ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เกมแค้นไฟเสน่หา

    ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.9K
      9
      27 ก.ค. 57

    “นั่นแก้วจะไปไหนหน่ะ”

    รจนาคุณนายใหญ่แห่งบ้านบดินเดชารักษ์เอ่ยถามลูกเลี้ยงสาวที่หอบหิ้วกระเป๋าใบใหญ่เดินก้าวออกจากบ้านไป

    “ฉันจะไปไหนมันก็เรื่องของฉัน ฉันไม่จำเป็นต้องรายงายหรือบอกคุณ”

    แก้วมณีเอ่ยบอกด้วยเสียงที่แข็งกระด้าง เธอไม่แม้แต่จะหันกลับมามองรจนาดีๆ ไม่แม้แต่จะชายตามอง เพราะในความรู้สึกเธอนั้นรจนาคือผู้หญิงหิวเงินที่เข้ามาแย้งความรักของพ่อเธอไปจากเธอและพี่ชายรวมทั้งเธอยังฝังใจเรื่องที่แม่ของเธอก็ต้องมาตรอมใจตายเพราะพ่อของเธอเล่นชู้กับพยาบาลส่วนตัวของตัวเองอีก เธอไม่คิดว่าผู้หญิงที่ดูท่าทางใจดีและเป็นมิตรรวมทั้งเรียบร้อยป่านผ่าพับไว้ในความทรงจำของเธอยามเยาว์วัยนั้น จะร้ายกรานถึงขนาดสร้างความร้าวฉานทำร้ายครอบครัวของเธอได้อย่างเลือดเย็น และตั้งแต่แม่เธอตายจากไปได้ไม่นานพ่อของเธอก็จัดงานแต่งงานกับรจนาทันทีทั้งๆที่แม่เธอยังไม่ครบร้อยวันด้วยซ้ำ และก็ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านในฐานะนายหญิงใหญ่ของบ้านบดินเดชารักษ์แทนที่แม่ของเธอ พี่ชายของเธอกันกรที่ตอนนั้นอายุเพียงแค่ยี่สิบปีทนรับกับสภาพที่พ่อหลงเมียใหม่จนไม่ลืมหูลืมตาไม่ไหวจึงขอย้ายออกไปอยู่นอกบ้านโดยไม่ฟังคำห้ามปรามของพ่อ ทั้งๆที่พ่อของเธอขู่ว่าหากก้าวเท้าออกจากบ้านไปจะตัดขาดพ่อลูกกับพี่ชายของเธอ และจะไม่ให้แม่แต่สตางค์แดงเดียวติดตัวเขาไป พี่ชายของเธอก็ยังยืนยันคำเดิมที่จะไปจากบ้านบดินเดชารักษ์อยู่ดี ตอนนั้นเธอยังจำได้ดีว่าเธอขอตามพี่ชายไปด้วยแต่เขานั้นก็ไม่ให้เธอตามไปเพราะเธอยังเด็กนัก ตอนนั้นเธออายุเพียงแค่สิบขวบเท่านั้น เธอห่างกับพี่ชายถึงสิบปี เพราะเธอนั้นเป็นลูกหลงจึงมีอายุที่ห่างจากพี่ชายค่อนข้างมาก

    เธอยังจำภาพวันที่พี่ของเธอเดินจากบ้านหลังนี้ไปได้ดี วันนั้นเป็นวันฝนตกเธอร้องไห้วิ่งตามรถแท็กซี่ของพี่ชายไปร้องไห้ไปอย่างหน้าสงสาร แต่ไม่นานรจนาก็วิ่งเข้ามากอดตัวเธอเอาไว้และพาตัวเธอกลับเข้าบ้านไป และเมื่อพ่อของเธอมาด่วนจากไปหลังจากเพราะอุบัติเหตุตอนที่เธออายุเพียงแค่สิบสามปีเท่านั้น มันก็ยิ่งทำให้เธอเหมือนตัวคนเดียว บ้านที่ใหญ่โตดูหนาวเหน็บไม่ต่างอะไรกับยอดภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง ถึงมีคนร่ายล้อมมากมายค่อยเอาอกเอาใจทุกอย่างแต่มันก็ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกดีหรือพอใจเลยแม้แต่น้อย เพราะเธอไม่เคยไว้ใจใครเลยทุกสิ่งทุกอย่างที่ทุกคนทำให้เธอมองมันเป็นแค่เรื่องหลอกลวง หากเธอไม่มีมรดกของพ่อที่เหลือทิ้งไว้ให้อย่างมหาสารแบบที่ทั้งชาติก็ใช้ไม่หมดแล้วละก็เธอเชื่อว่าคนเหล่านั้นก็คงจะไม่ทำดีกับเธอถึงขนาดนี้ รวมถึงแม่เลี้ยงอย่างรจนาด้วย ที่ยังคงอยู่ในบ้านเดียวกันกับเธอถึงแม้เธอจะอยากไล่รจนาออกจากบ้านมากมายแค่ไหนก็ตามหลังจากที่พ่อเธอจากไปและรับพี่ชายกลับมาอยู่บ้านหลังนี้ด้วยกันแต่เธอก็ไม่สามารถทำได้ เพราะในพินัยกรรมของพ่อเธอได้ใส่ชื่อของรจนาให้เป็นเจ้าของบ้านร่วมกันกับเธอและยังระบุอีกว่ารจนาจะดูแลและปกครองเธอจนกว่าที่เธอจะบรรลุนิติภาวะ มันก็ยิ่งทำให้เธอไม่สามารถทำอะไรได้เลย ครั้นเธอจะหนีทิ้งบ้านหลังนี้ไปและไปอยู่กับพี่ชายที่ยังติดต่อกันอยู่เป็นระยะๆเธอก็ไม่สามารถทำได้เพราะนี่คือบ้านของแม่เธอ เธอไม่อยากสูญเสียบ้านหลังนี้ไปให้กับผู้หญิงที่แสนจะร้ายกาจคนนี้ สิ่งเดียวในตอนนี้ที่ทำให้เธอสามารถใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้นั้นก็พี่ชายของเธอที่มักจะแอบมาเยี่ยมเธอเวลาที่เธอเลิกเรียน และในวันหยุดที่เธอมักจะแอบหนีเรียนพิเศษไปเที่ยวกับพี่ชาย เพราะหายรจนารู้ว่าเธอติดต่อกับกันกรเธอคงต้องถูกรจนาเทศจนหูชาแน่ๆ เธอไม่รู้ว่าเพราะอะไรเธอถึงไม่สามารถที่จะติดต่อกับพี่ชายได้อย่างเปิดเผยทั้งๆที่พ่อของเธอก็ได้จากไปแล้ว แต่สถานการณ์นั้นยังคงเหมือนเดินไม่ต่างจากตอนที่พ่อของเธอยังอยู่นั้นก็คือไม่อนุญาตให้เธอติดต่อกับกันกรโดยเด็ดขาด และยิ่งกันกรไม่มีชื่ออยู่ในพินัยกรรมมันก็ยิ่งทำให้เขาเป็นเหมือนกับคนนอกในครอบครัวเข้าไปใหญ่ เพราะปัจจุบันพี่ชายของเธอนั้นไม่ได้ใช้นามสกุลบดินเดชารักษ์แล้ว แต่กลับไปใช้นามสกุลเกียรติไพรศาลตามนามสกุลแม่แทน

    “เธอจำเป็นต้องบอกฉันเพราะเธอคือลูกของฉันและฉันก็เป็นแม่ของเธอร่วมทั้งคนดูแลเธอด้วย ซึ่งนั้นจะเป็นแบบนี้ต่อไปจนกว่าเธอจะบรรลุนิติภาวะ ซึ่งตอนนี้มันไม่ใช่ เพราะฉะนั้นไม่ว่าเธอจะไปไหนหรือทำอะไรเธอจะต้องมาบอกฉันก่อนทุกครั้ง ไม่ใช่คิดจะไปไหนก็ไปทำอะไรก็ทำแบบนี้”

    คำพูดของรจนาปลุกแก้วมณีให้หลุดจากภวังค์แห่งอดีตที่โหดร้าย เธอหันกลับมาเผชิญหน้ากับรจนาก่อนที่จะไม่สนใจและเดินออกไปที่รถมินิคูเปอร์ดำของตัวเองที่พึ่งได้มาไม่นานหลังจากอายุครบสิบเจ็ดเมื่อไม่กี่วันก่อน และขับออกไปโดยไม่สนใจว่าแม่เลี้ยงของเธอนั้นจะโกรธมากมายแค่ไหน

    รถมินิคูเปอร์ของเธอมาจอดอยู่ข้างหน้าบ้านครึ่งปูครึ่งไม้หลังเล็กๆที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้นานาชนิดแทบชานเมือง ก่อนที่จะหอบหิ้วกระเป๋าใบใหญ่ของตัวเองลงมาจากรถด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม วันนี้เธอตั้งใจที่จะมาเชอร์ไพรส์พี่ชายขอเธอเอง แต่แล้วสีหน้าของเธอก็ต้องเปลี่ยนไปเมื่อเข้ามาในบ้านแล้วกลับเห็นภาพที่ทำให้โลกทั้งใบของเธอนั้นแตกสลายไม่เป็นชิ้นดี มือบางปล่อยกระเป๋าลงกลับพื้นก่อนจะค่อยๆเดินช้าไปหาร่างของกันกรที่นั่งเลือดท่วมตัวอยู่ที่โซฟาในห้องรับแขก แก้วมณีเอื้อมมือที่สั่นเทาไปสัมผัสใบหน้าที่ซีดเผือกของพี่ชายที่ตอนนี้เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดที่ไหลลงมาอาบเต็มหน้า กลิ่นคาวเลือดคะคลุ้งไปทั่ว

    “พี่กร.......”

    เสียงเรียกของแก้วมณีเบาหวิวจนแทบจะไม่ได้ยิน น้ำตาเริ่มไหลออกมาอาบเต็มไปหน้าของสาวน้อย

    “พี่กร..... ตื่นสิคะ..... พี่กร ฮือๆ พี่กรตื่นสิ.... ไหนสัญญาว่าจะไม่ทิ้งแก้วไง ไหนพี่บอกว่าเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไปไง พี่กร พี่กร พี่กรตื่นสิ ฮือๆ พี่กร!!!!!

    แก้วมณีกอดร่างไร้วิญาณของพี่ชายอยู่อย่างนั้นไม่ยอมปล่อย ร้องไห้เรียกชื่อของพี่ชายจนเสียงขอเธอแทบจะขาดหายไป ก่อนจะเหลือบไปเห็นมัจราชสีดำสนิทที่อยู่ในมือพี่ชายมือบางเอื้อมไปหยิบมันขึ้นมา

    “พี่กร..... ฮือ..... แก้วจะตามไปอยู่กับพี่กรนะคะ.....รอแก้วก่อนนะคะ...”

    “หยุดนะแก้ว!!!

    ป้าสมใจข้างบ้านที่มักจะมาส่งปิ่นโตเป็นประจำร้องห้ามอย่างตกใจเมื่อเห็นสาวน้อยที่ตนรู้จักกำลังยกปืนขึ้นจ่อที่ขมับของตนเองอย่างหน้าหวาดเสียว ก่อนที่เธอจะรีบฉวยโอกาสชั่วที่แก้วมณีตกใจเพราะเสียงเรียกของเธอเข้าไปแย่งปืนออกมา

    “ไม่...... ส่งปืนมาให้แก้วส่งมันมา....ฮือๆไม่มีพี่กรแก้วก็ไม่รู้จะอยู่ต่อไปทำไหมแล้ว แก้วจะตามไปอยู่กับพี่กรด้วย เอาปืนคืนมาให้แก้วนะ”

    ป้าสมใจรีบโยนปืนกระบอกนั้นออกไปจากบ้านทางหน้าต่างก่อนที่แก้วมณีจะเข้ามาแย้งไป ทำให้แก้วมณีตะโกนร้องแทบคลั่ง และทำท่าเหมือนจะวิ่งออกไปเก็บปืนกระบอกนั้น แต่ป้าสมใจกลับเข้ามากอดตัวรั้งเธอเอาไว้ได้ก่อน

    “ไม่!!!!! ไม่..... ฮือๆ.....ปล่อยแก้ว ปล่อยๆ แก้วจะตามไปอยู่กับพี่กร ฮือๆๆๆ”

    “ไม่นะหนูแก้วอย่าทำแบบนี้ อย่า.... เชื่อป้านะลูกอย่าทำแบบนี้เลย...”

    “ฮือๆ พี่กร..... พี่กร....”

    ไม่นานตำรวจก็มาที่บ้านหลังนี้แต่ก็ไม่มีใครสามารถที่จะเข้าใกล้ร่างของกันกรได้เพราะแก้วมณีนั่งกอดร่างพี่ชายอยู่แบบนั้น โยไม่ยอมปล่อยและไม่ยอมให้ใครเข้ามาใกล้ ปากก็พร่ำเรียกชื่อของเขาไม่หยุด มันช่างเป็นภาพที่ไม่ว่าใครได้เห็นก็ต้องรู้สึกสงสารและเวทนายิ่งนักกับโศกนาฏกรรมครั้งนี้

    “สารวัตรครับทำยังไงดีครับ...”

    “เฮ้อ.... แม่ของเธอจะมาถึงที่นี่หรือยัง”

    สารวัตรทรงพลถอนหายใจด้วยความหนักใจเพราะไม่รู้จะทำอย่างไรดีกับเรื่องนี้

    “เธอกำลังเดินทางมาครับท่าน....”

    “แก้ว.....”

    รจนาที่พึ่งมาถึงเอ่ยเรียกลูกเลี้ยงอย่างใจหายกับภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า

    “คุณคือแม่ของเธอหรือครับ”

    “คะฉันเป็นแม่ของเธอ....เอ่อแม่เลี้ยงหน่ะคะ”

    “ดีเลยครับ.. เราไม่รู้จะทำอย่างไรดีเธอนั่งกอดศพอยู่แบบนั้นมาเกือบสองชั่วโมงแล้ว พอเจ้าหน้าที่จะเข้าไปแยกตัวเธอออกมาเธอก็อาละวาดไล่ทุกคน เกรงว่าต้องให้คุณช่วยพูดกับเธอหน่อยนะครับ”

    “พวกคุณปล่อยเธอให้นั่งกอดศพอยู่ตั้งนานแบบนั้นได้ยังไง แค่อาละวาด เธอไม่ได้มีปืนหรือมีดทำร้ายพวกคุณหนิ ทำไมไม่เข้าไปแยกเธออกมา ปล่อยเธอเอาไว้แบบนี้ได้ยัง....”

    รจนารีบเข้าไปหาแก้วมณีทันทีก่อนจะจับตัวเธอเพื่อแยกเธออกจากร่างของกันกร แต่แล้วแก้วมณีก็อาละวาดขึ้นมาอีกครั้ง

    “ปล่อยอย่างมาจับตัวฉันนะ ออกไป!!!

    “แก้วปล่อยกรเขาไปเถอะนะ พี่เขาไปดีแล้วนะแก้วปล่อยเถอะ....”

    “ไม่พี่กรยังไม่ตายพี่กรยังไม่ตาย.... พวกแกโกหก ทุกคนโกหกพี่กรยังไม่ตายแก้วรู้... ใช่ไหมคะพี่กร”

    แก้วมณีก้มลงพูดกับร่างของกันกรเหมือนต้องการจะให้เขายืนยันกับเธอว่าเขานั้นยังอยู่ไม่ได้จากไปไหน

    รจนาไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นดึงตัวแก้วมณีออกมาโดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาช่วยแยกตัวหญิงสาวออกมา และแน่นอนว่าการทำอย่างนี้ทำให้แก้วมณียิ่งคลั่งเธอทั้งแตะทั้งทีบทุกคนที่เข้ามา แต่รจนาก็ไม่ยอมปล่อยตัวเธอกลับล็อคตัวเธอเอาไว้แน่น แก้วมณีทำได้แต่พยายามจะเอื้อมมือไปหาร่างของกันกรที่ตำรวจกำลังจะนำออกไป แต่ก็ไม่สามารถทำได้อย่างที่ต้องการ

    “ไม่อย่าเอาพี่กรไป อย่า.... ฮือๆ พี่กร... อย่าเอาพี่ฉันไปอย่าเอาเขาไป.....”

    “แก้วไม่เอาอย่าทำแบบนี้.... กรเขาไม่อยู่แล้วปล่อยให้คุณตำรวจเขาได้ทำงานเถอะนะแก้ว”

    “พี่กรยังไม่ตายแกโกหก พวกแกทุกคนโกหก ปล่อย..ฉันจะไปหาพี่ชายฉัน พี่กรยังไม่ตายขาจะตายได้ยังไง ในเมื่อเขาสัญญากับฉันเอาไว้ว่าเขาจะอยู่กับฉันตลอดไป พี่กรไม่มีทางทิ้งฉัน.... ปล่อยนะปล่อย”

    รจนาไม่พูดอะไรก่อนที่หมอจะเข้ามาฉีดยาให้กับแก้วมณีและเธอก็ค่อยๆหลับและสงบลง

    หลังจากวันนั้นแก้วมณีก็ถูกนำมารักษาตัวที่โรงพยาบาลเอกชนชื่อดังและเมื่อเธอฟื้นขึ้นมาเธอก็เอาแต่เหม่อลอยและไม่พูดไม่จากับใครและที่สำคัญกว่านั้นก็คือเธอไม่สามารถเดินได้ หมอลงความคิดเห็นกันว่าเป็นเพราะอาการช๊อคอย่างรุนแรงจากการสูญเสียพี่ชายของเธอทำให้สภาพจิตใจของเธอนั้นย่ำแย่จนส่งผลให้สมองของเธอสั่งการขาของเธอเดินไม่ได้

    “นี่หมอจะบอกฉันว่าลูกสาวของฉันเดินไม่ได้เพราะอาการช๊อคอย่างนั้นเหรอ มันมีอาการแบบนี้ด้วยหรอ หึฉันไม่เชื่อมันจะต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับลูกฉันแน่ๆ”

    “เธอไม่ได้เดินไม่ได้เพราะความผิดปกติทางร่างกายหรือเพราะรับการกระทบกระเทือนจากอะไร ความจริงแล้วเธอสามารถเดินได้ครับแต่สมองของเธอนั้นปิดกันมันเอาไว้เองไม่ว่าจะด้วยเพราะเหตุใดก็ตาม ในกรณีนี้หมอวินิจฉัยว่าเป็นเพราะเธอเสียใจและช๊อคอย่างรุ่นแรงเพราะต้องมาสูญเสียพี่ชายไป ผู้ป่วยแบบลูกสาวของคุณนั้นมีอยู่หลายเคลสด้วยกันบ้างรายเกิดอาการช๊อคจนความจำเสื่อม บ้างรายเกิดอาการช๊อคจนพูดไม่ได้ หรือในบ้างรายอาจจะทั้งเดินไม่ได้และความจำเสื่อมบ้างก็มี นั้นมันแล้วแต่จิตใจของตัวคนไข้เองว่าจะปิดกันประสาทส่วนไหน”

    “แล้วเธอจะสามารถกลับมาเดินได้อีกไหม...”

    รจนาถามออกมาด้วยความกังวล

    “ครับแน่นอนอยู่แล้ว แต่นั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับคนไข้ด้วยครับว่าเธอนั้นจะหลุดพ้นออกมาจากเหตุการณ์ที่เธอนั้นฝังใจได้อยู่รึเปล่า กำลังใจของคนไข้และคนรอบข้างสำคัญที่สุดนะครับตอนนี้ หมออย่างให้คุณดูแลเอาใจใส่เธอให้มากๆเพื่อที่เธอจะได้สามารถกลับมาเป็นคนปกติได้อีกครั้ง ตอนนี้คนไข้ยังอายุน้อยหมอคิดว่าคงจะไม่ยากมากเท่าไรนัก ถ้าไม่มีอะไรแล้วหมอขอตัวก่อนนะครับ เพราะมีนัดตรวจคนไข้รายอื่นเอาไว้”

    “ขอบคุณคะคุณหมอ”

    รจนาถึงกับถอนหายใจออกมาทันทีที่ผละจากหมอ ถ้ามันง่ายอย่างที่หมอบอกก็คงจะดี เพราะเธอจะทำเช่นไรเมื่อแก้วมณีไม่เคยเปิดใจยอมรับเธอเลย ตั้งแต่สมัยเธอยังเป็นเด็กตัวเล็กๆจนถึงตอนนี้.....

    แก้วมณีถูกย้ายมาอยู่ที่บ้านพักหลังเล็กที่แสนจะร่มรื่นที่ถูกแยกออกมาห่างจากตัวบ้านหลังใหญ่ เพราะรจนาคิดว่าความร่มลื่นและธรรมชาติจะช่วยทำให้สภาพจิตใจของเธอนั้นดีขึ้น ทุกวันรจนาจะค่อยนำอาหารมาให้แก้วมณีเองร่วมทั้งอาบน้ำและนวดขาให้เธอทุกวัน ทั้งๆที่เธอก็ต้องดูแลงานที่บริษัทไปด้วย ถึงแม้ช่วงแรกเธอจะถูกต่อต้านจากแก้วมณีทั้งขว้างปาอาหารที่เธอนำมาทิ้ง  ทั้งด่าทอเธอทุกครั้งที่เข้ามาดูแลเธอ และแม้บ้างทีเธอจะเหนื่อยกลับมาจากที่บริษัทและต้องมาเผชิญกับอารมณ์ร้ายๆของแก้วมณีอีกเธอก็ไม่เคยแสดงอาการไม่พอใจหรือโวยวายกลับเลยสักครั้ง เฝ้าอดทนดูแลแก้วมณีไม่ห่าง.....

    “แก้วจะต้องเรียนหนังสือต่อ ฉันจะจ้างอาจารย์มาสอนเธอที่บ้าน...”

    รจนาเอ่ยขึ้นขณะที่กำลังอาบน้ำให้เธอ

    “ไม่..... ฉันเรียน....”

    “ยังไงเธอก็ต้องเรียนเพื่อตัวเธอเอง เพื่ออนาคตของเธอ เพราะฉันคงไม่สามารถดูแลบริษัทของเธอไปได้แทนตลอด ฉันให้เธอหยุดพักผ่อนมานานเกือบปีแล้วความจริงตอนนี้เธอหน้าจะเข้ามหาลัยปีหนึ่งแล้วด้วยซ้ำ แต่ฉันก็พยายามที่จะไม่เร่งรัดอะไรเธอมากเพราะเห็นว่าเธอยังไม่พร้อม แต่ตอนนี้มันไม่ใช่อย่างนั้นแล้วเธอต้องเริ่มช่วยเหลือตัวเองให้ได้สักทีไม่ใช่มาจมปลักอยู่กับเรื่องเดิมอยู่แบบนี้”

    แก้วมณีฉุนขาดเธอคว้าขวดสบู่และแชมพูปาใส่รจนาพร้อมทั้งตีน้ำในอ่างจนรจนาเปียกไปหมด

    รจนาค่อยๆลุกขึ้นยืนก่อนจะเอามือจับที่ศีรษะของตัวเองที่พึ่งถูกขวดแชมพูปาใส่ มีเลือดซึมออกมาจากศีรษะเธอเป็นทาง แก้วมณีคิดว่ารจนาจะเล่นงานเธอกลับแต่กลับไม่เป็นอย่างนั้น เธอกลับหันหลังเดินออกจากห้องน้ำไปแต่ก่อนจะออกไปรจนาก็เอ่ยขึ้นมา

    “ที่ฉันทำทุกอย่างมันไม่ใช่เพื่อตัวฉันแต่มันเพื่อตัวเธอเอง ถ้าเธอเอาแต่มาจมอยู่กับความทุกข์อยู่แบบนี้เธอคิดหรือว่าพี่ชายของเธอเขาจะกลับมาหาเธอ เธอคิดหรอว่าจะมีใครมานั่งสงสารและดูแลเธอไปตลอดชีวิต.... อีกอย่างฉันรู้ว่าที่เธอเดินไม่ได้เป็นเพราะว่าจิตใจของเธอเองต่างหากที่สั่งไม่ใช่เพราะความผิดปกติอะไรทั้งนั้น ถ้าเธอไม่อยากหนาวตายอยู่ในอ่างนั้นก็ลุกขึ้นมาเอง เพราะฉันจะไม่ช่วยเธอ...”

    รจนาเดินออกไปทันทีที่พูดจบทิ้งแก้วมณีเอาไว้อยู่ในอ่างแบบนั้นอย่างไม่สนใจ แก้มมณีเองก็ไม่ได้ร้องขอหรือเรียกร้องอะไร เธอกำมือแน่นด้วยความโกรธก่อนจะพยายามพยุงตัวขึ้นจากน้ำด้วยตัวเอง แต่แล้วเธอก็ทำไม่ได้ก่อนที่จะหล่นลงมากองกับพื้นห้องน้ำ ร่างบางพยายามจะตะเกียกตะกายยันตัวเองไปหายรถเข็นของตัวเองที่อยู่ไม่ห่างจากอ่างอาบน้ำด้วยความยากลำบาก แต่ก็ทำไม่ได้เธอไม่มีแรงมากพอที่จะพาตัวเองกลับขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ได้เลยทำให้เธอต้องนอนกองอยู่กับพื้นห้องน้ำอยู่แบบนั้น ผ่านไปไม่นานรจนาก็เดินกลับมาและหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตู แก้มมณีเงยหน้าขึ้นมองเธอเหนื่อยกับการพยายามช่วยเหลือตัวเองแต่ก็ไม่สามารถทำได้ ลงสุดท้ายเธอก็ต้องจำใจของความช่วยเหลือจากคนที่เธอเกียจอย่างรจนา

    “ช่วยฉันที...”

    “ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอไม่เคยต้องการให้ฉันช่วยเลยไม่ใช่หรอ....”

    “ฉันบอกว่าช่วยฉันที ฉันยืนไม่ได้....ฉันหนาว....”

    “ฉันจะช่วยเธอก็ได้ แต่เธอต้องสัญญาว่าจะยอมเรียนหนังสือต่อ เธอจะไม่ไปเรียนที่มหาลัยก็ไม่เป็นไรฉันจะจ้างอาจารย์มาสอนที่นี่ แต่เธอจะต้องเรียน...”

    “ได้... ช่วยฉันเร็วๆเข้าสิฉันจะเป็นปอดบวมตายอยู่แล้วนะ”

    “ยังมีอีกเรื่อง.... เธอจะต้องยอมทำกายภาพบำบัดและยอมฝึกเดินอีกครั้ง”

    “......”

    “ตอบสิตกลงไหม ถ้าไม่ฉันคิดว่าคืนนี้ทั้งคืนเธอคงต้องนอนอยู่บนพื้นห้องน้ำนี่แน่ๆ”

    “ได้ฉันยอม....”

    รจนายิ้มก่อนที่จะเข้าไปพยุงร่างบางกลับขึ้นมานั่งบนรถเข็นของเธอ

    “เชื่อฉันสิเธอต้องทำได้ เธอจะต้องกลับมาเดินได้อีกครั้งขอเพียงแค่เธอเปิดใจเท่านั้น”

    “......”

    ไม่มีเสียอะไรตอบกลับมาจากแก้วมณี มีเพียงความเงียบเท่านั้น รจนาก็ไม่ได้คาดคั้นให้ฌะอพูดอะไรก่อนที่เข็นพาเธอออกไปแต่งตัว

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×