ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic] First Kris First Kiss (Kris x Suho)

    ลำดับตอนที่ #11 : CHAPTER 10

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.08K
      3
      30 พ.ย. 55

    CHAPTER 10

     

     

     

     

    แบคฮยอนปวดหัว

     

     

     

    กระปุกยาที่มีอยู่ในตู้ยาไม่ได้เป็นประโยชน์ บางทีแบคฮยอนอาจจะต้องไปหาหมอ ทว่ากลับไม่ใช่เพราะเหตุผลนั้น แต่อันเนื่องมาจากพฤติกรรมประหลาดๆที่เพิ่งทำไปเมื่อวาน แน่นอน...เขาไม่ได้ปวดหัวแบบที่ชนิดที่ว่ากินยาบรรเทาหรือพักผ่อนก็หาย แต่ที่เขาบ่นปวดหัวนู่นนั่นนี่ให้ป้าฟังเพราะมีเรื่องบางเรื่องที่ทำให้คิดไม่ตกต่างหาก

     

     

     

     

    ในตอนที่สามารถตระหนักได้เดี๋ยวนั้นว่ากระปุกยาในมือไม่ได้ช่วยอะไร ความหงุดหงิดก็พุ่งทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว พยอนแบคฮยอนที่ไม่อาจสลัดความกลัดกลุ้มกังวลใจทิ้งไปได้ จึงไปลงกับยาเม็ดสีขาว แบคฮยอนเอามันไปละลายน้ำเล่นก่อนจะเททิ้งลงอ่างล้างหน้า พอป้ารู้ก็บ่นเขาเสียงดังเสียจนน่ากลัวว่าหลังคาบ้านอาจจะพังลงมา

     

     

    ปัญญาอ่อนสิ้นดี...

     

     

    ก็คิดดูแล้วกัน ขนาดแบคฮยอนเองยังทนไม่ได้ถึงกับนึกด่าตัวเองในใจ

     

     

     

     

    เมื่อวานจุนมยอนโทรหาเขาตั้งหลายครั้งแต่ก็ไม่ได้รับ แบคฮยอนขี้เกียจ ยังไม่อยากไปเรียน เบื่อมาก ....เพราะบางทีจุนมยอนก็ทำตัวเหมือนป้าเขาเกินไป แต่ยังดีที่ไม่บ่นเท่า ตอนเข้ามหาลัยใหม่ๆ เขางอแงแทบตายเพื่อที่จะขอแม่ไปอยู่กับจุนมยอน แต่แล้วแม่ก็ไม่ให้ ให้มาอยู่กับป้าที่บ้านอยู่ในระแวกมหาลัยที่เขาสอบติดแทน แล้วไหนจะติดปัญหาตรงที่จุนมยอนยังจะต้องอยู่กับพี่ซีวอนอีก ดูเหมือนข้อสุดท้ายนี้เองก็ทำให้จอมดื้ออย่างพยอนแบคฮยอนต้องยอมจำนนแต่โดยดี   

     

     

     

    แล้วตอนนี้ก็คิดได้ว่าตัวเองโชคดีแล้วที่ไม่ดันทุรังว่าจะอยู่กับจุนมยอนให้ได้ เพราะถ้าต้องให้เป็นเด็กอนามัยนอนเร็วตื่นเช้าไปเรียนไม่เคยสายไม่เคยขาด เขาอาจจะต้องขาดใจตายจริงๆ สู้อยู่บ้านได้ยินเสียงป้าบ่นเป็นวรรคเป็นเวร แต่แค่การโกหกว่าไม่มีเรียนในวันนั้นก็นอนตีพุงอยู่บ้านได้อย่างสบายใจเฉิบแล้ว

     

     

    วันนี้ ...จุนมยอนก็โทรมาอีก แบคฮยอนมองโทรศัพท์ที่ปรากฏแสงวูบวาบอยู่บนเตียง เขาปิดเสียงไว้มันถึงไม่ได้ส่งเสียงหวีดร้องน่ารำคาญ แต่ก็ยังรู้สึกรำคาญลูกกะตาอยู่ดี ถึงตรงนี้ก็เลยลุกออกจากเก้าอี้เดินตรงไปที่เตียงนอนตัวเองก้มตัวลงหยิบโทรศัพท์แล้วก็ยัดมันเข้าไปใต้หมอน

     

     

     

    ถ้าวันนี้เป็นวันหยุดเหมือนตอนที่เขารับโทรศัพท์จุนมยอนครั้งล่าสุด แบคฮยอนก็คงจะกดรับสายไปแล้ว แต่เพราะไม่ใช่ ...เมื่อวานและวันนี้เป็นวันที่มีเรียน และเขาก็รู้ดีว่าจุนมยอนจะต้องโทรมาเซ้าซี้ให้เขาเข้าเรียน แต่เพราะว่ามันไม่ใช่เรื่องที่แบคฮยอนอยากทำ เพราะฉะนั้นก็ฝันไปเหอะ!

     

     

    ทว่าจุนมยอนก็คงรู้ว่ามันมีอะไรที่ทำให้เขาไม่อยากไปมากกว่าเรื่องเข้าเรียนอีก เพราะปกติแค่ฟลุบหน้ากับโต๊ะเรียน การเรียนหนังสือก็ไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องที่ต้องอดทนมากเกินไปนัก แต่ปัญหาของแบคฮยอนมันอยู่ตอนหลังเลิกเรียนต่างหาก การที่ต้องไปซ้อมละคร ต้องเห็นใบหน้าของปาร์คชานยอลมาวนเวียนอยู่ใกล้ๆแทบตลอดเวลานั่นแหละปัญหาของเขา

     

     

     

    เฮ้อ ...แต่ก็ไม่รู้ว่าจะบ่ายเบี่ยงไปได้สักกี่ครั้งเชียว

    กระนั้นการอยู่บ้านก็เป็นเรื่องที่น่าเบื่อสำหรับแบคฮยอนอยู่ดี ร่างเล็กเดินไปยังชั้นวางสารพัดจะของ ไม่รู้อะไรต่อมิอะไรเยอะแยะเต็มไปหมด ที่ชั้นล่างมีลูกบาสสีส้มนอนแอ่งแม้งอยู่ ซึ่งนั่นก็ถือว่าผิดที่ผิดทางมากนะ เพราะความจริงมันควรจะหย่อนอยู่ในตะกร้าที่อยู่ข้างๆชั้นไม้สามชั้นนี้มากกว่า

     

     

     

    แบคฮยอนย่อตัวลงก่อนจะอุ้มมันไว้แนบอก แล้วจึงพามันออกนอกบ้านไปด้วย ลูกหมาหน้าตาเหงาหงอยเดินตามทางเท้าที่คุ้นเคยไปเรื่อยๆจนถึงสวนสาธารณะที่ไม่ไกลจากบ้านมากนัก  

     

     

    ช่วงเวลาบ่ายสามแดดยังแรงไปหน่อยสำหรับสถานที่โล่งแจ้ง แบคฮยอนเงยหน้าขึ้นมองฟ้าแล้วก็ต้องหรี่ดวงตาลงอย่างรวดเร็ว ไม่น่าแปลกใจเลยที่ตามปกติเวลาเขามาแล้วมักจะพบกับผู้คนมากมายที่มาพักผ่อนออกกำลังกาย วิ่งจ็อกกิ้งหรือแม้กระทั่งเดินเหยาะๆในยามที่เย็นกว่านี้

     

     

     

    เพราะถ้าต้องให้มาทำกิจกรรมพวกนั้นตอนนี้ ...ก็ไม่น่าจะไหวแฮะ คงได้ตายแน่ล่ะ แบคฮยอนคิดว่างั้น แดดมันร้อนเกินไปสำหรับการพักผ่อน แล้วยิ่งสนามบาสที่ปูด้วยคอนกรีตหนาจุดมุ่งหมายของเขายิ่งมองดูก็ยิ่งไร้ผู้คน

     

     

    อ่อ...

     

     

    แบคฮยอนลืมไปวันนี้ก็ไม่ใช่วันพักผ่อนด้วยสักหน่อยนี่ ...การที่ไม่เจอคนเลยก็ไม่เห็นแปลก

     

     

     

    เขาเคาะลูกบาสลงกับพื้นสนาม ถึงแม้ว่ามันจะเป็นชนิดกีฬาที่เขาถนัดที่สุด แต่แบคฮยอนก็แทบจะไม่ได้แตะมันอีกหลังจากตำแหน่งตัวจริงในทีมมหาวิทยาลัยไม่ใช่ของเขาแต่ดันเป็นของ...ปาร์คชานยอล

     

     

     

    นึกถึงแล้วก็ขึ้น... แบคฮยอนไม่สบอารมณ์ถึงขนาดขว้างลูกกลมสีส้มออกจากตัวอย่างออกไปกระทบห่วงอย่างแรง และมันก็กระเด้งกลับมาด้วยแรงที่พอกัน แต่มันก็ไม่ได้กลับมาตรงตัวเขา มันกระเด้งกระดอนเลยไปข้างหลังห่างจากตัวไปตั้งเท่าไรต่อเท่าไรก็ไม่รู้

     

     

     

    ทว่า ...แบคฮยอนกลับไม่ได้ใส่ใจ

     

     

    ร่างเล็กทรุดตัวนั่งยองๆแล้วเบะปาก ไม่รู้นะ ...แต่เขาคิดว่าว่าตัวเองไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้นขนาดนั้น ไม่ใช่คนประเภทบ้าคิดอยากแต่จะชนะลูกเดียว แต่ทำไมไม่รู้พอกับชานยอลเขากลับรู้สึกว่ายอมไม่ได้

     

     

    กับปาร์คชานยอล... แบคฮยอนไม่เคยประทับใจอะไรเลยพูดตรงๆ เพียงแค่ลมหายใจที่ปล่อยออกมาจากหมอนั่น เขาก็มองเป็นคาร์บอนไดออกไซด์แล้ว กับคนอื่นก็ไม่เห็นเคยมองแบบนั้นเลยซะหน่อย

      

     

    ปล่อยเวลาผ่านไปสักพักในท่านั้น ปลายหางตาก็สัมผัสได้ถึงลูกบาสลูกเดิมกลิ้งกลับมาข้างๆแล้วกลิ้งเลยไปด้านหน้าเขาอีกหน่อยถึงค่อยหยุด

     

     

     

    ร่างเล็กไม่ได้สนใจจะเก็บมัน หากแต่กำลังสงสัยมากกว่าว่ามันกลิ้งกลับมาได้อย่างไร แบคฮยอนลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วจึงหันกลับไปในทิศทางที่น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นก่อนที่บาสลูกเดิมจะกลิ้งกลับมา แล้วก็ถึงกับผวาตกใจ เพราะแค่ในจังหวะที่ยืนขึ้นแล้วหมุนตัว ใบหน้าของเขาก็แทบจะชนเข้ากับอกอีกแผ่นอย่างจัง

     

     

    “เฮ้ย!” ถึงกับอุทานออกมาอย่างไม่ตั้งใจ

     

     

    วินาทีที่ตระหนักและตั้งตัวได้ คนตัวเล็กก็ผลักอีกร่างที่ประชิดตัวออกเต็มแรง

     

     

    “ปาร์คชานยอล!

     

     

     

    ใบหน้าที่ยกยิ้มเล็กๆทำให้พยอนแบคฮยอนต้องหน้ามุ่ยเพราะรู้สึกขัดลูกตา จะบ้าตาย ...คนยิ่งอารมณ์ไม่ดีๆอยู่นะ ยังจะต้องมาเจอคนที่ไม่อยากเจออีก มันจะมีเรื่องอะไรที่จะซวยไปกว่านี้อีกมั้ยล่ะ

     

     

     

    มาได้ไงวะ...?

     

     

    นี่มันแถวบ้านเขา ปาร์คชานยอลบังเอิญเดินมาอยู่แถวนี้มันเป็นไปได้เหรอ แต่ถ้าคิดดูดีๆในอีกแง่ ...ที่นี่มันก็เป็นสวนสาธารณะที่ใกล้กับมหาวิทยาลัยที่สุดแล้ว

     

     

    ปาร์คชานยอลคงอยากมาพักผ่อน ...หรือยังไง?

     

     

    โอ๊ยยย แต่ตอนนี้จะอะไรก็ช่างมันก่อนเถอะ! อยากไล่ไปให้พ้นสายตาเสียจริงเชียว

     

     

     

    “เล่นบาสคนเดียวมันจะสนุกอะไร” ไม่พูดเปล่า ...คนที่ตัวสูงมากกว่าตั้งสิบกว่าเซนยังเดินตามไปเก็บลูกบาสที่ไปหยุดห่างจากตัวไปไม่เท่าไรมาอุ้มไว้ในมือ แล้วเคาะลงกับพื้นไม่นานหลังจากนั้นพร้อมทั้งเดินกลับเข้ามาใกล้แบคฮยอนเรื่อยๆ

     

     

    “มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับนาย!” แบคฮยอนไม่สนแม้กระทั่งลูกบาสที่ตัวเองเป็นเจ้าของ ร่างเล็กเงยหน้ามองคนที่ตัวสูงกว่าอีกที จ้องมองด้วยความไม่สบอารมณ์ก่อนจะก้าวถอยหลังไปโดยที่ก็ยังมองหน้าของชานยอลอยู่

     

     

     

    ถึงจะมอง ...แต่ก็ไม่ได้พิศวาส

     

     

     

    “หนีปัญหา” เสียงลูกบาสที่กระทบพื้นหายไปและถูกแทนที่ด้วยคำนี้ แบคฮยอนได้ยินชัดเจนในขณะที่หันหน้าหนีร่างนั้นแล้ว

     

     

     

    “นายพูดเรื่องอะไร!” จะทำเป็นไม่สนใจก็ได้ แต่เมื่ออีกฝ่ายพูดออกมาในขณะที่อยู่กันเพียงลำพัง พฤติกรรมที่ฝ่ายนั้นกล่าวหามันก็คงจะหมายถึงเขา และแบคฮยอนก็รู้สึกว่ายอมไม่ได้ถึงขั้นต้องรีบหันกลับมาทันควัน

     

     

     

    “แล้วเมื่อวานรวมถึงวันนี้ ...นายกำลังทำอะไรอยู่ล่ะ” ชานยอลยิ้ม และมันก็เป็นรอยยิ้มที่ทำให้แบคฮยอนโกรธ แต่ถึงจะโกรธมากแต่ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี ...เจ็บใจตัวเองจึงได้แต่ใช้ฟันซี่คมกัดริมฝีปากสีชืดๆจนแดงไปหมด

     

     

     

    “ฉันไม่ได้หนี!” เขาเถียง ...ทั้งที่ยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าที่ชานยอลหมายถึงจะใช่เรื่องเดียวกันกับที่ตัวเองคิดมั้ย

     

     

     

    “เล่นหายตัว ...ไม่โผล่หน้ามาประชุมเลยนี่นะ เรียกไม่ได้หนี?” แต่ก็นั่นแหละเรื่องเดียวกันเลย

     

     

     

    วันก่อน ...ซึ่งนั่นก็คือเมื่อวานหลังเลิกเรียนที่คณะมีประชุมเกี่ยวกับละครเวทีงานใหญ่ประจำปี วันนี้ ...รวมถึงพรุ่งนี้และอาจจะวันต่อๆไป แบคฮยอนคาดว่า... หลังจากแบ่งหน้าที่กันไปแล้ววันนั้น เผลอๆวันสองวันนี้อาจจะเริ่มซ้อมกันแล้วก็ได้ และเพราะว่าเป็นแบบนี้การที่เขาไม่โผล่หน้าไปให้ใครเห็นเลยมันก็เท่ากับการจงใจเบี้ยวนั่นแหละ

     

     

    “แบบนี้ ...เขาเรียกว่าไม่รับผิดชอบนะแบคฮยอน” อ๋อ ...ที่โผล่มาเนี่ยจะมาด่ากันใช่มั้ย ...แต่ใครเล่าจะสน ดีเสียอีก...

     

     

    “ก็เปลี่ยนคนแสดงไปสิ” แบคฮยอนพูดได้อย่างหน้าตาเฉย ...และมันก็แสดงถึงความไม่รับผิดชอบจริงๆ ร่างเล็กไหวไหล่เชิงไม่ใส่ใจ ถ้ารับไม่ได้ก็ขอให้เป็นไปตามนั้น ...ในแบบอย่างที่เขาพูด

     

     

    แต่คนทะนงกลับมีอันต้องค่อยๆร่นถอยหลังไป หลังจากอีกฝ่ายที่ตัวสูงกว่าลุยเข้ามาประจันหน้า  แบคฮยอนตั้งสติและคิดว่าไม่เห็นมีอะไรจะต้องเกรง ในตอนที่ตระหนักได้แบบนั้นขาเรียวจึงหยุดลากไปข้างหลังพร้อมทั้งเชิดใบหน้ารั้นๆขึ้นมองอย่างไม่ยอม ในระยะประชิดแบคฮยอนไม่คิดว่าชานยอลจะกล้าทำอะไรไปมากกว่าใช้สายตาจริงจังมองมาที่มองเห็นแล้วก็แค่ให้ความรู้สึกคล้ายการข่มขู่

     

     

    แต่แบคฮยอนกลับคิดผิดถนัด ...

     

     

    ชานยอลไม่ใช่แค่กล้า ...แต่หมอนั่นกำลังรุ่มร่ามรุกล้ำสิทธิ์

     

     

     

    ชัดเจนว่าแขนข้างหนึ่งที่ไม่ได้ถือลูกบาสของชานยอลเกี่ยวรัดรอบตัวและรั้งให้กายยิ่งเข้าไปแนบชิด แบคฮยอนกำลังช็อค เขาไม่คิดว่าชานยอลจะกล้าทำแบบนี้โดยเฉพาะกับตัวเอง

     

     

    “กลัวเหรอ?” ทันทีที่ตั้งสติได้ ร่างบางก็ยกกำปั้นขึ้นมาหมายจะทำให้เบ้าตาข้างนึงช้ำหรือไม่ก็เลือดซิบไปเลย ทว่าชานยอลก็มีปฏิกิริยาที่ไวพอตัวเขาปล่อยลูกบาสในมือให้หล่นกระทบลงพื้นก่อนจะคว้าหมัดน้อยๆที่หมายจะปองร้ายเขาได้ทันควัน

     

     

     

    “นายกลัวที่จะต้องเล่นคู่กับฉัน” หยุดคำพูดไว้แล้วจ้องมองด้วยแววตาที่จริงจังกว่าเดิม

     

     

     

    “.... กลัวว่าจะต้องจูบกับฉัน”

     

     

     

     

    เพียงได้ยินครบหมดทุกคำแบคฮยอนถึงกับสะอึกและรีบส่ายหน้าพรืด “ฉันไม่ได้กลัว”  

     

     

     

    “แต่ว่านายก็ไม่กล้า” เป็นอีกครั้งที่รู้สึกจุกจากคำพูดของอีกฝ่าย ความรู้สึกที่กล้ำกลืนกำลังจะคายออกมาเป็นคำพูดแต่ก็เป็นไปในแบบที่ยากลำบากเมื่อต้องเริ่มต้นคิด

     

     

    “เพราะฉันเกลียดนายต่างหาก” เบือนหน้าลงหลังจากประโคมคำพูดใส่ แล้วก็แกะมือกาวของชานยอลออก  รีบถอยออกมาในระยะที่น่าวางใจก่อนเงยใบหน้าขึ้นจ้องอีกครั้ง

     

     

     

    แบคฮยอนกัดมากมองด้วยความรู้สึกคับแค้น ทว่ากลับตรงกันข้ามกันของปาร์คชานยอลที่ส่อแสดงถึงความเหนื่อยอ่อนใจอย่างเห็นได้ชัด

     

     

     

    ชานยอลรู้อยู่แล้วว่าแบคฮยอนรู้สึกกับเขาไปในทางที่ไม่ดีเท่าไรแต่ก็ไม่คิดว่าจะถึงขั้น เกลียดรวมทั้งไม่คิดด้วยว่าจะถูกตอกใส่หน้ามาแบบนี้ แต่เขาก็ไม่เป็นอะไร ถือว่าเป็นเรื่องทำใจมานานแล้ว อีกอย่างทุกสิ่งที่เขาปฏิบัติกับแบคฮยอนมานานก็เป็นสิ่งที่เขาล้วนเลือกแล้วเองทั้งนั้น และไม่ว่าผลของมันจะเป็นยังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะสามารถบ่นได้อยู่แล้ว

     

     

     

    ชานยอลสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ช่างมัน ...ไม่เป็นไร ...เพราะที่มาที่นี่เขาก็ไม่ได้จะมาชวนแบคฮยอนทะเลาะเหมือนอย่างที่กำลังเป็นอยู่ตอนนี้หรอกนะ แต่เขามีจุดประสงค์อย่างอื่น

     

     

     

    ร่คิดว่าจะได้ความรู้สึไปในทางที่ไม่ดีเท่าไรแต่ก็ไม่คิดว่าจะได้เ“แข่งบาสกันมั้ย?” หลังจากก้มลงเก็บลูกบาสที่กลิ้งไปไม่ห่างตัวเท่าไรมาไว้ในมือ แขนยาวก็ส่งต่อลูกบาสไปให้แบคฮยอนรับไว้

     

     

     

    คนที่ตัวเล็กกว่าขมวดคิ้วมองแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร แบคฮยอนกำลังใช้ความคิดไตร่ตรองอยู่สักพักกับสิ่งที่ชานยอลเพิ่งปฏิติบัติต่อเขา

     

     

    “ไม่”

     

     

    “กลัวแพ้?” ถึงตอนที่ถูกสรุปแบบนี้ แบคฮยอนก็โกรธหน้าดำหน้าแดงขึ้นมาอีก

     

     

    “ป๊อดหรือไง?”

     

     

    “ฉันไม่เคยกลัวนาย”

     

     

    “ถ้างั้นจะลังเลอะไรอีก”

     

     

    ก็ต้องลังเลดิวะ ไม่ได้อยากจะแข่งด้วยซะหน่อยนี่!

     

     

     

    กระนั้นกับการที่ถูกปรามาสมาแบบนี้มันก็รู้สึกว่ายอมไม่ได้เหมือนกัน พยอนแบคฮยอนถึงกับยืนกัดปากคิดหนัก ไม่รู้จะต้องลังเลไปเพื่ออะไรในเมื่อคำตอบแรกและคำตอบเดียวที่เขาจะตอบก็คือการปฏิเสธเท่านั้น แต่พอกำลังจะพูด แบคฮยอนก็โดนขัดอีกครั้งโดยปาร์คชานยอล

     

     

    “ฉันมีข้อเสนอ”

     

     

     

    “ข้อเสนออะไร” คนตัวเล็กกว่าเชิดหน้าถามอย่างเอาเรื่อง

     

     

    “ถึงนายจะไม่ชอบฉันแต่ก็ไม่ควรทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อน ...ฉันรู้ว่านายเองก็ชอบบทที่ตัวเองได้รับและยินดีที่จะเล่นถ้าคนที่จะมาคู่กับนายไม่ใช่ฉัน” ชานยอลแค่พักหายใจ แต่พูดยังไม่ทันจบเขาก็โดนแทรก

     

     

     

    “รู้ตัวก็ดีแล้วนี่”

     

     

     

    “แต่ทำไงได้แบคฮยอน ...ฉันเองก็ต้องการที่จะเล่นบทที่ตัวเองได้รับเหมือนกัน”

     

     

     

    “แบบนี้มันก็เข้าทางนายแล้วไง ...ที่ฉันเบี้ยวทุกนัด”

     

     

     

    “นายไม่เข้าใจเหรอว่าการทำแบบนี้มันพาลไปเดือดร้อนเพื่อนคนอื่นๆ ในเมื่อมันเป็นปัญหาของแค่นายกับฉัน ก็ให้มันเคลียร์กันตรงนี้ไปเลยไม่กว่าเหรอ”

     

     

     

    “อะไร?” ยิ่งพูดก็ยิ่งไม่เข้าใจ

     

     

     

    “ฉันจะยอมถอนตัวก็ต่อเมื่อนายชนะฉัน ...แต่ถ้านายแพ้ทุกอย่างคงเดิม โอเคมั้ย?”

     

     

     

    โอเคบ้า โอเคบออะไร! ทุกอย่างหมอนั่นพูดเองสรุปเองทั้งนั้นแบคฮยอนไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย

     

     

     

    แต่พอมาคิดดูดีๆอีกที ก็จริงที่เขาไม่อยากเสียบทดีๆแบบนี้ไป รวมทั้งการที่เขาหนีหายมาโดยที่ไม่ได้บอกไม่ได้กล่าวใครเลยสักคนเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อคนหมู่มากและใจแบคฮยอนเองจริงๆก็ไม่ได้อยากที่จะทำแบบนั้น แต่ใช่ว่าเขาไม่เคยขอถอนตัวดีๆ เขาทำแล้วแต่ไม่มีใครยอม เหตุผลที่เขาใช้ไปในการขอถอนตัวมันฟังไม่ขึ้น แบคฮยอนคิดไม่ออกต้องเรียกว่าถึงขั้นจนปัญญาเลยล่ะ พิรุธเขาเยอะจัด ในทุกครั้งที่หาเหตุผลมาแถไปเรื่อย ผลสุดท้ายก็โดนเพื่อนจับได้รวมทั้งบอกให้เลิกพยายามได้แล้ว

     

     

     

    แบคฮยอนไม่มีทางเลือกแล้วนี่นา เขาก็เลยคิดที่จะหนีมันเสียเลย

     

     

     

    แล้วถ้าเป็นข้อเสนอของชานยอลล่ะ เขาจะมั่นใจได้อย่างไรว่าถ้าเขาชนะหมอนั่นจริงๆ ปาร์คชานยอลจะขอถอนตัวออกจากบทพระเอกนั่นได้ ก็ความจริงมันมีอยู่ว่าชานยอลเป็นตัวท็อปดึงดูดคนได้มากกว่าเขาอีก เป็นอย่างนี้แล้วใครจะยอมปล่อยง่ายๆ

     

     

     

    “นายจะแน่ใจได้ยังไงว่าคนอื่นจะยอมให้นายถอนตัวง่ายๆ”

     

     

     

    “ฉันก็มีวิธีของฉัน” แววตาของชานยอลดูมีความมั่นใจอยู่ในนั้นมากในตอนที่แบคฮยอนมอง ในเมื่อเขาถอนตัวเองก็ไม่ได้ หนีหายไปเฉยๆก็ไม่สมควรอีก คงจะมีทางนี้ทางเดียวเท่านั้นละมั้ง ถ้าไม่ชนะจริงๆแล้วก็คงต้องทน แต่ระหว่างนี้ก็ยังมีเวลาให้ทำใจได้หน่อย

     

     

    แต่นี่ก็ยังไม่นับในส่วนที่ต้องอับอายอีกถ้าเขาไม่ชนะ...

     

     

     

    แบคฮยอนควรทำยังไงดี...

     

     

    เฮ้อ! แต่จะทำไงได้ถ้าไม่รับคำท้าก็ถูกหาว่าปอดแหกอีก แล้วเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับเขา การถูกตราหน้าว่าเป็นอย่างงั้นอย่างนี้มันเจ็บปวดยิ่งกว่าแพ้ในการแข่งขันจริงๆซะอีกแน่ะ

     

     

     

    “งั้นก็ได้ ...นายพูดแล้วก็ช่วยรักษาคำพูดด้วยนะ”

     

     

    “ชนะกันให้ได้ก่อนเถอะแบคฮยอน” ชานยอลยักคิ้วยกยิ้มมุมปากอย่างน่าถีบ(แบคฮยอนคิด)

     

     

     

    “เออ!” แบคฮยอนกระแทกเสียง พร้อมทั้งกระแทกเท้าเลี่ยงจะเดินจากไป

     

     

     

    “เจอกันพรุ่งนี้ห้าโมงเย็นที่สนามบาสที่ม.นะ” สุ้มเสียงทุ้มตะโกนดัง ตาโตของร่างสูงเหลือบลงมองลูกบาสในอ้อมแขนวูบนึง

     

     

    “ไม่เอาลูกบาสนายกลับไปด้วยเหรอ?” ไร้สัญญาณตอบรับ ชานยอลเห็นแต่แผ่นหลังที่ไกลห่างออกไปเรื่อยๆ มันคงจะแปลความหมายได้ว่าแบคฮยอนคงไม่ได้สนใจจะเอามันกลับไปด้วยอีกแล้ว

     

     

    “นี่ ! งั้นพรุ่งนี้ฉันจะเอามันไปด้วยนะ การใช้ลูกบาสของนายก็เท่ากับต่อให้นายด้วยเลยนะ” ปล่อยคำพูดกวนประสาทออกไปแล้วก็นึกยิ้ม ไม่น่าเชื่อ ...ปาร์คชานยอลเพิ่งได้ยินคำว่า เกลียดจากปากของพยอนแบคฮยอนแต่เขาก็ยังยิ้มได้

     

     

     

    เขาคงชอบแบคฮยอนที่เป็นแบบนี้ไปแล้วล่ะมั้ง คนที่หน้าบูดหน้าเบี้ยวใส่กันทุกครั้งที่เจอและไม่เคยพูดดีต่อกันเลยสักครั้ง

     

     

    ถ้ามีคนรู้ถึงความรู้สึกเบื้องลึกในหัวใจทุกคนก็คงจะถามเป็นเสียงเดียวว่าทำไม ...ทำไมถึงชอบทั้งที่แบคฮยอนก็ไม่เคยดีกับเขาเลย

     

     

    แต่เพราะว่ามันเป็นความลับตั้งแต่เรื่องที่เขาชอบรวมถึงเรื่องที่แอบมองแบคฮยอนบ่อยๆมาตั้งแต่ต้น ที่ชานยอลชอบแบคฮยอนคือตอนที่เขาว่าร่างเล็กยิ้มร่าเริงคุยกับใครด้วยข้างแก้มที่ตุ่ยตูมมีเลือดฝาด สำหรับชานยอลแล้วภาพเหล่านั้นเป็นอะไรที่น่ามองที่สุด ชานยอลชอบมองความเป็นธรรมชาติในทุกครั้งที่แบคฮยอนดีต่อใครๆ แต่ทุกครั้งแบคฮยอนกลับคิดว่าเขามองในอีกความรู้สึกหนึ่งที่ตรงกันข้ามซึ่งนั่นไม่ได้เป็นความจริงเลยสักนิด

     

     

     

    เขาชื่นชมนะ ...แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะต้องทำเช่นไร

     

     

     

    ปาร์คชานยอลแค่ไม่รู้จักวิธีเข้าหาใครสักคน ...แค่เพียงเพราะเขาไม่เคยชอบใครมาก่อน ...นึกถึงตรงนี้ก็ไม่รู้ว่าแบคฮยอนโชคดีหรือโชคร้าย ...ที่ต้องมาเจอคนฟอร์มจัดขนาดนี้

     

     

     

    ไม่ดีเลย ...แล้วอย่างนี้แบคฮยอนจะรับรู้ความรู้สึกจริงๆของเขาตอนไหน แล้วหนทางที่จะได้ความรู้สึกเดียวกันตอบกลับมาชานยอลก็ยิ่งมองไม่เห็นเข้าไปใหญ่เลย

     

     

    เฮ้อ... ไม่น่าเลยปาร์คชานยอล

     

     

     

    สุดท้ายแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจซ้ำๆให้กับตัวเองอยู่อย่างนี้

     

     

     

     

     

     

     

     

    จุนมยอนเพิ่งเห็นหน้าแบคฮยอนวันนี้วันแรกในสัปดาห์ใหม่ เพื่อนของเขาเพิ่งมาเรียนตามปกติ และก็เป็นปกติที่ปกติมากๆเมื่อจุนมยอนเห็นแบคฮยอนมาฟลุบหลับลงข้างๆ คนตัวเล็กไม่ได้ถามถึงสองวันที่หายไป จุนมยอนรู้ดีอยู่แล้วว่าเพราะอะไรแล้วเขาก็ไม่อยากจุ้น อีกอย่างเมื่อไรก็ตามที่แบคฮยอนต้องการความคิดเห็นจากเขา เดี๋ยวหมอนั่นก็โพลงถามขึ้นมาเองแหละ พอถึงเวลานั้นจุนมยอนก็รู้สึกยินดี

     

     

    เหมือนว่าจะค่อยๆแย้มออกมาทีละอย่าง เขาถูกเพื่อนลากมาตั้งแต่เลิกเรียน แปลกที่ไม่มีนัดประชุมเกี่ยวกับงานประจำปีทั้งที่วันนี้ตัวนางเอกในร่างผู้ชายอย่างแบคฮยอนปรากฏตัวที่ม.วันนี้ แต่ก็ดีแล้ว ...จุนมยอนคิดว่าเพื่อนเขาคงยังไม่พร้อมกับงานใหม่เสียเท่าไรนัก

     

     

    แต่แล้วที่แบคฮยอนให้เขามานั่งบนอัฒจันทร์ริมสนามบาสนี่คืออะไร...

     

     

    “เฮ้!” จุนมยอนตะโกนเรียก เขาไม่ได้เห็นพยอนแบคฮยอนแตะลูกบาสมานานแล้ว โชคดีที่ตอนนี้แดดไม่ค่อยมีแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาก็คงได้ขอร้องให้แบคฮยอนมุ่งไปที่ศูนย์คอมพิวเตอร์แล้วจดจ่อกับเกมคอมพิวเตอร์ท่าจะดีกว่า

     

     

     

    “นานมากแล้วที่ฉันไม่เห็นนายเล่นบาส” จุนมยอนพูดพร้อมกับรอยยิ้ม ลึกๆแล้วเขารู้ว่ามันเป็นสิ่งที่แบคฮยอนรัก เพียงแค่ลดทิฐิเรื่องชานยอลลงหน่อย แบคฮยอนก็คงจะได้ทำอะไรที่อยากทำ

     

     

     

    “ฉันใช้มันเดิมพันกับชานยอล” ในขณะลอยตัวจั๊มชู้ตร่างบอบบางก็พูดไปด้วย  จุนมยอนตาโต สงสัยแต่ไม่ทันจะได้ถามอะไรอีกคนที่อยู่ในหัวข้อสนทนาเมื่อครู่ก็เดินมาจากอีกทาง แน่นอนว่าคนที่นั่งสูงอยู่บนอัฒจันทร์อย่างเขาเห็นก่อนแน่นอนอยู่แล้ว

     

     

     

    จุนมยอนไม่ได้เอ่ยทักอะไรเพราะชานยอลเห็นเขา แล้วก็หันมาโบกมือให้ หลังจากนั้นไม่นานแบคฮยอนก็หันมาเห็น สองคนนั้นพูดอะไรต่อกัน ตกลงบางอย่างกับพี่อีกคนที่ชานยอลพามาด้วย ซึ่งถ้าเขาจำผิดก็น่าจะเป็นพี่ในชมรมบาส

     

     

     

    ตกลงกันเสร็จแบคฮยอนก็หันมาทางเขา “ช่วยเป็นพยานด้วยนะจุนมยอน”

     

     

     

    “อ...อ่อ” จุนมยอนยังไม่ทันรู้แน่ชัดเลยว่าสองคนนี้ทำอะไรกัน แล้วเดิมพันกันด้วยเรื่องอะไรแล้ว แล้วที่ให้เป็นพยานนี่ยังไง ...เรื่องผลการแข่งขันอ่ะเหรอ?

     

     

    หลังจากนั้นไม่กี่นาทีหลังจากโยนเหรียญว่าใครจะได้ครองบอลก่อน จุนมยอนคิดว่าน่าจะเป็นแบบนั้นเพราะคงไม่ได้โยนเหรียญเพื่อเลือกฝั่งเพราะเกมนี้ที่เล่นตัวต่อตัวคงจะเล่นกันแค่ครึ่งสนาม เกมก็เริ่ม

     

     

     

    สิบนาทีโดยมีการเป่าหยุดเวลากติกาการแข่งขันนอกรอบนี้เหมือนการแข่งจริงของกีฬาบาสเกตบอลทุกประการ

     

     

    จุนมยอนดูบาสเป็นและอาจจะเป็นกีฬาเพียงชนิดเดียวที่คลุกคลีแต่ก็ไม่เคยเล่นจริงจัง ถ้าไม่นับเรียนตอนสมัยไฮสคูล เด็กๆเขาป่วยกระเสาะกระแสะ ผิวขาวซีดราวกับคนที่มีโรคประจำตัว จุนมยอนได้รับคำแนะนำให้เล่นกีฬาบ้างเพื่อที่ร่างกายจะได้แข็งแรง แต่พี่ชายของเขากลับไม่ยอม ทุกครั้งที่พี่ซีวอนออกไปซ้อมบาสหรือแข่งจริงก็ให้คนตัวผอมกิ่วอย่างเขาไปนั่งดูเท่านั้น เพราะเป็นแบบนั้นมันก็ซึมซาบทุกอย่างของเกมกีฬานี้เข้ามาเองเพียงแค่เขาต้องไปนั่งเฝ้าพี่ชาย

     

     

    ชานยอลกับแบคฮยอนก็ยังผลัดกันรุก เป้าหมายอยู่ที่เดียวกันคือห่วงที่สูงเหนือหัวเป็นเมตรๆ ถ้าจะมองจากสรีระคนคงคิดว่าแบคฮยอนคงจะแพ้ชานยอลราบคาบ แต่ถ้ามองจากตรงนี้ ทักษะของสองคนนี้ไม่ได้ต่างกันเท่าไร และจุนมยอนเองก็รู้ดี พี่ซีวอนเคยบอกกับเขาบ่อยๆว่าเสียดายฝีมือของแบคฮยอน แต่จะให้ทำไงได้ล่ะ เพื่อนเขามันเลือกแล้วว่าจะวางมือเองนี่ แต่ก็โทษคนในทีมตอนนั้นไม่ได้ ไม่ว่าจะใครก็คงจะต้องเสียดายส่วนสูงของชานยอลทั้งนั้นแหละ

     

     

     

    จุนมยอนไม่รู้ว่าแบคฮยอนที่ห่างหายจากการแตะลูกบาสไปนานเล่นได้ดีคงเส้นคงวาหรือปาร์คชานยอลคนที่ฝึกซ้อมฝีมืออยู่สม่ำเสมออยู่ก็ฝีมือตก แปลก ...ที่แค่จับลูกมือของชานยอลก็อ่อนปล่อยลูกหลุดมือไปง่ายๆ หรือแม้กระทั่งลูกที่ไม่น่าจะโดดตัดหรือแย่งไปแบบหน้าตาเฉย แต่ชานยอลกลับเสียมันให้กับแบคฮยอน

     

     

     

    เพราะจุนมยอนดูบาสเป็นเขาถึงรู้...

     

     

     

    มันไม่ใช่แค่ชานยอลเล่นแย่ลง ...แต่ที่หมอนั่นทำดูเหมือนจะถึงขั้นล้มบาส จุนมยอนไม่เข้าใจ ...คิ้วทั้งคู่เริ่มขมวดเข้าหากันเรื่อยๆ คนตัวเล็กโค้งตัวไปข้างหน้าจ้องมองเกมการแข่งขันด้านหน้าตาไม่กะพริบ

     

     

     

    “สองคนนั้นทำอะไร?”

     

     

    “แข่งบาสกัน ...ว่าแต่แข่งไปเพื่ออะไร” จุนมยอนตอบคำถามทั้งที่ไม่ได้หันไปมองคนที่เพิ่งจะถามคำถามนี้แก่เขา ร่างเล็กกำลังใช้ความคิดอย่างหนักเขาไม่รู้จริงๆว่าเพื่อนกำลังทำอะไรอยู่

     

     

     

    “อ่อ”

     

     

     

    ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเป็นคำถามแต่จุนมยอนก็เพิ่งมาชะงักตอนได้ยินถ้อยคำแทนความเข้าใจของอีกฝ่าย ใจเขาเต้นแรงขึ้นมาแบบเมื่อเริ่มสำนึกได้ว่าเสียงนั้นมันคุ้นๆ

     

     

    1

     

    2

     

    3

     

     

    นับในใจเสร็จพอหันไปเจอว่าใครก็แทบร้อง

     

     

    “เย้ย!

     

     

    ตายละ ...มาได้ไง...?

     

     

     

    “อึก” จุนมยอนเจอความผิดปกติบางอย่างที่กำลังเกิดขึ้นกับตัวเอง คริสที่นั่งลงมาข้างๆตอนไหนก็ไม่รู้มองเขาราวกับจะถามว่าเป็นอะไร

     

     

     

    “เป็นอะไร?” สุดท้ายก็ได้ถามออกมาจริงๆ

     

     

     

    “อึก ...สะอึก สงสัยจะ ...อึก สะอึก” ไม่ต้องสงสัยและล่ะมั้งจุนมยอน นี่แหละสะอึกของจริง

     

     

     

    จุนมยอนก้มใบหน้าลงหลีกเลี่ยงที่จะไม่มองคริส เขาจะบ้าแค่หัวใจเต้นไม่ปกตินี่ก็แย่มากอยู่แล้วดันจะมีอาการสะอึกแทรกเข้ามาอีก จะเก็บอาการได้ยังไง จะซ่อนมันไหวมั้ย เพราะทุกครั้งที่เกิดอาการสะอึกไหล่ของเขาก็ไหวเป็นเชิงแสดงออกไปทุกที

     

     

     

    แค่สะอึกจุนมยอนก็รู้สึกว่าคริสคงจะจับได้หมดแล้วว่าเขารู้สึกยังไงกับเจ้าตัว ไม่นะ ...นี่เขาคิดมากเกินไปแล้ว จุนมยอนซ่อนความรู้สึกได้มิดชิดจะตายไปนะ ...ความจริงแล้วน่ะ

     

     

    “น้ำก็ไม่มีซะด้วยสิตรงนี้” เขาค่อยๆเหลือบมองคริส แล้วก็รีบวูบหนีลงกลับที่เดิมทันทีเมื่ออีกฝ่ายหันกลับมามองหลังจากให้สายตาไปเพื่ออะไรแล้วบางอย่างแล้วไม่เจอ

     

     

     

    “อะ ...อึก” โอ๊ยยย เมื่อไรจะหาย จุนมยอนคร่ำครวญในใจ คนตัวบางค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาจากที่ก้ม เขาไม่ควรลืมว่าเพื่อนตัวเองกำลังแข่งกันแย่งไอ้ลูกกลมๆสีส้มๆกันอยู่ข้างล่าง

     

     

    “อึก” ผ่านไปหลายนาที จุนมยอนก็ยังคงสะอึกอยู่

     

     

    ฮือออ ...นี่เขาจะร้องไห้แล้วนะ

     

     

    จะเหลือบมองไปที่คนข้างๆก็ไม่กล้า แต่แล้วในที่สุดเสียงเรียกก็จำทำให้จุนมยอนต้องหันไป หันไปทั้งที่ก็ไม่ได้อยากจะหัน...

     

     

     

     

    “ตัวเล็ก”

     

     

     

    ยิ่งเป็นคำนี้หัวใจของเขาก็ยิ่งรัวกลองและแทบจะทำให้เขาลืมอาการสะอึกที่ยังคงเกิดขึ้นกับตัวเองอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ใช่... อาการเดิมๆยังคงตอกย้ำเขาอยู่และดูเหมือนว่ามันจะหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆเสียด้วยซ้ำ

     

     

    จุนมยอนหันไปทางคริสด้วยความประหม่าที่อัดแน่น ดวงตาที่ไม่ได้เปิดกว้างเต็มที่มีอันต้องเบิกโตจนแทบจะถลน ยิ่งก้อนเนื้อที่ซ่อนอยู่ภายในอกข้างซ้ายยิ่งเต้นรัวจนเขาไม่เชื่อว่านั่นจะใช่ดวงเดียวกันกับที่อยู่กับเขามาจนถึงอายุยี่สิบปี

     

    จุ๊บ

     

     

     

    สัมผัสหยุ่นกดลงมาที่มุมปากข้างหนึ่ง จุนมยอนรู้ว่ามันคือจูบแต่เขาก็ไม่รู้ว่าควรจะต้องทำอย่างไร ร่างเล็กช็อคและคิดอะไรไม่ออก จนกระทั่งฝ่ายที่จูบเขาแบบไม่ทันได้ตั้งตัวเป็นครั้งที่สองถอยตัวเองออกไปเขาถึงเริ่มต้นกะพริบตาและมันก็ถี่ยิบด้วยความคิดที่มีมากมายและตีกันยุ่งเหยิงอยู่ในสมอง

     

     

     

    จูบอีกแล้ว... ไร้ซึ่งเหตุผลสิ้นดี เขาควรบอกคริสหรือ...ว่าชอบ เขาควรบอกออกไปตรงๆแล้วก็ให้อีกฝ่ายเลิกทำแบบนี้ ...มันร้ายแรงมันเกินกว่าคำว่าให้ความหวังไปอีกแบบนี้

     

     

     

    นี่มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ...ความรู้สึกของเขามันไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลยนะคริส

     

     

     

    ฮือออออออ

     

     

     

    “หายมั้ย?” เขามองหน้าคริสด้วยความสับสนแต่ก็ไม่ได้เห็นแวววิตกกังวลอะไรนัยน์ตาคริสเลย คนที่มีใบหน้าดุจเทพบุตรแค่ถามเขาด้วยสองคิ้วที่เลิกขึ้นและแน่นอนว่าจุนมยอนไม่เข้าใจ

     

     

     

    “หายสะอึกหรือยัง?” คริสยิ้มใส่ตาเขาและจุนมยอนก็ละลายไปเรียบร้อยแล้ว พอลองทบทวนจากคำถามที่ได้รับ จุนมยอนก็เริ่มรวบรวมสติเพื่อที่จะตอบคำถามให้กับคริสอย่างซื่อตรง

     

     

     

    “ห...หายแล้ว” คริสยิ้มก่อนจะเบือนหน้ามองไปเบื้องหน้า “ว่ากันว่าคนสะอึกให้ทำให้ตกใจแล้วถึงจะหาย” หยุดคำพูดไว้แค่นั้นแล้วหันมาทางเขาอีกครั้ง

     

     

    “มันจริงด้วยแฮะ”

     

    แก้มจุนมยอนแดงรวมทั้งร้อนฉ่าขึ้นมาราวกับถูกไฟสุม รอยยิ้มก่อนที่หันหน้าไปอีกครั้งนั้นคำพูดแค่นั้นที่เล่นเอาคนทั้งคนไปไม่เป็นคืออะไร

     

     

     

     

    ใช่... เขาตกใจจริงๆ

     

     

     

    และอาการสะอึกมันก็หายไปจากเขาแล้ว ...

     

     

    แต่ ฮื้อออออ วิธีที่ทำให้ตกใจแบบอื่นมันก็มีให้ทำเยอะแยะนี่นาทำไมถึงเลือกที่จะจูบเขาแบบนี้

     

     

     

     

     

     

    ฮื้ออออ จุนมยอนแย่แล้ว...

     

     

     

     

    ขอบคุณพระเจ้า ...ที่อยู่ๆตัวช่วยเขาก็วิ่งขึ้นมาจากข้างล่าง แบคฮยอนช่างรู้ใจเพราะพอมาถึงตัวหมอนั่นก็นั่งแทรกกลางระหว่างเขากับคริสทันที

     

     

     

    อย่างน้อยตอนนี้ที่เขาหมดคำที่จะพูด ก็ยังมีคนที่จะพูดแทนอย่างแบคฮยอนเพิ่มเติมเข้ามา

     

     

    “ฉันชนะแล้ว”

     

     

    ไม่รู้ว่าควรจะดีใจกับเพื่อนมั้ย ...ชั่วขณะหนึ่งเขาถึงได้มองลงไปข้างล่างและก็เจอว่าชานยอลส่งยิ้มมาให้ จุนมยอนถึงเริ่มที่จะยิ้มกว้างออกมาด้วยความรู้สึกดีใจและก็ปลื้มปริ่มกับแบคฮยอนไปด้วยจริงๆ

     

     

     

    “ดีใจด้วย” เรื่องอะไรล่ะ ...เขาถามตัวเอง เขายังไม่รู้เลยนี่นาว่าสองคนนั้นแข่งบาสกันไปเพื่ออะไรยิ่งตอนที่แข่งจบแบบนี้เขาก็รู้สึกผิดขึ้นมาหน่อยๆเพราะตั้งแต่ที่คริสมาอยู่ข้างๆเขา เขาแทบจะไม่ได้ตั้งใจดูพร้อมกับส่งกำลังใจไปให้แบคฮยอนเลย

     

     

     

    แต่แล้วแบคฮยอนกลับไม่ได้สนใจว่าเขาจะจดจ่ออยู่กับเกมกีฬานั่นมากมั้ย ...หมอนั่นกลับยิ้มกว้างและโผเข้ากอดเขาเต็มแรง

     

     

     

     

    “ชานยอลจะถอนตัวจากละครเวทีถ้าฉันชนะ ...แล้วฉันก็ชนะแล้ว”

     

     

     

    จุนมยอนหันไปหาชานยอลทันที

     

     

    อ้าว...

     

     

     

    TBC…

     

     

    -------------------------------

     

    โอ่ยยย นานได้อีกกกก มาต่อแล้วนะคะ

    ตอนแรกก็ว่าจะต่อก่อนคอนออท.แต่แล้วก็ไม่ทัน อันเนื่องมาจากคอมไม่ให้ความรวมมือg]p

    ฮือออ คอนออท.ใครไปมาบ้าง โชว์มือหน่อยยยย

    เก๊าอยากได้โมเม้นท์คริสโฮตรงหน้ามาก แต่ก็ไม่ได้ ฮึก

    จะบนด้วยเฟิสคริสนี่แหละ ไม่แน่ใจว่าจะบนยังไงแต่เกี่ยวกับเรื่องนี้แน่ๆ ฮา

     แต่ไม่ทัน เปิดทวิตเตอร์ขึ้นมากำลังจะบน แล้วเพลงโฮปก็ขึ้น อดเบยย

    ต้องหันไปจ้องบนเวทีตาถลน สุดท้ายก็ไม่ได้ ;___:

    เห็นแค่พี่คริสยืนอยู่ แล้วพี่ซูโฮก็วิ่งฉิวผ่านหลังไปเลย โฮฮฮ ไอ่เราก็นึกว่าจะลากกลับไปด้วย

    แงงง เสียจายยย อยากเวิ่นจุงเร~

    ฮาๆ แต่ก็ถือว่าเวิ่นเยอะกว่าปกตินะคะเนี่ยยยย ๕๕๕๕๕

     

    เข้าฟิคบ้าง ...พี่คริสจุ๊บอีกแล้ว ร้ายไม่เบา ฮุฮุ

    เรื่องนี้อีกยาวไกลเลยล่ะค่า อยู่ด้วยกันไปนานๆเลยนะคะ อย่าทิ้งกันนะ แม้ว่าฟิคมันจะไม่สนุกแล้วก็ตาม #ห๊ะ

    รักคนอ่านม้ากมาก อยากอ้อนทุกคนเลยยย ฮี่ๆ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×