม่รู้สึกว่าเขาเป็นฝ่ายผิด ซึ่งมันตรงกันข้ามกับสิ่งที่เธอทำหลังจากที่เขาลงมือทำร้ายเธอเหลือเกิน เพราะหลังจากที่นายลูเซียสได้ลงมือขืนใจภรรยาของเขาเองลงไปแล้วนั้น เฮอร์ไมโอนี่ก็มีท่าทีหวาดกลัวเขามาโดยตลอด หญิงสาวสะดุ้งทุกครั้งที่เขาแตะต้องตัวเธอรวมทั้งเธอยังร้องไห้สะอึกสะอื้นราวกับจะขาดใจหลังจากเกิดเรื่องดังกล่าวขึ้น แต่ในตอนนี้เธอกลับเข้ามาหาเขาที่ห้องนอนใหม่นี้และบอกเขาว่าสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้เธอไม่คิดว่าเป็นความผิดของใคร ทั้ง ๆ ที่เดรโกเองก็ลงมือทำร้ายร่างกายของเธอในแบบเดียวกับที่เขาทำกับเธอ หรืออาจจะรุนแรงกว่าด้วยซ้ำในความคิดของเขา! ดังนั้นการที่เธอมาพูดประโยคที่ว่าเธอไม่โทษว่าเป็นความผิดของชายหนุ่มออกมานั้นทำให้นายลูเซียสไม่อาจจะทำราวกับว่าเขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับสิ่งที่เธอพูดได้
และในขณะที่ชายผมบลอนด์รู้สึกไม่พอใจรวมทั้งไม่เข้าใจคำพูดของหญิงสาวตรงหน้าอยู่นั้น เฮอร์ไมโอนี่ที่เป็นผู้เข้ามาหานายลูเซียสเพื่อจุดประสงค์ในการปรับความเข้าใจกับเขาเพื่อถ่วงเวลาเขาไว้ในตอนแรก กลับรู้สึกว่าเรื่องราวนั้นได้บานปลายไปเกินกว่าที่เธอคาดคิดไว้เสียแล้ว เมื่อนายมัลฟอยเข้าใจผิดเธอครั้งแล้วครั้งเล่าในทุก ๆ เรื่องที่เธอพยายามจะอธิบาย ซึ่งถ้าเป็นในสถานการณ์ปกติหญิงสาวคงยุติการพูดคุยระหว่างเขากับเธอ รวมทั้งเธออาจจะเดินออกจากห้องนอนของเขาไปโดยที่ไม่กลับมาที่นี่อีกก็เป็นได้ แต่ในตอนนี้เธอไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะทำเช่นนั้นได้เมื่อเธอจำเป็นที่จะต้องถ่วงเวลาสามีของเธอไว้ให้นานที่สุดตามที่เธอได้ตกลงกับเซเวอร์รัส สเนปไว้ก่อนหน้านี้ ดังนั้นถึงแม้ว่าถ้อยคำที่นายลูเซียสพูดออกมานั้นจะฟังดูรุนแรงรวมทั้งทำร้ายจิตใจของเธอมากเพียงใดก็ตาม แต่หญิงสาวก็ไม่อาจจะทำสิ่งใดได้นอกจากอดทนและอธิบายให้เขาเข้าใจเท่านั้น
เมื่อคิดได้เช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่จึงเริ่มพูดขึ้นอีกครั้ง
“ฉันไม่รู้ว่าคุณจะคิดยังไงนะคะ แต่สิ่งที่ฉันพยายามจะพูดก็คือฉันไม่ได้โทษว่าเรื่องในวันนี้เป็นความผิดของคุณ ที่ฉันมาที่นี่ก็เพื่อต้องการจะอธิบายให้คุณฟังถึงเรื่องทั้งหมดเท่านั้น ฉันไม่ได้มาแก้ตัวหรือมากล่าวหาใคร รวมทั้งฉันก็ไม่ได้คิดด้วยว่าคุณจะคิดว่าฉันยินยอมในการกระทำที่ลูกชายของคุณทำหรือเปล่า” หญิงสาวพยายามสะกดกลั้นโทสะของตัวเองไว้และพูดออกมา
“ส่วนเรื่องของเดรโก…….แน่นอนว่าเขาผิดในเรื่องนี้ แต่ฉันไม่ได้แค้นเคืองเขา เพราะฉันเข้าใจว่าเขาโกรธที่เห็นฉันมาแทนที่แม่ของเขา และถ้าเป็นไปได้เขาก็คงไม่อยากต้องทนอยู่ร่วมบ้านเดียวกับฉัน ที่เขาทำลงไปเป็นเพราะเขาควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ก็เท่านั้น” เธอพยายามพูดอย่างใจเย็น ขณะที่ดวงตาสีเงินของนายมัลฟอยจับจ้องเธออยู่ในทุกอิริยาบทจนกระทั่งเธอพูดจบ และหลังจากที่หญิงสาวพูดจนจบแล้ว ดวงตาสีเงินที่ดูยากจะอ่านของชายผมบลอนด์ก็เลื่อนมาจับจ้องใบหน้างามของหญิงสาวตรงหน้า เขามองเธอด้วยแววตาประเมินอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่นายลูเซียสจะขยับมือใหญ่ของเขาขึ้นราวกับว่าเขาต้องการยกมันขึ้นมาสัมผัสแก้มเนียนของภรรยาหากแต่เขาเปลี่ยนใจเสียก่อน นายมัลฟอยจ้องมองเฮอร์ไมโอนี่ผู้เป็นภรรยาใหม่ของเขาอยู่ครู่หนึ่งราวกับว่าเขากำลังไตร่ตรองบางอย่างอยู่ก่อนที่เขาจะพูดออกมา
“เธอบอกว่าเธอเข้าใจในสิ่งที่เดรโกทำลงไปกับเธอ” เขากล่าวพลางมองเธอด้วยแววตาที่เฮอร์ไมโอนี่ไม่สามารถอ่านได้ “แล้วเธอสามารถเข้าใจในสิ่งที่ฉันทำลงไปกับเธอได้หรือเปล่า” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบราวกับมันเป็นเรื่องธรรมดามากที่สุด ราวกับพวกเขากำลังพูดคุยเรื่องลมฟ้าอากาศหรือไม่ก็เรื่องเมนูอาหารเย็นในวันนี้กันอยู่ไม่ใช่เรื่องที่นายลูเซียสบันดาลโทสะจนใช้กำลังขืนใจภรรยาของเขาเองอย่างเฮอร์ไมโอนี่เลยแม้แต่น้อย!
ทางด้านเฮอร์ไมโอนี่นั้นเธอต้องใช้เวลาชั่วครู่กว่าที่สมองของเธอจะซึมซับถ้อยคำที่ชายผมบลอนด์ได้กล่าวออกมา และหลังจากที่หญิงสาวรับรู้รวมถึงเข้าใจความหมายของมันแล้วนั้น ในวินาทีต่อมาภาพเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่นายมัลฟอยได้เคยทำไว้กับเธอก็แวบเข้ามาในหัวสมองของเธอ ภาพการกระทำที่โหดร้าย ทั้งความเกรี้ยวกราด โทสะและการกระทำอันรุนแรงที่ไม่อาจจะเรียกเป็นอย่างอื่นได้นอกจากการบังคับขืนใจที่ชายผมบลอนด์ได้ทำไว้กับเธอนั้นพรั่งพรูเข้ามาในหัวสมองของหญิงสาวราวกับหนังที่ฉายซ้ำ! และเป็นเพราะการนึกถึงภาพเหตุการณ์อันเลวร้ายที่เคยเกิดขึ้นกับเธอก่อนหน้านี้นั้นเองที่ทำให้เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกขนลุกขึ้นมาในทันที หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อย สองแขนของเธอยกขึ้นราวกับเธอต้องการจะใช้มันกอดร่างเล็กของตัวเองในเชิงปกป้อง หากแต่ดูราวกับว่าเฮอร์ไมโอนี่จะรู้ตัวเสียก่อนว่าการกระทำของเธอตกอยู่ภายใต้การเฝ้ามองของนายมัลฟอยที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเธอในตอนนี้ และเมื่อเป็นเช่นนั้นหญิงสาวจึงลดมือเล็กของเธอลงก่อนที่ดวงตาสีน้ำตาลของเธอจะเงยขึ้นสบดวงตาสีเงินของนายลูเซียสที่กำลังจ้องมองเธออยู่ขณะที่เธอกำลังตัดสินใจว่าเธอควรจะตอบคำถามของชายผมบลอนด์ออกไปอย่างไรดี
และถึงแม้ว่าเฮอร์ไมโอนี่จะต้องการตอบชายตรงหน้าออกไปในสิ่งที่เขาต้องการจะได้ยินมากเพียงใดก็ตาม และถึงแม้เธอจะรู้ดีว่าการตอบคำถามออกไปในทิศทางนั้นจะเป็นผลดีโดยตรงกับทั้งตัวเธอและแผนการของเธอด้วย เนื่องจากหากเธอตอบนายลูเซียสออกไปว่าเธอสามารถเข้าใจในสิ่งที่เขาได้ทำลงไปกับเธอและเธอสามารถให้อภัยเขาได้ ประโยคดังกล่าวจะเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ที่ร้าวฉานของทั้งสองให้ดีขึ้นกว่าเดิม แม้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่อาจจะไม่สามารถกลับมาเหมือนดังเดิมได้ก็ตาม แต่ถ้าหากเธอตอบคำถามชายผมบลอนด์ออกไปเช่นนั้นว่าเธอเข้าใจและพร้อมที่จะให้อภัยในสิ่งที่เขาได้ทำลงไปกับเธอ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงคำโกหกคำหนึ่งก็ตาม แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็รู้ว่าหลังจากที่เธอพูดประโยคดังกล่าวออกไปแล้ว มันจะเป็นการประสานความสัมพันธ์ที่แทบจะแตกร้าวของเธอและนายลูเซียสขึ้นมา รวมทั้งเธอสามารถใช้โอกาสนี้ในการปรับความเข้าใจกับเขาเพื่อถ่วงเวลาเขาให้อยู่กับเธอไปตลอดทั้งคืนนี้ได้อีกด้วย
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ถึงแม้เฮอร์ไมโอนี่จะรู้ดีว่าการโกหกเพียงครั้งเดียวของเธอจะสามารถนำผลประโยชน์อย่างใหญ่หลวงมาสู่ทั้งตัวเธอและอดีตอาจารย์ของเธอซึ่งความปลอดภัยของเขาอยู่ในกำมือของเธอในเวลานี้ก็ตาม แต่หญิงสาวก็ไม่อาจจะบังคับให้ตัวเองพูดในสิ่งที่ตรงข้ามกับจิตใจของเธอโดยสิ้นเชิงออกไปได้ถึงแม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าการทำเช่นนั้นจะทำให้ภารกิจของเธอในการช่วยเหลือเซเวอร์รัส สเนปนั้นสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่อาจจะทำเช่นนั้นได้เลย เธอไม่อาจจะโกหกออกไปโต้ง ๆ ได้ว่าเธอเข้าใจและยอมให้อภัยการกระทำของนายมัลฟอยพอ ๆ กับที่หญิงสาวรู้ดีว่าเธอไม่มีวันเข้าใจและลืมเลือนในสิ่งที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย และเมื่อเป็นเช่นนั้น ถึงแม้จะตระหนักถึงผลเสียที่อาจจะตามมากับการพูดสิ่งที่ตรงกับใจของเธอออกไปในครั้งนี้ก็ตาม แต่เฮอร์ไมโอนี่ที่ไม่อาจจะโกหกชายตรงหน้ารวมทั้งตัวเธอเองได้ก็ได้ตัดสินใจพูดสิ่งที่อยู่ในใจของเธอออกไปตามตรงเมื่อเธอมองลึกเข้าไปในดวงตาสีเงินของฝ่ายตรงข้ามก่อนจะพูดขึ้น
“ฉันไม่มีวันเข้าใจในสิ่งที่คุณทำลงไปได้หรอกค่ะ” เฮอร์ไมโอนี่พูดออกไปตามตรง และทันทีที่หญิงสาวพูดออกไปเช่นนั้น สิ่งที่เธอเห็นต่อมานอกจากท่าทีผิดหวังที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนของชายตรงหน้าแล้ว เฮอร์ไมโอนี่ยังสาบานว่าเธอเห็นแววปวดร้าวฉายชัดอยู่ในดวงตาของนายมัลฟอยอย่างที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน!
…………………………………………….
หลังจากที่หญิงสาวตัดสินใจพูดสิ่งที่อยู่ในใจของเธอออกมาและนายลูเซียสผู้เป็นสามีของเธอมองเธอด้วยท่าทีที่แสดงออกถึงความผิดหวังอย่างที่เฮอร์ไมโอนี่ไม่อาจจะบรรยายได้แล้วนั้น ในวินาทีต่อมาแววตาสีเงินของนายมัลฟอยก็กลับมาเป็นแววตาที่แลดูเย็นชาราวกับน้ำแข็งดังเดิมพร้อมกับที่นายลูเซียสปรับสีหน้าของเขาให้ดูเยือกเย็นเฉกเช่นเดิมก่อนที่เขาจะเบือนหน้าหนีหญิงสาวและเดินกลับไปที่โต๊ะน้ำชาที่เขานั่งอยู่เมื่อครู่อีกครั้ง
แต่ละย่างก้าวของชายผมบลอนด์นั้นช่างเชื่องช้าหากแต่มั่นคง ราวกับเขากำลังครุ่นคิดบางอย่างไปด้วยขณะที่เขาเดินกลับไปที่โซฟาบุนวมซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดที่เฮอร์ไมโอนี่ยืนอยู่นัก และเมื่อเขาเดินไปถึงชุดรับแขกดังกล่าวนายลูเซียสก็วางมือของเขาลงบนโซฟาหนังที่ดูมีราคาตรงหน้าก่อนที่เขาจะพูดขึ้นด้วยโทนเสียงที่เฮอร์ไมโอนี่แน่ใจว่าเธอไม่เคยได้ยินมาก่อน เพราะมันช่างเต็มไปด้วยความสับสนและไม่แน่ใจซึ่งฟังดูไม่เหมือนโทนเสียงปกติของนายมัลฟอยเลยแม้แต่น้อย
“ถ้าเธอบอกว่าเธอไม่สามารถเข้าใจในสิ่งที่ฉันทำลงไปได้ ฉันก็คิดว่าเธอไม่ควรจะอยู่ที่นี่” เขาพูดออกมาพร้อมกับหันมาเผชิญหน้าเธอ ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ที่ฟังคำพูดนั้นของเขาอยู่รู้สึกราวกับถูกตบหน้าเมื่อสามีของเธอพูดว่าเธอไม่ควรจะอยู่ที่นี่ ทั้ง ๆ ที่หญิงสาวเป็นฝ่ายมาขอปรับความเข้าใจกับเขาในความผิดที่เธอไม่ได้ก่อแม้แต่เพียงนิดเดียว!
และในวินาทีนั้นเอง หลังจากที่คำพูดนั้นซึมเข้าสู่สมองของเธอแล้ว เฮอร์ไมโอนี่ก็พบว่ามันไปกระตุ้นโทสะของเธออย่างที่ไม่เคยมีคำพูดไหนของชายผมบลอนด์เคยทำได้มาก่อน! แม้กระทั่งในตอนที่เขากล่าวหาว่าเธอนอกใจเขาไปมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับอดีตอาจารย์ของเธอก็ตาม หญิงสาวรู้สึกถึงแรงโทสะที่ทำให้ใบหน้าของเธอร้อนผ่าวด้วยความโกรธ เธอจ้องมองชายตรงหน้าด้วยสายตาราวกับเธอไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เขาเพิ่งพูดออกมา แต่ถึงกระนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็ฉลาดพอที่จะรู้ว่าเธอไม่อาจจะบันดาลโทสะจนไปต่อว่าหรือทำอะไรที่รุนแรงมากกว่านั้นกับชายตรงหน้าลงไปได้ เพราะมันไม่ใช่การกระทำที่ฉลาดเลยแม้แต่น้อย และเมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้วหญิงสาวจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการพยายามระงับอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ มือเล็กของเธอจิกเข้าไปในอุ้งมือเล็กที่กำแน่นเพราะต้องการระงับอารมณ์ก่อนที่เธอจะตัดสินใจพูดขึ้น
“ทำไมคุณถึงพูดแบบนี้ล่ะค่ะ” ถึงแม้ว่าบริบทของคำพูดที่เฮอร์ไมโอนี่พูดออกมานั้นจะดูเหมือนเป็นเพียงคำถามธรรมดา ๆ แต่ถ้าหากลองฟังน้ำเสียงของเธอดูให้ดีแล้ว อีกฝ่ายจะรู้ได้ไม่ยากว่าหญิงสาวกำลังโกรธอยู่ แต่ถึงแม้จะรู้เช่นนั้นก็ตาม ทางด้านชายผมบลอนด์ผู้เป็นสามีของหญิงสาวซึ่งกำลังอยู่ห่างจากเธอออกไปเพียงไม่กี่ก้าวกลับมีท่าทีเรียบเฉยต่อคำพูดนั้นของเธอ นายลูเซียสหันมามองภรรยาของเขาด้วยสายตาประเมินอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้น
“ฉันแค่ต้องการจะบอกเธอว่า สิ่งที่เธอกำลังทำอยู่นี้ ที่เธอมาหาฉันเพื่อที่จะอธิบายหรือ ฉันอาจจะคิดเข้าข้างตัวเองไปก็ได้ว่าเธอต้องการปรับความเข้าใจกับฉันนั้นมันเป็นการเสียเวลาของเธอไปเปล่า ๆ เพราะถ้าหากว่าเธอไม่สามารถเข้าใจในสิ่งที่ฉันได้ทำลงไปได้” เขากล่าวพลางจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของหญิงสาว ก่อนจะหยุดพูด ใบหน้าเย็นชาของนายลูเซียสแสดงถึงความอึดอัดใจออกมาชั่วขณะราวกับเขารู้สึกลำบากใจที่จะต้องพูดประโยคต่อไปออกมา แต่เมื่อชายผมบลอนด์เห็นแววตาคาดคั้นของเฮอร์ไมโอนี่ที่กำลังรอฟังคำพูดต่อไปของเขาอย่างใจจดใจจ่อแล้วนั้น นายมัลฟอยจึงถอนใจอย่างแผ่วเบาก่อนจะพูดออกมา
“ถ้าเธอคิดเช่นนั้น ฉันกับเธอ ก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่เราจะพูดคุยหรือปรับความเข้าใจกันต่อไป” เขาพูดออกมาด้วยท่าทีที่เรียบเฉย หรือไม่ก็พยายามที่จะทำให้มันดูเรียบเฉย ในขณะที่เฮอร์ไมโอนี่นั้นรู้สึกเลวร้ายยิ่งกว่าเธอถูกตบหน้าเสียด้วยซ้ำเพราะคำพูดที่ออกมาจากปากของสามีของเธอ เขาพูดมาได้อย่างไรกันว่าเธอจำเป็นต้องเข้าใจในสิ่งที่เขาได้ทำลงไปกับเธอ เธอจำเป็นจะต้องเข้าใจความรู้สึกผู้ชายที่ลงมือข่มเหงรังแกเธอก่อนที่เธอจะปรับความเข้าใจกับเขาด้วยหรือ!
และถึงแม้จะไม่เข้าใจรวมทั้งรู้สึกโกรธเคืองคำพูดที่ฟังดูเห็นแก่ตัวของอีกฝ่ายมากก็ตาม แต่ถึงกระนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่อาจจะทำอะไรได้นอกเสียจากการกำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในอุ้งมือเล็กของเธอเพื่อระงับอารมณ์ เพราะหญิงสาวรู้ดีว่าเธอไม่สามารถทำอะไรชายตรงหน้าลงไปได้ในตอนนี้ แม้ว่าเขาจะพูดจาที่แสดงถึงความเห็นแก่ตัวและไร้ความรับผิดชอบออกมาในชนิดที่ว่าถ้าเป็นในสถานการณ์ปกติหญิงสาวคงจะฟาดฝ่ามือเล็กของเธอลงบนใบหน้าที่ดูเย็นชาราวกับแผ่นหินของนายลูเซียสก่อนจะเดินออกจากห้องนี้ไปอย่างไม่มีวันที่จะกลับมาเหยียบมันอีกเป็นครั้งที่สองเป็นแน่
หากแต่ถึงเธออยากจะเอาตัวเองออกไปจากสถานที่แห่งนี้อย่างที่นายลูเซียสต้องการมากเพียงใด แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็รู้ดีว่าเธอไม่อาจทำเช่นนั้นได้พอ ๆ กับที่เธอรู้ดีว่าถ้าหากเธอเดินออกไปจากห้องในตอนนี้แล้วเธอก็ไม่อาจจะกลับมาที่นี่อีกครั้งได้ และเมื่อเป็นเช่นนั้นแผนการที่เธอกับสเนปได้ตกลงกันไว้ก็คงจะล้มเหลวลงโดยสิ้นเชิง และเมื่อคิดได้เช่นนั้น แม้ว่าในใจของหญิงสาวจะเรียกร้องให้เธอกลับไปยังห้องนอนของเธอและไม่ต้องกลับมาเหยียบห้องนอนใหม่ของนายมัลฟอยอีกก็ตาม แต่ขาเล็ก ๆ ของเฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่อาจจะขยับเพื่อก้าวเดินออกไปได้เมื่อเธอนึกถึงสิ่งที่อาจารย์ได้ฝากฝังให้เธอทำไว้ขณะที่เขาออกไปตามหาเดรโกเพื่อลบความทรงจำของชายหนุ่ม และเป็นเพราะเหตุผลนี้เอง เป็นเพราะความต้องการที่จะรักษาความลับที่สำคัญอย่างยิ่งยวดของสเนปซึ่งบัดนี้เธอได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของมันไปแล้วนี่เองที่รั้งเฮอร์ไมโอนี่ให้อยู่ในห้องนอนแห่งนี้กับนายมัลฟอยต่อไปได้ ทั้ง ๆ ที่แท้ที่จริงหญิงสาวสามารถพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าสถานที่ที่เธอกำลังยืนอยู่นี้นั้นเป็นที่สุดท้ายที่เธอต้องการจะอยู่แม้ว่าจะรวมคุกอัซคาบันและเบื้องหน้าบัลลังค์ของลอร์ดโวลเดอมอร์เข้าไปด้วยก็ตาม!
และหลังจากนึกถึงสิ่งที่เธอจะต้องทำตามที่เธอรับปากอดีตอาจารย์ของเธอไว้ รวมทั้งหลังจากที่เธอรอให้ตัวเองอารมณ์เย็นลงไปบ้างแล้วนั้น เฮอร์ไมโอนี่จึงตัดสินใจพูดขึ้น
“คุณพูดถูกค่ะ ที่บอกว่าฉันต้องการจะปรับความเข้าใจกับคุณ” หญิงสาวเริ่มพูดอย่างเชื่องช้าหากแต่หนักแน่น ขณะที่ในใจของเธอพยายามสะกดอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่านของตัวเองซึ่งมันผสมปนเปไปด้วยโทสะ ความสับสน ความน้อยใจ และความกดดันเอาไว้อย่างสุดความสามารถก่อนที่เธอจะพูดต่อ
“แต่คุณจะคาดหวังให้ฉันเข้าใจในสิ่งที่คุณทำกับฉันลงไปได้ยังไงกันคะ ในเมื่อก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องนั้นขึ้น คุณยังไม่เคยพยายามจะเข้าใจหรือแม้แต่รับฟังในสิ่งที่ฉันพยายามจะอธิบายกับคุณเลย” เธอพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความกดดันเมื่อเธอเอ่ยถึงเหตุการณ์ก่อนที่ชายผมบลอนด์จะลงมือทำร้ายและขืนใจเธอ ซึ่งเป็นตอนที่เขามาเจอเธออยู่กับสเนปสองต่อสองในห้องทำงานของเขาในคฤหาสน์แห่งนี้ ในตอนนั้นเฮอร์ไมโอนี่จำได้ดีว่าเธอพยายามมากเพียงใดในการอธิบายให้ชายผมบลอนด์ฟังว่าเขากำลังเข้าใจเธอผิด แต่เขาไม่ยอมรับฟังเธอเลยแม้แต่น้อยเพราะเขาปักใจเชื่อในสิ่งที่เขาเห็น จนกระทั่งการเหตุการณ์ครั้งนั้นเลยเถิดไปถึงการลงมือทำร้ายและขืนใจเธอของเขาเอง และเมื่อตัวเขาเองยังไม่มีความสามารถที่จะเข้าใจหรือแม้กระทั่งรับฟังเธอในตอนนั้นแล้ว เขาจะมาหวังให้เธอเข้าใจรวมถึงให้อภัยในสิ่งที่เขาทำลงไปกับเธอได้อย่างไร
และอาจจะเป็นเพราะการเอ่ยถ้อยคำที่อัดอั้นอยู่ในใจของหญิงสาวออกไป หรืออาจจะเป็นเพราะการนึกถึงเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้น บวกกับความกดดันที่เธอจำเป็นจะต้องทำสิ่งที่เธอไม่ต้องการจะทำมากที่สุดซึ่งก็คือการถ่วงเวลานายมัลฟอยไว้ตลอดทั้งค่ำคืนนี้นั้นที่ทำให้เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกกดดันอย่างบอกไม่ถูก อารมณ์ต่าง ๆ ของหญิงสาวที่เธอพยายามจะเก็บกักไว้มาตลอดทั้งวันนี้ได้ผสมปนเปกันจนมันกลั่นออกมาเป็นหยาดน้ำตาที่รินเอ่อดวงตาคู่สวยออกมาในทันที!
ในแวบแรกเฮอร์ไมโอนี่รู้สึกถึงขอบตาที่ร้อนผ่าว และในวินาทีต่อมาน้ำตาใสก็ไหลรินอาบแก้มเนียนของเธออย่างรวดเร็วเกินกว่าที่เธอจะกลั้นมันเอาไว้ได้ทัน และเมื่อเป็นเช่นนั้น เมื่อหญิงสาวรู้ตัวว่าเธอกำลังร้องไห้ออกมาต่อหน้าชายผมบลอนด์อีกครั้ง เฮอร์ไมโอนี่ผู้ไม่ต้องการจะแสดงความอ่อนแอให้ฝ่ายตรงข้ามเห็นอีกแม้แต่เพียงครั้งเดียวก็รีบยกมือเล็กขึ้นปาดน้ำตาที่พรั่งพรูออกมาจากดวงตาคู่สวยของเธออย่างไม่ขาดสาย แต่การกระทำนั้นก็ไม่รวดเร็วพอที่จะรอดพ้นจากสายตาของนายลูเซียสไปได้ เพราะหลังจากที่ชายผมบลอนด์เงยหน้าขึ้นมาเพื่อฟังถ้อยคำที่ภรรยาของเขาพูดออกมาได้ไม่นานนัก นายมัลฟอยก็สังเกตเห็นดวงตาที่แดงก่ำของหญิงสาวก่อนที่จะมีน้ำตามากมายไหลออกมาจากดวงตาสีน้ำตาลที่ฉายแววกดดันของเธอ และถึงแม้ว่าเขาจะเห็นหญิงสาวตรงหน้าร้องไห้มาหลายต่อหลายครั้งแล้วก็ตาม แต่นายลูเซียสก็ไม่อาจทำใจให้รู้สึกเฉยชากับน้ำตาของเฮอร์ไมโอนี่ได้เลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเขากลับรู้สึกไม่ดีทุกครั้งที่เห็นเธอร้องไห้ จนภายหลังนายมัลฟอยถึงกับคาดหวังด้วยซ้ำว่าเขาจะไม่ต้องเห็นภรรยาสาวของเขาเสียน้ำตาด้วยความโศกเศร้าอีก โดยเฉพาะการร้องไห้โดยมีสาเหตุมาจากเขาแบบนี้!
และถึงแม้ว่าชายผมบลอนด์จะค้นพบว่าสิ่งที่เขาปรารถนานั้นไม่อาจเป็นไปได้ก็ตามเพราะเฮอร์ไมโอนี่กำลังร้องไห้อยู่เบื้องหน้าเขาในตอนนี้ แต่น้ำตาของหญิงสาวนั้นกลับไม่ได้ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดอย่างที่มันเคยทำให้เขารู้สึกในครั้งก่อน ๆ ตรงกันข้ามมันกลับนำความรู้สึกผิดอย่างมหาศาลมาสู่เขาจนนายลูเซียสสามารถพูดได้ว่าความรู้สึกโกรธเคือง ความไม่พอใจ รวมทั้งความรู้สึกสงสัยเคลือบแคลงใจในตัวภรรยาของเขานั้นได้มลายหายไปเพียงเพราะการที่เขาได้เห็นน้ำตาของเธอในครั้งนี้เท่านั้น และถึงแม้ว่าการกระทำของหญิงสาวในการยกมือขึ้นปาดน้ำตามากมายที่ไหลออกมาจะบอกเขาว่าเธอไม่ต้องการร้องไห้ให้เขาเห็นก็ตาม แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่อาจจะห้ามตัวเองไม่ให้หยุดร้องไห้ได้เลย ตรงกันข้ามยิ่งหญิงสาวพยายามจะเช็ดน้ำตาให้ตัวเองมากเท่าไหร่ เธอกลับพบว่ายิ่งมีน้ำตาใสที่ไหลเอ่อมาจากดวงตาคู่สวยที่แสนจะบอบช้ำของเธอมากเท่านั้น และเมื่อเป็นเช่นนั้น เมื่อเฮอร์ไมโอนี่ตระหนักได้ว่าเธอไม่สามารถควบคุมอารมณ์ที่ไม่ต่างจากสายน้ำที่ไหลบ่าอย่างในตอนนี้ได้ หญิงสาวก็ไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากจะปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ออกมาท่ามกลางสายตาของนายมัลฟอยที่กำลังเฝ้ามองเธออยู่ และในวินาทีต่อมาเฮอร์ไมโอนี่ก็ตัดสินใจที่จะเบือนหน้าไปอีกทางและปล่อยให้อารมณ์ที่ท่วมท้นของเธอล้นทะลักออกมาพร้อม ๆ กับน้ำตาที่พรั่งพรูออกมาจากดวงตาคู่สวยอย่างไม่ขาดสาย
และในขณะที่หญิงสาวซึ่งไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไปปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ออกมาเงียบ ๆ ต่อหน้านายมัลฟอยผู้เป็นสามีของเธออยู่นั้น ชายผมบลอนด์ที่เป็นผู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดรวมทั้งเป็นต้นเหตุที่ทำให้เธอเสียน้ำตาในครั้งนี้ก็รู้สึกผิดกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่น้อย เพราะแววตาที่ปกติจะแลดูเย็นชาของนายลูเซียสกลับฉายแววที่แสดงถึงความรู้สึกผิดที่เขามีต่อร่างตรงหน้าออกมาอย่างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเสียงสะอื้นไห้ของเฮอร์ไมโอนี่ดังเล็ดลอดฝ่ามือเล็กที่กำลังยกขึ้นปิดใบหน้ารวมทั้งริมฝีปากของหญิงสาวมากระทบเข้ากับโสตประสาทของเขา จนนายลูเซียสรู้สึกว่าหัวใจของเขาหนักอึ้งขึ้นมาอย่างฉับพลันเพราะมันถูกกดทับด้วยความรู้สึกผิดที่มีต่อหญิงสาวตรงหน้าซึ่งก็คือภรรยาของเขานั่นเอง และก่อนที่นายมัลฟอยจะได้ทันคิดอะไรลงไป ก่อนที่เขาจะได้ทันคิดว่ามันเหมาะสมหรือไม่ หรือแม้กระทั่งคิดถึงผลที่ตามมาของการกระทำของเขาในครั้งนี้ได้นั้น ชายผมบลอนด์ก็ก้าวเข้าไปใกล้ร่างเล็กของเฮอร์ไมโอนี่ที่กำลังยืนหันหลังอยู่เบื้องหน้าเขาและคว้าร่างของหญิงสาวเข้ามาสวมกอดโดยที่เขาไม่สนใจว่าเธอจะเต็มใจหรือยินยอมต่อการะทำของเขาหรือไม่!
ส่วนทางด้านเฮอร์ไมโอนี่ที่กำลังร้องไห้เสียใจอยู่นั้น กว่าที่เธอจะรู้ตัวร่างเล็กของหญิงสาวก็ถูกโอบรัดด้วยวงแขนแข็งแกร่งของนายลูเซียสผู้เป็นสามีของเธอเสียแล้ว!
“ป……ปล่อย!” หญิงสาวที่เพิ่งรู้สึกตัวพูดออกมาได้เพียงเท่านั้นพร้อมกับดิ้นรนขัดขืน หากแต่การกระทำในครั้งนี้ของเธอก็ไม่แตกต่างจากการดิ้นรนในครั้งก่อน ๆ เลยแม้แต่น้อย เพราะแม้ว่าเฮอร์ไมโอนี่จะพยายามดิ้นรนให้ตัวเองเป็นอิสระจากการเกาะกุมของร่างใหญ่ตรงหน้ามากเพียงใดก็ตาม แต่แรงของผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างเธอก็ไม่อาจจะสู้แรงผู้ชายอกสามศอกที่แข็งแรงกว่าเธอมากเช่นเขาได้ ส่งผลให้ไม่ว่าเฮอร์ไมโอนี่จะดิ้นรนมากเพียงใดเธอก็ไม่อาจจะหลุดไปจากอ้อมแขนแข็งแกร่งที่กำลังกอดรัดร่างของเธอไว้ได้เลย
หลังจากที่รู้แล้วว่าการดิ้นรนนั้นไม่ใช่การกระทำที่จะทำให้เธอหลุดพ้นไปจากการเกาะกุมของนายลูเซียสได้แล้วนั้น หญิงสาวก็หยุดดิ้นรนขัดขืน เธอนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งราวกับว่าเธอต้องการใช้เวลาในการรวบรวมสติเพื่อรับมือสถานการณ์ที่เธอกำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่เธอถูกผู้ชายคนสุดท้ายที่เธอต้องการจะให้แตะต้องตัวเธอนั้นสวมกอดอยู่ในอ้อมแขนของเขา ร่างเล็กที่อยู่ในอ้อมแขนของนายมัลฟอยนิ่งเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ดูราบเรียบมากกว่าเดิม
“ปล่อยฉันเถอะค่ะ ฉันจะได้ออกไปจากที่นี่เสียที” หญิงสาวพูดออกไปอย่างที่คิด ขณะที่ในใจของเธอรู้สึกสับสนอย่างมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ที่จู่ ๆ นายลูเซียสเข้ามาโอบกอดเธอไว้จนในตอนนี้ร่างของทั้งสองแนบชิดกันจนเฮอร์ไมโอนี่สามารถสัมผัสได้ถึงลมหายใจหรือแม้กระทั่งเสียงเต้นของหัวใจของอีกฝ่าย และขณะที่กำลังอยู่ในอ้อมกอดของสามีที่ไม่ว่าอย่างไรเธอก็คงไม่อาจจะทำใจให้คุ้นเคยกับมันได้เลยนั้นหญิงสาวก็อดที่จะรู้สึกแปลกใจไม่ได้ที่ว่าเหตุใดเขาถึงเข้ามาโอบกอดเธอไว้ทั้ง ๆ เขาเป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดเองว่าเขาต้องการให้เธอออกไปจากห้องนอนของเขาก่อนหน้านี้
และในขณะที่เธอกำลังสงสัยถึงการกระทำที่ขัดกับคำพูดเมื่อครู่ของชายผมบลอนด์โดยสิ้นเชิงนั้น นายลูเซียสก็เอ่ยถ้อยคำที่เป็นคำตอบของข้อสงสัยนั้นออกมาว่า
“ฉันจะไม่ปล่อยเธอไปไหนทั้งนั้น” เขาพูดถ้อยคำที่ยืนยันการกระทำของเขาออกมาอย่างหนักแน่น ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่เงยใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาขึ้นมองใบหน้าของสามีอย่างไม่เข้าใจ
“ก็คุณไม่ต้องการให้ฉันอยู่ที่นี่ไม่ใช่เหรอคะ” เธอพูดออกมาด้วยน้ำเสียงตัดพ้อและแสดงถึงความน้อยอกน้อยใจโดยที่เธอไม่ได้ตั้งใจเลยแม้แต่น้อย และหลังจากที่เธอพูดออกไปแล้ว ซึ่งเฮอร์ไมโอนี่ก็อดกังวลไม่ได้ว่าถ้าหากนายลูเซียสยอมปล่อยให้เธอกลับไปที่ห้องของเธอแต่โดยดีนั้นเธอจะทำอย่างไรต่อไป เพราะถ้าหากเป็นเช่นนั้น ถ้าเธอจะต้องออกไปจากห้องนอนใหม่ของนายมัลฟอยแล้ว เธอจะสามารถคอยจับตาดูและถ่วงเวลาเขาได้อย่างไร
แต่ดูเหมือนว่าในครั้งนี้โชคชะตาจะเข้าข้างเฮอร์ไมโอนี่อยู่ไม่น้อยหลังจากที่มันพลิกผันและกลั่นแกล้งหญิงสาวด้วยเหตุการณ์ต่าง ๆ นานามามากเกินพอแล้ว เมื่อเธอรู้สึกว่าฝ่ายตรงข้ามนั้นจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดออกมา
“ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้นหรอก” นายลูเซียสกล่าว และเมื่อเขาเห็นสีหน้าที่แสดงถึงความสับสนของหญิงสาวในอ้อมแขน ชายผมบลอนด์จึงพูดต่อ
“ฉันต้องการให้เธออยู่ที่นี่กับฉัน” เขาพูดอย่างอ่อนโยนก่อนที่เขาจะยกมือใหญ่ข้างหนึ่งขึ้นเพื่อเช็ดน้ำตาให้เธออย่างแผ่วเบา และถึงแม้ว่านายมัลฟอยจะสังเกตเห็นว่าภรรยาของเขาสะดุ้งเล็กน้อยยามที่มือใหญ่ของเขาสัมผัสแก้มเนียนของเธอก็ตาม แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่ได้มีท่าทีดิ้นรนขัดขืนยามที่สามีของเธอเช็ดหยาดน้ำตาที่เปรอะแก้มเนียนของเธออยู่ด้วยมือใหญ่ของเขา นายลูเซียสบรรจงใช้นิ้วโป้งของเขาเช็ดน้ำตาหยดใหม่ที่เพิ่งไหลออกมาจากดวงตาสีน้ำตาลที่แสนจะอ่อนโยนของเฮอร์ไมโอนี่ก่อนที่เขาจะกระซิบขึ้น
“เงียบซะ” เขากล่าวก่อนจะลดมือลง และจ้องมองใบหน้างามของหญิงสาวตรงหน้าด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนจนเกือบจะเรียกได้ว่าเห็นอกเห็นใจ จนทำให้ร่างเล็กในอ้อมแขนของเขาที่รู้สึกแปลกใจรวมทั้งไม่เข้าใจการกระทำของชายผมบลอนด์ในครั้งนี้เลยแม้แต่น้อยพูดออกมา
“ฉันไม่เข้าใจเลยค่ะว่าคุณต้องการอะไรกันแน่ เมื่อกี๊นี้คุณก็บอกว่าอยากให้ฉันออกไปจากที่นี่ แต่พอฉันยินดีจะออกไปคุณก็อยากจะให้ฉันอยู่ที่นี่ต่อแทน ทำไมกันล่ะคะ” เธอถามพลางจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีเงินที่ปกติแล้วเธอจะพยายามหลบหลีกไม่ยอมสบตามันแทนที่จะจ้องมองมันตรง ๆ อย่างในวันนี้ แต่ถึงหญิงสาวจะพยายามค้นหาสิ่งที่ซ่อนอยู่ในดวงตาสีเงินที่เธอไม่อาจจะทำใจให้คุ้นเคยได้คู่นี้ของนายลูเซียสเท่าไหร่ก็ตาม เฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่อาจจะพบเจออย่างอื่นนอกจากแววอ่อนโยนที่แสดงออกมาอย่างเด่นชัดภายใต้ความเย็นชาที่เป็นเอกลักษณ์ของมัน
นายมัลฟอยไม่ตอบคำถามของภรรยาในตอนแรก ตรงกันข้ามเขากลับยกมือข้างหนึ่งขึ้นเพื่อเช็ดน้ำตาที่เหลืออยู่บนแก้มอีกหยดของเฮอร์ไมโอนี่เบา ๆ ก่อนที่เขาจะตอบออกมา
“ฉันอยากให้เธออยู่กับฉันที่นี่” เสียงที่ดังออกมาจากริมฝีปากบางของเขานั้นช่างดูหนักแน่นหากแต่มันช่างฟังดูอ่อนโยนเหลือเกิน ราวกลับว่าท่ามกลางสุ้มเสียงที่มีอำนาจของเขานั้นกลับมีความอ้อนวอนแฝงอยู่ และหากเฮอร์ไมโอนี่อ่านแววตาของนายมัลฟอยไม่ผิด หรือไม่ได้ตาฝาดไป เธอสาบานได้ว่าเธอเห็นแววอ้อนวอนแบบเดียวกันฉายอยู่ในดวงตาสีเงินที่ปกติจะดูเย็นชาราวกับน้ำแข็งของเขาราวกับว่าสิ่งที่เขาต้องการมากกว่าอะไรทั้งหมดในตอนนี้ก็คือการที่เธอยอมมาอยู่กับเขาเท่านั้น ซึ่งมันช่างต่างจากคำพูดเมื่อครู่ของเขาที่เอ่ยปากบอกให้เธอออกไปจากห้องนอนของเขาเหลือเกิน
หลังจากได้ยินคำพูดดังกล่าวดังออกมาจากปากของนายมัลฟอยแล้วนั้น ในใจหนึ่งเฮอร์ไมโอนี่ก็รู้สึกยินดีที่เธอจะสามารถใช้ถ้อยคำเชิญชวนนี้ของเขาเป็นใบเบิกทางให้เธออยู่ในห้องนอนแห่งนี้กับเขาต่อเพื่อจับตาดูและถ่วงเวลาเขาตามที่เธอได้ตกลงกับสเนปไว้ แต่ลึก ๆ แล้วหญิงสาวก็กลับรู้สึกหวาดกลัวที่จะต้องอยู่กับสามีของเธอเพียงลำพังในห้องนอนใหม่ของเขา เพราะถึงแม้ว่านายลูเซียสจะแสดงความอ่อนโยนที่มีต่อเธอออกมาอย่างชัดเจนทั้งในขณะนี้และก่อนหน้านี้ก็ตาม แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่อาจจะลืมเลือนไปได้เลยว่าคืนก่อนนั้น ผู้ชายคนเดียวกับคนที่กำลังปลอบเธออย่างอ่อนโยนนี้เคยทำร้ายเธออย่างแสนสาหัสมาแล้วเช่นกัน!
และเมื่อเป็นเช่นนั้น เฮอร์ไมโอนี่ที่หวาดกลัวการอยู่ตามลำพังกับนายลูเซียสหากแต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธที่จะไม่ยอมอยู่กับเขาต่อไปได้ด้วยความจำเป็นที่เธอต้องการทำตามข้อตกลงที่เธอให้ไว้กับสเนปนั้น จึงพูดขึ้นอย่างเฉลียวฉลาดหลังจากที่ผ่านการครุ่นคิดอยู่เพียงครู่เดียวว่า
“คุณอยากให้ฉันอยู่ที่นี่ แต่ถ้าฉันไม่อยากจะอยู่ คุณจะใช้กำลังบังคับฉันหรือเปล่าคะ” เธอถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แห้งผาก แววตาสีน้ำตาลฉายแววหวาดกลัวออกมาอย่างเห็นได้ชัด ราวกับเธอกำลังจินตนาการว่าหากเธอไม่ยอมอยู่ที่ห้องนี้ตามที่นายมัลฟอยต้องการ ชายผมบลอนด์จะใช้กำลังบังคับให้เธออยู่กับเขาตามที่เขาต้องการโดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของเธออย่างที่เขาเคยใช้กำลังบังคับขืนใจเธอมาแล้วก่อนหน้านี้หรือไม่!
หลังจากหญิงสาวพูดประโยคดังกล่าวออกมา นายลูเซียสก็มองภรรยาสาวของเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความแปลกใจก่อนที่มันจะแปรเปลี่ยนไปเป็นแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดซึ่งแฝงไว้ด้วยความเสียใจ ราวกับว่าคำพูดของหญิงสาวนั้นทิ่มแทงและทำร้ายจิตใจเขา ชายผมบลอนด์มองหญิงสาวตรงหน้าราวกับว่าเขาไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เธอเพิ่งพูดออกมา แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่อาจจะปฏิเสธที่จะไม่ตอบคำถามดังกล่าวออกไปได้ เมื่อนายลูเซียสจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยของเธอก่อนที่เขาจะพูดขึ้น
“ฉันจะไม่ใช้กำลังทำรุนแรงกับเธออีกแล้ว” ชายผมบลอนด์หยุดพูดครู่หนึ่ง เขามองลึกเข้าไปในดวงตาที่เต็มไปด้วยแววสงสัยเคลือบแคลงของเฮอร์ไมโอนี่ด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นมากกว่าทุกครั้ง “ฉันให้สัญญากับเธอ”
น้ำเสียงของนายมัลฟอยที่เปล่งออกมานั้นช่างหนักแน่นมั่นคง ราวกับว่ามันไม่ใช่เพียงแค่คำบอกกล่าวทั่วไป และถ้าหากพิจารณาจากแววตาที่เขาใช้มองเธอยามที่เขากล่าวถ้อยคำนั้นออกมาแล้วนั้น เฮอร์ไมโอนี่ก็อดไม่ได้ที่จะตีความหมายไปว่า นายลูเซียสให้สัญญาว่าเขาจะไม่มีวันทำรุนแรงกับเธอเหมือนกับที่เขาทำในครั้งนั้นซึ่งเป็นคืนที่เขาใช้กำลังขืนใจเธออีก และถึงแม้ว่าคำพูดของผู้เสพความตายที่เคยทำร้ายเธออย่างแสนสาหัสมาแล้วจะไม่น่าเชื่อถือเท่าไหร่นักก็ตาม แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็อดไม่ได้ที่จะเชื่อคำพูดของชายผมบลอนด์ในครั้งนี้ รวมไปถึงเมื่อเธอเลือกที่จะเชื่อว่าเขาจะไม่ใช้กำลังทำรุนแรงกับเธออีกต่อไปแล้วหญิงสาวก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผ่อนคลายเมื่อได้ยินคำพูดนั้น แม้ว่าในตอนนี้เธอจะกำลังอยู่ในอ้อมแขนของผู้ชายที่เคยทำร้ายเธอมาอย่างแสนสาหัสแล้วก็ตาม!
แต่หลังจากถ้อยคำที่ที่เปรียบเสมือนสิ่งประกันความปลอดภัยในระดับหนึ่งของหญิงสาวถูกเอ่ยออกมาแล้วนั้น เฮอร์ไมโอนี่ก็รู้สึกถึงความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยที่ก่อตัวขึ้นอย่างแปลกประหลาด อาจจะเป็นเพราะว่านอกจากน้ำเสียงที่ดูหนักแน่นมั่นคงของเขายามเอ่ยถ้อยคำนี้ออกมาแล้วนั้น แววตาของชายผมบลอนด์ที่จ้องมองเฮอร์ไมโอนี่ยามพูดถ้อยคำดังกล่าวออกมานั้นแลดูจริงใจมากกว่าอะไรทั้งหมด ราวกับว่าเขาต้องการจะบอกเธอผ่านสายตาของเขาว่าเขาหมายความตามที่พูดทุกประการ และในขณะที่ดวงตาสีเงินที่ดูอ่อนโยนลงกว่าปกติมากนักของนายมัลฟอยกำลังจ้องมองหญิงสาวในอ้อมแขนของเขาอยู่นั้น มือใหญ่ของนายลูเซียสก็ค่อย ๆ สัมผัสแก้มของเฮอร์ไมโอนี่อย่างแผ่วเบา และถึงแม้ว่าจะรู้สึกแปลกใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือของชายผมบลอนด์อยู่มากก็ตาม แต่หญิงสาวซึ่งเป็นแม่มดที่เฉลียวฉลาดมากที่สุดคนหนึ่งในโลกเวทย์มนต์ก็พอจะมองเห็นช่องทางที่จะทำให้เธอได้ประโยชน์จากสิ่งที่ชายผมบลอนด์เพิ่งพูดออกมา เมื่อเธอตัดสินใจพูดออกไปอย่างชาญฉลาดหลังจากเสียเวลาครุ่นคิดอยู่เพียงครู่เดียวเท่านั้น
“คุณพูดจริงเหรอคะ” เธอถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความสงสัย บวกกับดวงตาสีน้ำตาลที่เงยขึ้นสบดวงตาสีเงินของอีกฝ่ายอย่างแปลกใจนั้นสามารถบอกได้เป็นอย่างดีว่าเฮอร์ไมโอนี่สงสัยเคลือบแคลงคำพูดของสามีของเธอมากเพียงไร ซึ่งทางฝั่งนายลูเซียสนั้นก็ไม่ได้มีท่าทีแปลกใจกับคำพูดที่ภรรยาสาวของเขาเอ่ยขึ้นมาเท่าไหร่นัก เนื่องจากนายลูเซียสเองก็รู้ดีอยู่แล้วว่าเป็นเพราะการกระทำของเขาเองที่ทำให้เธอเคลือบแคลงสงสัยในตัวเขา เป็นเพราะเขาเองที่ใช้กำลังบังคับขืนใจหญิงสาวมาก่อนหน้านี้ที่ทำให้เธอไม่ไว้ใจเขาอีกต่อไป พอ ๆ กับที่เขาไม่อาจจะเชื่อใจเธอได้หลังจากที่เขาพบว่าเธออยู่กับเซเวอร์รัส สเนปสองต่อสองในคฤหาสน์เช่นกัน
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ด้วยเหตุผลที่ชายผมบลอนด์ก็ไม่อาจจะบอกตัวเองได้ ในครั้งนี้เขากลับต้องการทำให้ความเชื่อใจที่เฮอร์ไมโอนี่มีต่อเขาซึ่งมันอาจจะมลายหายไปตั้งแต่ตอนที่เขาลงมือขืนใจเธอแล้วนั้นหวนคืนกลับมาอีกครั้ง แม้เพียงน้อยนิดก็ยังดี ดังนั้นหลังจากที่ได้ยินคำถามดังกล่าวของหญิงสาวในอ้อมแขนของเขาแล้วนั้น นายลูเซียสจึงตัดสินใจพูดออกไป
“ฉันให้สัญญาด้วยเกียรติของฉัน ว่าฉันจะไม่ใช้กำลังฝืนใจเธอในเรื่องนี้อีก” เขากล่าวออกไปในที่สุด หลังจากเสียเวลาครุ่นคิดอยู่เพียงครู่เดียวเท่านั้น และถึงแม้ว่าคำพูดดังกล่าวจะเหมือนกับการที่นายลูเซียสได้ให้การผ่อนปรนและสูญเสียอำนาจบางส่วนที่เขามีต่อภรรยาสาวในอ้อมแขนของเขาไปก็ตาม แต่นายลูเซียสกลับมองว่ามันเป็นหนทางที่ดีที่สุดที่จะทำให้เฮอร์ไมโอนี่กลับมาไว้ใจเขาอีกครั้งหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และผู้ชายที่ผ่านโลกมามากอย่างเช่นเขาก็รู้ดีว่าเขาไม่อาจจะใช้ไม้แข็งได้ในทุก ๆ เรื่อง โดยเฉพาะกับผู้หญิงที่ดื้อดึงและเพิ่งบอบช้ำจากเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างเฮอร์ไมโอนี่ ตรงกันข้ามเขากลับคิดว่า ในสถานการณ์เช่นนี้การใช้ไม้อ่อนโดยการยอมผ่อนปรนให้เธอเพื่อซื้อความไว้วางใจจากเธอน่าจะเป็นการกระทำที่เหมาะสมที่สุด
แต่ถึงจะคิดได้เช่นนั้นก็ตาม แต่ในใจลึก ๆ แล้วชายผมบลอนด์กลับรู้สึกว่าเหตุผลที่แท้จริงที่เขายอมสัญญากับเฮอร์ไมโอนี่ออกไปนั้นไม่ใช่เหตุผลยาวยืดที่เขาใช้บอกตัวเองเหล่านี้ แต่กลับเป็นความรู้สึกส่วนลึกของเขาที่บอกให้เขาทำเช่นนั้นต่างหาก
แต่ไม่ว่าคำพูดและการกระทำของนายลูเซียสนั้นจะมาจากเหตุผลหรือว่าความรู้สึกส่วนตัวก็ตาม คำพูดที่ชายผมบลอนด์เพิ่งพูดออกมานั้นก็พอจะทำให้หญิงสาวที่กำลังอยู่ในอ้อมแขนเขาแปลกใจได้ไม่น้อย เพราะถึงแม้ว่าคำว่า ‘ สัญญาด้วยเกียรติ ’ ของผู้เสพความตายนั้นจะฟังดูไม่น่าเชื่อถือสักเท่าไหร่นักก็ตาม แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็อดที่จะประหลาดใจรวมทั้งดีใจลึก ๆ ไม่ได้ที่ชายผมบลอนด์ถึงกับเอ่ยปากสัญญากับเธอว่าเขาจะไม่ล่วงเกินร่างกายของเธอหากเธอไม่ยินยอมอีกต่อไป
เมื่อได้ยินเช่นนั้น แม้ว่าคำพูดในครั้งนี้ของลูเซียส มัลฟอยจะขัดกับการกระทำก่อนหน้านี้ของเขาที่เพิ่งเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันโดยสิ้นเชิงก็ตาม แต่ด้วยเหตุผลบางประการที่เฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเพราะอะไร หญิงสาวกลับรู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูกรวมทั้งเธอยังรู้สึกว่าอ้อมแขนของนายลูเซียสผู้เป็นสามีของเธอนั้นได้กลายมาเป็นสถานที่ที่อบอุ่นและปลอดภัยสำหรับเธอเหมือนก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์เลวร้ายครั้งนั้นขึ้นอีกครั้ง หญิงสาวสามารถกลับมารู้สึกไว้ใจชายผมบลอนด์ผู้ครั้งหนึ่งเคยทำร้ายเธออย่างแสนสาหัสได้อย่างประหลาดราวกับความหวาดกลัวที่มีต่อชายคนนี้ได้มลายหายสูญไปพร้อม ๆ กับความวิตกกังวลในเรื่องภารกิจส่วนหนึ่งที่เธอได้รับมาวันนี้เสียแล้ว และเมื่อรู้สึกเช่นนั้น เฮอร์ไมโอนี่ซึ่งไม่ติดใจที่จะถามอะไรต่อก็ทำได้แค่ซบใบหน้าของเธอลงบนแผ่นอกของชายผู้ที่เป็นสามีของเธอขณะที่ในใจของเธอได้แต่ภาวนาของให้สิ่งที่ชายผมบลอนด์กล่าวนั้นเป็นเรื่องจริงและขอให้แผนการที่เธอตั้งใจจะทำในวันนี้นั้นสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี
…………………………………………….
หลังจากเสียเวลาให้กับการปรับความเข้าใจและการปลอบโยนกันอยู่ครู่หนึ่งแล้ว และเมื่อแน่ใจว่าเฮอร์ไมโอนี่นั้นหายจากอาการโศกเศร้าเสียใจแล้วนั้น นายลูเซียสก็ได้รั้งตัวภรรยาของเขาออกจากอ้อมกอดของเขาพร้อมกับสำรวจใบหน้างามของเธออีกครั้งเพื่อแน่ใจว่าไม่มีหยาดน้ำตาใด ๆ หลั่งไหลมาจากดวงตาคู่สวยของหญิงสาวอีกต่อไปแล้ว และเมื่อเป็นเช่นนั้น หลังจากที่เขาใช้นิ้วโป้งของเขาเช็ดคราบน้ำตาที่เกือบจะแห้งออกจากแก้มของเฮอร์ไมโอนี่แล้วนั้นเขาก็เชื้อเชิญเธอมานั่งที่ชุดโซฟาที่เขากำลังดื่มชาอยู่เมื่อครู่ก่อนที่เธอจะเข้ามา
นายลูเซียสพาเฮอร์ไมโอนี่มานั่งที่โซฟาก่อนจะเอ่ยปากถามเธอว่าเธอต้องการจะดื่มอะไรซักหน่อยไหม และหลังจากหญิงสาวพยักหน้านายลูเซียสก็ลงมือรินน้ำชาใส่แก้วใบที่ว่างเปล่าอีกใบหนึ่งให้เธอ ขณะที่อีกฝ่ายนั้นจ้องมองการกระทำของเขาด้วยท่าทีประหม่าระคนประหลาดใจ เพราะภาพที่ลูเซียส มัลฟอยกำลังลงมือรินชาให้คนอื่นนั้นน่าจะเป็นภาพที่หาดูได้ยากแห่งปีเลยก็ว่าได้ ถึงแม้ว่าคนที่ชายผมบลอนด์กำลังรินชาให้อยู่นั้นจะเป็นเธอซึ่งเป็นภรรยาที่ถูกต้องของเขาก็ตาม
แต่ก่อนที่นายมัลฟอยจะได้ส่งถ้วยชาดังกล่าวให้หญิงสาวนั้นมือใหญ่ของเขาก็ชะงัก ใบหน้าเย็นชาของชายผมบลอนด์แลดูครุ่นคิดก่อนที่เขาจะตัดสินใจวางถ้วยชาลงและพูดขึ้นมาดัง ๆ ว่า “ฮ็อบบี้!”
สิ้นเสียงของนายมัลฟอยเอลฟ์ร่างจ้อยก็ปรากฎตัวขึ้นพร้อมกับเสียงดังป็อป
“นายท่านมีอะไรให้ฮ็อบบี้รับใช้หรือขอรับ” มันกล่าวก่อนจะก้มศีรษะลงอย่างนอบน้อม ขณะที่นายลูเซียสสั่งขึ้นอย่างเรียบ ๆ ขึ้นว่า
“น้ำชานี่เย็นหมดแล้ว แกเอาไปเปลี่ยนมาใหม่ แล้วก็เอาของว่างของนายหญิงมาให้ด้วย” เขาพูดก่อนจะหันมาทางเฮอร์ไมโอนี่ขณะที่เอลฟ์รับคำอย่างแข็งขัน “เธออยากจะได้อะไรเป็นพิเศษไหม” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบหากแต่แฝงไว้ด้วยความอ่อนโยน และเมื่อหญิงสาวกล่าวปฏิเสธว่าเธอไม่ต้องการอะไรเพิ่มพร้อมกับขอบคุณ นายมัลฟอยก็หันไปสั่งให้เอลฟ์ร่างจ้อยที่กำลังมองมาทางทั้งสองด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความปิติยินดีที่ได้เห็นนายหญิงกับนายท่านของมันคืนดีกันอีกครั้งพร้อมกับทวนคำสั่งของเขาแล้วกำชับมันให้เอาของที่สั่งมาให้เขาอย่างเร็วที่สุด
และเมื่อสิ้นคำสั่งของนายมัลฟอย ฮ็อบบี้ก็ก้มศีรษะของมันลงต่ำจนจมูกยาว ๆ ของมันแทบจะจรดพื้นก่อนที่มันจะหายวับไปพร้อมกับเสียงดังป็อป
แต่ฮ็อบบี้ก็หายตัวไปได้ไม่นานนักเพราะอีกเพียงครู่เดียวมันก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับถาดเงินที่บรรจุน้ำชาและของว่างตามที่นายมัลฟอยสั่ง และหลังจากจัดวางของว่างลงบนโต๊ะรวมทั้งลงมือรินชาให้กับนายท่านและนายหญิงของมันแล้วนั้น ฮ็อบบี้ก็กล่าวอำลาทั้งสองก่อนจะออกจากห้องไปพร้อมกับเสียงดังป็อปทิ้งให้เฮอร์ไมโอนี่อยู่ตามลำพังกับสามีของเธอในห้องนอนใหม่ของเขาอีกครั้ง
หากแต่การอยู่ด้วยกันตามลำพังในครั้งนี้ของทั้งสองนั้นไม่ได้สร้างความลำบากใจให้กับหญิงสาวมากเท่าไหร่นัก ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะถ้อยคำสัญญาที่นายลูเซียสได้ให้ไว้กับเธอเมื่อครู่นั้นเปรียบเสมือนหลักประกันให้กับเธอในระดับหนึ่งแล้วว่าชายตรงหน้าจะไม่ล่วงเกินร่างกายของเธออีกโดยที่เธอไม่ยินยอม และเมื่อคิดได้เช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่ที่มีท่าทีผ่อนคลายขึ้นกว่าเมื่อครั้งแรกที่เธอก้าวเข้ามาในห้องนอนใหม่ของนายมัลฟอยมาแล้วนั้นก็ลงมือจิบน้ำชาของตนเบา ๆ แต่ก่อนที่เฮอร์ไมโอนี่จะได้จัดการกับชาของเธอจนหมดนั้น มือใหญ่ของนายลูเซียสก็เลื่อนถาดของว่างเข้ามาตรงหน้าเธอ
แม้จะตกใจไม่น้อยกับการเคลื่อนไหวของร่างใหญ่ตรงหน้าแต่หญิงสาวก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกไป นอกจากการที่ดวงหน้างามของเธอจะเงยขึ้นมองร่างใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้นก่อนที่เขาจะพูดออกมา
“ทานเสียหน่อยสิ” นายลูเซียสพูดขึ้นเรียบ ๆ หากแต่แววตาที่เขาใช้มองเธอนั้นแสดงออกถึงความอ่อนโยนรวมถึงเป็นห่วงเป็นใย และเมื่อเห็นเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่จึงค่อย ๆ เลื่อนมือของเธอมาหยิบขนมชิ้นหนึ่งขึ้นมาจากถาดและกัดมันเบา ๆ ท่ามกลางสายตาของนายมัลฟอยที่กำลังเฝ้าดูเธออยู่ ก่อนจะส่งยิ้มให้อีกฝ่ายก่อนที่จะยกน้ำชาขึ้นจิบ และถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้รู้สึกลำบากใจที่จะต้องอยู่กับสามีของเธอเพียงสองต่อสองในห้องนอนใหม่ของเขาแล้วก็ตาม แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็อดรู้สึกประหม่ายามที่เธอถูกจ้องมองด้วยดวงตาสีเงินของฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ และหญิงสาวก็รู้ดีว่า ไม่ว่าเธอจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับนายมัลฟอยไปเนิ่นนานเพียงใดก็ตาม เธอก็ไม่อาจจะทำใจคุ้นเคยหรือรู้สึกเป็นปกติเมื่อถูกจ้องมองด้วยดวงตาที่ราวกับจะแทงทะลุหัวใจเธอของเขาได้เลย ยิ่งการถูกดวงตาของนายมัลฟอยคู่นั้นจ้องมองอย่างพินิจพิจารณาอย่างคราวนี้แล้วนั้น ยิ่งทำให้หญิงสาวรู้สึกประหม่าอย่างบอกไม่ถูกราวกับว่าเธอกำลังถูกเขาอ่านทุก ๆ อากัปกริยาของเธอก็ไม่ปาน
และเป็นเพราะเธอมัวแต่รู้สึกประหม่าอยู่เองนั้น ทำให้เฮอร์ไมโอนี่แทบจะไม่ได้ยินสิ่งที่ชายผมบลอนด์กำลังพูดกับเธออยู่ในตอนนี้ เสียงของนายลูเซียสที่ดังขึ้นนั้นราวกับมันล่องลอยมาจากที่ไกลแสนไกลขณะที่หญิงสาวพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะปรับตัวให้เคยชินกับการถูกจ้องมองจากอีกฝ่าย รวมทั้งในตอนนี้เธอก็กำลังเริ่มกังวลแล้วว่าเธอจะทำอย่างไรต่อไปให้สามีของเธออยู่กับเธอไปตลอดทั้งค่ำคืนนี้หลังจากที่หญิงสาวสามารถขจัดปัญหาเรื่องที่นายมัลฟอยจะมาล่วงเกินร่างกายเธอโดยที่เธอไม่เต็มใจไปได้แล้ว
และเป็นเพราะว่าเธอกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเองอยู่นั้น มันจึงทำให้ชายผมบลอนด์ต้องย้ำในสิ่งที่เขาพูดกับเธอเป็นครั้งที่สองเธอจึงจะได้รู้สึกตัว
“คะ” เฮอร์ไมโอนี่พูดขึ้นมาพร้อมกับเงยหน้าขึ้นจากถ้วยชาของตัวเองแล้วมองอีกฝ่ายอย่างงงงวย ขณะที่สามีของเธอจ้องมองเธอด้วยแววตาสงสัย
“ฉันถามเธอว่าเธอชอบขนมที่ทานไหม” เขาถามซ้ำขึ้นอีกครั้ง และถึงแม้ว่าเฮอร์ไมโอนี่จะต้องใช้เวลาครู่หนึ่งในการตอบคำถามนั้นออกไปก็ตามเธอก็สามารถเอ่ยมันออกไปด้วยรอยยิ้มที่ดูราวกับทุกอย่างอยู่ในสถานการณ์ปกติมากกว่าอะไรทั้งหมด
“ค่ะ อร่อยมากเลยค่ะ” เธอยิ้มพร้อมกับยกน้ำชาขึ้นจิบอีกครั้ง แต่ในคราวนี้หญิงสาวกับพบว่าถ้วยชาของเธอนั้นว่างเปล่า เธอจึงต้องรีบวางมันลงพร้อมกับทำท่าทีกลบเกลื่อนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่ถึงเฮอร์ไมโอนี่จะพยายามทำเช่นนั้นก็ตามแต่ทุก ๆ อิริยาบทของเธอนั้นก็ไม่อาจจะเล็ดลอดสายตาของอีกฝ่ายไปได้เลย เมื่อนายมัลฟอยที่กึ่งขบขันกึ่งแปลกใจกับท่าทีของหญิงสาวจนแทบจะยิ้มออกมานั้นเอ่ยปากถามขึ้น
“ถ้าเธอชอบก็ทานอีกสิ” เขากล่าวก่อนที่จะใช้มือใหญ่ของเขาเลื่อนถาดขนมนั้นมาทางเธออีกครั้งราวกับว่าเขาต้องการยกพวกมันให้เธอทั้งหมด ซึ่งมันเป็นจังหวะเดียวกับที่เฮอร์ไมโอนี่เลื่อนมือไปจับถาดขนมตรงหน้าพอดีทำให้มือของทั้งสองสัมผัสกันโดยบังเอิญ และในวินาทีนั้นเอง ถึงแม้จะรู้ดีว่าอีกฝ่ายนั้นรู้จักรวมทั้งสัมผัสร่างกายของเธอมามากกว่านี้แล้วเนื่องจากเขาเป็นสามีของเธอก็ตาม แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็อดที่จะรู้สึกประหม่าไม่ได้ ดวงหน้างามเงยหน้าขึ้นมองนายลูเซียสที่นั่งอยู่ห่างจากเธอเพียงแค่โต๊ะน้ำชากั้น ก่อนที่หญิงสาวจะตัดสินดึงถาดขนมนั้นมาไว้ตรงหน้าเธออย่างแช่มช้าส่งผลให้มือของพวกเขาแยกจากกันแทนที่จะชักมือออกมาอย่างกระทันหัน แต่ถึงแม้ว่าเฮอร์ไมโอนี่พยายามที่วางตัวให้ดูสุขุมเพียงใด แต่นายลูเซียสก็สามารถสังเกตเห็นพวงแก้มเนียนที่ขึ้นสีของหญิงสาวได้ไม่ยาก และเมื่อเห็นเช่นนั้นชายผมบลอนด์ก็อดยิ้มบาง ๆ ให้กับสิ่งที่เห็นไม่ได้เมื่อเขารู้ว่าภรรยาสาวของเขา เฮอร์ไมโอนี่ของเขานั้นเป็นหญิงสาวที่ซื่อบริสุทธิ์เพียงใด เพราะอาการหน้าแดงของเธอนั้นคงไม่ได้เป็นการเล่นละครตบตาเขาเป็นแน่ และเมื่อเป็นเช่นนี้ ภาพหญิงสาวผู้ใสซื่อบริสุทธิ์ตรงหน้าของนายมัลฟอยนั้นจึงไปลบเลือนภาพของผู้หญิงจัดจ้านที่นอกใจสามีของเธอเองไปกับเพื่อนสนิทของเขาเสียจนหมดสิ้น
และเมื่อคิดได้เช่นนั้น ความรู้สึกเอ็นดูที่เขามีต่อหญิงสาวตรงหน้าเหมือนในตอนช่วงแรก ๆ ที่พวกเขาแต่งงานกันจึงกลับมาอีกครั้ง อันที่จริงนายลูเซียสคิดอยากจะสัมผัสร่างเนียนตรงหน้ามากกว่านี้ เขาอยากจะใช้มือใหญ่ของเขาประคองใบหน้างามของเฮอร์ไมโอนี่ไว้และจูบเธอที่ริมฝีปากก่อนจะไล่ไปยังแก้มเนียนของเธอ เขาอยากจะเห็นท่าทีเขินอายของเธอยามที่เขาสัมผัสร่างกายของเธออีกครั้ง แต่ชายผมบลอนด์ก็ได้เพียงแต่คิดเท่านั้น เพราะเขารู้ดีว่าในตอนนี้ หลังจากที่เขาได้ให้สัญญาไปกับเธอแล้วว่าเขาจะไม่ล่วงเกินร่างกายของหญิงสาวโดยที่เธอไม่เต็มใจอีกนั้นส่งผลให้เขาไม่อาจจะทำอะไรลงไปโดยพลการได้ สิ่งที่เขาทำได้ในตอนนี้ก็เพียงแค่มองภาพภรรยาสาวที่แสนจะน่าเอ็นดูของเขาอยู่เงียบ ๆ เท่านั้น แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ในใจลึก ๆ ของนายลูเซียสนั้นก็รู้ดีว่ามันมีช่วงโหว่ในสัญญาที่เขาได้ให้ไว้กับเธออยู่ เพราะถึงแม้ว่าเขาจะสัญญากับเธอว่าจะไม่ล่วงเกินร่างกายของเธอโดยที่เธอไม่เต็มใจ แต่เขาก็สามารถแตะต้องเธอได้อีกครั้งถ้าหากเธอยินยอมพร้อมใจให้เขาทำเช่นนั้น และเขาก็คิดว่าการเปลี่ยนใจหญิงสาวตรงหน้าให้ยินยอมให้เขาได้มาใกล้ชิดกับเธออีกครั้งนั้นคงไม่ใช่สิ่งที่ยากเย็นจนเป็นไปไม่ได้ เพียงแค่ว่าเขาอาจจะต้องอดทนรอคอยเสียหน่อยเท่านั้น ใช่แล้ว เขาจะต้องรอคอยให้เธอไว้ใจเขาอีกครั้งให้ได้เสียก่อน และเมื่อถึงตอนนั้น ตอนที่เธอได้มอบความไว้วางใจให้เขาอีกครั้งแล้วนั้น ทุกอย่างก็จะกลับมาสู่สภาพเดิมอย่างที่มันเคยเป็นก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องราวบาดหมางระหว่างเขาและเธอ เพราะฉะนั้นสิ่งเดียวที่เขาต้องทำในตอนนี้คือการอดทนรอคอยและทำให้เธอไว้ใจเขาอีกหนให้ได้
ในขณะเดียวกันนั้นเฮอร์ไมโอนี่ผู้ที่กำลังลงมือรินน้ำชาถ้วยใหม่ให้ตนเองอยู่ก็ไม่รู้เลยว่านายลูเซียสผู้เป็นสามีของเธอนั้นมีแผนการที่เกี่ยวข้องกับตัวเธออย่างใดบ้าง เธอไม่รู้เลยว่าชายตรงหน้าวางแผนที่จะทำให้เธอไว้ใจอีกครั้งเพื่อปูทางไปสู่สิ่งที่เขาต้องการ คือการได้ครอบครองร่างกายรวมทั้งจิตใจของเธออีกครั้ง เพราะในขณะเดียวกันนั้นทางด้านหญิงสาวเองก็มีแผนการของเธออยู่ในใจเช่นกัน ซึ่งก็คือแผนการที่เธอได้ตกลงกับอาจารย์ของเธอไว้ว่าเธอจะกักตัวนายมัลฟอยให้อยู่กับเธอขณะที่สเนปออกไปตามหาเพื่อลบความทรงจำของเดรโก มัลฟอย และเมื่อคิดได้เช่นนั้น หลังจากผ่านการทุ่มเถียง รวมทั้งการดื่มชาที่น่าอึดอัดและชวนประหม่ามากที่สุดเท่าที่เธอเคยทำมาไปแล้วนั้น เฮอร์ไมโอนี่ก็ต้องคิดหาแผนการที่จะทำให้ชายผมบลอนด์อยู่กับเธอตลอดทั้งค่ำคืนนี้ หรืออย่างน้อย ๆ ก็นานเพียงพอที่จะเอื้ออำนวยให้สเนปทำภารกิจของเขาสำเร็จได้
และเมื่อคิดได้เช่นนั้น หลังจากผ่านช่วงเวลาที่เงียบเชียบและแทบจะไม่ได้พูดคุยกันระหว่างดื่มน้ำชาไปพอสมควรแล้ว เฮอร์ไมโอนี่จึงลดถ้วยชาของเธอลงและเริ่มเอ่ยปากชวนอีกฝ่ายคุย
“ปกติคุณดื่มชาตอนบ่ายประจำเลยเหรอคะ” เธอถามคำถามที่เรียบง่ายและใกล้ตัวที่สุดเท่าที่เธอจะนึกได้ออกมา ถึงแม้ว่ามันจะฟังดูไม่เหมือนคำถามที่ภรรยาควรจะถามสามีที่เธอควรจะรู้เรื่องของเขาดีมากกว่านี้ก็ตาม แต่นายมัลฟอยก็ไม่มีมีท่าทีแปลกใจกับคำถามนั้นของหญิงสาว ตรงกันข้ามเขากลับตอบออกมาอย่างราบเรียบ
“ฉันก็ดื่มชาเป็นปกติถ้าฉันไม่ได้ออกไปข้างนอกนะ” เขาพูดพร้อมกับจ้องมองอีกฝ่าย ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่เพิ่งรู้สึกว่าเธอไม่น่าถามคำถามดังกล่าวออกไปเลย เพราะมันดูเป็นคำถามที่โง่เง่ามาก รวมทั้งเป็นการบอกออกไปโต้ง ๆ ด้วยว่าเธอที่ไม่เคยดื่มชาตอนบ่ายกับนายลูเซียสเลยสักครั้งนั้นไม่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับสามีของเธอเลย แม้กระทั่งเรื่องเล็ก ๆ อย่างเช่นการดื่มชาที่เป็นกิจวัตรของเขาแบบนี้ แต่เมื่อหญิงสาวลองคิดดูอีกครั้งมันก็ไม่มีความจำเป็นอะไรเลยที่เธอจะต้องไปล่วงรู้เรื่องราวต่าง ๆ ของนายมัลฟอยในเมื่อการแต่งงานของพวกเขาครั้งนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่เธอเต็มใจจะให้เกิดขึ้นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
แต่ถึงจะคิดได้เช่นนั้น และถึงแม้ว่าคำถามแรกที่เฮอร์ไมโอนี่ใช้เปิดบทสนทนาระหว่างเธอกับชายผมบลอนด์นั้นอาจจะฟังดูโง่เง่าในสายตาของเขามากก็ตาม แต่หญิงสาวก็จำเป็นจะต้องหาเรื่องมาพูดคุยกับเขาต่อเพื่อดึงความสนใจของเขาไว้ตามที่เธอได้ตกลงกับสเนปเอาไว้ และเมื่อคิดได้เช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่จึงพยายามที่จะหาเรื่องเพื่อพูดคุยกับชายผมบลอนด์ต่อ
“แล้วปกติคุณทานน้ำชาที่ไหนเหรอคะ” เธอถามต่อขณะที่ในใจของหญิงสาวนั้นคิดว่าเธอไม่เคยเห็นเขาทานน้ำชาในคฤหาสน์หลังนี้แม้แต่เพียงครั้งเดียว ถึงแม้ว่าเธอจะมาอยู่ที่นี่ได้หลายอาทิตย์แล้วก็ตาม
“ก็แล้วแต่นะ” นายลูเซียสตอบพลางมองไปทางอื่นอย่างครุ่นคิด “บางครั้งฉันก็ทานในห้องทำงานของฉัน บางครั้งก็ในห้องนั่งเล่นชั้นล่างติดสวนของคฤหาสน์” เขากล่าว และเมื่อได้ยินเช่นนั้นหญิงสาวจึงถามต่อ
“สวนที่คุณเคยพาฉันไปหรือคะ” เธอเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความประหลาดใจ เนื่องจากเฮอร์ไมโอนี่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามีห้องนั่งเล่นที่ติดกับสวนของคฤหาสน์ด้วย แต่เมื่อลองมาคิดดูอีกที หญิงสาวก็พบว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดแต่อย่างใดที่เธอจะยังไม่รู้จักคฤหาสน์หลังนี้ดี เพราะเฮอร์ไมโอนี่เพิ่งมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นานบวกกับความจริงที่ว่าหญิงสาวมักจะใช้เวลาอยู่แค่ในห้องสมุดหรือห้องนอนของเธอเป็นส่วนใหญ่จึงทำให้เธอรู้จักคฤหาสน์ที่ตอนนี้เปรียบเสมือนที่พักถาวรของเธอหลังนี้ได้ไม่ทั่วถึงเท่าไหร่นัก
และในขณะที่เฮอร์ไมโอนี่กำลังครุ่นคิดเรื่องดังกล่าวอยู่นั้น นายลูเซียสก็ตอบเธออกมาด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก เมื่อเขานึกถึงวันที่สองหลังการแต่งงานของพวกเขาซึ่งเป็นวันที่เขาพาเธอไปเที่ยวชมคฤหาสน์ตามลำพัง
“ใช่ แต่ที่ ๆ ฉันเคยพาเธอไปจะเห็นได้แค่ริมสวนเท่านั้น” เขากล่าว “แต่สวนที่เธอว่านี่ถ้ามองจากระเบียงจะเห็นชัดกว่านั้นมาก” นายลูเซียสพูดอย่างอ่อนโยน และสิ่งที่เขาได้รับตอบกลับมาก็คือแววตาที่ดูกระตือรือร้นและตื่นเต้นราวกับเด็ก ๆ ของเฮอร์ไมโอนี่ขณะที่เธอตอบเขากลับมาว่า “เหรอคะ” พร้อมกับรอยยิ้มบาง ๆ ที่ผุดขึ้นที่มุมปากของเธอ รอยยิ้มที่เขาไม่มีโอกาสได้เห็นมันบ่อยนักโดยเฉพาะหลังจากที่เขาลงมือทำร้ายเธอในครั้งก่อนนั้น
และเป็นเพราะท่าทางดังกล่าวบวกกับรอยยิ้มของหญิงสาวนั้นเองที่ทำให้ชายผมบลอนด์อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเอ็นดูเธอมากขึ้นจากเดิมที่เขาก็รู้สึกเอ็นดูเธออยู่แล้วแม้ว่าจะมีหลายครั้งที่หญิงสาวตรงหน้าของเขาจะทำตัวดื้อรั้นและก่อปัญหาให้เขาต้องหนักใจก็ตาม แต่ในครั้งนี้ อาจจะเป็นเพราะรอยยิ้มที่สดใสของเธอที่เขาเพิ่งได้เห็นมันอีกครั้งก็เป็นได้ที่ทำให้นายลูเซียสยิ้มตามเธอได้อย่างไม่อยากเย็นอะไรพร้อมกับความรู้สึกเอ็นดูของเขาที่มีต่อเธอที่ทับทวีมากขึ้น จนนายมัลฟอยถึงกับต้องการจะตามใจเฮอร์ไมโอนี่โดยการพาเธอไปชมสวนสวยดังกล่าวที่เธอไม่มีโอกาสได้เห็นจากปีกตะวันออกซึ่งเป็นที่พักของเธอด้วยซ้ำ เนื่องจากนายลูเซียสคิดว่าเขาอาจจะได้เห็นรอยยิ้มของเธอมากขึ้นหากเขาพาเธอไปชมสวนที่เธอท่าทีสนใจมันแบบนี้ และเมื่อคิดได้เช่นนั้นนายมัลฟอยจึงลุกขึ้นพร้อมกับเดินมาหาภรรยาสาวของเขาก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า
“มาสิ ฉันจะพาเธอไปดูสวนที่ว่า” เขากล่าวพลางยื่นมือใหญ่ของเขาให้เธอจับ ขณะที่หญิงสาวตรงหน้านั้นเงยหน้ามองเขา ดวงตาสีน้ำตาลของเธอนั้นมีร่องรอยของความลังเลใจปรากฎขึ้นแต่ก็เพียงชั่วครู่เท่านั้นก่อนที่เธอจะตัดสินใจวางมือเล็กของเธอลงบนมือใหญ่ของเขาและลุกขึ้นยืนเพื่อให้นายลูเซียสพาเธอไปยังระเบียงเพื่อชมสวนอันทอดตัวยาวอยู่ที่เบื้องล่างของคฤหาสน์
…………………………………………….
ไม่นานนักร่างของทั้งสองก็เดินมาถึงระเบียงห้องนอนใหม่ของนายมัลฟอยซึ่งเป็นระเบียงสีขาวรูปทรงงดงามขนาดกว้างขวางปูด้วยหินแกรนิตอย่างดี แต่ความงดงามรวมทั้งความละเอียดปราณีตของสถาปัตยกรรมของคฤหาสน์มัลฟอยนั้นก็ไม่อาจจะเทียบกับความงดงามของสวนของคฤหาสน์เมื่อมองจากมุมสูงได้ เพราะสิ่งที่เฮอร์ไมโอนี่เห็นยามทอดสายตามองไปเบื้องล่างในขณะนี้นั้นก็คือสวนที่ถูกตัดแต่งอย่างงดงามและเต็มไปด้วยดอกไม้หลากสีสันที่แข่งกันออกดอกชูชันอย่างงดงามแม้ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงซึ่งปกติแล้วพืชพันธุ์ต่าง ๆ นั้นจะโรยราและดอกไม้ก็จะเหี่ยวเฉาลงตามธรรมชาติของช่วงเวลานี้ และในขณะที่กำลังชื่นชมความงามของสวนเบื้องล่างที่มองมาจากปีกตะวันตกอยู่นั้นหญิงสาวก็อดสงสัยไม่ได้เลยว่าที่สวนดังกล่าวนั้นมีการใช้เวทย์มนต์เพื่อช่วยให้ดอกไม้เหล่านี้ยังคงเบ่งบานอยู่ได้แม้ในช่วงเวลานี้ของปีหรือไม่
และเป็นเพราะการได้เห็นภาพทิวทัศน์ที่น่าตื่นตาตื่นใจตรงหน้าซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้จากปีกตะวันออกอันเป็นที่ตั้งของห้องนอนของเธอได้แล้วนั้น เฮอร์ไมโอนี่จึงอดไม่ได้ที่จะชื่นชมภาพทิวทัศน์ตรงหน้าด้วยความสนใจระคนประทับใจ หญิงสาวค่อย ๆ เดินไปที่ริมระเบียงที่ทำจากหินแกะสลักลวดลายงดงาม มือเล็กของเธอแตะขอบระเบียงสีขาวสะอาดขณะที่สายตาของเธอกำลังดื่มด่ำกับทัศนียภาพเบื้องหน้าตั้งแต่สวนที่ถูกตกแต่งอย่างสวยงามเบื้องล่าง น้ำพุซึ่งถูกจัดวางอย่างปราณีตอยู่ท่ามกลางสวนสวย เลยไปยังภูเขาที่อยู่ไกลออกไปซึ่งดวงอาทิตย์กำลังคล้อยต่ำเตรียมที่จะลาลับขอบฟ้าในอีกไม่นาน และอาจจะเป็นเพราะเธอมัวแต่ดื่มด่ำกับความงดงามของธรรมชาติซึ่งแตกต่างไปจากทิวทัศน์ที่สามารถมองเห็นจากปีกตะวันออกอันเป็นที่ตั้งของห้องนอนเธออยู่นั้นเอง ทำให้หญิงสาวไม่รู้ตัวถึงการมาของชายผมบลอนด์ที่กำลังเดินเข้ามาใกล้เธอเลยแม้แต่น้อย และกว่าที่เฮอร์ไมโอนี่จะรับรู้ถึงการมาของสามีของเธอนั้นก็เป็นตอนที่ร่างใหญ่ของนายมัลฟอยเข้ามาประชิดร่างเล็กของเธอเสียแล้ว
นายลูเซียสเคลื่อนตัวเข้ามาประชิดหญิงสาว รวมทั้งเขาได้ใช้มือข้างหนึ่งของเขาอ้อมร่างเล็กของเฮอร์ไมโอนี่ไปจับราวระเบียงซึ่งส่งผลให้ร่างของเธอตกอยู่ในอ้อมแขนของเขา และถึงแม้ว่าจะแปลกใจกับการที่ร่างใหญ่เข้ามาใกล้ชิดเธอถึงขนาดนี้ก็ตาม แต่ก่อนที่เฮอร์ไมโอนี่จะได้เอ่ยปากพูดอะไรออกไปเมื่อชายผมบลอนด์ก็ชิงพูดขึ้นก่อน
“เธอชอบไหม” เขาถามพลางก้มมองร่างเล็กที่แทบจะเรียกได้ว่าอยู่ในอ้อมแขนของเขาในตอนนี้ด้วยท่าทีปกติมากที่สุดราวกับว่าการที่เขาแทบจะรั้งร่างของหญิงสาวไว้ในอ้อมแขนของเขาแบบนี้นั้นไม่ใช่เรื่องผิดแปลกแต่อย่างใด และเมื่อเป็นเช่นนั้น ทางด้านเฮอร์ไมโอนี่ซึ่งรู้ดีกว่าการไปขัดขืนหรือโต้แย้งอะไรชายผมบลอนด์ออกไปนั้นอาจจะทำให้ความสัมพันธ์ที่บอบบางภายใต้ข้อตกลงและเงื่อนไขต่าง ๆ ที่พวกเขาสร้างขึ้นเกิดการสั่นคลอนได้ เธอจึงจำเป็นต้องปล่อยเรื่องที่นายลูเซียสเข้ามาใกล้ชิดเธอมากเกินไปในครั้งนี้ให้ผ่านเลยไปและทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้ว่าในตอนนี้ตัวเธอเองนั้นจะไม่ต่างกับถูกชายตรงหน้าสวมกอดไว้อย่างหลวม ๆ ก็ตามเมื่อเธอตัดสินใจเอ่ยปากตอบออกมา
“ชอบค่ะ วิวที่มองจากระเบียงนี้สวยจริง ๆ ค่ะ” เธอกล่าวพลางแสร้งมองทิวทัศน์เบื้องหน้าโดยไม่สบตาร่างที่อยู่ข้างกาย
“วิวที่ฝั่งตะวันออกไม่เหมือนที่นี่เลยค่ะ” หญิงสาวพูดออกมา “ฉันหมายถึงวิวฝั่งนั้นก็สวยค่ะ แต่มันแตกต่างกับฝั่งนี้มากทีเดียว” เฮอร์ไมโอนี่รีบสำทับเมื่อเธอคิดได้ว่าเธอพูดอะไรที่ไม่เหมาะสมออกไป เพราะการพูดเปรียบเทียบว่าทิวทัศน์จากห้องนอนของเธอนั้นไม่งดงามเท่าทิวทัศน์ที่มองจากฝั่งตะวันตกแห่งนี้เป็นคำพูดไม่ค่อยจะเหมาะสมเสียเท่าไหร่นัก เพราะสามารถถูกเข้าใจไปได้ว่าเธอไม่พอใจวิวที่มองจากฝั่งตะวันออก รวมทั้งเฮอร์ไมโอนี่ไม่ต้องการจะให้นายลูเซียสเข้าใจว่าเธอไม่พอใจที่เขาจัดให้ห้องนอนของเธอรวมถึงของเขาด้วยไว้ทางฝั่งตะวันออกเธอจึงต้องรีบพูดเสริมออกไปเช่นนั้น แต่เมื่อหญิงสาวพบว่าหลังจากที่เธอพูดจบ ร่างที่ตอนนี้อยู่เกือบจะแนบชิดกับเธอนั้นนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งเธอจึงเงยหน้าขึ้นเพื่อมองเขา
และเมื่อเธอทำเช่นนั้น สิ่งที่เธอได้เห็นก็คือสีหน้าที่แปลกประหลาดของชายผมบลอนด์ซึ่งมันแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าเขารู้สึกอึดอัดมากกว่าอะไรทั้งหมด ในตอนแรกเฮอร์ไมโอนี่จึงเข้าใจไปว่าเขาคงไม่พอใจที่เธอพูดออกไปเช่นนั้น เธออาจจะพูดอะไรที่ไม่ถูกไม่ควรออกมาจนทำให้ชายผมบลอนด์รู้สึกอึดอัดก็เป็นได้ แต่เมื่อหญิงสาวได้เห็นสีหน้ารวมถึงท่าทางของนายมัลฟอยอย่างชัดเจนแล้วนั้น เธอก็เข้าใจในทันทีว่าสิ่งที่ทำให้เขาอึกอัดนั้นไม่ได้มาจากคำพูดของเธอ แต่มันมาจากบางสิ่งบางอย่างซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่มีเหตุผลที่ชัดเจนมารองรับสมมติฐานของเธอก็ตาม แต่เมื่อได้เห็นสีหน้าดังกล่าวของสามีแล้วเฮอร์ไมโอนี่ก็คาดเดาไปเองว่า มันอาจจะเป็นความตั้งใจของชายผมบลอนด์เองที่จะให้เธอรวมทั้งตัวเขาเองด้วยพักอยู่ที่ปีกตะวันออกของคฤหาสน์หลังจากงานแต่งงาน ทั้ง ๆ ที่วิวทิวทัศน์รวมถึงการตกแต่งของปีกตะวันออกนั้นไม่อาจจะเทียบกับปีกตะวันตกได้ แต่นั่นอาจจะเป็นเพราะว่าปีกตะวันตกนี้นั้นเป็นที่ตั้งของห้องนอนเก่าของเขารวมทั้งเป็นสถานที่ที่มีความทรงจำของชีวิตคู่ครั้งก่อนของเขากับนางนาร์ซิสซาก็เป็นได้ นายลูเซียสจึงเลือกที่จะเริ่มต้นการแต่งงานครั้งใหม่ของเขาด้วยการเลือกเรือนหอที่ห่างจากปีกตะวันตกมากที่สุดอย่างห้องนอนที่อยู่สุดทางเดินของปีกตะวันออกที่เฮอร์ไมโอนี่พักอยู่ในปัจจุบันนี้
และแม้ว่าหญิงสาวจะได้ทราบข้อมูลอันมาจากข้อสันนิษฐานของตนเองเกี่ยวกับนายลูเซียสผู้เป็นสามีของเธอเพิ่มขึ้นมาแล้วก็ตาม แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็รู้ดีว่าข้อมูลดังกล่าวนี้ไม่อาจช่วยเหลือเธอในด้านใดได้เลยในสถานการณ์เช่นนี้ หากแต่สิ่งที่เธอจะต้องทำเพื่อช่วยเหลือทั้งอดีตอาจารย์ของเธอและตัวเธอเองนั้นก็คือการถ่วงเวลานายมัลฟอยไว้ให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ และเมื่อคิดได้เช่นนั้นหญิงสาวจึงละความสนใจจากเรื่องราวที่เธอเพิ่งค้นพบ ก่อนที่จะพุ่งความสนใจไปยังหัวข้อสนทนาที่เธอจะต้องนำขึ้นมาชวนชายผมบลอนด์พูดคุยต่อเพื่อดึงความสนใจของนายลูเซียสให้อยู่กับเธอนานที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้แทน
และเมื่อเป็นเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่จึงละสายตาจากสีหน้าที่แสดงถึงความอึดอัดของสามีก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองมองทิวทัศน์เบื้องล่างและเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“ตรงนั้นคืออะไรหรือคะ” เธอกล่าวพลางชี้มือไปยังแนวต้นไม้ที่อยู่ไกลออกไปทางซ้ายมือของเธอซึ่งเป็นซุ้มประตูหินอ่อนสีขาวตั้งเด่นอยู่ท่ามกลางแมกไม้ที่บดบังสายตาของเธอจากสิ่งที่อยู่เบื้องหลังมันเอาไว้
ความตั้งใจในการถามคำถามนี้ของเฮอร์ไมโอนี่นั้นคือการเปิดบทสนทนาใหม่ขึ้นเพื่อจะทั้งเธอและเขาออกจากการสนทนาที่น่ากระอักกระอ่วนใจซึ่งเธอเป็นผู้เริ่มขึ้นเมื่อครู่ แต่หญิงสาวกลับไม่รู้เลยว่าคำถามนี้ของเธอนั้นกลับยิ่งทำให้อีกฝ่ายนั้นรู้สึกลำบากใจมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีกเมื่อเขาตอบคำถามของเธอออกมาด้วยน้ำเสียงซึ่งเขาต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งที่จะทำให้มันดูสุขุมว่า
“ตรงนั้นเป็นทางเข้าสุสานของตระกูลมัลฟอย” นายลูเซียสเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อด้วยท่าทีอึดอัดใจหากแต่เขาก็พยายามรักษาท่าทีเรียบเฉยไว้ “สมาชิกของตระกูลเราถูกฝังที่นั่นมาหลายรุ่นแล้ว” และเมื่อได้ยินเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่ที่รู้ว่าเธอได้ถามคำถามผิดไปเสียแล้วนั้นจึงรีบพูดขึ้นว่า
“ฉันขอโทษค่ะ ลูเซียส ฉันไม่รู้……” หญิงสาวพยายามพูด หากแต่สามีของเธอกลับตัดบทขึ้นก่อน
“ไม่เป็นไรหรอก ตอนนี้เธอก็เป็นมัลฟอยคนนึงแล้ว เธอมีสิทธิ์ที่จะรู้” เขากล่าวด้วยท่าทีเรียบเฉย แต่เขากลับชักแขนที่โอบร่างของเธอกลับมาไว้ข้างตัวแทน และเมื่อเห็นเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่ที่คิดว่าเธอไม่น่าถามคำถามโง่เง่าพวกนั้นออกไปครั้งแล้วครั้งเล่าเลยก็รู้สึกใจหายและโกรธตัวเองไม่น้อย เมื่อเธออาจจะเป็นคนที่ทำแผนการที่เธอและสเนปตกลงกันไว้อย่างดีแล้วนั้นพังทลายลงก็เป็นได้ แต่ถึงจะคิดเช่นนั้นก็ตาม หญิงสาวก็ไม่อาจจะยอมให้แผนการซึ่งเป็นตัวตัดสินชะตากรรมของสายลับเพียงคนเดียวของดัมเบิลดอร์รวมถึงของตัวเธอเองด้วยจะต้องมาพังครืนลงตรงหน้าเธอได้เป็นแน่ เมื่อเฮอร์ไมโอนี่ใช้เวลาครุ่นคิดอยู่เพียงครู่เดียวเท่านั้นก่อนที่เธอจะพูดออกไป
“ฉันเสียใจค่ะ ฉันก็แค่สงสัยเท่านั้น……..” เธอเริ่มพูดก่อนจะกัดริมฝีปากราวกับว่าเธอกำลังตัดสินใจว่าจะพูดต่อไปจนจบดีหรือไม่ก่อนที่เธอจะพูดต่อ
“แต่ดูเหมือนว่าบางครั้งฉันก็ควรจะเก็บความสงสัยของฉันไว้บ้าง” เธอพูดด้วยน้ำเสียงต่ำราวกับเธอรู้สึกผิด และเฮอร์ไมโอนี่ก็คิดเช่นนั้นจริง ๆ แต่เธอไม่ได้รู้สึกผิดในฐานะที่เธออาจพูดสิ่งที่ชายผมบลอนด์ไม่อยากจะได้ยินออกไป แต่เธอกลับรู้สึกไม่พอใจที่ตัวเธอเองได้ถามคำถามที่อาจจะไปทำลายบทสนทนาอันราบรื่นของเธอกับนายมัลฟอยออกไป จนมันอาจจะไปทำให้เขาไม่ต้องการจะพูดคุยกับเธอต่อทั้ง ๆ ที่ในตอนนี้สิ่งที่เธอต้องการมากกว่าอะไรทั้งหมดก็คือการรั้งตัวนายลูเซียสให้อยู่กับเธอนานที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้ แต่มันกลับกลายเป็นว่าแผนการระหว่างเธอกับสเนปครั้งนี้นั้นอาจจะต้องล้มเหลวลงเพียงเพราะการพูดโดยไม่คิดไตร่ตรองให้ดีเสียก่อนของเธอเอง!
และเมื่อคิดได้เช่นนั้น ขณะที่อีกฝ่ายยังคงนิ่งเงียบกับคำขอโทษที่เธอได้พูดออกไปนั้น หญิงสาวก็เพิ่งรู้ตัวเป็นครั้งแรกว่าบางครั้งเธอก็อาจจะอยากรู้อยากเห็นมากเกินไปอย่างที่อดีตอาจารย์ของเธอเคยพูดสมัยตอนที่เธอเรียนอยู่ที่ฮอกวอตส์จริง ๆ และในขณะที่เฮอร์ไมโอนี่กำลังเตรียมใจรับกับสถานการณ์ที่เลวร้ายอย่างเช่นว่า นายลูเซียสรู้สึกรำคาญกับคำถามที่ไปสะกิดใจของเขาครั้งแล้วครั้งเล่าจนเขาไล่เธอออกจากห้องนอนเป็นครั้งที่สองของวันนี้อยู่นั้น หญิงสาวก็รู้สึกถึงสายตาของร่างใหญ่ตรงหน้าที่กำลังจ้องมองเธอพร้อมกับมือใหญ่ของเขาที่ยกขึ้นมาสัมผัสเส้นผมของเธออย่างแผ่วเบาก่อนที่เขาจะพูดขึ้นว่า
"ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรเธอนี่ อีกอย่างฉันก็ชักจะชินกับนิสัยนี้ของเธอเสียแล้วล่ะ” เขาพูดพลางลูบศีรษะของเธออย่างอ่อนโยน ราวกับสำหรับเขาแล้วนั้น เธอไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าเด็กตัวเล็ก ๆ ที่อยากรู้อยากเห็นตามประสาเด็กเท่านั้น และเมื่อเห็นเช่นเฮอร์ไมโอนี่จึงกระพริบตาด้วยความแปลกใจ แต่ก่อนที่จะห้ามตัวเองได้ทันอีกครั้งหญิงสาวก็พบว่าตัวเองได้เอ่ยปากถามชายผมบลอนด์ออกไปอีกหน
“คุณไม่โกรธฉันหรือคะ” เธอถามออกมาตามตรง และสิ่งที่เธอได้รับแทนคำตอบจากสามีของเธอก็คือรอยยิ้มบาง ๆ ที่ผุดขึ้นบนริมฝีปากบางซึ่งปกติมักจะประดับด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์หรือเหยียดหยันเสียมากกว่า แต่ในคราวนี้นายลูเซียสกลับยิ้มให้เธออย่างเอ็นดูราวกับเธอเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ ที่ทำผิดเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์เท่านั้นก่อนที่เขาจะพูดขึ้น
“ไม่หรอก” เขาพูดพลางใช้มือใหญ่ของเขาปัดปอยผมที่โดนลมยามเย็นพัดขึ้นทัดหูเธอก่อนที่เขาจะเสริมขึ้น “ครั้งนี้ฉันไม่โกรธเธอหรอก”
เขาเสริมขึ้นด้วยประโยคที่มีใจความว่าไม่ใช่ทุกครั้งที่เขาจะไม่โกรธเธอเพราะนิสัยอยากรู้จนบางครั้งหลายคนก็รู้สึกรำคาญกับมัน ถ้าเป็นในสถานการณ์ปกติแล้วนั้น เฮอร์ไมโอนี่คงจะไม่รู้สึกกังวลเลยแม้แต่น้อยว่าความอยากรู้อยากเห็นของเธอหรือการที่เธอชอบเอ่ยปากถามเรื่องที่เธอสงสัยออกมาตรง ๆ โดยไม่คิดทบทวนให้ดีก่อนนั้นจะทำให้นายลูเซียสรำคาญใจหรือไม่ ตรงกันข้ามหญิงสาวกลับไม่ใส่ใจด้วยซ้ำว่าสามีของเธอจะคิดว่าเธอน่ารำคาญหรือรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับนิสัยนี้ของเธอไหม แต่ในครั้งนี้หญิงสาวจำเป็นที่จะต้องใส่ใจกับความรู้สึกของเขาเนื่องจากเธอต้องการจะรั้งตัวเขาให้อยู่กับเธอไปตลอดทั้งค่ำคืนนี้ ดังนั้นในสถานการณ์เช่นนี้เฮอร์ไมโอนี่ที่จำเป็นต้องใส่ใจต่อความรู้สึกของชายผมบลอนด์มากเป็นพิเศษ จนทำให้หญิงสาวที่รู้สึกผิดกับสิ่งเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นนั้นตัดสินใจพูดออกไป
“แต่มันอาจจะไม่ใช่นิสัยที่ดีเท่าไหร่นักหรอกค่ะ…” เธอหยุดครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “มี…..หลายคนที่ไม่ชอบนิสัยนี้ของฉัน” เฮอร์ไมโอนี่กล่าวออกมาในที่สุด และถึงแม้ว่าถ้อยคำนั้นจะเปรียบเสมือนการยอมรับความผิดของเธอต่อคำพูดที่อาจจะไม่ถูกกาลเทศะเท่าไหร่นักเมื่อครู่นี้ก็ตาม แต่การที่เธอทำเช่นนั้นก็ไม่อาจจะไปลบเลือนรอยยิ้มที่มุมปากและแววตาอ่อนโยนที่นายลูเซียสมีต่อเธอได้เลยเมื่อเขาฟังเธอพูดต่อ
“เพราะอย่างนี้ ฉันก็เลยคิดว่า บางทีฉันก็น่าจะคิดก่อนพูดซักนิด มันน่าจะดีกว่านี้น่ะค่ะ” เธอกล่าวพลางสังเกตท่าทีของฝ่ายตรงข้าม แต่นายลูเซียสนั้นกลับไม่ตอบอะไรออกมา มีเพียงแค่ดวงตาสีเงินที่ปกติจะแลดูเย็นชาของเขาเท่านั้นที่กำลังมองสำรวจใบหน้าของหญิงสาวด้วยสายตาอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะพูดออกมา
“ฉันบอกแล้วไงว่าฉันชักชินกับนิสัยนี้ของเธอแล้ว เพราะฉะนั้นฉันก็เลยคิดว่าเธอไม่จำเป็นจะต้องเปลี่ยนอะไรหรอก” เขาพูดด้วยท่าทีเรียบเฉยหากแต่แววตาที่ใช้มองเธอนั้นกลับแฝงไว้ด้วยความอ่อนโยน แต่ก่อนที่หญิงสาวจะได้พูดอะไรออกไปหรือจะได้คิดว่าเธอควรจะดำเนินบทสนทนาระหว่างเธอกับชายผมบลอนด์ไปในทิศทางไหนดีนั้น นายลูเซียสก็ชิงพูดขึ้นก่อน
“อีกอย่างฉันก็ไม่เคยบอกเธอด้วยว่าตรงนั้นเป็นอะไร มันก็ไม่แปลกหรอกถ้าเธอจะถาม” เขากล่าว
และเมื่อได้ยินเช่นนั้น บวกกับการสังเกตอากัปกริยาของอีกฝ่ายตั้งแต่วินาทีแรกที่เธอก้าวเข้ามาในห้องนอนใหม่ของเขาแล้วนั้น เฮอร์ไมโอนี่ก็รู้ทันทีว่าทั้ง คำพูด กริยาท่าทาง และการเอาอกเอาใจเธอในแบบที่นายมัลฟอยแสดงออกมานั้น ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เปิดเผยมันออกมาตรง ๆ ก็ตาม แต่สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้นั้นน่าจะมาจากการที่เขารู้สึกผิดต่อการกระทำอันโหดร้ายที่เขาได้ทำลงไปกับเธอในคืนก่อนหน้านี้ และถึงแม้ว่านายลูเซียสจะไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขาเสียใจกับการกระทำของเขา หรือแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขาพยายามเอาอกเอาใจเธอเหมือนกับคู่รักทั่วไปยามฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ทำต่ออีกฝ่ายก็ตาม แต่สำหรับลูเซียส มัลฟอยแล้วนั้น แค่การที่เขาสัญญาว่าจะไม่ล่วงเกินร่างกายเธอโดยที่เธอไม่เต็มใจบวกกับการเอาอกเอาใจเล็ก ๆ น้อยจากเขา เพียงเท่านี้ก็มากเกินกว่าที่หญิงสาวคิดว่าเธอจะได้รับจากผู้เสพความตายเลือดเย็นผู้เป็นมือขวาของโวลเดอมอร์คนนี้แล้ว
และเมื่อเห็นเช่นนั้น เมื่อจะรู้แล้วว่าลึก ๆ แล้วว่าการที่ชายผมบลอนด์ต้องการเอาใจเธอเป็นเพราะเขารู้สึกผิดกับสิ่งที่เขาได้ทำลงไปก่อนหน้าก็ตาม แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็เห็นว่ามันเป็นโอกาสดีไม่น้อยที่เธอจะสามารถใช้มันเป็นเครื่องมือเพื่อทำให้แผนการของเธอสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี เพราะถ้าหากว่าหญิงสาวอ่านอากัปกริยาของอีกฝ่ายไม่ผิดไปล่ะก็ การที่นายลูเซียสรู้สึกผิดกับเธอจากการกระทำของเขาจนเขาพยายามมาเอาอกเอาใจเธอและพยายามโอนอ่อนให้กับเธอในบางเรื่องแล้วนั้น เฮอร์ไมโอนี่ก็จะสามารถใช้โอกาสนี้เพื่อรั้งตัวเขาให้อยู่กับเธอไปตลอดทั้งค่ำคืนนี้ได้ไม่ยาก และเมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้วหญิงสาวจึงเลือกที่จะดำเนินบทสนทนาต่อไปอย่างชาญฉลาดเมื่อเธอพูดต่อ
“จริง ๆ เป็นเพราะคฤหาสน์ของคุณกว้างใหญ่เกินไปมากกว่าค่ะ คุณอธิบายให้ฉันฟังไม่หมดว่าอะไรอยู่ที่ไหนบ้าง” เธอพูดในเชิงเอาอกเอาใจตอบหลังจากที่เสียเวลาครุ่นคิดอยู่เพียงชั่วครู่ก่อนที่จะตัดสินใจพูดออกมา
“ฉันสงสัยมานานแล้วค่ะว่าที่นี่สร้างขึ้นเมื่อไหร่หรือคะ” เฮอร์ไมโอนี่ถามออกไปด้วยสีหน้าและแววตาที่แสดงถึงความอยากรู้อยากเห็นมากกว่าอะไรทั้งหมด และถึงแม้ว่าสามีของเธอจะมีท่าทีแปลกใจในคำถามนี้ของเธอมากก็ตาม แต่หลังจากที่ดวงตาสีเงินของนายลูเซียสเลื่อนมามองหญิงสาวด้วยความประหลาดใจที่จู่ ๆ ที่ภรรยาสาวของเขาอยากรู้ประวัติของคฤหาสน์หลังนี้ขึ้นมาได้สบกับดวงตาที่ฉายแววอยากรู้อยากเห็นมากกว่าอะไรทั้งหมดของเฮอร์ไมโอนี่ ชายผมบลอนด์ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มบาง ๆ ให้กับสีหน้านั้นของเธอ ดวงตาสีเงินของเขามองหญิงสาวตรงหน้าด้วยแววตาเอ็นดูระคนอ่อนโยนก่อนที่เขาจะละสายตาไปมองสวนด้านล่างเมื่อเขาตอบคำถามของภรรยาออกมา
“คฤหาสน์หลังนี้เริ่มสร้างจริง ๆ ก็ในศตวรรษที่ 16 แต่ที่ดินผืนนี้น่ะ ตระกูลของเราได้มาครอบครอง ก่อนหน้านั้นแล้ว………” และแล้วนายลูเซียสเริ่มเล่าประวัติของคฤหาสน์ขึ้นท่ามกลางสายตาที่จับจ้องมาทางเขาอย่างอยากรู้อยากเห็นของหญิงสาวที่กำลังยืนอยู่เคียงข้างเขาภายใต้แสงอาทิตย์ยามเย็นที่สาดส่องเข้ามาจับร่างของพวกเขาและสายลมเย็นที่ห่อหุ้มร่างของทั้งสองไว้ท่ามกลางบรรยากาศที่สงบและสวยงาม ณ ระเบียงฝั่งตะวันตกของคฤหาสน์มัลฟอย
…………………………………………….
ท่ามกลางแสงอาทิตย์ใกล้อัสดงที่สาดส่องมาจับร่างสองร่างที่กำลังยืนอยู่ริมระเบียงห้องนอนปีกตะวันตกของคฤหาสน์มัลฟอยนั้น ลูเซียส มัลฟอยผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์แห่งนี้รวมถึงเป็นหัวหน้าครอบครัวมัลฟอยนั้นกำลังเล่าประวัติคร่าว ๆ ของการก่อสร้างคฤหาสน์ประจำตระกูลของเขารวมทั้งสถานที่ต่าง ๆ ในคฤหาสน์ซึ่งเขายังไม่ได้มีโอกาสพาเฮอร์ไมโอนี่ ภรรยาคนใหม่ของเขาที่เพิ่งแต่งงานและเข้ามาอยู่ที่คฤหาสน์แห่งนี้ได้ไม่นานไปเที่ยวชมได้อย่างทั่วถึง (แน่นอนว่าเขาเลือกที่จะไม่เอ่ยถึงห้องนอนเก่าของนางนาร์ซิสซาและห้องลับใต้ดินที่เขาใช้เก็บสิ่งของศาสตร์มืดเอาไว้ให้หญิงสาวได้ล่วงรู้แต่อย่างใด) ขณะที่ภรรยาสาวของเขาซึ่งก็คือเฮอร์ไมโอนี่ มัลฟอยนั้นกำลังฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ แม้ว่าลึก ๆ แล้วเหตุผลที่หญิงสาวตั้งใจฟังเรื่องราวเกี่ยวกับคฤหาสน์มัลฟอยซึ่งเป็นสถานที่สุดท้ายที่เธอต้องการจะมาใช้ชีวิตอยู่นั้นจะมาจากเหตุผลที่เธอจำเป็นจะต้องหาทางรั้งตัวนายลูเซียสให้อยู่กับเธอไปตลอดทั้งค่ำคืนนี้ตาม แต่ถ้าหากดูจากภายนอกแล้วนั้น จะดูราวกับว่าเฮอร์ไมโอนี่สนใจเรื่องที่ชายผมบลอนด์กำลังเล่าไม่น้อยทีเดียว โดยเฉพาะเมื่อนายมัลฟอยเล่าถึงเรื่องเวทย์มนต์เขาเสกขึ้นเพื่อทำให้ดอกไม้และต้นไม้ของคฤหาสน์ยังคงออกดอกเบ่งบานแม้ในยามในฤดูใบไม้ร่วงแบบนี้ ดวงตาของหญิงสาวก็เบิกกว้างด้วยความตื่นเต้นจนมันแทบจะไม่ละไปจากใบหน้าของชายผมบลอนด์เลยยามที่เขาเล่าเรื่องดังกล่าวให้ฟัง ท่าทีของเฮอร์ไมโอนี่ยามได้ฟังเรื่องเวทย์มนต์ใหม่ ๆ ที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อนนั้นไม่ต่างอะไรกับเด็กตัวเล็ก ๆ ที่เพิ่งได้ของขวัญเป็นไม้กวาดอันใหม่เลยแม้แต่น้อย
“คุณใช้เวทย์มนต์เปลี่ยนสภาพอากาศเฉพาะบริเวณสวนนี้อย่างนั้นหรือคะ” หญิงสาวเอ่ยถามอย่างกระตือรือร้นไม่ต่างกับตอนที่เธอได้เรียนคาถาบทแรกในวิชาคาถาเมื่อตอนอยู่ปี 1 ที่ฮอกวอตส์เลย และเป็นเพราะการแสดงออกถึงความตื่นเต้นอย่างไม่มีปิดบังหรือเสแสร้งของเธอนั้นเองที่ทำให้สามีของเธอซึ่งอดไม่ได้ที่จะยิ้มบาง ๆ ที่มุมปากเมื่อเขาตอบเธอออกมา
“ใช่สิ แต่มันเป็นคาถาที่ค่อนข้างซับซ้อนเหมือนกัน ฉันต้องใช้เวลาซักพักทีเดียวกว่าจะร่ายคาถาให้ครอบคลุมทั้งสวนได้อย่างสมบูรณ์ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ…..” นายลูเซียสกำลังจะเอ่ยปากพูดประโยคต่อไปออกมา แต่เขาก็หยุดตัวเองไว้เสียก่อนเนื่องจากประโยคที่ชายผมบลอนด์กำลังจะพูดต่อไปนั้นเป็นสิ่งที่เขาคิดว่าเฮอร์ไมโอนี่ผู้เป็นภรรยาใหม่ของเขาไม่น่าจะต้องการที่จะล่วงรู้หรือแม้กระทั่งได้ยิน เพราะสิ่งที่เขากำลังจะพูดต่อไปนั้นมันคือเหตุผลที่เขาร่ายเวทย์มนต์เพื่อรักษาสวนแห่งนี้ให้ดอกไม้ออกดอกสวยงามเกือบตลอดทั้งปี ซึ่งเป็นเพราะเขาต้องการให้นางนาร์ซิสซา ภรรยาคนก่อนของเขาได้ชื่นชมความงามของดอกไม้นานาพรรณที่เธอชอบจากห้องนอนเก่าของพวกเขาซึ่งตั้งอยู่ที่ปีกตะวันออกได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ และถึงแม้ว่าเรื่องราวดังกล่าวจะเกิดขึ้นก่อนที่เขาจะมาแต่งงานกับเฮอร์ไมโอนี่เนิ่นนานแล้วก็ตาม แต่นายลูเซียสก็ฉลาดพอที่จะรู้ดีว่าเขาไม่ควรที่จะเอ่ยถ้อยคำใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับภรรยาคนก่อนของเขาออกไปให้หญิงสาวตรงหน้าได้ยินหรือล่วงรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องจุดประสงค์ของเขาในการร่ายมนต์เพื่อรักษาพืชพรรณที่งดงามเหล่านี้ให้เบ่งบานไปเกือบตลอดทั้งปี ซึ่งล้วนเป็นไปเพื่อความต้องการของเขาที่จะให้ภรรยาเก่าพึงพอใจเท่านั้น
และถึงแม้ว่าตัวชายผมบลอนด์นั้นจะกังวลรวมถึงระมัดระวังที่ในการกระทำของเขาเพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนต่อความรู้สึกของหญิงสาวที่บัดนี้อยู่ในฐานะภรรยาใหม่ของเขามากเพียงใดก็ตาม แต่ดูเหมือนกับว่าเฮอร์ไมโอนี่นั้นจะไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่าอยู่ ๆ ชายที่อยู่ตรงหน้าของเธอก็จบประโยคลงเสียดื้อ ๆ ราวกับว่าเขามีเรื่องที่ไม่ต้องการที่จะพูดให้เธอฟัง ขณะที่เขากล่าวปิดท้ายประโยคหลังจากที่นิ่งเงียบไปชั่วครู่
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ฉันก็คิดว่าฉันทำออกมาได้ดีทีเดียว” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบแต่ไม่ได้แฝงไว้ด้วยแววภาคภูมิใจเหมือนทุกครั้ง ขณะที่หญิงสาวตรงหน้าของเขานั้นไม่มีท่าทีว่าเธอจะติดใจกับน้ำเสียงและท่าทางที่แปลกไปของนายลูเซียสแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเธอพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นมากกว่าอะไรทั้งหมดหลังจากที่เธอใช้สายตาสำรวจดูดอกไม้นานาพรรณที่กำลังเบ่งบานอยู่ในสวนของคฤหาสน์มัลฟอยแล้วนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็ช้อนสายตาขึ้นมองสบตาสามีของเธอก่อนจะพูดขึ้นว่า
“ถ้าอย่างนั้น คุณจะช่วยสอนคาถาบทนี้ให้ฉันหน่อยได้ไหมคะ” หญิงสาวพูดออกไปก่อนที่เธอจะทันได้คิดหรือว่าไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน เพราะว่าในความเป็นจริงแล้วมันคงจะเป็นการยากที่นายลูเซียสจะสามารถสอนคาถาบทใดก็ตามให้กับเธอได้ เนื่องจากในตอนนี้เขาเก็บไม้กายสิทธิ์ของเธอไว้ รวมทั้งเธอก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้เวทย์มนต์ใด ๆ ขณะที่เธออาศัยอยู่ที่คฤหาสน์ซึ่งในตอนนี้ได้กลายมาเป็นบ้านหลังใหม่ของเธอไปเสียแล้ว แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ตาม ถึงแม้ว่าเฮอร์ไมโอนี่จะพูดออกไปโดยไม่ได้คิดหรือว่าไตร่ตรองให้ดีก่อน แต่กลับกลายเป็นเพราะท่าทีที่ดูใสซื่อบริสุทธิ์ราวกับเด็ก ๆ ของเธอเองที่ทำให้นายลูเซียสซึ่งกำลังถูกร้องขอให้ทำเรื่องที่เขาไม่สามารถทำได้ในตอนนี้นั้นอดไม่ได้ที่จะยิ้มบาง ๆ ออกมาอีกครั้งเพราะความเอ็นดูของเขาที่มีต่อหญิงสาวตรงหน้า และแทนที่เขาจะโกรธเคืองเธออย่างที่มันควรเป็น ชายผมบลอนด์กลับยกมือใหญ่ของเขาขึ้นไปลูบศีรษะที่ปกคลุมไปด้วยเส้นผมหยักศกยาวสลวยของเธอพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“แน่นอน ฉันสามารถสอนเธอได้ แต่ฉันเกรงว่าจะไม่ใช่ตอนนี้” เขาพูดด้วยรอยยิ้ม และเมื่อได้ยินเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่ที่เพิ่งนึกได้ว่าเธอได้ทำพลาดลงไปแล้วในการขอร้องนายลูเซียสในสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้อย่างนี้ออกไปจึงพูดขึ้นว่า
“ฉันขอโทษค่ะ ฉันลืมไปน่ะค่ะ…..” เธอพูดออกไปเพียงเท่านั้นพร้อมกับก้มหน้าลงต่ำ หญิงสาวรู้สึกอับอายไม่น้อยที่เธอทำพลาดครั้งแล้วครั้งเล่าต่อหน้าเขาแบบนี้ เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกเสียหน้าไม่น้อยที่เธอพูดสิ่งที่เธอไม่ได้คิดไตร่ตรองให้ดีออกไปต่อหน้าชายผมบลอนด์และไปขอร้องเขาสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้แบบนี้ออกไป แต่ในขณะที่หญิงสาวกำลังรู้สึกอับอายในการทำพลาดของตัวเองอยู่นั้น เธอก็ได้ยินเสียงนายลูเซียสผู้เป็นสามีของเธอพูดขึ้น
“ฉันจะสอนคาถานี้ให้เธอ เฮอร์ไมโอนี่ เมื่อถึงเวลาที่สมควร” เขาพูดพร้อมกับมองดูภรรยาสาวของเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเอ็นดู และถึงแม้ว่าในยามปกติคำพูดดังกล่าวของนายลูเซียสคงไปกระตุ้นอารมณ์ของหญิงสาวให้เธอรู้สึกขัดเคืองขึ้นมา เพราะเธอรู้ดีว่าคำว่า ‘ เมื่อถึงเวลาที่สมควร ’ ของชายผมบลอนด์นั้นคือในตอนที่เขามีอำนาจเหนือเธออย่างเบ็ดเสร็จ ซึ่งอาจจะหมายถึงตอนที่จอมมารชนะสงครามและแฮร์รี่ เพื่อนรักของเธอถูกลอร์ดโวลเดอมอร์สังหารไปเรียบร้อยแล้วเขาถึงจะยอมให้เธอได้จับไม้กายสิทธิ์ของเธออีกครั้งก็ตาม แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็รู้ดีว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เธอจะมาโต้เถียงกับนายลูเซียสถึงสิทธิ์ในการใช้เวทย์มนต์ของเธอ ตรงกันข้ามเหตุผลที่เธอมาอยู่ตรงนี้ก็เป็นเพราะเธอจำเป็นจะต้องมาถ่วงเวลาชายผมบลอนด์ไว้ไม่ให้เขาเจอลูกชายจนกว่าสเนปจะทำภารกิจของเขาสำเร็จ เพราะฉะนั้นแทนที่เฮอร์ไมโอนี่จะโต้ตอบฝ่ายตรงข้ามด้วยถ้อยคำตัดพ้อหรือประชดประชันเกี่ยวกับการห้ามเธอใช้เวทย์มนต์อย่างที่เธอมักจะพูดออกไปนั้น หญิงสาวกลับเงยหน้าขึ้นสบดวงตาสีเงินที่ปกติจะดูเย็นชาของชายตรงหน้าก่อนที่พูดออกไปสั้น ๆ หากแต่น้ำเสียงของเธอนั้นแฝงไว้ด้วยแววซาบซึ้งที่เธอมีต่อข้อเสนอของสามีว่า
“ขอบคุณมากค่ะ ลูเซียส” เธอกล่าวพร้อมกับยิ้มบาง ๆ ให้เขา
และเป็นเพราะคำพูดนี้ของเธอนั้นเองที่ทำให้นายลูเซียสมองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ เพราะถึงแม้ว่าชายผมบลอนด์จะไม่ได้คาดหวังการทักท้วงจากหญิงสาวตรงหน้าในเวลาเช่นนี้ แต่เขาก็ไม่คิดมาก่อนเหมือนกันว่าเธอจะยอมพูดจาดี ๆ รวมถึงขอบคุณเขาออกมาแบบนี้ และเมื่อเห็นเช่นนั้น และอาจจะเป็นเพราะบรรยากาศรอบกายของพวกเขาในยามนี้เองด้วยที่เป็นสิ่งกระตุ้นให้ชายผมบลอนด์ต้องการทำสิ่งที่เขาไม่คิดว่าควรจะทำลงไปในตอนนี้ เนื่องจากตอนนี้พวกเขากำลังยืนอยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามเย็นที่คล้อยต่ำเกือบจนจะลาลับขอบฟ้า แสงสีทองสุดท้ายของวันนั้นสาดส่องร่างรวมถึงใบหน้าของภรรยาสาวของเขาทำให้ผิวพรรณของเธอดูเปล่งปลั่งราวกับเป็นสีทอง ประกอบกับคำพูดและท่าทีที่น่าเอ็นดูของเธอเมื่อครู่นั้นมันทำให้นายลูเซียสมีความรู้สึกว่าเขาต้องการจะประทับริมฝีปากของเขาลงบนริมฝีปากอวบอิ่มที่อยู่ตรงหน้าเหลือเกิน
และก่อนที่จะได้คิดหรือแม้กระทั่งจะห้ามตัวเองไม่ให้ทำอะไรโดยพลการลงไป ชายผมบลอนด์ก็โน้มร่างของเขาเข้ามาใกล้หญิงสาวมากขึ้นขณะที่มือใหญ่ของเขาประคองศีรษะของเธอไว้ก่อนที่เขาจะก้มลงไปจูบเธอ
แต่ก่อนที่ริมฝีปากของทั้งสองจะสัมผัสกัน ก่อนที่เขาจะได้ลบเลือนร่องรอยที่ลูกชายของเขาได้เคยสัมผัสไว้ให้หมดไปจากริมฝีปากคู่สวยของเฮอร์ไมโอนี่ผู้เป็นภรรยาของเขานั้น นายมัลฟอยก็รู้สึกได้ถึงแรงขัดขืนของอีกฝ่ายเมื่อหญิงสาวเบี่ยงตัวหลบใบหน้าของเขาพร้อมกับยกมือหนึ่งขึ้นกันไม่ให้ริมฝีปากของเขาสัมผัสกับเธอ และในขณะที่นายลูเซียสลืมตาขึ้นมองร่างในอ้อมแขนของเขาอย่างไม่เข้าใจนั้น เฮอร์ไมโอนี่ก็พูดขึ้น
“อย่าค่ะ……ฉัน……..ฉันยังไม่พร้อมค่ะ” เธอกระซิบขึ้นมาพร้อมกับมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอึดอัดใจและแฝงไปด้วยแววอ้อนวอน และเมื่อเห็นเช่นนั้น เมื่อเขาเห็นท่าทีของหญิงสาวซึ่งไม่ใช่การขัดขืนหรือการพยายามจะสะบัดตัวเองให้หลุดพ้นจากการควบคุมของเขา หากแต่เป็นการเบี่ยงตัวหลบและร้องขอเขาดี ๆ ไม่ให้เขาล่วงเกินร่างกายเธอไปมากกว่านี้เท่านั้น เมื่อเห็นเช่นนั้นนายลูเซียสจึงไม่อาจจะใช้กำลังหักหาญน้ำใจภรรยาสาวของเขาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เขาได้ให้คำสัญญากับเธอไปแล้วว่าเขาจะไม่ใช้กำลังบังคับเธอในเรื่องเช่นนี้อีก และเมื่อเป็นเช่นนั้น ภายใต้การใช้เวลาตัดสินใจเพียงชั่วครู่ ชายผมบลอนด์จึงโน้มใบหน้ากลับมา หากแต่เขากลับยังไม่ยอมปล่อยร่างเล็กนั้นออกจากอ้อมแขนแต่อย่างใด ตรงกันข้ามเขากลับใช้ดวงตาสีเงินของเขามองจ้องมองอีกฝ่ายด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนา
“คุณสัญญากับฉันแล้วนะคะ ลูเซียส” หญิงสาวพูดขึ้นเมื่อเธอเห็นว่าสามีของเธอไม่ได้ตอบอะไรออกมา ในวินาทีแรกที่นายลูเซียสได้ยินเช่นนั้น ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวสมองของเขาก็คือ นี่เขาจะไม่มีสิทธิ์ที่จะจูบภรรยาของเขาเองเลยอย่างนั้นหรือ แต่ชายผมบลอนด์ก็ฉลาดพอที่จะไม่พูดทุกอย่างที่เขาคิดออกไป ตรงกันข้ามเขากลับคิดว่าในสถานการณ์เช่นนี้เขาก็ควรจะทำตามที่เฮอร์ไมโอนี่ขอร้องเขาจริง ๆ เขาไม่ควรจะใจเร็วเข้าไปจูบเธอในตอนที่พวกเขาทั้งสองนั้นเพิ่งผ่านการทะเลาะเบาะแว้งและเรื่องราวที่เลวร้ายต่าง ๆ มา ซึ่งมันอาจจะส่งผลให้ความสัมพันธ์ที่ไม่มั่นคงมาตั้งแต่แรกของพวกเขานั้นเปราะบางมากกว่าทุกครั้งที่เคยเป็นมา รวมทั้งตัวเฮอร์ไมโอนี่เองก็บอบช้ำจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นมามากแล้ว ดังนั้นแทนที่จะหักหาญน้ำใจของหญิงสาวเพื่อให้ได้ในสิ่งที่เขาต้องการมาอย่างที่เขาเคยทำมาแล้วหลายต่อหลายครั้งนั้น นายมัลฟอยกลับคิดว่าในครั้งนี้เขาควรที่จะเป็นฝ่ายยั้งตัวเองไว้และทำตามที่เธอต้องการบ้างเมื่อเขายอมปล่อยหญิงสาวออกจากอ้อมแขนแต่โดยดีก่อนที่จะกลับมายืนตรงเช่นเดิม แม้ว่าจะรู้สึกเสียดายและอยากจะโอบกอดภรรยาสาวของเขาให้เนิ่นนานไปมากกว่านี้รวมถึงทำสิ่งที่ความต้องการส่วนลึกของเขาเรียกร้องให้ทำก็ตาม หากแต่ชายผมบลอนด์ก็ฉลาดพอที่จะไม่ทำตามใจตัวเองลงไปในตอนนี้ หากแต่สิ่งที่นายมัลฟอยทำหลังจากที่เขากลับมายืนตัวตรงดังเดิมนั้นก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการเฝ้ามองหญิงสาวตรงหน้าที่กำลังส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความสับสนระคนโล่งใจมาทางเขาเมื่อเธอเอ่ยขึ้นมาเบา ๆ ว่า “ขอบคุณค่ะ” เมื่อเธอเห็นว่าสามีของเธอยอมทำตามที่เธอร้องขอเป็นอย่างดี
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ตาม ถึงนายลูเซียสจะยอมทำตามที่เฮอร์ไมโอนี่ขอร้องเขาก่อนหน้านี้โดยการไม่ล่วงเกินร่างกายของเธอโดยเธอไม่เต็มใจแต่โดยดีก็ตาม หากแต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ที่ชายผมบลอนด์เกือบจะประทับริมฝีปากของเขาลงบนริมฝีปากอิ่มของหญิงสาวนั้นก็สามารถทำให้เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกประหม่าได้ไม่น้อย เพราะถึงแม้ว่าเธอจะตกเป็นภรรยาของนายลูเซียส รวมทั้งเธอได้ใช้เวลาอยู่ในห้องนอนแห่งนี้เพียงลำพังกับเขามาระยะหนึ่งแล้วก็ตาม แต่จากเรื่องราวที่เฮอร์ไมโอนี่ได้เผชิญมาทั้งหมดตั้งแต่เธอมาเป็นเจ้าหญิงแห่งความมืดนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องราวที่นายมัลฟอยเคยใช้กำลังขืนใจเธอนั้นยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำของเธอราวกับหนังที่ฉายซ้ำ! ทำให้หลังจากนั้น ทุกครั้งที่ชายผมบลอนด์พยายามจะเข้ามาใกล้ชิดเธอ หรือพยายามที่จะล่วงเกินร่างกายเธอแม้แค่เพียงการพยายามจะจูบเธอที่ริมฝีปากเท่านั้นก็สามารถทำให้หญิงสาวหวาดกลัวขึ้นมาได้!
ใช่แล้ว! ความรู้สึกที่เฮอร์ไมโอนี่มีต่อนายมัลฟอยผู้เป็นสามีของเธอคนนี้แทบจะเรียกได้ว่าหวาดกลัว! เนื่องจากสิ่งที่เขาได้ทำลงไปกับเธอในคืนก่อนหน้านั้น และอาจจะเป็นเพราะการกระทำของเขาเมื่อครู่นั้นเองที่เขาพยายามจะจูบเธอนั้น ทำให้เธอนึกถึงความทรงจำเมื่อครั้งก่อนที่เขาใช้กำลังบังคับขืนใจเธอขึ้นมาจนเธอรู้สึกหวาดกลัวเขาขึ้นมาอีกครั้ง และเพราะเป็นเช่นนั้นเอง เพราะความรู้สึกที่เธอมีต่อชายตรงหน้าที่ไม่อาจจะหาคำอื่นมาบรรยายได้นอกจากคำว่า ‘ หวาดกลัว ’ ทำให้เฮอร์ไมโอนี่ตระหนักได้ว่าการอยู่ในห้องนอนแห่งนี้เพียงลำพังกับนายมัลฟอยกลับกลายเป็นเรื่องที่น่าลำบากใจขึ้นมาสำหรับเธออีกครั้งเสียแล้ว และนี่ยังไม่รวมเรื่องที่เธอจะต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อรั้งตัวชายผมบลอนด์ให้อยู่กับเธอไปตลอดทั้งค่ำคืนนี้อีกด้วย!
และเมื่อหญิงสาวรู้สึกอึดอัดและลำบากใจขึ้นมาอีกครั้ง ความรู้สึกอึดอัดที่เกือบจะเรียกได้ว่าหวาดกลัวดังกล่าวของเฮอร์ไมโอนี่นั้นก็ได้ถ่ายทอดออกมาทางสีหน้าและท่าทางของหญิงสาวที่มีต่อร่างตรงหน้าอย่างที่เธอไม่สามารถปิดบังมันได้เลย! และเมื่อเป็นเช่นนั้น เมื่อนายลูเซียสได้เห็นท่าทีอึดอัดของภรรยาสาวต่อการกระทำของเขาเมื่อครู่ที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนแล้วนั้น เขาก็ใช้เวลาตัดสินใจเพียงชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยปากพูดขึ้น
“เธออยากจะออกไปข้างนอกไหม” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่ราบรื่นราวกับแพรไหม ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ที่ได้ยินคำถามนั้นเงยหน้าขึ้นพลางมองเขาด้วยสีหน้าตกใจ
“คุณว่าอะไรนะคะ” หญิงสาวถามขึ้นมาแทบจะในทันทีพลางเงยหน้าขึ้นมองสามีของเธอ
“ฉันถามว่าเธออยากจะออกไปข้างนอกไหม” เขาถามซ้ำด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความแปลกใจกับท่าทีตกใจของเธอ ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกว่าหัวใจของเธอแกว่งวูบ เพราะสิ่งที่ชายผมบลอนด์กำลังพูดนั้นก็คือการเสนอให้เธอออกไปข้างนอกหรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือเมื่อเขาไม่ได้สิ่งที่เขาต้องการมันก็ไม่มีความจำเป็นสำหรับเขาอีกแล้วที่จะให้เธออยู่ในห้องนอนของเขาต่อไป ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่าแผนการที่เธอตั้งใจให้มันดำเนินมาตั้งแต่ต้นนั้นกำลังจะพังทลายลงอย่างไม่มีชิ้นดีเพียงเพราะเธอไม่ยอมปล่อยให้ลูเซียส มัลฟอยจูบเธอเท่านั้น และถ้าหากแผนการที่เธอกับสเนปได้ตกลงร่วมกันไว้ต้องพังทลายลงเสียแล้วล่ะก็ สิ่งที่ตามมาก็อาจจะนำไปสู่ความล้มเหลวในการปกปิดความลับที่มีค่ายิ่งชีวิตของเซเวอร์รัส สเนปก็เป็นได้
และเมื่อเป็นเช่นนั้น เฮอร์ไมโอนี่จึงอ้าปากขึ้นเพื่อจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่หญิงสาวกลับพบว่าเธอไม่ทราบว่าจะพูดอะไรออกมาดี เมื่อหัวสมองของเธอที่กำลังระดมความคิดอย่างหนักเพื่อมาแก้ไขสถานการณ์ที่เธอกำลังเผชิญอยู่นี้ และที่สำคัญมันสมองที่ได้ชื่อว่าปราดเปรื่องและเฉลียวฉลาดที่สุดในโลกเวทย์มนต์นั้นกลับยังไม่มีคำตอบหรือหนทางออกใด ๆ มาให้เธอแม้แต่น้อย แต่ในขณะที่หญิงสาวกำลังร้อนใจกับการโต้ตอบข้อเสนอของชายผมบลอนด์อยู่นั้นเอง นายลูเซียสก็เอ่ยปากพูดขึ้น
“ฉันหมายถึงเธออยากจะออกไปสูดอากาศข้างนอกไหม” เขาถามขึ้นท่ามกลางสีหน้าที่เต็มไปด้วยความแปลกใจของหญิงสาว “เราอยู่ในห้องมาตั้งนานแล้วนี่ ฉันก็เลยคิดว่าเราน่าจะออกไปที่อื่นบ้างดีไหม” เขากล่าวขณะที่เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกว่าหัวใจของเธอเต้นแรงจนแทบจะหลุดมานอกอกเมื่อเธอรวบรวมสติเพื่อถามสามีของเธอออกมาว่า
“คุณหมายถึงไปที่ไหนหรือคะ” เฮอร์ไมโอนี่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาและประหม่าจนตัวเธอเองยังรู้สึกว่ามันฟังดูราวกับไม่ใช่เสียงของเธอเองเลย ขณะที่เธอตั้งตารอชายผมบลอนด์ตอบเธอออกมา
“ก็เธอชอบสวนข้างล่างนี่ไม่ใช่เหรอ ถ้าลงไปที่ระเบียงชั้นล่างจะเห็นสวนได้ใกล้มากกว่านี้อีกนะ” นายลูเซียสพูดขึ้นพลางทอดสายตามองไปยังสวนของคฤหาสน์ที่กำลังถูกปกคลุมด้วยแสงสีทองยามที่พระอาทิตย์ใกล้ลาลับขอบฟ้าเบื้องล่าง และเป็นเพราะคำพูดนี้นั่นเองที่ทำให้เฮอร์ไมโอนี่เงยหน้าขึ้นมองสามีของเธอด้วยความแปลกใจ
“คุณจะไปกับฉันอย่างนั้นหรือคะ” เธอถาม ขณะที่ดวงตากลมโตของหญิงสาวก็จ้องมองอีกฝ่ายอย่างหาคำตอบ
“ถ้าเธอต้องการให้ฉันไปกับเธอ ฉันก็จะไป” เขาตอบออกมาพลางเฝ้าดูปฏิกิริยาของฝ่ายตรงข้าม ขณะที่หญิงสาวที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเขานั้นกระพริบตาอย่างครุ่นคิดอยู่เพียงครู่เดียวก่อนที่เธอจะตอบออกมา
“ฉันอยากให้คุณไปด้วยค่ะ” เฮอร์ไมโอนี่กล่าวออกไปแทบจะในทันที แต่หลังจากพูดถ้อยคำนั้นออกไปแล้วหญิงสาวก็เพิ่งค้นพบว่ามันเป็นถ้อยคำที่พูดออกไปอย่างรวดเร็วและฟังดูจริงจังมากขนาดไหนนั้น เธอจึงเสริมออกไปว่า “ฉันหมายความว่าฉันยังไม่เคยไปที่ส่วนนั้นของคฤหาสน์เลยน่ะค่ะ”
แม้ว่าจะเป็นถ้อยคำพูดกลบเกลื่อนที่ฟังดูน่าเชื่อถือมากก็ตาม แต่เมื่อนายลูเซียสสังเกตท่าทีของหญิงสาวดี ๆ แล้วเขาก็พบเห็นร่องรอยประหม่าและความเก้อเขินที่ผสมปนเปกันอยู่ทั้งในสีหน้า ท่าทาง และน้ำเสียงของเธอ แน่นอนว่านายมัลฟอยรู้ว่าเฮอร์ไมโอนี่ต้องการให้เขาไปกับเธอด้วย แต่ในขณะเดียวกันการกลบเลื่อนความต้องการที่ชัดเจนของตัวเองด้วยคำพูดแบบนี้นั้นมันยิ่งทำให้เธอดูน่าเอ็นดูในสายตาของนายลูเซียสมากขึ้นจนเขานึกอยากจะแกล้งอุ้มร่างเล็กของหญิงสาวขึ้นมาแล้วพาเธอเดินไปยังระเบียงกระจกของชั้นล่างตามที่เธอต้องการ หากแต่ชายผมบลอนด์ก็รู้ดีว่าเขายังไม่สามารถทำอะไรไปโดยพลการได้ในตอนนี้ แม้ว่าหญิงสาวตรงหน้านั้นจะมีท่าทีน่าเอ็นดูจนเขาอยากจะแกล้งหยอกเธอมากแค่ไหนก็ตาม แต่เขาก็จะไม่เสี่ยงให้อารมณ์เพียงชั่ววูบของเขามาทำให้เขาผิดสัญญาที่ได้ให้ไว้กับเธอ ดังนั้นแทนที่จะแกล้งหยอกภรรยาสาวของเขาอย่างที่เขาคงทำในสถานการณ์ปกตินั้น ตรงกันข้ามนายมัลฟอยกลับยิ้มบาง ๆ ให้หญิงสาวตรงหน้าก่อนที่เขาจะตอบออกมา
“ถ้าอย่างนั้นฉันจะพาเธอไปเอง จริง ๆ แล้วชั้นล่างของปีกตะวันตกนี้มีห้องกระจกที่มองเห็นสวนด้วยนะ เราจะทานอาหารเย็นกันที่นั่นก็ได้ถ้าเธอต้องการ” เขาพูดอย่างใจดี ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่เงยหน้าขึ้นมองนายมัลฟอยด้วยสีหน้าครุ่นคิด และถึงแม้ว่าการทานอาหารเย็นท่ามกลางบรรยากาศโรแมนติกอย่างห้องกระจกที่มองเห็นสวนของคฤหาสน์ในช่วงที่พระอาทิตย์ใกล้ตกดินกับสามีของเธอนั้นจะอยู่ลำดับท้าย ๆ ในสิ่งที่เธอต้องการจะทำก็ตาม แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็รู้ดีและไม่เคยลืมว่าเธอมาที่นี่เพื่อจุดประสงค์อะไร และเธอก็เข้าใจมาตั้งแต่แรกแล้วว่าจะต้องทำอะไรที่ฝืนใจตัวเองอย่างแน่นอนในการทำภารกิจที่สเนปมอบหมายให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี และถ้าลองคิดอีกอย่างหนึ่งการทานอาหารเย็นกับนายลูเซียสในสถานที่ดังกล่าวนั้นก็อาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยแม้แต่อย่างใด ถ้าเทียบกับการที่เธอต้องมาอยู่ด้วยกันตามลำพังกับชายผมบลอนด์ในห้องนอนของเขาแบบนี้ และเมื่อคิดได้เช่นนั้นหญิงสาวจึงตอบนายมัลฟอยออกไปว่า
“ได้ค่ะ ฉันก็อยากเปลี่ยนที่ทานอาหารเย็นอยู่เหมือนกันค่ะ” เธอกล่าว และเมื่อได้ยินเช่นนั้น นายลูเซียสก็มีท่าทีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะยื่นมือใหญ่ของเขามาให้เฮอร์ไมโอนี่จับ
“งั้นเราก็ไปกันเลยดีไหม” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงสุขุมหากแต่แววตาที่เขาใช้มองเธอนั้นช่างอ่อนโยนยิ่งนัก ส่วนทางภรรยาสาวของเขานั้น หลังจากที่เธอมีท่าทีลังเลอยู่เพียงชั่วครู่ หญิงสาวก็ตัดสินใจวางมือเล็กของเธอลงบนมือใหญ่ของสามีเพื่อที่จะให้เขานำเธอเดินออกไปจากห้องนอนของเขาพร้อมกัน
…………………………………………….
หลังจากทั้งสองเดินออกมาจากห้องนอนใหม่ของนายลูเซียส ชายผมบลอนด์ก็พาหญิงสาวลงไปยังชั้นล่างของคฤหาสน์ปีกตะวันตกซึ่งเป็นส่วนที่เธอไม่เคยไปมาก่อน ขณะที่สามีของเฮอร์ไมโอนี่กำลังนำทางเธอไปยังระเบียงของชั้นล่างที่ใกล้ชิดสวนของคฤหาสน์มากที่สุดนั้น หญิงสาวก็อดไม่ได้ที่จะมองสำรวจสิ่งที่อยู่รอบกายตามนิสัยอยากรู้อยากเห็นของเธอ รวมทั้งเธอยังสงสัยอีกว่าทำไมก่อนหน้านี้เธอถึงไม่คิดจะมาเดินสำรวจคฤหาสน์มัลฟอยให้ถี่ถ้วนมากกว่านี้ ทั้ง ๆ ที่เธอได้มาใช้ชีวิตอยู่ที่สถานที่แห่งนี้ได้เกือบหนึ่งสัปดาห์แล้ว แต่เฮอร์ไมโอนี่ยังรู้สึกว่าบางส่วนของคฤหาสน์นั้นยังคงเป็นสถานที่ ๆ เธอยังไม่คุ้นเคยหรือไม่เคยเหยียบย่างเข้ามาก่อนราวมันไม่ใช่บ้านของเธอแต่อย่างใด
และเมื่อคิดได้เช่นนั้น หญิงสาวจึงตัดสินใจพูดสิ่งที่เธอคิดออกไปเพื่อทำลายความเงียบระหว่างเธอและนายลูเซียสซึ่งพวกเขาไม่ได้พูดอะไรกันเลยหลังจากที่ทั้งสองเดินออกจากห้องนอนของชายผมบลอนด์มา
“ฉันไม่เคยมาที่ส่วนนี้ของคฤหาสน์เลยค่ะ” เฮอร์ไมโอนี่พูดขึ้น ขณะที่นายลูเซียสหันมามองเธอก่อนจะตอบออกมา
“อาจจะเป็นเพราะวันนั้นฉันไม่ได้พาเธอเที่ยวชมคฤหาสน์ให้ทั่ว หรือไม่ก็คงเป็นเพราะเธอมัวแต่ใช้เวลาอยู่ในห้องสมุดมากกว่า” เขาตอบออกมาอย่างราบเรียบ หากแต่ถ้าสังเกตสีหน้าของชายผมบลอนด์ให้ดีแล้วก็จะพบว่ามันมีแววเอ็นดูแฝงอยู่ รวมทั้งดวงตาสีเงินที่ปกติจะดูเย็นชาของเขานั้นกลับมองหญิงสาวข้างกายอย่างอ่อนโยน หากแต่น่าเสียตายตรงที่เฮอร์ไมโอนี่ไม่มีโอกาสได้มองเห็นสีหน้ารวมถึงแววตาดังกล่าวของสามีเพราะเมื่อเขานำเธอมาถึงประตูกระจกที่เปิดออกไปสู่ระเบียงทางเดินภายนอกนั้น สายตาของหญิงสาวก็ถูกดึงดูดให้ไปจับจ้องอยู่ที่ภาพสวนสวยของคฤหาสน์มัลฟอยที่อยู่ใกล้เธอเพียงแค่เอื้อมเท่านั้น และหลังจากลังเลเพียงชั่วครู่เท่านั้น เธอก้าวผ่านประตูบานดังกล่าวและไปสู่ระเบียงที่เปิดกว้างสู่อากาศบริสุทธิ์ของส่วนดอกไม้ในยามเย็น
สถานที่ที่เฮอร์ไมโอนี่ยืนอยู่นั้นเป็นระเบียงที่เปิดโล่งและใกล้ชิดกับสวนของคฤหาสน์มัลฟอยเป็นอย่างมาก มันเป็นระเบียงขนาดกว้างขวางที่ปูด้วยหินแกรนิตและถูกประดับประดาอย่างงดงาม เบื้องหน้าของเธอเป็นสวนดอกไม้ซึ่งตามที่นายลูเซียสได้บอกไว้นั้นได้ถูกร่ายมนต์ให้สามารถเบ่งบานได้เกือบตลอดทั้งปี เฮอร์ไมโอนี่มองสำรวจสวนดอกไม้และบริเวณรอบ ๆ ข้างก่อนที่เธอจะเดินไปหยุดอยู่ตรงขอบระเบียงและดื่มด่ำกับภาพทิวทัศน์เบื้องหน้าขณะที่สามีของเธอนั้นเฝ้ามองเธอมาจากด้านหลังอย่างเงียบ ๆ และถึงแม้ว่าภาพวิวทิวทัศน์ที่เธอมองจากระเบียงนี้จะไม่กว้างไกลเท่าที่เธอมองจากระเบียงห้องนอนใหม่ของนายลูเซียส แต่เธอก็สามารถใกล้ชิดพืชพรรณในสวนได้มากกว่าเมื่อเธออยู่ที่นี่ และหลังจากที่หญิงสาวดื่มด่ำกับบรรยากาศอันงดงามของสวนสวยของคฤหาสน์มัลฟอยอย่างใกล้ชิดแล้วนั้นเธอก็หันมาสำรวจรอบกายและพบว่าห่างออกไปอีกสองถึงสามก้าวนายลูเซียสผู้เป็นสามีของเธอกำลังยืนมองเธอด้วยสีหน้าที่ไม่อาจจะเรียกเป็นอย่างอื่นได้นอกจากเอ็นดู และเมื่อเห็นเช่นนั้น เฮอร์ไมโอนี่ที่ทำตัวไม่ถูกเมื่อถูกชายผมบลอนด์มองด้วยสายตาและรอยยิ้มที่อาจจะมากเกินกว่าคำว่าเอ็นดูนั้นก็ได้แสร้งมองไปทางอื่นก่อนจะพูดขึ้น
“ตรงนั้นอะไรหรือคะ” เธอพูดพลางชี้มือไปยังเรือนกระจกทรงครึ่งวงกลมซึ่งอยู่ห่างออกไปราวสามสิบเมตรและกินพื้นที่ของระเบียงส่วนนั้นไปเกือบทั้งหมด ขณะที่นายมัลฟอยเดินเข้ามาใกล้หญิงสาวพร้อมกับมองไปยังทิศทางดังกล่าวก่อนจะตอบออกมา
“ตรงนั้นเป็นห้องกระจกน่ะ ข้างในเป็นห้องสำหรับนั่งเล่น” เขากล่าวอย่างราบเรียบ ขณะที่หญิงสาวข้างกายของเขานั้นชะเง้อมองสถานที่ใหม่ที่เธอเพิ่งค้นพบอย่างสนอกสนใจ
“เราจะไปที่นั่นก็ได้นะ” เขาเสนอขึ้นเมื่อเห็นท่าทีอยากรู้อยากเห็นของเฮอร์ไมโอนี่ และเมื่อหญิงสาวพนักหน้าพร้อมกับส่งรอยยิ้มบาง ๆ มาให้เขา นายลูเซียสก็นำเธอไปยังห้องกระจกดังกล่าวตามที่เธอต้องการ
เมื่อหญิงสาวก้าวเข้าไปภายในห้องดังกล่าวเธอก็พบว่ามันเป็นห้องกระจกขนาดใหญ่พอสมควร ภายในนั้นตกแต่งราวกับเป็นห้องนั่งเล่น มีโต๊ะกลมพร้อมกับเก้าอี้ครบครับตั้งอยู่ริมกระจกส่วนอีกด้านหนึ่งนั้นเป็นโซฟาและเก้าอี้บุนวมแลดูน่านั่งซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามเตาผิงขนาดไม่ใหญ่มากนัก แต่สิ่งที่ทำให้ห้อง ๆ นี้พิเศษก็คือตัวพื้นที่เกือบทั้งหมดของตัวห้องที่กินพื้นที่ของระเบียงและผนังด้านหนึ่งที่เป็นโดมกระจกซึ่งทำให้ผู้ที่มานั่งพักผ่อนในห้องนั้นสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของสวนภายนอกได้เป็นอย่างดี และโดมกระจกดังกล่าวก็ถูกประดับด้วยผ้าม่านซึ่งสามารถดึงลงมาปิดโดมกระจกดังกล่าวในวันที่แดดแรงเกินไปหรือวันที่อาอากาศไม่ดีเพื่อปิดกั้นทัศนียภาพที่ไม่งดงามจากภายนอก
และเป็นเพราะความสวยงามรวมทั้งความพิเศษของห้องนั่งเล่นแห่งนี้ทำให้เฮอร์ไมโอนี่มีท่าทีสนอกสนใจมันไม่น้อย และหลังจากใช้สายตามองสำรวจรอบ ๆ ห้องไม่นานนักหญิงสาวก็เดินไปริมผนังที่เป็นกระจกพร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้ของโต๊ะกลมที่มีขนาดเพียงพอสำหรับรองรับคนประมาณ 3-4 คน ขณะที่สายตาของเธอทอดยาวออกไปยังสวนสวยภายนอกคฤหาสน์ซึ่งตอนนี้เริ่มถูกอาบด้วยของดวงอาทิตย์ที่คล้อยค่ำลงทุกขณะ จนมันสาดแสงสีทองลงมายังแมกไม้นานาพรรณที่กำลังชูช่องดงามอยู่ภายในสวนแห่งนี้ และเป็นเพราะทัศนียภาพที่ได้เห็นเบื้องหน้านั้นทำให้เฮอร์ไมโอนี่รำพึงออกมาเบา ๆ ขณะที่นายลูเซียสเดินมายืนด้านหลังเก้าอี้ที่เธอกำลังนั่งอยู่
“สวยจังเลยค่ะ” เธอกล่าวขณะที่รู้สึกว่ามือใหญ่ของชายผมบลอนด์นั้นวางลงบนพนักพิงเก้าอี้ของเธออย่างแผ่วเบาก่อนที่เขาจะตอบออกมา
“ฉันดีใจที่เธอชอบ” เขากล่าวออกมาเรียบ ๆ พลางจ้องหญิงสาวด้วยสายตาที่อ่อนโยน และถึงแม้ว่านายลูเซียสจะอยากเลื่อนมือใหญ่ของเขาไปสัมผัสร่างเล็กตรงหน้ามาเพียงใดก็ตาม เขาก็รู้ดีว่าเขายังไม่สามารถทำตามใจต้องการได้ในตอนนี้ และแทนที่เขาจะยอมทำตามความต้องการของตนเองซึ่งเขารู้ว่ามันจะส่งผลเสียมากกว่าลงไปนั้น ตรงกันข้ามเขากลับเสนอข้อเสนอที่หญิงสาวตรงหน้าน่าจะชอบใจรวมทั้งมันเป็นการซื้อเวลาให้เขาได้อยู่กับเธอนานขึ้นเมื่อนายลูเซียสพูดออกไปว่า
“เราจะอยู่ที่นี่กันซักพักก็ได้นะ เราจะทานอาหารเย็นที่นี่และอาจจะนั่งอยู่ที่นี่ต่อก็ได้ ถ้าเธอต้องการ” เขากล่าวขณะที่เฮอร์ไมโอนี่เงยหน้าขึ้นมองเขา สีหน้าของเธอดูแปลกใจก่อนที่เธอจะเอ่ยปากถามขึ้น
“จริงหรือคะ” เธอถาม ดวงตาสีน้ำตาลคู่โตของเธอที่เงยหน้าสบดวงตาสีเงินของนายลูเซียสนั้นเต็มไปด้วยความสงสัยราวกับเด็กเล็ก ๆ หากแต่ลึก ๆ แล้วหญิงสาวแทบจะปกปิดความดีใจของเธอเอาไว้ไม่มิดเนื่องจากเธอคิดว่าการได้อยู่ในห้องกระจกนี้เพียงลำพังกับนายลูเซียสนั้นดีกว่าการอยู่กับเขาเพียงลำพังในห้องนอนใหม่ของเขามากนัก แต่ดูเหมือนว่าชายผมบลอนด์จะไม่ทราบถึงสิ่งที่อยู่ในใจของเฮอร์ไมโอนี่เลยแม้แต่น้อย เพราะหลังจากที่เห็นท่าทีของหญิงสาวตรงหน้าแล้วนั้น นายมัลฟอยก็เลือกที่จะส่งรอยยิ้มที่บ่งบอกถึงความเอ็นดูไปให้ภรรยาสาวของเขาก่อนที่เขาจะพูดขึ้น
“จริงสิ เธอหิวหรือยังล่ะ” ชายผมบลอนด์ถาม ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่มีท่าทีครุ่นคิด ราวกับว่าเธอลืมไปแล้วว่าความรู้สึกหิวเป็นอย่างไร อาจจะเป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้มีเรื่องราวมากมายที่ประเดประดังเข้ามา รวมทั้งการที่หญิงสาวถูกส่งให้มาทำภารกิจที่แสนจะยากเย็นและห่างไกลจากความต้องการของเธอซึ่งก็คือการมาถ่วงเวลานายลูเซียสไว้ตลอดทั้งคืนนี้นั้นยังสร้างความประหม่าให้กับเธอไม่น้อยจนเธอลืมเลือนเรื่องมื้ออาหารไปชั่วขณะ แต่เมื่อเธอถูกชายผมบลอนด์ถามคำถามดังกล่าวแล้วออกมาไม่นาน เฮอร์ไมโอนี่ที่เพิ่งเริ่มสำรวจความรู้สึกของตัวเองก็พบว่าเธอก็เริ่มรู้สึกหิวไม่น้อยแล้วเหมือนกัน
และเมื่อคิดได้เช่นนั้น แม้ว่าจะต้องผ่านการครุ่นคิดนานพอสมควรสำหรับคำถามง่าย ๆ เช่นนี้ เธอก็ตอบสามีของเธอออกไป
“นิดหน่อยน่ะค่ะ” และสิ่งที่หญิงสาวได้รับหลังจากตอบออกไปนั้นก็คือรอยยิ้มบาง ๆ ที่มุมปากซึ่งแสดงออกถึงความเอ็นดูที่นายลูเซียสมีต่อเธอก่อนที่เขาจะพูดขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นฉันจะบอกให้เอลฟ์ประจำบ้านจัดอาหารเย็นมาให้พวกเราที่นี่แล้วกัน จริง ๆ นี่ก็ยังไม่ถึงเวลาอาหารเสียทีเดียว แต่ฉันคิดว่าเราน่าจะยกเว้นได้ในบางกรณีน่ะ” เขากล่าวขณะที่ละสายไปดูมองนาฬิกาตั้งพื้นรูปทรงโบราณที่มีอยู่แทบจะทุกห้องของคฤหาสน์แห่งนี้ และเมื่อเฮอร์ไมโอนี่พยักหน้าให้เขา นายลูเซียสจึงพูดขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า "ฮ็อบบี้!“
สิ้นเสียงของชายผมบลอนด์ เอลฟ์ร่างจ้อยนามว่า ‘ ฮ็อบบี้ ’ ซึ่งเฮอร์ไมโอนี่เคยพบก่อนหน้าที่เธอจะเข้ามาหาสามีของเธอที่ห้องนอนใหม่ของเขาก็ปรากฎตัวขึ้น มันก้มศีรษะลงต่ำในเชิงทำความเคารพทันทีที่เห็นเจ้านายของมันทั้งสองก่อนที่มันจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแหลมตามแบบฉบับเอลฟ์ประจำบ้าน
“นายท่านมีอะไรให้ฮ็อบบี้รับใช้ขอรับ”
“จัดอาหารเย็นมาให้ฉันกับนายหญิงที่นี่ พวกเราจะทานอาหารเย็นกันที่นี่ แล้วก็รีบไปทำเสียเดี๋ยวนี้ด้วย อย่าให้ฉันต้องรอนาน” เขาสั่งด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบหากแต่ดุดัน ขณะที่เอลฟ์เงยหน้าขึ้นมองเจ้านายของมัน
“นายท่านกับนายหญิงจะทานอาหารเย็นตอนนี้เลยหรือขอรับ” มันถามขึ้น
“ใช่สิ ก็ฉันสั่งอยู่นี่ไงล่ะ รีบไปจัดการเร็ว ๆ ด้วยนายหญิงของแกหิวแล้ว” เขาสั่งด้วยน้ำเสียงกึ่งดุดันกึ่งรำคาญ แต่ดูเหมือนว่าเอลฟ์ร่างจ้อยจะไม่สนใจน้ำเสียงไม่พอใจของนายมัลฟอยมีต่อคำถามของมันแต่อย่างใด เพราะในตอนนี้สายตาของฮ็อบบี้กลับไปจับจ้องอยู่ที่ท่าทีนายหญิงของมันที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้โดยมีนายท่านของมันยืนขนาบข้าง สายตาของเอลฟ์ร่างจ้อยจะหันกลับมามองนายลูเซียสอีกครั้งก่อนที่มันจะยิ้มออกมาราวกับว่าเพิ่งมีเรื่องที่น่ายินดีอย่างมากเกิดขึ้น เอลฟ์หันใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มของมันไปมองเจ้านายทั้งสองของมันก่อนที่มันจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นว่า
“ฮ็อบบี้จะไปจัดการตามที่นายท่านสั่งเดี๋ยวนี้เลยขอรับ!” เอลฟ์พูดเจื้อยแจ้ว ก่อนที่มันจะก้มศีรษะลงต่ำในเชิงทำความเคารพและหายตัวไปพร้อมกับเสียงดังป็อป
หลังจากที่ฮ็อบบี้หายตัวไปไม่นานมันก็กลับมาพร้อมกับเอลฟ์ตัวอื่น ๆ ที่นำอาหารเย็นมาเสิร์ฟทั้งสอง เฮอร์ไมโอนี่ทานอาหารเย็นกับนายลูเซียสบนโต๊ะซึ่งตั้งอยู่ริมผนังกระจก และถึงแม้ว่าโต๊ะตัวดังกล่าวนั้นจะไม่ใหญ่เท่ากับโต๊ะอาหารในห้องอาหารที่หญิงสาวมักจะทานอาหารที่นั่นเป็นประจำ แต่มันก็ใหญ่พอที่จะรองรับอาหารจานแล้วจานเล่าที่เอลฟ์นำมาเสิร์ฟให้แก่ทั้งสองได้ และถึงแม้ว่าภายนอกนั้นจะเริ่มมืดเพราะดวงอาทิตย์ได้ลาลับขอบฟ้าไปแล้วก็ตาม แต่หญิงสาวก็ทันได้เห็นดวงอาทิตย์ตกดินขณะที่เธอกำลังรอเอลฟ์มาเสิร์ฟอาหารเย็นให้เธอ
หลังจากอาหารทุกจานถูกเสิร์ฟลงบนโต๊ะเรียบร้อยแล้วนั้น หญิงสาวและสามีของเธอก็ทานอาหารกันเงียบ ๆ ภายในห้องกระจกที่ประดับไปด้วยทัศนียภาพสวนสวยของคฤหาสน์ซึ่งแม้ว่ามันจะมองเห็นไม่ชัดเจนนักท่ามกลางจากแสงสลัวภายนอก หากแต่มันก็เป็นภาพที่ดูสวยงามมากกว่าผนังประดับวอลเปเปอร์ลวดลายปราณีตของห้องอาหารใหญ่มากนักในความคิดของเฮอร์ไมโอนี่ เธอและชายผมบลอนด์ไม่ได้พูดคุยกันเท่าไหร่นักขณะที่ทานอาหาร อาจจะเป็นเพราะว่าหญิงสาวไม่แน่ใจว่าเธอควรจะหาเรื่องใดมาชวนชายตรงหน้าคุยต่อไปดี และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือขณะที่ทานอาหารไปนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็จำเป็นที่จะต้องใช้ความคิดเป็นอย่างมากว่าเธอจะทำอย่างไรต่อไปหลังจากทานอาหารเย็นเสร็จ
หลังจากที่อาหารมื้อนี้จบลง เธอจะต้องใช้วิธีใดรวมไปถึงใช้แผนการใดที่จะรั้งตัวนายลูเซียสให้อยู่กับเธอไปตลอดทั้งค่ำคืนนี้ได้ มันจะมีวิธีใดที่เธอจะทำให้เขาอยู่กับเธอได้ตลอดทั้งคืนหากไม่นับการที่เธอจะต้องยอมมีความสัมพันธ์ทางกายกับเขาเพื่อรั้งตัวเขาไว้ ซึ่งแน่นอนว่าหญิงสาวไม่อาจจะทำใจทำเช่นนั้นได้ บวกกับความจริงที่ว่านายลูเซียสก็ได้ให้สัญญากับเธอแล้วว่าเขาจะไม่ล่วงเกินเธอโดยที่เธอไม่เต็มใจอีก และชายผมบลอนด์ก็ได้พิสูจน์คำมั่นสัญญาของเขาไปแล้วเมื่อคราในตอนที่เขาพยายามจะจูบเธอแต่เธอขอร้องเขาไว้ไม่ให้เขาทำเช่นนั้น แต่เมื่อมาถึงตอนนี้ คำสัญญาซึ่งเฮอร์ไมโอนี่เคยคิดว่ามันเป็นสิ่งที่พอจะทำให้เธออุ่นใจได้บ้างและเป็นข้อได้เปรียบของเธอในยามนี้นั้นกลับกลายมาเป็นข้อจำกัดในการดำเนินแผนการของเธอที่ได้ตกลงกับสเนปไว้ให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี เพราะถึงแม้ว่าหญิงสาวจะแน่ใจว่าเธอจะไม่มีทางยอมใช้ร่างกายของเธอเข้าแลกเพื่อรั้งตัวนายลูเซียสไว้กับเธอตลอดค่ำคืนนี้ก็ตาม แต่ในขณะเดียวกันนั้น หญิงสาวก็ลืมคิดไปว่า หากปราศจากปฏิสัมพันธ์ทางกาย เช่น การโอบกอดหรือการจูบแล้วนั้น มันก็ยากที่จะทำให้คู่สามีภรรยาเช่นเขาและเธอใช้เวลาอยู่ด้วยกันไปตลอดทั้งคืนได้
และในขณะที่กำลังระดมสมองเพื่อหาหนทางที่จะรั้งตัวชายผมบลอนด์ไว้หลังจากทานอาหารเสร็จแล้วนั้น เฮอร์ไมโอนี่ก็อดที่จะคิดถึงผลที่จะตามมาหลังจากนี้ถ้าหากเธอล้มเหลวในการรั้งตัวนายมัลฟอยไว้กับเธอ ไม่ได้ ซึ่งจากการคาดการณ์ของเฮอร์ไมโอนี่ สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ถ้าหากเธอล้มเหลวนั้นก็แทบจะเรียกได้ว่าน่าสยดสยองเมื่อหญิงสาวจินตนาการไปว่านายลูเซียสได้พบกับลูกชายของเขาก่อนที่สเนปจะตามหาและลบความทรงจำเดรโกได้ทัน ซึ่งทำให้สามีของเธอได้ล่วงรู้ความลับที่เธอกำลังปิดบังเขาอยู่ รวมถึงส่งผลให้เขาล่วงรู้ความลับที่สเนปเก็บรักษาไว้มาเนิ่นนาน และหากนายลูเซียสล่วงรู้เรื่องราวดังกล่าวแล้วเขาก็ต้องนำสิ่งที่เขาได้ล่วงรู้ไปรายงานเจ้านายเพียงหนึ่งเดียวของเขาซึ่งก็คือลอร์ดโวลเดอมอร์อย่างแน่นอน และเมื่อถึงตอนนั้นผลที่ตามมาเพียงอย่างเดียวก็คือความตายของสายลับเพียงคนเดียวที่ดัมเบิลดอร์ตั้งใจซ่อนไว้อย่างดีท่ามกลางหมู่ผู้เสพความตาย และผลลัพธ์ดังที่กล่าวมาตั้งหมดนี้อาจจะนำไปสู่ชัยชนะของจอมมารต่อโลกเวทย์มนต์ในอนาคตก็เป็นได้
และเมื่อคิดได้เช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็อดรู้สึกสยดสยองไม่ได้กับสิ่งที่เธอรู้ว่าจะเกิดขึ้นถ้าหากเธอล้มเหลวในภารกิจที่สเนปมอบหมายให้เธอทำ! และในขณะที่หญิงสาวกำลังจินตนาการถึงผลลัพธ์อันร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นหลังจากนี้อยู่นั้น จู่ ๆ ประตูห้องกระจกก็เปิดขึ้นอย่างรวดเร็วและกระทันหันจนทำให้เฮอร์ไมโอนี่ที่กำลังอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเองอยู่นั้นตกใจกับเสียงดังกล่าวจนเธอเผลอปล่อยส้อมที่กำลังถืออยู่ในมือหลุดลงกระทบจานจนกระทั่งเกิดเสียงอันดังขึ้น!
หลังจากเสียงดังกล่าวดังขึ้นตามมาพร้อมกับการปรากฏตัวของร่างที่เพิ่งผ่านธรณีประตูเข้ามาซึ่งในตอนแรกหญิงสาวจินตนการไปว่าร่างนั้นจะเป็นเดรโก มัลฟอยที่กลับมาที่คฤหาสน์เพื่อบอกความลับของเฮอร์ไมโอนี่ที่เขาเพิ่งค้นพบในวันนี้ให้แก่พ่อของเขาฟังนั้น เธอกลับค้นพบในภายหลังที่เธอเงยหน้ามองไปทางประตูด้วยสีหน้าตกว่า ร่างที่เพิ่งเข้ามาปรากฎตัวในห้องนั้นกลับเป็นเพียงแค่ร่างเล็กของเอลฟ์ประจำบ้านที่มีถาดของหวานบรรจุอยู่ในมือเท่านั้น ในขณะที่เฮอร์ไมโอนี่กำลังพยายามรวบรวมสติเพื่อรับมือกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นตรงหน้าอยู่นั้น นายลูเซียสผู้นั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะอาหารก็มองภรรยาสาวของเขาด้วยสายตาแปลกใจ ก่อนที่เขาจะหันไปดุเอลฟ์ประจำบ้านในทันที
“ทีหลังแกก็หัดเคาะประตูเสียบ้าง! พรวดพราดเข้ามาแบบนี้นายหญิงของแกตกใจหมด!” ชายผมบลอนด์กล่าวพร้อมกับส่งสายตาดุดันไปให้เอลฟ์ร่างจ้อยที่รีบก้มศีรษะลงขอโทษนายท่านของมันแทบจะไม่ทันหลังจากที่มันวางถาดของหวานลงบนโต๊ะอาหาร และเมื่อเห็นเช่นนั้น เฮอร์ไมโอนี่ที่เพิ่งหายตกใจกับเหตุการณ์ดังกล่าวแล้วนั้นจึงพูดขึ้นเบา ๆ
“อย่าว่าเขาเลยค่ะ ไม่ใช่ความผิดของเขาหรอก” เธอพูดขึ้นพร้อมกับส่งสายตาอ้อนวอนไปทางสามีเพราะเธอกลัวว่าเขาจะโกรธจนลงโทษเอลฟ์ที่น่าสงสารตนนี้ และเมื่อเห็นเช่นนั้น แม้ว่าเขาจะหงุดหงิดกับความไร้มารยาทของเอลฟ์ประจำบ้านเพียงใด เขาก็ไม่ตัดสินใจที่จะลงโทษมันในตอนนี้ ตรงกันข้ามเขากลับส่งสายตาที่ดุดันไปให้มันอีกครั้งก่อนที่จะสั่งให้มันออกไปจากห้องหลังจากที่มันเสิร์ฟของว่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว
แต่ก่อนที่เอลฟ์ร่างจ้อยจะหายตัวออกไปจากห้องกระจกแห่งนี้ ชายผมบลอนด์ก็รั้งตัวมันไว้ก่อน
“เดี๋ยว” เขากล่าว “นายน้อยได้กลับมาที่คฤหาสน์หรือยัง” นายลูเซียสถามขึ้น ซึ่งคำถามดังกล่าวนั้นทำเอาหัวใจของเฮอร์ไมโอนี่แกว่งวูบ! และโดยที่ชายผมบลอนด์ซึ่งไม่รู้ตัว ภรรยาสาวของเขาที่ได้ยินถ้อยคำดังกล่าวก็กำลังรอฟังคำตอบจากเอลฟ์ประจำบ้านอย่างใจจดใจจ่อมากกว่าเขาเสียอีกเมื่อเอลฟ์ร่างจ้อยตอบกลับมาว่า
“ยังขอรับ นายน้อยยังไม่กลับมาที่คฤหาสน์เลยขอรับ” เอลฟ์ตอบออกมาท่ามกลางความโล่งอกของเฮอร์ไมโอนี่และสีหน้าที่พยายามจะรักษามันให้ดูเรียบเฉยของนายลูเซียสเมื่อเขาโบกมือในเชิงให้เอลฟ์ออกไปจากห้องได้ และหลังจากได้ยินเสียงป็อปดังขึ้นพร้อมกับการจากไปของเอลฟ์ร่างจ้อยนั้น หญิงสาวก็เงยหน้าขึ้นมองสามีของเธอและสิ่งที่เธอพบก็คือแววไม่สบายใจที่ปรากฎเด่นชัดอยู่ในดวงตาสีเงินของนายลูเซียส
และเมื่อเห็นเช่นนั้น ถึงแม้ว่าเธอจะรู้ดีว่าไม่สมควรหรือเป็นการเสี่ยงมากก็ตาม แต่หญิงสาวก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถามเขาออกไปว่า
“คุณเป็นห่วงเขาหรือคะ” เธอถามสิ่งที่สงสัยออกไปตามตรง และสิ่งที่เฮอร์ไมโอนี่ได้รับแทนคำตอบก็คือแววตาครุ่นคิดจนเกือบจะเรียกได้ว่าวิตกกังวลของสามีก่อนที่เขาจะตอบออกมา
“ยังไงเขาก็เป็นลูกชายของฉัน” นายลูเซียสกล่าว และเมื่อได้ยินเช่นนั้นหญิงสาวจึงถามออกไปอีกครั้งด้วยหัวใจที่เต้นแรงว่า
“แล้วคุณจะออกไปตามหาเขาไหมคะ” เธอถามพร้อมกับรอฟังคำตอบที่ออกมาจากปากของชายผมบลอนด์ด้วยหัวใจที่เต้นแรงราวกับมันจะหลุดออกมานอกอก ขณะที่อีกฝ่ายนั้นเสมองไปทางอื่นด้วยสีหน้าครุ่นคิด จนกระทั่งหญิงสาวรู้สึกว่าการรอคอยของเธอเริ่มจะเนิ่นนานเกินไปแล้วนั้นเธอก็ได้รับคำตอบที่ออกมาจากริมฝีปากบางของสามีว่า
“ไม่หรอก” ชายผมบลอนด์กล่าว “ถึงฉันจะเป็นห่วงเขาก็ตาม แต่เขาก็โตแล้ว เดรโกไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว” เขาพูดสิ่งที่เขาตัดสินใจออกมา และเมื่อได้ยินเช่นที่เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกโล่งอกขึ้นมากก็พยักหน้าเบา ๆ ในเชิงรับรู้ก่อนที่จะแสร้งมองไปทางอื่น แต่ในขณะที่หญิงสาวกำลังจ้องมองของหวานที่เอลฟ์มาเสิร์ฟให้เธออยู่นั้น เธอก็ได้ยินเสียงของนายลูเซียสดังขึ้น
“เธอไม่อยากให้เขากลับมาที่นี่อย่างนั้นหรือ” ช่างเป็นคำถามที่แปลกประหลาดแต่ในขณะเดียวกันมันก็ช่างเป็นคำถามที่ตรงใจหญิงสาวเสียเหลือเกินเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมองสามีของเธอด้วยท่าทีแปลกใจราวกับเธอไม่คิดมาก่อนว่าเขาจะถามคำถามนี้เธอออกมา แต่ถึงกระนั้น ถึงแม้ว่าเธอจะตกใจกับคำถามฝ่ายตรงข้ามรวมทั้งพบว่ามันเป็นคำถามที่หาคำตอบได้ยากเหลือเกินก็ตาม เฮอร์ไมโอนี่ก็ใช้เวลาครุ่นคิดเพียงชั่วครู่เท่านั้นก่อนที่เธอจะตอบออกไป
“ฉันไม่ได้ไม่อยากให้เขากลับมาที่นี่หรอกค่ะ และฉันก็รู้ว่าฉันไม่มีสิทธิ์ที่จะคิดแบบนั้นด้วย เพียงแต่……ฉันก็ไม่ได้หวังให้คุณเข้าใจฉันหรอกนะคะ…….แต่คุณก็รู้ในสิ่งที่เขาทำ….” เธอตอบออกไปเช่นนั้น และถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุดที่เธอปรารถนาจะตอบสามีของเธอออกไป แต่ท่าทีอึดอัดรวมถึงแวววิตกกังวลจนแทบจะเรียกได้ว่าหวาดกลัวที่ฉายชัดอยู่ในดวงตาสีน้ำตาลของหญิงสาวนั้นมันทำให้นายลูเซียสเข้าใจในสิ่งที่เธอต้องการจะสื่อออกมาไม่น้อย และแทนที่เขาจะรู้สึกไม่พอใจภรรยาใหม่ของเขาที่เธอไม่ต้องการให้ลูกชายของเขากลับมาที่คฤหาสน์แห่งนี้ ตรงกันข้ามเขากลับรู้สึกเห็นอกเห็นใจเธอมากกว่าอะไรทั้งหมดในสิ่งที่ลูกชายของเขาได้ทำลงไปกับเธอ และเมื่อเห็นเช่นนั้น ถึงแม้ว่าจะรู้ดีว่าเขาได้ให้สัญญากับหญิงสาวไว้แล้วก็ตาม ชายผมบลอนด์ก็อดไม่ได้ที่จะเลื่อนมือใหญ่ของเขามากุมมือเล็กของหญิงสาวไว้เมื่อเขามองเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลของเธออย่างห่วงใยก่อนจะพูดขึ้น
“เธอกลัวเขาใช่ไหม” ชายผมบลอนด์ถามขึ้น ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ที่ตอนแรกพยายามจะก้มหน้าหลบสายตาของสามีนั้นตัดสินใจเงยหน้าขึ้นสบตาเขาก่อนที่เธอจะพูดขึ้นว่า
“ฉันขอโทษค่ะ ลูเซียส แต่ฉันห้ามตัวเองให้รู้สึกแบบนั้นไม่ได้จริง ๆ ฉันเข้าใจนะคะที่คุณอยากจะให้เขากลับมาที่คฤหาสน์ แต่ฉันก็อดไม่ได้ที่จะ…..” ไม่ทันที่หญิงสาวจะพูดจบดี นายลูเซียสก็ชิงพูดขึ้นก่อน
“ฉันเข้าใจเธอดี เธอไม่ต้องพูดอีกแล้ว” เขากล่าวพลางจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่สวยของภรรยาซึ่งบัดนี้มันแสดงความหวาดกลัวออกมาอย่างไม่มีการเสแสร้งหรือปิดบังแต่อย่างใด และถึงแม้ว่าชายผมบลอนด์จะไม่ทราบว่าสาเหตุของความหวาดกลัวที่แสดงออกมาทางแววตาของหญิงสาวนั้นส่วนหนึ่งมันมาจากความหวาดกลัวที่ว่าเขาอาจจะค้นพบความลับของเธอและสเนปจากลูกชายของเขาก็ตาม นายมัลฟอยก็อดที่จะรู้สึกสงสารและเห็นใจหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้เมื่อเขาเห็นสีหน้าอดกลั้นและดวงตาที่มีน้ำตารื้นของเธอ ราวกับเธอต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากในการบังคับตัวเองไม่ให้ร้องไห้ออกมา และเมื่อเห็นเช่นนั้นเขาจึงพูดขึ้นพร้อมกับที่มือใหญ่ของเขากุมมือเล็กของหญิงสาวไว้แน่น
“เธอไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น เธอเข้าใจไหม ฉันจะไม่ปล่อยให้เขาทำอะไรเธออีกเป็นอันขาด” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่น ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่มองเขาด้วยแววตาสับสน
“คุณห้ามเขาได้จริง ๆ หรือคะ” หญิงสาวถามออกมา และเป็นเพราะคำถามนี้เองทำให้ชายผมบลอนด์นิ่งเงียบไปเมื่อเขาพบว่าสิ่งที่เฮอร์ไมโอนี่พูดออกมานั้นเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจจะโต้เถียงได้ เพราะเขารู้ดีว่าถึงแม้ว่าเขาจะพยายามปกป้องหญิงสาวไว้อย่างดีอย่างที่เขาได้ให้คำพูดไว้ก็ตาม เขาก็ไม่อาจจะแน่ใจเต็มร้อยได้ว่าเขาจะสามารถปกป้องเธอจากลูกชายของเขา พอ ๆ กับที่เขาไม่สามารถแน่ใจได้ว่าเดรโกจะไม่คิดร้ายกับเธออีกหลังจากนี้ ในเมื่อตัวเขาเองก็ไม่ได้อยู่กับเธอตลอดเวลาเพื่อที่จะคอยป้องกันไม่ให้ลูกชายของเขาทำร้ายหรือล่วงเกินภรรยาของเขาลงไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์เช่นนี้ ที่เขาได้ย้ายออกมานอนที่ห้องนอนใหม่ซึ่งอยู่อีกปีกหนึ่งของคฤหาสน์โดยที่ตัวนายลูเซียสเองก็ยังไม่รู้ว่าเขาจะได้กลับไปนอนที่ห้องนอนเดิมของเขากับเฮอร์ไมโอนี่อีกครั้งเมื่อไหร่ และเมื่อเป็นเช่นนั้นประกอบกับความจริงที่ว่าชายผมบลอนด์เองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลูกชายของเขาจะกลับมาที่คฤหาสน์หลังนี้อีกเมื่อไหร่ และถ้าเขากลับมาแล้วเดรโกยังจะติดใจโกรธแค้นเฮอร์ไมโอนี่ในเรื่องที่เกิดขึ้นจนคิดจะมาทำร้ายเธออีกหรือไม่นั้น ทำให้นายลูเซียสล่วงรู้ว่าเขาไม่อาจจะแน่ใจได้ว่าเขาจะสามารถปกป้องภรรยาสาวของเขาจากลูกชายของเขาได้ตลอดเวลา แม้ว่าเขาจะพูดถ้อยคำที่ทำให้หญิงสาวมั่นใจออกไปก็ตามว่าเขาจะสามารถปกป้องเธอจากเดรโกได้ แต่ถึงกระนั้น นายลูเซียสก็รู้อยู่เต็มอกว่าเขาไม่อาจจะแน่ใจในเรื่องนี้ได้เลย และเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ชายผมบลอนด์จึงจำเป็นจะต้องหาทางที่จะปกป้องภรรยาของเขาจากลูกชายของเขาเองอย่างสุดความสามารถเพื่อที่เขาจะสามารถแน่ใจได้ว่าเดรโกจะไม่มาล่วงเกินหรือแม้กระทั่งยุ่งเกี่ยวกับเฮอร์ไมโอนี่ได้อีกต่อไป
และหลังจากผ่านการนิ่งเงียบซึ่งเป็นช่วงเวลาที่นายมัลฟอยกำลังระดมความคิดเพื่อแก้ไขปัญหาที่เขากำลังเผชิญอยู่ไปครู่หนึ่งแล้วนั้น ชายผมบลอนด์ก็ค้นพบทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว และถึงแม้ว่าเขาพบว่ามันจะเป็นทางเดียวที่เขาจะสามารถปกป้องภรรยาสาวของเขาจากเงื้อมมือของเดรโกไว้ได้ก็ตาม แต่นายลูเซียสกลับพบว่ามันเป็นหนทางที่เขาไม่เต็มใจที่จะทำมันลงไปนัก และหลังจากผ่านการลังเลไปครู่หนึ่ง ท่ามกลางสายตาที่จ้องมองมาอย่างรอคอยระคนสงสัยของหญิงสาวตรงหน้า มือใหญ่ของนายลูเซียสก็เอื้อมไปคว้ามือเล็กของเฮอร์ไมโอนี่มากุมเอาไว้ ก่อนที่เขาจะมองลึกเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย ทางด้านหญิงสาวนั้นถึงแม้ว่าเธอจะแปลกใจในสิ่งที่ชายผมบลอนด์ได้ทำลงไปไม่น้อยก็ตาม แต่เธอก็เลือกที่จะไม่คัดค้านหรือพูดอะไรออกมา ตรงกันข้ามเธอกลับจ้องเขากลับด้วยท่าทีรอคอยในสิ่งที่สามีของเธอกำลังจะเอ่ยออกมา
“เธอกลัวว่าเขาจะมาทำร้ายเธอหลังจากนี้ใช่ไหม” นายลูเซียสถามขึ้น และถึงแม้ว่ามันจะเป็นคำถามเดิมที่ทั้งเขาและเธอต่างรู้คำตอบดีอยู่แล้วก็ตาม แต่หญิงสาวกลับไม่ทักท้วงหรือตอบอะไรออกไปในทันที ตรงกันข้ามเธอกลับพยักหน้าเบา ๆ ด้วยท่าทีอัดอั้น และปล่อยให้ดวงตาสีน้ำตาลที่ฉายแววหวาดกลัวอย่างไม่มีปิดบังของเธอนั้นเป็นฝ่ายบอกเล่าคำตอบแทนเธอ
และเมื่อเห็นเช่นนั้น นายลูเซียสก็ลูบมือเล็กของเฮอร์ไมโอนี่อย่างปลอบโยนก่อนจะพูดขึ้นมา
“ฉันมีทางหนึ่งที่เราจะพอแน่ใจว่าเขาจะไม่มาทำร้ายหรือล่วงเกินอะไรเธอได้…….ในตอนที่ฉันไม่อยู่” เขากล่าวขณะที่เฮอร์ไมโอนี่จ้องมองเขาอย่างสงสัยเมื่อนายลูเซียสเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะพูดออกมา
“ฉันสามารถร่ายคาถาไว้ที่ประตูห้องนอนของเธอได้ คาถานี้จะกันไม่ให้ใครก็ตามยกเว้นเธอเข้ามาในห้องนอนของเธอโดยที่เธอไม่ได้อนุญาต” ชายผมบลอนด์กล่าว “ส่วนในตอนที่เธออยู่ที่ส่วนอื่นของคฤหาสน์ ฉันจะคอยให้เอลฟ์จับตาดูเธอ แต่ฉันคิดว่าเขาคงไม่กล้าทำอะไรเธอในที่ ๆ ไม่ใช่ที่ลับตาคนหรอก” นายลูเซียสอธิบาย และถึงแม้ว่าหญิงสาวจะสังเกตเห็นว่าเขาจงใจเลี่ยงที่จะพูดชื่อของเดรโกออกมาด้วยเหตุผลบางอย่าง เฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่มีเวลาสนใจในเรื่องนั้นมากนัก เมื่อเธอหรี่ตาลงด้วยความสงสัยก่อนจะถามขึ้น
“คุณจะร่ายคาถาไว้ที่ห้องนอนของฉันหรือคะ” เธอถามออกไป ขณะที่นายลูเซียสมองเธอด้วยสายตาที่ดูครุ่นคิดระคนอึดอัดก่อนที่เขาจะตอบออกมา
“ถ้าเธอต้องการเช่นนั้น ฉันก็จะทำ……..เพื่อเธอ” เขากล่าว ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่มีท่าทีสับสน เพราะถึงแม้ว่าเธอจะต้องการคาถานี้มากกว่าอะไรทั้งหมด เพราะมันไม่ได้หมายความเพียงแค่ว่าคาถาดังกล่าวจะกันไม่ให้เดรโกเข้ามาทำร้ายเธอถึงในห้องนอนก็ตาม แต่ตามที่นายลูเซียสพูดออกมานั้นมันยังสามารถป้องกันทุก ๆ คนที่เธอไม่อนุญาตให้เข้ามาในห้องนอนของเธอได้ ซึ่งหมายความว่านายมัลฟอยผู้เป็นสามีของเธอจะไม่สามารถเข้ามาในห้องนอนของเธอได้หากเธอไม่ต้องการให้เขาเข้ามาเช่นกัน
และถึงแม้ว่ามันดูราวกับว่าคาถาดังกล่าวเป็นสิ่งที่เฮอร์ไมโอนี่ต้องการมากที่สุดในตอนนี้ และถ้าเธอมีมันก่อนหน้านี้ เรื่องราวที่เลวร้ายซึ่งเกิดขึ้นกับเธอก็คงจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นเป็นแน่ แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ถ้าลองมาคิดดูให้ดีแล้ว แม้ว่าหญิงสาวจะต้องการให้สามีของเธอร่ายคาถาดังกล่าวไว้ที่ห้องนอนของเธอมากเพียงใดก็ตาม คาถาที่ว่านี้ก็อาจจะนำผลเสียมาให้แก่เธอก็เป็นได้หากนายลูเซียสตัดสินใจใช้มันในทันที เนื่องจากเฮอร์ไมโอนี่มีภารกิจที่จะต้องรั้งตัวนายมัลฟอยไว้ให้อยู่กับเธอตลอดทั้งค่ำคืนนี้ และเมื่อเป็นเช่นนั้นการใช้คาถาดังกล่าวนั้นก็อาจจะไปขัดขวางรวมถึงทำลายภารกิจนี้ของเธอก็เป็นได้ เพราะถ้าหากนายลูเซียสร่ายคาถานี้แล้วมั่นใจว่าภรรยาของเขาจะปลอดภัยอยู่ในห้องนอนของเธอตลอดทั้งค่ำคืนนี้แล้วนั้น เขาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องอยู่ข้างเธออีกต่อไป ดังนั้นหลังจากร่ายคาถานี้และส่งเธอเข้านอนแล้วนั้นชายผมบลอนด์ก็อาจจะออกไปตามหาลูกชายของเขาที่หนีออกไปจากคฤหาสน์ทันทีก็เป็นได้ และเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ถึงแม้ว่าคาถาดังกล่าวจะเป็นประโยชน์กับเธอในระยะยาวก็ตาม แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่อาจจะปล่อยให้สามีของเธอใช้มันในทันทีได้ เพราะถ้าหากเธอยอมให้เขาทำเช่นนั้น สิ่งที่ตามมาหลังจากนี้จะกลับกลายเป็นผลเสียมากกว่าผลดีเพราะมันอาจจะส่งผลให้แผนการของสเนปล้มเหลวลงก็เป็นได้
และเมื่อตัดสินใจได้เช่นนั้น เฮอร์ไมโอนี่ที่ไม่ต้องการให้นายมัลฟอยร่ายคาถาดังกล่าวลงไปในทันที แต่ต้องการให้เขาใช้มันหลังจากนี้ หลังจากเรื่องทั้งหมดนี้จบลงก่อนนั้น ซึ่งเธอเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเธอจะพูดหรือทำอย่างไรให้เขาทำตามที่เธอต้องการได้นั้นก็ไม่สามารถจะทำอะไรได้นอกจากการเงยหน้าขึ้นมองสามีของเธอด้วยแววตาที่สับสนเมื่อเขาถามเธออีกครั้ง
“เธอต้องการให้ฉันทำอย่างที่บอกไหม” นายลูเซียสกล่าว ขณะที่หญิงสาวตรงหน้านิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะตอบเธอออกมา
“ฉันก็ไม่รู้ค่ะ ฉันหมายความว่ามันจะได้ผลหรือคะ” เธอถามคำถามดังกล่าวออกไปเพื่อถ่วงเวลาขณะที่ในสมองของเธอนั้นกำลังครุ่นคิดเพื่อหาทางออกในสถานการณ์ที่ซับซ้อนมากขึ้นกว่าทุกครั้ง
“แน่นอนว่ามันจะได้ผล” ชายผมบลอนด์ตอบออกมาแทบจะในทันที “คาถานี้จะป้องกันไม่ให้ใครก็ตาม……แม้แต่ฉันเอง เข้าไปในห้องนอนของเธอไม่ว่าจะด้วยวิธีใด ๆ เว้นเสียแต่เธอจะอนุญาตเท่านั้น” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่ต้องการจะปลอบประโลมเธอให้หายห่วงว่าคาถาของเขาสามารถช่วยปกป้องเธอได้ แต่มันกลับให้ผลในทางตรงกันข้ามเมื่อหญิงสาวมีท่าทีกดดันมากขึ้นกับสิ่งที่ได้ยินจนมือเล็กของเธอนั้นบีบมือใหญ่ของนายลูเซียสไปโดยที่เธอไม่รู้ตัว
และขณะที่ชายผมบลอนด์เงยหน้าขึ้นมองเธออย่างแปลกใจหญิงสาวก็พูดขึ้น
“ฉัน……ฉันก็ไม่รู้ค่ะลูเซียส ว่าฉันต้องการให้คุณร่ายคาถานี้ไหม ฉันแค่……..” เธอส่ายหน้าด้วยท่าทีที่สับสนก่อนที่ดวงตาสีน้ำตาลของเธอจะเงยขึ้นสบดวงตาสีเงินของสามีซึ่งในคราวนี้นายลูเซียสกลับพบว่ามันเต็มไปด้วยความหวาดกลัวที่ฉายชัดอยู่ในดวงตาคู่สวยที่ปกติจะดูดื้อรั้นของเธอนั้น แต่ยิ่งไปกว่าความกลัวนั้นมันคือความโดดเดี่ยวอ้างว้างที่เขาสามารถสัมผัสได้ ราวกับว่าตอนนี้สิ่งที่เธอต้องการที่สุดไม่ใช่คาถาที่จะปกป้องเธอจากทุกคนที่ประสงค์ร้ายกับเธอหากแต่เป็นเพียงใครซักคนที่จะอยู่เคียงข้างเธอเท่านั้น
และถ้อยคำต่อไปที่ออกมาจากริมฝีปากอิ่มที่นายมัลฟอยเคยสัมผัสมาหลายต่อหลายครั้งแล้วนั้นกลับยิ่งเป็นสิ่งที่ตอกย้ำถึงความรู้สึกของหญิงสาวในตอนนี้มากขึ้นไปอีกเมื่อเธอพูดออกมาว่า “ฉันแค่อยากให้คุณอยู่เป็นเพื่อนฉันในตอนนี้เท่านั้น ได้ไหมคะ”
น้ำเสียงของเฮอร์ไมโอนี่ยามเอ่ยประโยคดังกล่าวออกมานั้นฟังดูอ่อนโยนจนเกือบจะเรียกได้ว่าอ้อนวอน และเมื่อได้ยินเช่นนั้น แม้ว่าชายผมบลอนด์จะให้คำสัญญาออกไปแล้วก็ตามว่าเขาจะไม่ล่วงเกินเธอโดยเธอไม่เต็มใจอีก แต่นายลูเซียสก็ไม่อาจจะปล่อยให้ร่างเล็กที่อยู่ห่างกับเขาเพียงแค่โต๊ะอาหารกั้นนั้นเดียวดายอีกต่อไปเมื่อเขาตัดสินใจลุกขึ้นก่อนจะตรงไปที่เก้าอี้ที่หญิงสาวกำลังนั่งอยู่ ชายผมบลอนด์จ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลที่เคยส่อแววดื้อรั้นและต่อต้านเขามาหลายต่อหลายครั้งก่อนที่เขาจะนั่งลงข้างกายเธอและดึงร่างเล็กของหญิงสาวมาสวมกอด และขณะที่ใบหน้าเล็กที่เอ่อไปด้วยน้ำตาของเฮอร์ไมโอนี่ซบลงบนอกกว้างของเขานั้น มือใหญ่ของชายผมบลอนด์ก็ยกขึ้นลูบศีรษะที่ปกคลุมไปด้วยเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนนุ่มของเธอก่อนจะพูดขึ้นว่า
“ได้สิ” เขาหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมา “ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนเธอไปตลอดทั้งคืนนี้ก็ได้ ถ้าเธอต้องการ” นายลูเซียสกล่าวก่อนที่จะลูบศีรษะหญิงสาวในอ้อมแขนของเขาอย่างปลอบโยน
*************************************************
ความคิดเห็น