ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic] First Kris First Kiss (Kris x Suho)

    ลำดับตอนที่ #24 : CHAPTER 22

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 518
      1
      11 ก.ย. 56

    CHAPTER 22

     

     

     

    “พี่ซีวอน...ผมอยากกลับแล้ว”

     

    เมื่อวาน...จุนมยอนบอกกับพี่ชายเขาว่าไม่ต้องเป็นห่วง เพื่อนจะไปส่ง ซึ่งเป็นเพื่อนคนหนึ่งที่ไม่ใช่ทั้งแบคฮยอนและก็ไค

     

    แต่เป็น...คริส

     

    พี่ซีวอนไม่รู้...ก่อนหน้านั้นจุนมยอนไม่แน่ใจว่าพี่ชายของเขาจะว่าอะไรมั้ยหากเอ่ยออกไปตรงๆว่าคนที่จะไปส่งเขาคือคริส...แต่ในตอนที่บอกออกไปนั้นเขาก็กังวลเกินกว่าที่จะยอมพูด ยอมบอกออกไปตรงๆจนต้องเลี่ยงที่จะไม่พูดถึงเพื่อนคนที่ว่านั้นนั่นแหละ

     

    กลัวว่าจะมีปัญหาหากว่าเขาเอ่ยชื่อคริสขึ้นมาแล้วพี่ชายเกิดไม่พอใจ ทำให้อดนึกกริ่งเกรงขึ้นมาว่าไม่ได้ว่าโอกาสที่เขาจะได้ใช้เวลาร่วมกับคริสนั้นมันคงจะหลุดลอยไป...

     

    ทว่า...พอถึงตรงนี้แล้ว...จุนมยอนกลับพบว่าไม่ว่าจะบอกหรือไม่บอกกับพี่ชายของเขาออกไปตรงๆก็คงจะไม่มีความหมายอะไรอีกต่อไปแล้ว...

     

    เมื่อจุนมยอนไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องไขว่คว้าหาโอกาสเพื่อจะไปอยู่เคียงข้างกายคริสอีกแล้ว...

     

    ก็ไม่รู้จะทำไปเพื่ออะไร...ในเมื่อมันไม่มีประโยชน์อะไรเลย

     

    ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาจุนมยอนยอมรับว่าเขาชั่งใจมาโดยตลอด เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีสิทธิ์มากมายอะไรสำหรับการคาดหวัง จุนมยอนมีความหวังเพียงแค่ศูนย์เปอร์เซ็นต์ คนตัวเล็กไม่เคยเรียกร้องให้คริสหันมามองตัวตนของเขา มีเพียงความหวังแค่นั้นมาตั้งแต่วินาทีแรกที่เขารู้สึกได้ว่าคริสคือคนที่เขาจะเฝ้ามองหานับจากนี้ แต่แล้วจะให้ทำยังไงเมื่อจู่ๆวันหนึ่งคริสก็เป็นคนเดินเข้ามา แล้วเพิ่มเปอร์เซ็นต์ความหวังจากไม่มีเลยของเขาจนเกือบจะเต็มขีดจำกัดที่มี...

     

    ไม่เคยอยากจะยอมรับ ...เขาพยายามยับยั้งหัวใจไม่ให้เตลิดล่องลอยด้วยความคิดชั่งใจ แต่สุดท้ายก็ไม่เคยมีครั้งไหนที่ทำได้จริง จุนมยอนยอมรับว่าตัวเองมีความสุขมากๆ หลงระเริงและลืมไปว่าความทุกข์อาจจะตามมาถึงตัวเขาไม่วันใดวันหนึ่งก็อาจจะเป็นได้

     

    และพอวันนี้ที่มาถึงมันก็ไม่ได้สะกิดเรียกเขา...แต่จู่ๆก็ซัดโครมเข้ามาเหมือนจงใจแน่วแน่แล้วว่าจะฆ่ากันตั้งแต่ทีแรก...

     

    นี่ไง...คงสาสมแก่ใจแล้วใช่มั้ย...ไม่ตายก็เหมือนกับตายนั่นแหละ...

     

    เหมือนร่างที่ตายซาก มีเพียงวิญญาณ หัวใจดับสลาย จุนมยอนนั่งนิ่งๆด้วยร่างกายที่ชาหนึบมานานเท่าไรแล้วก็ไม่รู้ น้ำตาหยด แต่ก็เพียงเท่านั้น... ไม่ร้องไห้ ไม่ฟูมฟาย สะอึกสะอื้นเหมือนตอนที่รู้สึกว่าคริสมีคนที่คบอยู่แล้วซึ่งนั่นก็คือลู่ฮาน

     

    ตอนนั้นเขาเสียใจ...

     

    แต่ตอนนี้...มันยิ่งกว่าเสียใจ...

     

    เพราะหวัง ...ที่ผ่านมาเขาถูกยัดเยียดการกระทำที่บอกว่าหวังได้ ...ทุกวันคือความหวัง ...เขามีความหวัง แต่สุดท้ายกลับแหลกสลาย เมื่อรู้ความจริงว่าทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นนั้นเป็นเพียงภาพลวงตา

     

    ไม่รู้จะทำอะไร...หรือถ้าให้จะถูก ต้องบอกว่าเขาทำอะไรไม่ถูกต่างหาก เลยได้แต่รอให้ใครสักคนพาเขาไป กลับไป ...ไปในที่ที่เหมาะที่ควรสำหรับตัวเอง เผื่อว่าจะทำให้คิดอะไรได้มากขึ้น

     

    เขาถูกหลอก...

     

    จุนมยอนโดนหลอก...คำนี้มันวิ่งเวียนวนอยู่ในสมอง จนปวดหัว เขาคิดอะไรไม่ออก จุนมยอนรู้แค่ว่าตัวเขานั้นโง่ โง่...ชนิดที่หาอะไรมาเปรียบประมาณไม่ได้เลย

     

     

     

    เขาเสียใจมาก...มากจนรู้สึกว่าน้ำตามันไหลออกมาไม่ได้อีกแล้ว

     

     

     

     

     

    “งั้นเดี๋ยวฉันไปรับจุนมยอนก่อนนะ...ป่านนี้รอแย่แล้ว”

     

    ชานยอลได้ยินทุกคำสารภาพออกจากปากของชายหนุ่มตรงหน้า เขาส่งยิ้มให้ก่อนจะตบเข้าที่บ่าหนักๆสองสามทีราวกับส่งเสริมกำลังใจ

     

    “ไปเถอะ...ดูแลเขาดีๆล่ะ จุนมยอนน่ะผู้คุ้มครองเขาเยอะ ถ้านายไม่อยากหัวแบะล่ะก็...ก็ดูแลรักษาเขาให้ดีๆ” ที่เห็นชัดๆ หนึ่งคนที่คริสเจอเข้ากับตัวมาแล้วก็เจ้าของหมัดที่ฝากกำปั้นไว้บนหน้าเขา พยอนแบคฮยอนอีกคน...ที่แม้จะเชียร์เขาออกหน้าออกตาแต่คริสก็รู้สึกได้ว่าแบคฮยอนเป็นคนเอาเรื่องทีเดียว หมอนั่นคงไม่ยอมเด็ดขาดหากใครสักคนทำเพื่อนตนเสียใจ อีกคนที่เห็นจะไม่พูดเลยไม่ได้ก็คงจะเป็นพี่ชายของเจ้าตัวนั่นแหละ...แม้จะไม่ได้มีท่าทีกันท่าเขามากมายนัก แต่ใครเล่าจะกล้าเข้าหานักหนา เพราะแม้ใบหน้าจะคล้ายจุนมยอนแต่รัศมีความดุก็มีมากกว่านับสิบนับร้อยเท่าขนาดนั้น

     

    “รู้แล้วล่ะน่า ...เกิดมาก็ไม่เคยรักและอยากดูแลใครเท่านี้มาก่อนเหมือนกัน” คริสยักคิ้วให้เพื่อนชาวเกาหลีที่สนิทที่สุดอย่างชานยอลเสียอีกครั้ง ก่อนจะควงกุญแจรถของคนตรงหน้า

     

    “ยังไงวันนี้ก็ขอบใจนะ” ก็เรื่องที่อุตส่าห์ตามมาไกล่เกลี่ยให้ เพราะจากที่เห็นหน้าไคไปเมื่อสักครู่นี้ คริสก็พบว่าหมอนั่นยังมองเขาด้วยความรู้สึกขุ่นมัวอย่างมาก ถ้าไม่มีชานยอลมาช่วยพูดสักคน คริสก็ยังไม่แน่ใจว่าไคจะยั้งใจไม่ให้ต่อยเขาอีกสักหมัดสองหมัดได้หรือไม่ และโชคดีที่เป็นการทำผิดครั้งแรกทั้งคู่ก็เลยโดนแค่ตักเตือน และยังมีชานยอลคอยประสาน ไม่พอยังคอยส่งสัญญาณอยู่ตลอดเวลาว่าต่อหน้าคณบดีก็ให้ยอมๆกันไปก่อน

     

    “ไม่เป็นไร...ฉันจะปล่อยปละละเลยนายได้ยังไง นายมันถูกจับให้เป็นบัดดี้ของฉันตั้งแต่มาถึงที่นี่นี่หว่า”

     

    “อืม แต้งค์ว่ะ....ไปล่ะ แล้วเจอกัน” ผละวิ่งห่างออกไปเพื่อไปเอารถของชานยอลที่จอดอยู่หน้าภาควิชาที่พวกเขาเรียนอยู่ซึ่งอยู่ถัดจากโรงอาหารที่คริสกำลังจะก้าวผ่านไป

     

    แม้ว่าเพิ่งจะมีเรื่องกับเพื่อนของจุนมยอนอย่างไคไปสดๆร้อนๆ แต่ทุกวันนี้มันก็ยังคงดำเนินไปอย่างราบรื่น เขาชอบมองจุนมยอนที่บนใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ในยามที่พูดตะกุกตะกักคริสจะนับว่านั่นคือเสน่ห์ และคงไม่มีใครประหม่าได้น่ารักเท่าคนน่ารักที่อยู่ๆเขาก็เผลอใจให้ไปอีกแล้ว

     

    ทว่าก็อดไม่ได้ที่จะกังวล...จุดประสงค์ของเขาในตอนแรกมันเลวร้ายเกินไป ยิ่งเกิดขึ้นกับอีกฝ่ายที่มีใจชอบเขาอยู่แล้ว มันคงไม่ต่างอะไรกับการหลอกลวงนักหรอก จุนมยอนจะโกรธเขามั้ย...หากว่ารู้ความจริง แล้วจะคุยกับเขาต่อไปมั้ย...หากพบว่าอันที่จริงที่เขาจูบเพียงเพราะอยากตัดอีกคนที่เขาไม่เคยต้องการออกไปจากชีวิต หรือถ้าจะสรุปให้รัดกุม ...ให้เข้าใจ กระชับ สั้นๆง่ายๆ จุนมยอนก็คงไม่ต่างอะไรจากเครื่องมือชิ้นเยี่ยมชิ้นหนึ่ง

     

    ให้มองในมุมกลับกัน...คริสตอบได้เต็มปาก...หากให้เขาไปยืนอยู่ในจุดที่จุนมยอนยืนอยู่แล้วรับฟังความจริงทั้งหมด เขายังนึกโกรธเลย...มันไม่ใช่เรื่องที่จะยอมรับกันได้ง่ายๆนักหรอก

     

    แต่เขาก็ภาวนาเอาไว้ให้คำว่า รักที่เขาจะพูดออกไปหลังทุกถ้อยคำที่จะสารภาพช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้น แม้ไม่รู้ว่าจะเป็นไปอย่างที่ตัวเองหวังไว้หรือไม่ แต่หากว่าจุนมยอนเกิดโกรธ...ก็ขอจำกัดโทษไว้เพียงแค่นั้น อย่าได้เกลียดกันเลย

     

     เขาไม่กลัวอะไรเลยนอกจากกลัวว่าอีกฝ่ายจะเกลียดกัน

     

    ไม่นานนักหรอก... อีกไม่นานก็คงถึงเวลาที่เขาพร้อมจะเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้จุนมยอนฟัง...คริสคิดว่าตอนนี้คงยังไม่ถึงเวลา แต่หากจุนมยอนเกิดไปได้ยินจากปากของใครคนอื่น เขาก็พร้อมที่จะอธิบายทุกอย่าง ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นจริงๆเขาก็ยังไม่แน่ใจว่าจุนมยอนจะมองการพูดอธิบายของเขาเป็นการแก้ตัวหรือเปล่า แต่เมื่อวันนั้นมาถึงก็คงจะรู้กัน

     

    แต่ว่าตอนนี้เขากำลังมีความสุขกับภาพความสัมพันธ์ที่ชัดขึ้นระหว่างเขากับจุนมยอน เขายังอยากใช้เวลาอยู่กับมันไปอีกสักพัก ทั้งที่รู้สึกได้ว่ามันอาจจะเป็นได้อีกแค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ เพราะไคคงไม่ยอมให้มันเป็นแบบนี้ไปได้นานนักหรอก เขามีเรื่องกับไคมาก็หลายวันแล้ว คงเป็นไปไม่ได้ที่ไคจะไม่ได้พูดคุยกับจุนมยอนในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเลย และที่จุนมยอนยังไม่รู้ อาจเพราะหมอนั่นคงยังให้เวลาและเปิดโอกาสให้เขาได้สารภาพกับจุนมยอนเอง

     

    ชายหนุ่มสตารท์รถมินิคูเปอร์สีเหลืองของปาร์คชานยอล เพื่อนคนที่ตัวสูงไล่เลี่ยกันกับเขาค่อนข้างมีฐานะเห็นว่าครอบครัวทำธุรกิจหลายอย่าง แต่ถ้ามองกันเผินๆก็ไม่ใครรู้ว่าชานยอลจะมีฐานะร่ำรวยอะไร ด้วยความที่ชอบทำตัวติดดิน ในส่วนรถคันนี้เองคริสก็ไม่เคยเห็นชานยอลเอามาใช้สักครั้ง แต่แค่เขาเอ่ยลอยๆขึ้นมาเกี่ยวกับเรื่องหารถมารับจุนมยอน ชานยอลก็รับปากขึ้นมาจะให้ยืมอย่างไม่มีอิดออดสักนิด

     

    คริสกำลังขับรถจะไปออกตรงทางออกเพื่อเลี้ยวกลับไปรับจุนมยอนที่อยู่อีกตึกหนึ่ง ความจริงเดินไปรับมาที่รถก็ได้ แต่เขาคิดว่าคงจะดีกว่าหากเอารถไปจอดเทียบท่าแล้วรับจุนมยอนคนที่ต้องอาศัยไม้ค้ำในการช่วยเดินให้สามารถขึ้นรถมาได้เลย โดยไม่ต้องเคลื่อนย้ายหรือเดินไปหาเขาในระยะที่ไกลนักเพราะคริสมองเห็นถึงความยากลำบากที่จะเกิดขึ้นกับคนตัวเล็ก

     

    แต่ก็ยังไม่ทันได้หมุนพวงมาลัยกลับไป รถคันแล้วคันเล่าที่ขับผ่านหน้าไปไม่ได้ดึงดูดความสนใจของเขามากนัก จนกระทั่งคันล่าสุด ที่ถ้าถัดจากคันนี้ไปคริสก็สามารถแตะคันเร่งให้รถแล่นออกไปได้ดพราะถนนโล่งแล้ว และหากว่าเขาไม่เห็นว่าคนที่นั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถคันที่เพิ่งจะผ่านหน้ารถเขาไปคือคนที่เขากำลังจะไปรับ

     

    คิมจุนมยอน...

     

    บนใบหน้าคมเข้มปรากฏรอยย่นบนหน้าผากทันที คิ้วหนาเข้มสองข้างขมวดเป็นปมเข้าหากันอย่างห้ามไม่ได้ คริสไม่ได้แค่สงสัยแล้วปล่อยตัวเองนั่งคิดอยู่ตรงนั้น เขาหมุนพวงมาลัยขับตามไป มันจะมีประโยชน์อะไรเล่าหากยังขับไปในเส้นทางที่ตนเองตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่ทีแรก ในเมื่อคนที่เขาต้องการจะไปรับนั่งอยู่ในรถคันที่กำลังขับนำเขาอยู่คันนั้นแล้ว

     

    สิ่งแรกที่ทำหลังจากมองรถคันหน้าไม่วางสายตาคือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วโทรออกไปทันที อู๋อี้ฟานอาจจะพลาดเองที่ไม่ได้โทรไปหาคิมจุนมยอนก่อน คิมจุนมยอนอาจจะโกรธเขาที่ให้รอนานเกือบชั่วโมง แต่คริสก็ยังรู้สึกอยู่ดีว่าการที่อีกฝ่ายออกมากับไอ้หน้าอ่อนคนที่จุนมยอนเล่าให้ฟังว่าเป็นเด็กฝึกงานของพี่ซีวอนนั่นจะเป็นการแก้ปัญหาที่ถูกจุดนัก ก็ถ้าโมโหเขา ไม่พอใจ โกรธกันก็ควรมาเคลียร์กันดีๆไม่ใช่ประชดด้วยการกลับออกไปกับอีกคนแบบนี้

        อิ                                                                                                                   

    และที่ทำให้คริสยิ่งอารมณ์พลุ่งพล่านก็เมื่อโทรไปแล้วจุนมยอนไม่รับ ไม่มีปฏิกิริยาใดๆตอบกลับมาเลยสักอย่าง

     

     

    เขายังไม่เคยค้นพบการใช้อารมณ์ของจุนมยอนในการตัดสินเรื่องราวระหว่างพวกเขาเลยสักครั้ง จึงไม่อยากจะเชื่อว่า จุนมยอนจะทำเพื่อประชจริงๆ แต่เพราะจากการถามตัวเองดูแล้ว เหตุผลอื่นที่ทำให้จุนมยอนกลับไปกับคนอื่นนั้นก็ยังค้นไม่พบ นอกจากจะงอนที่ให้รอนานไปหน่อย

     

    ...แค่เท่านั้น...แต่แค่เท่านี้จุนมยอนที่เขารู้จักก็ไม่น่าทำกันถึงขนาดนี้...รู้บ้างมั้ยว่าคนทางนี้จะประสาทตายอยู่แล้ว

     

    ยิ่งขับรถตามไป คิ้วของคริสก็ยิ่งผูกปมขมวดมุ่น แน่นอนว่าคริสไม่ใช่คนที่นี่ เขาไม่คุ้นเส้นทางมากนัก แต่ก็ไม่ใช่ว่าแถวที่พักของซีวอนที่จุนมยอนบอกเล่าให้ฟังเขาจะไม่เคยผ่านมา แล้วรถคันหน้าที่ขับตามกำลังมุ่งไปคนละเส้นทางที่เขาเข้าใจนั้นหมายความว่าอย่างไรได้บ้าง

     

    ด้านนอกกำลังมืดครึ้มด้วยเมฆฝนที่คุกคามและครอบคลุมไปทั่วบริเวณตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ รถทั้งสองคันจอดสนิทแล้ว โดยที่ไม่มีอะไรที่ผิดสังเกตไปสำหรับรถที่ขับนำมาตลอดทาง คริสจอดรถอยู่ในระยะที่สามารถมองเห็นสองคนที่ยืนอยู่บนสะพานที่พาดผ่านแม่น้ำฮัน และคงไม่มีใครสังเกตเห็น

     

    ฝนเริ่มลงเม็ด หยดลงบนกระจกด้านหน้าเสียงดังเปาะแปะ ทว่ากลับไม่มีปฏิกิริยาขยับตัวจากคนที่ขายังหุ้มด้วยเฝือกแม้อีกคนที่มาด้วยกันนั้นพยายามจะดึงให้คนตัวเล็กกว่ากลับไปขึ้นรถ

     

    คริสแปลกใจที่เห็นว่าจุนมยอนเป็นแบบนั้น เขาได้ยินเสียงฝนที่เทกระหน่ำ และภาพสุดท้ายที่เห็นชัดคือการดึงรั้งกันก่อนที่จุนมยอนจะลงไปกองอยู่กับพื้น เพราะหลังจากนั้นม่านน้ำฝนก็บดบังภาพที่เคยเห็นจนหมดสิ้น และในวินาทีนั้นคริสก็ไม่อาจทนนิ่งเฉยได้อีกต่อไป เขาผลีผลามเปิดประตูรถพร้อมทั้งวิ่งออกไปทันที

     

    “จุนมยอน!” เสียงทุ้มตะโกนแข่งกับสายฝน ยิ่งเข้าไปใกล้เขาก็พบว่าเด็กฝึกงานของพี่ซีวอนกำลังจะรั้งจุนมยอนให้ยืนขึ้น  จนในวินาทีที่เหมือนจะไม่มีทางออกใดแล้ว ฝ่ายนั้นจึงทำคล้ายจะอุ้ม แต่คริสก็ไปถึงตัวฝ่ายนั้นก่อน ในทันทีที่คว้าแขนได้ก็เหวี่ยงร่างนั้นออกไป แล้วเข้าหาจุนมยอน ชายหนุ่มย่อตัวลงไปนั่งข้างๆ จุนมยอนเอาแต่แนบแขนไว้กับใบหูนั่งก้มหน้า ขาข้างหนึ่งเหยียดตรงเพราะถูกดามเอาไว้ด้วยเฝือก ส่วนอีกข้างนั้นก็ขดเข้าหาลำตัว

     

    แม้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่คริสก็ใช้สองแขนรวบกอดอีกฝ่ายเอาไว้ ด้วยร่างที่สั่นเทาของจุนมยอนในวินาทีแรกที่สัมผัสได้นั้นเขาคิดว่ามันคงเกิดจากความหนาวที่ก่อตัวขึ้นจากพายุฝน แต่หลังจากนั้นเพียงเสี้ยวอึดใจ คริสกลับสัมผัสได้ว่าร่างที่เขากำลังกอดและพยายามให้ความอบอุ่นอยู่นั้นกำลังร้องไห้อยู่ต่างหาก

     

    “จุนมยอน...” คริสตบแก้มอีกฝ่ายเบาๆแกมเรียก จุนมยอนเงยหน้าขึ้นมอง สบตากันนิ่งนานท่ามกลางสายฝนที่โหมกระหน่ำ แม้จะใช้น้ำในการตัดสินไม่ได้ว่าคนตัวเล็กร้องไห้หรือไม่...แต่ร่างที่ไหวสะท้านไปด้วยแรงสะอื้นก็ยิ่งบ่งชัด

     

    “เป็นอะไร...ร้องไห้ทำไม”

     

    “ไอ้หมอนั่นมันทำอะไรนายใช่มั้ย!!” จุนมยอนไม่ตอบอะไรนอกจากกำเสื้อที่เปียกชื้นของคนที่กอดตัวเขาไว้ คล้ายจะดึงรั้งคนที่กำลังจะลุกออกไปเอาเรื่องอีกคนที่ยืนมองอยู่ให้ยังอยู่กับเขา เมื่อมั่นใจว่าคริสไม่ได้ลุกจากไปไหนแล้ว อีกมือหนึ่งของจุนมยอนกลับทุบเข้าที่หน้าอกตัวเองซ้ำๆ

     

    มันเจ็บตรงนี้...เจ็บตรงที่หัวใจ...มากมายเหลือเกิน...

     

     

    “ค...คริส...” จุนมยอนไม่เคยรู้สึกว่าการเรียกชื่ออีกฝ่ายจะยากเย็นถึงขนาดนี้ แม้แต่ตอนที่เขาเอาแต่คอยแอบมองอีกฝ่ายข้างเดียวมาตลอดมันยังไม่เทียบเท่ากับตอนนี้เลย

     

    คนตัวเล็กมองสบตาคริส กำลังหาคำตอบและอยากจะฟังจากปากของผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเหลือเกินว่าสิ่งที่เขาเพิ่งได้ยินมาก่อนจะออกมาจากคณะไม่ใช่เรื่องจริง

     

    เรื่องที่ว่าคริสคบกับเขาเพียงเพราะต้องการกันอีกคนที่ตัวเองไม่เคยนึกจะรักให้ห่างจากตัว...โดยที่ใช้เขาเป็นเพียงเครื่องมือและไม่เคยมีความจริงใจให้กันเลย

     

    แม้อยากจะถาม อยากจะฟัง ทว่าจุนมยอนกลับทำได้แค่ใช้กำปั้นทุบเข้าไปที่หน้าอกตัวเอง หลังจากนั้นก็ทำได้แค่ถามตัวเองว่าเจ็บแค่นี้คงจะพอได้แล้วกระมัง...

     

    “เรา...” ยิ่งสบตาคริสก็ยิ่งไม่เข้าใจ แต่ก่อนจะฟังสิ่งที่จะออกมาจากปากของคนตัวเล็กคริสก็อดใช้ไม่ไหวที่จะคว้ามือข้างนั้นไว้ เพราะเขาทนไม่ได้ที่จุนมยอนทุบลงไปที่หน้าอกของตัวเองด้วยแรงที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

     

    หลังจากนั้น...โดยไม่ทันได้ตั้งตัว...

     

    ถ้อยคำนั้นก็หลุดออกมา...

     

    คริสถึงตระหนักได้ในวินาทีนั้นเลยได้ว่า...โลกที่พังทลายลงของคนทั้งคนนั้นเป็นอย่างไร...

     

     

    “เราเลิกกันเถอะ”

     

     

     

    TBC…

     

     

     

     

    ไม่มีอะไรจะพูดค่ะ....นอกจากนอนไม่หลับ

    และไม่ขอเอ่ยคำใดต่อไป...นอกเสียจาก... เค้าขอโทษนะตะเอง...T T

     

    คิดว่าเค้าจะทิ้งมันแล้วล่ะเซ่~~

    อิ้

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×