ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [IKON] "HOODWINK" DoubleB&Junjin

    ลำดับตอนที่ #5 : file04 :: kiss

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 849
      3
      16 มี.ค. 58




    Sweet dream or a beautiful nightmare
    Somebody pinch me, your love's too good to be true




     
     

    ผมลืมตาขึ้นด้วยความรู้สึกประหลาด

     

     

    มันเป็นอีกวันที่ผมยังอยู่ในบ้านหลังเดิม

     

     

    รอยแผลตามตัวจากหายไปตามกาลเวลาบ้างแล้ว ตัวของผมเบาหวิวจากการนอน12ชั่วโมงต่อกันมาหลายวันเหมือนจะเป็นการชดเชยเวลาที่อยู่ในลอว์ไลท์ไป

     

    เสื้อผ้าใหม่ ที่นอนใหม่ บ้านหลังใหม่ที่ผมยังทำใจให้คุ้นเคยกับมันไม่ได้ดีเท่าไหร่นัก

     

     

    มันผ่านมาได้ราวสองอาทิตย์แล้วนับตั้งแต่เขาลืมตามาเจอบ๊อบบี้วันนั้น

    13 วัน, 312 ชั่วโมง, 18720 นาที ที่เขาออกมาจากลอว์ไลท์

     

     

    ทุกอย่างยังดำเนินไปเหมือนกับเรื่องที่ผ่านมาตลอดสิบปีไม่มีอยู่จริง...

     

     

    ผมมองไปนอกหน้าต่างอย่างไม่ค่อยเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็นนัก จนถึงตอนนี้ บางทีผมก็ยังคิดว่าตัวเองกำลังฝันอยู่... ภาพของต้นไม้สีเขียวและถนนยางมะตอยสีดำนอกหน้าต่างนั่นยังทำให้ผมแปลกใจอยู่เสมอเมื่อเห็นรถวิ่งผ่านไปมา

     

    ถ้าเมื่อวันก่อนบ๊อบบี้ไม่พาออกไปเดินเล่นในเมืองที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย เขาคงไม่เชื่อว่านี่คือความจริง เขาอาจจะยังคิดว่าตัวเองแค่ถูกจัดฉากขึ้นมา

     

    พูดถึงบ๊อบบี้... หรือที่เขาชอบให้ผมเรียกว่าจีวอนฮยองมากกว่า ตอนแรกเขาแนะนำตัวเองจีวอนเพราะเขาบอกว่าแต่ก่อนผมเรียกเขาว่าอย่างนั้น แต่พออยู่ด้วยกันมาได้สองสามวัน เขาก็ค้นพบว่าตอนที่บ๊อบบี้ไปทำงานวิจัยที่อเมริกา เขามีอีกชื่อว่าบ๊อบบี้

    และผมมองว่ามันเหมาะกับเขามากกว่า ผมจึงชอบที่จะเรียกบ๊อบบี้มากกว่าจีวอน แม้ทุกครั้งที่เรียกจีวอนจะชอบหันมาดุเขาก็เถอะ

     

    จริงๆจะว่าไป ผมกับเขาก็ไม่ได้คุยกันบ่อยนักหรอก... ผมไม่ได้ชอบพูดอะไรขนาดนั้น จะว่าตามตรง ผมเองก็ยังมั่นใจด้วยซ้ำว่าเขาเป็นคนยังไงกันแน่ บางครั้งเขาก็ดูเป็นคนอารมณ์ดีบางครั้งก็จริงจังจนผร็สึกกลัวขึ้นมา

     

    ผมค่อยๆลุกจากเตียงที่นอนอยู่ช้าๆก่อนจะอ้าปากหาวออกมา...

    แดดออกขนาดนี้แล้ว นี่คงสายแล้วแน่ๆ เพียงแค่นั้นท้องของผมก็เกิดส่งเสียงร้องขึ้นมาทันที

     

    เมื่อคืนบ๊อบบี้กลับบ้านช้า เขาติดงานที่โรงพยาบาลเล็กๆในหมู่บ้านใกล้ๆที่นี่จนต้องอยู่ที่นั่นถึงดึก เขาบอกให้ผมอุ่นข้าวในตู้เย็นกินไปเลย แต่นั่นแหละ ผมไม่ได้บอกเขาหรอกว่ามันจบลงยังไง

    ผมใช้สิ่งที่เขาเรียกว่าไมโครเวฟไม่เป็น...มันอาจจะฟังดูโง่ แต่ใช้ไม่เป็นจริงๆนี่น่า!

    โอเคผมรู้ว่ามันก็แค่จับจานยัดเข้าไปในไมโครเวฟแค่นั้นก็จบ แต่ผมจะรู้ได้ยังไงล่ะว่ามันจะต้องอุ่นกี่นาทีกัน...

     

     

    ถ้าผมเกิดทำบ้านของบ๊อบบี้ไหม้ขึ้นมาจะทำยังไง...

     

     

    แถมไอ้แกงกิมจิบ้าบออะไรนี่ บ๊อบบี้ก็เอาเข้าช่องแข็งจนไม่น่าจะกินได้อีกต่างหาก....

    ผมเลยปล่อยมันไป ปกติผมก็ไม่ได้กินอะไรมากมายอยู่แล้วเลย ตื่นมาก็เลยมีสภาพอย่างที่เห็น

    ผมค่อยๆก้าวลงจากเตียงของตัวเองก่อนจะตรงไปยังประตูห้องนอนและเปิดมันออกไปเพื่อไปหาอะไรกินในครัวทันที

     

    โดยก่อนที่จะตรงไปยังห้องครัว ก็ไม่ลืมที่จะเดินไปดูที่โซฟาที่ตอนนี้บ๊อบบี้ใช้เป็นที่นอนอยู่

    เพราะบ้านหลังนี้เป็นบ้านหลังเล็ก ที่นี่แค่ห้องนอนเดียว บ๊อบบี้จึงต้องระเห็จมานอนที่โซฟาอย่างที่เห็น ตอนแรกผมจะอาสาออกมานอนข้างนอกนี้เอง บ๊อบบี้ทั้งตัวใหญ่และสูงกว่าเขาแต่ต้องมานอนโซฟาเล็กๆแบบนี้ นทำให้เขารู้สึกผิด แต่นั่นแหละบ๊อบบี้บอกว่าเขาไม่มีวันยอมให้มันเกิดขึ้นและลากเขากลับไปนอนบนเตียงจนได้

    และเมือคืนเขาคงเหนื่อยและกลับมาดึกมาก บ๊อบบี้ไม่ได้เปลี่ยนชุดของเขาด้วยซ้ำ เส้ากาวน์สีขาวก็กองอยู่ที่พื้นไม่ไกลนัก

     

    บ๊อบบี้...เป็นคนที่หน้าตาดีประมาณนึง...

    อย่างน้อยผมก็มองมันเป็นแบบนั้น ขนาดผม...ที่กลัวการจะเจอคนที่ใส่เสื้อกาวน์ พอเห็นเขายังรู้สึกได้ว่า เขาช่างดูเท่จริงๆเมื่อใส่เสื้อประจำตำแหน่งแพทย์แบบนั้น

    และเขาก็เป็นคนที่ใจดีกับผมจริงๆ... ถึงแม้บางทีเขาอาจจะชอบพูดเรื่องไม่เป็นเรื่องมากไปหน่อยจนทำให้ผมรำคาญไปบ้าง แต่เขาก็ทำให้ผมลืมเรื่องในโรงพยาบาลไปได้ตลอด ทำให้ผมเลิกกลัวเขาได้ภายในไม่กี่วัน

     

     

    หลังจากนั้นได้ไม่นานผมก็ละสายตาออกจากบ๊อบบี้ก่อนจะมุ่งหน้าตรงไปยังห้องครัวที่อยู่ไม่ห่างไปเท่าไหร่

    ผมคว้าเอาถุงขนมปังโฮวีทที่วางอยู่บนเคาเตอร์มา ฃจับมันเปิดออกหยิบขนมปังใส่ลงไปในเครื่องปิ้งตามที่บ๊อบบี้เคยสอน หันไปจัดการหาแยมมาเตรียมให้เรียบร้อย ก่อนจะเหลือบมองไปยังแก้วกาแฟที่ว่างเปล่าที่ถูกวางทิ้งไว้บนเคาเตอร์

    ผมไม่ชอบกินกาแฟ ถึงแม้บ๊อบบี้บอกว่ามันเป็นสิ่งที่มนุษย์คนทำงานปกติขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวันรวมถึงเขาด้วย นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมบ้านของเขาถึงมีเครื่องชงกาแฟอันเล็กๆและอบอวนไปด้วยกลิ่นเมล็ดกาแฟ แต่ผมไม่ชอบมัน แม้มันจะมีกลิ่นหอมจริงๆอย่างที่เขาว่า แต่ผมไม่เห็นความสำคัญของการกลั้นใจดื่มอะไรขมๆแบบนั้น

    ผมชอบกินนมมากกว่า ผมชอบความรู้สึกนุ่มๆของนม โดยเฉพาะเมื่อมันเป็นนมอุ่นๆใส่น้ำผึ้งนิดหน่อย แต่บ๊อบบี้แพ้มัน เขาเกลียดการดื่มนมเพราะมันจะทำให้เขาท้องเสียจนต้องเข้าโรงพยาบาล

     

     

     

    นั่นนับเป็นอย่างเดียวที่ผมเข้ากับบ๊อบบี้ไม่ได้

     

     

     

     

    นอกจากนั้นทุกๆอย่างดูจะเรียบร้อยไปซะหมดไม่ว่าจะเป็นเพราะเขาไม่เรื่องมากหรือเพราะเราเข้ากันได้ดีเกินไปก็เถอะ แต่มันทำให้ผมแปลกใจจริงๆ

     

    มันทำให้ผมคิดว่ามันคงดี ถ้าผมจะใช้ชีวิตกับเขาไปตลอด...

     

    ผมรีบจัดการมื้อเช้าตรงหน้าให้เสร็จสรรพก่อนจะส่งอุปกรณ์ต่างๆลงไปในอ่างล้างจานในครัว ก่อนจะตัดสินใจเดินไปยังห้องนั่งเล่นที่มีเขานอนอยู่

    ผมทิ้งตัวลงบนเก้าอี้นวมสีครีมที่นิ่มสบายจนบางทีผมอยากจะฝังตัวอยู่ตรงนี้ทั้งวัน ก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความเบื่อหน่าย

     

    เพราะบ๊อบบี้ไม่ยอมให้ผมทำอะไรเลย... นอกจากดูทีวี ดูหนัง ฆ่าเวลาไปวันๆ

    เขาไม่ยอมให้ผมไปไหนจนกว่าผมจะหายดีจริงๆ

     

    จริงๆ ผมก็ได้เป็นอะไรมากแล้วล่ะ แต่ที่เขาไม่ให้ผมไปไหนคงเพราะเป็นห่วงว่าผมจะไปก่อเรื่องที่ไหนมากกว่า ผมน่ะ แทบไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับโลกพวกนี้เลยซักนิดเดียว

     

    และนั่งคงเป็นสาเหตุที่ผมเลือกที่จะไม่หนีไปจากที่นี่

    ไม่สิ..หนีไปไหนไม่รอดมากกว่า

     

     

     

    2 วันหลังจากที่ผมฟื้น ผมเคยหนีออกไปจากที่นี่ครั้งนึง... บ๊อบบี้ไม่ได้ตั้งใจจะขังผมอยู่แล้ว ดังนั้นแค่เปิดประตูผมก็เดินออกไปง่ายๆ

    เดินออกไปวนไปวนมาที่ถนนใหญ่ได้ซักชั่วโมง... เดินเข้าเมืองไปวนสองรอบก่อนจะลงเอยด้วยการเดินกลับมาที่บ้านหลังนี้อีกครั้ง

     

     

    ผมมันตัวคนเดียว...ที่ไม่มีแม้กระทั่งตัวตนในโลกใบนี้..

     ไม่มีใครรู้จักผม และผมก็ไม่รู้จักใครที่ไหน

    แจ้งตำรวจก็คงไม่มีใครสนใจจะมาช่วย และผมยังไม่อยากไหวตัวให้ลอว์ไลท์รู้ตัวว่าผมอยู่ที่ไหน

     

     

    ผมมันทั้งงี่เง่า แล้วก็ขี้ขลาด

     

     

    “เฮ้ คิดอะไรอยู่”เสียงของร่างสูงที่พึ่งตื่นเรียกผมออกจากความคิดของตัวเอง

    “ป..เปล่า กำลังคิดว่า จะอ่านหนังสือดีไม๊น่ะ”ผมบ่ายเบี่ยงก่อนจะหยิบเอานิยายหลายๆเล่มที่วางอยู่บนโต๊ะมาถือไว้

    “นายไม่ชอบอ่านหนังสือไม่ใช่หรอ?”เขาตอบกลับมา “อย่างน้อยนายก็เคยเป็นแบบนั้น”

     

     

    ถูกของบ๊อบบี้ ผมไม่ชอบอ่านหนังสือ

    ไม่ชอบเอามากๆ...

     

     

    คุณพอจะนึกภาพออกไม๊ ผมน่ะ ปกติเปิดหนังสือมองผ่านๆแค่วิเดียวก็จำได้แทบจะทั้งหน้าแล้ว การที่ต้องมาจดๆจ้องๆนานๆมันเลยทำให้มัน...ติดอยู่ในหัวของผมมากไป มันเลยปวดหัวเอามากๆเวลาอ่าน

     

    “ก็จริง... แต่มันน่าเบื่อนี่น่า ฮยองไม่ให้ผมไปไหนเลย”

    “ไม่ดู ทไวไลท์ให้จบล่ะ นายดูไปสองภาคแล้วไม่ใช่รึไง”เขาพูดพลางขยี้หัวฟูๆของตัวเองไปมา

    “ดูจบไปแล้วต่างหาก” ผมตอบกลับไป

    “แฮรี่พ็อตเตอร์ล่ะ? ฉันพึ่งเอาแผ่นมาให้เมื่อวานเองหนิ”

    “ดูถึงภาคสี่แล้ว ที่เหลือผมหาแผ่นไม่เจอ”

    “งั้นเดี๋ยววันนี้ฉันจะแวะซื้อนาร์เนียมาให้แล้วกัน”

    “นาร์เนียงั้นหรอ? ชื่อเรื่องน่าสนใจดีนะ มันเกี่ยวกับอะไรหรอ?”

    “เดี๋ยวนายก็รู้เองนั่นแหละ”

    “บ๊อบ...จีวอนฮยอง ฮยองว่า ฮอกวอร์ดน่ะ มีจริงไม๊”ผมถามในขณะที่เลื่อนมือตัวเองไปหยิบรีโมทมาเปิดทีวีดู ในเมื่อเขาตื่นแล้ว ผมก็ไม่ต้องเกรงใจว่าจะเสียงดังอีกต่อไป

    “ไม่รู้สิ ขนาดนายยังมีจริงเลย ทำไมฮอกวอร์ดจะมีจริงไม่ได้ล่ะ จริงไม๊?”

    “ผมเคยเจอนะ จนที่มีพลังคล้ายๆพ่อมดน่ะ แบบที่เสกนู้นนี่นั่นได้น่ะ แต่คนพวกนั้นน่ะไม่เก่งเหมือนในหนังหรอก” ผมพูดไปเรื่อยๆ เพื่อหาอะไรพูดกับอีกคน

     

    ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน

     

    ทั้งๆที่เคยชินที่จะไม่พูด แต่พออยู่กับเขาที่พยายามจะคุยกับผม ตอนนี้กลายเป็นผมซะเองที่พยายามจะคุยกับบ๊อบบี้ให้มากขึ้น

    คงเป็นเพราะลึกๆ...ผมเหงาล่ะมั้ง

    บ๊อบบี้มีงานทำตอนบ่ายถึงค่ำหรือบางวันก็ดึกเกือบทุกวัน ผมไม่ได้นับวันหรอกว่าเขาออกไปทำงานวันไหนบ้าง จริงๆมันไม่ค่อยจะเป็นตารางตายตัวเท่าไหร่ ผมร็แค่เมื่อเขาเดินมาลาก่อนออกไปข้างนอกเท่านั้นแหละ

    เวลาผมอยู่คนเดียว บ๊อบบี้ก็มันจะขนหนังออกมาทิ้งไว้ให้ผมดูตลอด เขาบอกว่านังจะช่วยให้ผมค่อยๆเรียนรู้เรื่องควาเป็นไปของโลกมากขึ้น แถมยังช่วยรื้อฟื้นภาษาอังกฤษที่เหมือนจะจางหายจากความทรงจำผมไปเกือบหมดอีกด้วย บ๊อบบี๊บอกว่าเขาต้องการให้อะไรๆเรียบร้อยกว่านี้แล้วเขาจะพาผมไปจากเกาหลี

    เรื่องภาษาก็พอเข้าใจ แต่เรื่องโลกภายนอกนี่.... ผมก็อยากจะถามเขาเหมือนกันนะ...ว่าหนังแต่ละเรื่องที่เขาเอามาให้ผมดูนี่มันช่วยตรงไหน แต่เอาเถอะ หนังพวกนี้ก็สนุกดี

     

    “นายอยากได้อะไร หรืออยากไปไหนรึเปล่าฮันบิน?”เขาถามผมพลางเอนหลังไปพิงพนังโซฟา

     

    “ไม่รู้สิ ผมไม่อยากได้อะไรหรอก.. ใช่... ผมไม่อยากได้อะไร”

    “แน่ใจหรอ”เขาถามขณะที่เปลี่ยนมาเป็นยื่นหน้ามาใกล้ๆและหรี่ตาลงเล็กน้อย

    เป็นครั้งแรงที่ผมเห็นหน้าของคิมจีวอนใกล้ขนาดนี้ ถ้าเป็นปกติผมคงถอยตัวห่างไปแล้ว

    แต่เพราะอะไรซักอย่างที่ทำให้ผมได้แต่นิ่งอยู่อย่างงั้น

     

     

    พร้อมกับความรู้สึกวูบวาบในตัวและเสียงหัวใจที่ดังขึ้นมาจนได้ยินมันชัดเจน

     

    “ก..ก็ไม่เชิง...อยากได้”

               

    “งั้นอะไรล่ะ”

     

    “อยากไป...ที่ที่มีต้นไม้เยอะๆ...”

     

    “ฮืม?”

     

    “ที่ที่มี นาย... ฉัน...ต้นไม้ ต้นหญ้า...แล้วก็แดด...เหมือนในทไวไลท์”

     

    “หึ ตัวฉันไม่เป็นประกายเหมือนเอ็ดเวิร์ดหรอกนะ” เขาหลุดหัวเราะออกมานึดนึง ก่อนจะคลี่ยิ้มตาหยีสไตล์บ๊อบบี้ “งั้นมะรืนนี้ไปทุ่งหญ้าบนภูเขาใกล้ๆนี้กัน”

     

    “ระ..รู้นน่า” ผมพึมพำก่อนจะหลบสายตาของบ๊อบบี้ที่เอาแต่จ้องมา

     

     

    “เฮ้ ฮันบิน?”เขาเรียกผมเบาๆเรียกความสนใจให้ผมเงยหน้าขึ้นมาจากพรมสีครีม

    “หือ...”

    “จูบ...ได้ไม๊?”




     
    45% 





     

    “จูบ? หมายถึงจูบแบบตอนที่โรมิโอกับจูเลียตเจอกันครั้งแรกน่ะนะ..?”

     

     

    ผมไม่ได้โง่... ผมรู้ว่าจูบคืออะไร..

    มันแค่เป็นสิ่งแรกที่แว๊บขึ้นมาในหัวตอนที่เขาถามขึ้นมา

    ในลอว์ไลท์ จูบน่ะ ไม่มีค่าหรอก มันก็แค่ส่วนหนึ่งที่จะนำไปสู่เซ็กส์ทั้นเอง

     

    ไม่ได้หมายถึงความรัหเหมือนในหนังหรือนิยายเล่มไหนที่เคยได้อ่าน

     

     

     

    “นี่ดูโรมิโอแอนด์จูเลียตแล้ว? ฉันนึกว่านายจะไม่ชอบมันซะอีก”

     

    “ถ้าฮยองถูกขังอยู่นิ่งมองกำแพงมาตลอดสิบกว่าปี การดูหนังจะเป็นเรื่องวิเศษไปเลยล่ะ”

     

    “ถ้าฉันตอบว่าใช่ล่ะ?”

     

    “ห้ะ หมายถึงหนังวิเศษ?”

     

    “หมายถึงเรื่องจูบ”

     

    “...”

     

    “....”

     

    “ก็เอาสิ”

     

     

     

     

     

    ผมบรรยายไม่ถูกหรอกว่าความรู้สึกมันเป็นยังไงตอนที่เห็นบ๊อบบี้เคลื่อนหน้าเข้ามาใกล้เรื่อยๆ

    ผมสับสนไปหมด เหมือนมีผีเสิ้อนับล้านตัวบินอยู่ในหัว

     

     

    คิดไม่ออกด้วยซ้ำว่าอะไรทำให้ตัวเองตอบไปแบบนั้น

     

     

    รู้สึกได้แค่...ความหวานแผ่วเบาที่ริมฝีปาก

     

     

    แค่นั้นจริงๆ...

     

     

     

     

     

     

     


     

     

     

     

     

     

     

     

    Junhoe's side



     

    ผมจ้องไปยังหน้าจอของคอมพิวเตอร์ด้วยความงุนงง

     

    เมื่อสองชั่วโมงก่อน เลขาของผมพึ่งจะออกเลขรหัสเพื่อใช้เข้าระบบรักษาความปลอดภัยมาให้ผม ซึ่งหลังจากนั่งเคลียร์เอกสารไปได้ซักพัก ผมก็เกิดนึกถึงเรื่องวันก่อนขึ้นมาได้พอดี

     

    เรื่องของคนที่บุกเข้าไปหาคิมจินฮวาน

     

     

     

                วันนั้นตามบันทึกของโรงพยาบาลแล้ว...คนที่ใช้บัตรVIPผ่านเข้าไปในห้องนั้นมาแค่2คน...

     

     

     

    คือผมกับ คังซึงยุน ประธานใหญ่ของโรงพยาบาลแห่งนี้

     

     

     

                เขาเป็นลูกของประธานคนเก่าที่เป็นคนก่อตั้งโรงพยาบาล... และเป็นคนที่อยู่เบื้องความโหดร้ายทั้งหมดนี้ ทั้งๆที่ซึงยุนแก่กว่าผมแค่ไม่กี่ปีแต่จากคำบอกเล่าต่อๆกันมา เขาสามารถสั่งฆ่าใครได้อย่างไม่มีการปราณีแม้แต่น้อย

     

                แต่ก็นะ คนคนนั้นน่ะ ถูกเลี้ยงดูมาเพื่อเป็นผู้บริหารของโรงพยาบาลนี้โดยเฉพาะเลยนี่น่า ได้ข่าวว่าขึ้นบริหารที่นี่ตั้งแต่เรียนมหาลัยเลยด้วยซ้ำเพียงแต่ยังไม่ได้ขึ้นเป็นประธานเต็มตัว

     

     

                พึ่งจะขึ้นมาเป็นประธานได้ราวๆครึ่งปีเท่านั้นเอง

                ถึงแม้จะเป็นที่รู้กันว่าเขาเป็นแค่หุ่นเชิดของพ่อเท่านั้นแต่ผมยอมรับเลยว่าเขาคนนั้นเก่งทีเดียว

     

                ใช่ ถึงเก่งขนาดไหน เขาก็ไม่มีทางพ้นสถานะหุ่นเชิดของพ่อไปได้หรอก ที่พ่อของซึงยุนยอมถอนตัวออกจากตำแหน่งไปน่ะ เพราะเรื่องสุขภาพที่เริ่มทรุดโทรม คล้ายๆกับพ่อผมนั่นแหละ

     

     

                แต่จากเรื่องที่ผมเห็นเมื่อวานอาจจะทำให้ผมต้องเริ่มมองเขาใหม่

     

     

    หรือว่าเขาจะมีแผนการบางอย่างที่เป็นความลับอยู่

                แต่ถึงจะเป็นความลับขนาดไหน ถ้าเป็นโปรเจ็คของโรงพยาบาลกรรมการชั้นสูงเกือบที่สุดอย่างผมก็ต้องรู้สิ?

     

     

                หรือจะเป็นเรื่องส่วนตัว..?

                เรื่องส่วนตัวที่ทำให้ต้องยกบัตร VIP ให้ซงยุนฮยองเข้าไปฉีดยาให้คิมจินฮวานถึงในโซน

     

     

                โซนพิเศษนั้นมีไว้สำหรับคนที่ถูกนำตัวมาวิจัยโปรเจ็คใหญ่ๆ หรือไม่ก็ต้องมีพลังสูงหรือน่าสนใจจริงๆเท่านั้น ซึ่งในกรณีของจินฮวาน ผมไม่แปลกใจอะไรนัก หากให้อยู่ในห้องขังปกติคงไล่สะกดจิตผู้คุมไปทั่วเลยล่ะมั้ง

     

                ห้องที่จินฮวานถูกคุมขังอยู่น่ะ เป็นห้องพักที่ทางโรงพยาบาลออกแบบเป็นพิเศษ โดยแทบไม่ต้องมีใครเข้าไปให้โดนสะกดจิตเปล่าๆ

    ห้องนั้นถูกออกแบบให้สามารถให้เครื่องจักรในการทดลองหรือรักษาต่างๆได้อย่างดีเลยทีเดียว ดังนั้นเรื่องที่ทำให้ผู้คุมซงคนนั้นเดินเข้าไปได้ต้องไม่ชอบมาพากลแน่ๆ

     

     

                ...เรื่องส่วนตัวงั้นหรอ? เรื่องอะไรกันล่ะ?



     

    75%









     

                ความลับของคังซึงยุนคนนั้น... ถ้าจะมีใครรู้ก็คงเป็นซงยุนฮยองล่ะมั้ง

     

                งานนี้คงพึ่งใครไม่ค่อยได้ ท่าทางที่นี่คงมีเส้นสายของหมอนั่นอยู่ไม่น้อยทีเดียว ถ้าทำอะไรเอิกเกริกไปมีแต่จะหาเรื่องให้ตัวเอง กับตำแหน่งพี่พึ่งรับมาหมาดๆ

     
     

                หึ...แต่ไม่รู้ทำไม ผมกลับคิดว่าผมน่าจะทำมันได้ดีนะ..

                ถ้าผมรู้เรื่องพวกนั้น...ไม่แน่อาจจะใช้เรื่องนี้อาจจะใช้หาผลประโยชน์อะไรให้กับตัวผมเองได้

     

     
     

                บอกแล้วไงผมน่ะไม่ใช่คนดีนักหรอก ยิ่งเฉพาะเมื่อผมอยากได้อะไรบางอย่าง

     

     

               

                ผมพลิกเอกสารที่วางอยู่ข้างๆไปมาด้วยความสนใจ

     

     

                ประวัติทั้งหมดของซงยุนฮยอง...

                ทุกอย่างดูจะธรรมดาไปซะหมด เขาเข้าทำงานได้ราวปีกว่าๆ สร้างผลงานประทับใจและได้ตำแหน่งที่สูงพอสมควร แต่ก็ไม่ได้สูงมากจนน่าผิดสังเกตว่าจะเป็นเด็กเส้น

     


     

                ผมถอนหายใจออกมาเมื่อไม่พบเบาะแสอะไรหลังจากอ่านไอ้ประวัติโง่ๆพวกนี้ไปปกว่าครึ่ง

                ดูเหมือนจะไม่มีอะไรที่ทำให้ผมเข้าใกล้สาเหตุนั้นเลยซักนิด

               

                บางทีผมคงต้องหาอะไรที่เฉพาะเจาะจงกว่านี้

                ผมเลื่อนสายตาของตัวเองลงไปที่มุมล่างสุดของเอกสารแผ่นแรกที่คุ้นๆว่าเห็นอะไรบางอย่างดีๆอยู่

     

     

     

                มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับ คนไข้ [ CODE:31XXXXXXMX ] JUNG CHANWOO

     

     

     

     

                ผกระตุกยิ้มที่มุมปากออกมาอย่างพอใจก่อนจะคว้าเอามือถือขึ้นมาต่อสายหาเลขาทันที

     

     

                “ฉันต้องการพบคนไข้จองชานอู ภายในวันนี้ จัดนัดให้ก่อนประชุมเย็นนี้ด้วย”

     

     

     

     

     

     

     










     

     

                สิ่งที่ผมเกลียดมากๆอย่างหนึ่งของโรงพยาบาลนี้อย่างหนึ่งคือ มันเต็มไปด้วยสีขาว



                ผมนั่งอยู่ในห้องโล่งๆที่มีแค่โต๊ะกับเก้าอี้สองตัวตั้งอยู่กลางห้อง...คล้ายๆกับห้องสืบสวนในหนังตำรวจกากๆซักเรื่อง

                แตกต่างตรงที่มันเป็นสีขาวทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นผนังสี่ด้านที่มีทางออกทางเดียวคือประตูสีขาวที่มุมห้อง



                ผมไม่ชอบสีขาว

                จริงๆไม่ใช่ผมไม่ชอบ สีขาว หรอก




                แต่ผมไม่ชอบสีขาวในลอว์ไลท์



                มันทำให้ที่นี่ดูเหมือนโรงพยาบาลไฮเท็คโรคจิตในซี่รี่ย์ซักเรื่องที่ผมเคยดู มันชวนให้นึกถึงเรื่องประมาณว่าที่จะมีใครซักคนจะติดเชื้อไวรัสเป็นซอมบี้ลุกขึ้นมาไล่กินคน

                ผมนั่งรออยู่เพียงไม่นาน ผู้คุมก็พาใครคนนึงเข้ามาในห้อง

               

     

                จองชานอู

     

     

     

                เด็กคนนั้นมองผมอย่างไม่เข้าใจ พร้อมๆกับมองลอกแลกไปทั่วห้อง

                ผู้คุมคนนั้นจับตัวของจองชานอูนั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามกับที่ผมนั่งอยู่ก่อนจะจับมือทั้งสองข้างของเด็กคนนั้นมัดลงกับเก้าอี้ด้วยกุญแจมือ


                “เอากุญแจมา” ผมพูดกับผู้คุมที่ทำหน้าไม่เข้าอยุ่ แต่ก็ยังส่งกุญแจให้ผมตาคำสั่ง “ออกไปได้แล้ว”

                “แต่ว่า...”

                “ฉันบอกให้ออกไป” ผมสั่งอีกครั้งก่อนที่เขาคนนั้นจะรีบเดินออกไปออกไปจากจห้องทันที

     

                “นายน่ะ เป็นอะไรกับซงยุนฮยอง”

     

     

     

     

                “ก็แค่ผู้คุมกับนักโทษ..ไม่สิ คนไข้ธรรมดาครับ”เขาตอบโดยไม่มองหน้าผม

                “หึ...”

                “...”

                “เซฟโซน นายรู้จักมันไม๊จองชานอู”ผมพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ

                “..ซ..เซฟโซน?”

     

     

                เซฟโซน... โซนที่ใครๆต่างก็ถวิลหา เป็นโซนที่ถึงสภาพความเป็นอยู่อาจจะไม่ได้ดีสู้floor1 แต่มันเป็นโซนที่ให้นักโทษสามารถไปไหนมาไหนได้เองภายในเขตโรงพยาบาล โดยแลกกับการทำงานเพื่อโรงพยาบาล ไม่มีห้องขังมีแต่ห้องนอนรวมที่นับว่าดูดีกว่าโซนอื่นๆหลายเท่า ไม่มีการทดลองใดๆทั้งสิ้น

                น้อยคนจะได้เข้าไปในเซฟโซน ส่วนมากจะเป็นนพวกพลังอ่อนๆจนไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ได้มาก หรือเป็นพวกเด็กหรือคนที่แก่เกินไป

     

              และเซฟโซนก็เป็นตัวล่อชั้นเยี่ยมมสำหรับการใช้ประโยชน์การใครซักคน

     

                ผมหยิบเอาเอกสารออกมาจากซองสีน้ำตาลที่ให้เลขาจัดการเตรียมไว้ให้และยื่นมันให้กับคนตรงหน้า

     

     

     

                “นี่มัน...”

     

                “เอกสารสั่งย้ายไห้นายไปอยู่ในเซฟโซน เช็กชั่นC มีผลทันทีเมื่อฉันเซ็นอนุมัติ” ผมพูดพร้อมกับคว้าปากกาขึ้นมา เอื้อมมือไปหยิบเอกสารแผ่นนั้นคืน ก่อนจะเซ็นลงไปที่มุมล่างกระดาษ

     

                “คุณต้องการอะไรจากผม แล้วเกี่ยวอะไรกับยุนฮยอง”

     

                “เป็นคำถามที่ตรงดี ฉันนับถือนายนะที่กล้าขนาดนี้”

     

                “...”

     

                “นายมีเวลา7วัน... เพื่อหาว่าซงยุนฮยองแอบทำงานให้ใคร...ไม่สิ ซงยุนฮยองกำลังทำงานให้คังซึงยุน ฉันต้องการรู้ว่างานที่ว่านั้นคืออะไร ถ้าพลาด เอกสารแผ่นนี้จะถูกโยนลงถังขยะ

     

                “ทุกคนต่างก็ทำงานให้คังซึงยุนทั้งนั้น คุณก็ด้วย”

     

                “....เหอะ... งานที่ต้องเข้าไปในโซนพิเศษดึกๆดื่นๆ ไปฉีดยาให้คนไข้ที่ชื่อคิมจินฮวาน ทั้งๆที่ตัวเองไม่ใช่หมอ ฉันต้องการรู้ว่า เขาทำไปเพื่ออะไร”

     

                “คุณคิดว่าผมจะตกลง?”

     

                “ฉันมีสารพัดวิธีที่จะทำให้นายต้องตกลง จองชานอู นายควรตกลงตั้งแต่ตอนที่ฉันยังใจดีกับนายและเลือกใช้วิธีที่เราทั้งคู่ได้ผลประโยชน์”

     

                “...คุณจะอยากรู้เรื่องของคังซึงยุนไปทำไม”

     

     

                “ไม่ใช่สิ่งที่นายต้องรู้...”

     

                “....”

     

                “เจอกันในอีก 7 วัน ยินดีที่ได้ทำธุรกิจร่วมกัน”

                



     

    TBC.

     







     

    Talk

    พี่ยุนกับซึงยุนมีความลับอะไรกันนะ? 555
    ช่วงนี้เเอบ...ขยัน? เบาๆ 555 จะพยายามมาอัพบ่อยๆนะทุกคน 

    เม้น แอนด์ #ฟิคลวงดบบ


    @SQWEEZ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×