ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic] First Kris First Kiss (Kris x Suho)

    ลำดับตอนที่ #26 : CHAPTER 24

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 609
      3
      22 ก.ย. 56

    CHAPTER 24

     

     

     

    “ฉันมาลา”                              

     

    ลู่ฮานยืนยิ้มบางอยู่ที่ช่องประตู ตัดสินใจอยู่นานว่าจะมาลาคริสดีหรือไม่ แต่สุดท้ายลู่ฮานก็มา ถึงอย่างนั้นตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าคริสยังจะโกรธเขาอยู่ ฝ่ายคนตัวสูงถึงได้พยายามจะปิดประตูใส่กัน ถึงกระนั้นมือของลู่ฮานก็ไวพอตัวเมื่อดันขืนเอาไว้ได้ทันก่อนที่ประตูจะปิดลง

     

    “ก็แค่มาลาน่ะอู๋ฟาน...” เป็นแววตาเว้าวอนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน คริสเลยยอมมีท่าทีอ่อนลง ปล่อยมือออกจากลูกบิดประตูแล้วยืนเฉยๆ แต่ก็ยังคงไร้ปฏิกิริยาอื่นๆ ลู่ฮานมองเห็นแล้วถึงกับถอนหายใจ ก่อนตัดสินใจจะพูดอะไรต่อออกมา “กลับจีนคราวนี้ก็คงไม่โผล่มาให้นายเห็นหน้าอีกแล้วล่ะ....”

     

    ตวัดตามองลู่ฮาน เพราะด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนจะรู้สึกผิดนั้น....ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกได้ว่าหัวใจนั้นอ่อนลง

     

     

    ใช่ที่ตอนนั้น...เขาทั้งโกรธทั้งโมโห ถึงตอนนี้ก็ยังโกรธอยู่แต่ชั่วขณะนี้ก็ไม่ได้รู้สึกโมโหอย่างนั้นแล้ว และที่ยังมีความรู้สึกเช่นนั้นอยู่ ไม่ใช่เพียงเพราะคนที่ลู่ฮานทำให้เจ็บคือจุนมยอน แต่เป็นเพราะว่าสิ่งที่ลู่ฮานทำมันไม่ถูกต้องอย่างมากที่สุด ในฐานะเพื่อน ด้วยความปรารถนาดี เขาไม่เคยต้องการให้ลู่ฮานตัดสินใจ หลง และทำอะไรผิดๆแบบนั้นเลยจริงๆ และนั่นก็เป็นคงเป็นความรู้สึกผิดหวังที่ยังทำให้เขารู้สึกเสียใจจนถึงวินาทีนี้

     

    “ฉันเสียใจ....ที่ผ่านมาฉันยอมรับว่าฉันคิดไม่ดีกับจุนมยอน และถ้าเป็นไปได้...ฉันก็อยากกำจัดเขา สลัดเขา ดีดเขาไปให้ไกลๆ ให้ได้มากที่สุด เท่าที่จะสามารถทำให้เขาออกห่างจากนายได้” ลู่ฮานก้มหน้าคิดอยู่กับตัวเองพร้อมยิ้มขมขื่น “แต่มันก็ตลกสิ้นดี...เพราะนอกจากไม่สำเร็จแล้ว ยังกลับกลายเป็นฉันเองเสียอีก ที่ต้องเป็นฝ่ายไปให้ไกลออกจากนายเองทั้งที่มันไม่ใช่สิ่งที่ตัวฉันเองปรารถนาเอาไว้แม้สักนิด”

     

    ร่างสูงตรงหน้าไม่มีวี่แววว่าจะพูดอะไรออกมาบ้างเลย ยิ่งเห็น...ลู่ฮานก็ยิ่งรู้สึกใจเสีย แต่ก็ยังมีรอยยิ้มออกมา เพราะสิ่งที่ตั้งใจในตอนนี้นั้นกำลังดำเนินไปได้ด้วยดี วินาทีนี้ไม่มีลู่ฮานที่วู่วาม ผลีผลาม ใจร้อนและดื้อ ยอมรับผิด พูดทุกคำอย่างที่ได้ไตร่ตรองมาแล้วด้วยความอดทน... แม้กระทั่งว่าเรื่องที่คริสกล่าวโทษไว้ตั้งแต่ก่อนหน้านั้นไม่ใช่เรื่องที่ตัวเองก่อก็ตามที 

     

     

    “ต่อไปนี้....ไม่มีฉันมาคอยกวนใจ คงจะรู้สึกดีเลยล่ะสิ.....” ถ้าเป็นปกติ เห็นคนที่กำลังพยายามจะพูดด้วยยังคงนิ่งอยู่อย่างนี้คงได้แปลงร่างเป็นนางมารร้ายไปเรียบร้อยแล้วกระมัง หากแต่วันนี้คงแปลกออกไป “นายไม่อยากจะพูดอะไรกับฉันบ้างเลยเหรอ...?”

     

    “อือ” เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาพยักหน้าตอบรับด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ลู่ฮานก็เลยพยักหน้าเข้าใจในที่สุด

     

    “เข้าใจแล้ว....เข้าใจแล้วคริส” เข้าใจว่ายังโกรธอยู่ และยังไม่ยอมให้อภัย มันผิดตั้งแต่เจตนาแรกเริ่มอยู่แล้ว ต้องยอมรับ ลู่ฮานต้องยอมรับและจะไม่เถียงแม้สักคำ

     

    “ขอโทษจริงๆ ขอโทษกับทุกๆอย่างที่ผ่านมาด้วยความจริงใจ” อยากจะสบตาคริสสักครั้ง ทว่าคนที่อยู่ตรงหน้ากลับไม่ยอมมองมาเลย แล้วอย่างนี้จะเห็นได้อย่างไรว่าเขาจริงใจนะ ลู่ฮานจริงใจ...แม้มันอาจจะขัดกับวิถีที่เคยใช้มาตลอดจนทำให้ยากจะเชื่อก็เถอะ

     

    ร่างบางพรั่งพรูลมหายใจออกมาอีกครั้งคล้ายอ่อนล้า ก้มหน้าลงมองกระเป๋าเดินทางแล้วจับมัน “ลาก่อนคริส” หันหลังกลับ...พร้อมทั้งกำลังจะเดินจากไป

     

     

    “โชคดีนะ”

     

     

    คำเดียวที่ออกมาจากริมฝีปากของชายหนุ่มที่เขามาลาเกือบจะทำให้น้ำตาร่วง ลู่ฮานหลับตาลง ซึบซับคำนั้นอีกทั้งความรู้สึกตื้นตันที่กำลังท่วมท้น ด้วยรู้...ว่าท้ายที่สุดแล้วคริสก็เป็นคนหนึ่งที่มีความหวังดีให้เสมอ แม้ไม่มีคำว่ายกโทษให้ แต่พวกเขาที่รู้จักกันมาเนิ่นนานก็รู้ว่าถ้อยคำทิ้งท้ายนั้นหมายความว่าอย่างไร

     

     

    ไม่เป็นไร...ถึงอย่างไรก็ไม่เป็นไรหรอก...

     

    ไม่ว่าจะยังไง...ก็ยังคงจะ...มีฉัน...มีนาย อยู่เหมือนเดิม

     

     

    ลู่ฮานไม่แม้จะหันหลังกลับไป หลังจากหยุดนิ่งเพราะได้ยินเสียงคริสที่เขาอยากจะได้ยินแล้ว ลู่ฮานก็พร้อมจะเดินต่อไปทันที

     

    แผ่นหลังของคนที่เดินจากไปหายลงไปทางบันได แต่คริสก็ยังคงอยู่ที่เดิม หยุดนิ่ง ไม่กระดุกกระดิกอยู่ที่หน้าประตูห้องตัวเองไปอีกพักใหญ่

     

    มันเป็นความรู้สึกสับสน เพราะหลังจากเก็บมาคิดถึงตอนที่โมโหและต่อว่าลู่ฮานออกไปด้วยอารมณ์อย่างรุนแรงในวันนั้น คริสเองก็รู้สึกเสียใจ ชัดเจนว่าลู่ฮานโต้ตอบเขากลับด้วยถ้อยคำปฏิเสธมิหนำซ้ำยังมีน้ำตา ซึ่งนั่นอาจจะหมายความว่าลู่ฮานไม่ได้เป็นคนทำอย่างนั้นจริงๆ แต่หลังจากวันนั้น จวบจนมาถึงวินาทีนี้ คริสก็ไม่รู้ว่าควรจัดการกับเรื่องนี้ยังไงดี เพราะเขาตัดสินไปแล้ว แม้จะมีบ้างที่รู้สึกขัดแย้งแต่ในเมื่อพูดไปแล้วแบบนั้น ก็เลยไม่รู้ว่าจะทำยังไงเหมือนกัน

     

    อีกอย่างก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องสืบหาความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกแล้ว ป่วยการจะทำ ไม่มีประโยชน์ เรื่องระหว่างเขากับจุนมยอนจบลงแล้ว

     

    คริสพรั่งพรูลมหายใจออกมา ก่อนปลายเท้าขยับไปในทิศทางของห้องที่อยู่ติดกัน หยุดยืนอยู่ตรงหน้าประตูห้องนั้น ดวงตาคู่คมมองสบประตูบานตรงหน้านิ่งนาน แม้จะมีอะไรอยากบอกกับจุนมยอนมากมาย แต่ในวินาทีนี้เขาก็คงไม่มีโอกาสได้ทำมันอีกแล้ว

     

    ก้มใบหน้าลงยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น ชายหนุ่มกำลังหมุนตัวกลับ วินาทีที่เงยหน้าเพื่อจะเดินกลับไปทางห้องตัวเอง คริสก็พบกับร่างเล็กที่เขาโหยหามาตลอดสองสัปดาห์

     

    ...คิมจุนมยอน...

     

     

    สบตากันนิ่งนานท่ามกลางความเงียบงัน ไม่มีใครสักคนคิดที่จะขยับตัว น่าแปลกที่หลังจากนั้น กลับเป็นฝ่ายจุนมยอนที่ขยับตัวพร้อมทั้งเดินเข้ามา เพราะเมื่อเทียบกับก่อนหน้านั้น จุนมยอนคนเก่ามักจะวิ่งหนีเขาให้ไกลห่างเพราะความเขินอายทุกที

     

    ดวงหน้าหวานนั้นยังคงด้วยความน่ารัก เวลาคงช่วยเยียวยาได้ทุกอย่างจริงๆ ขาที่เคยห่อหุ้มไปด้วยเฝือกขาวตอนนี้เองก็ไม่มีให้เห็นอีกแล้ว แล้วไหนจะใบหน้าที่ดูจะสดใสขึ้นจากวันสุดท้ายที่คริสเจอท่ามกลางสายฝนนั่นอีก

     

    หลังจากมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าในระยะที่หากพูดกันด้วยเสียงเบาก็ได้ยิน จุนมยอนก็ส่งยิ้มบางมาให้ ก่อนจะเอ่ยบางคำ “ฉันมาเก็บของ”

     

    “เก็บของ?” ไม่อาจบังคับให้คิ้วไม่ขมวดเข้าหากันได้ สิ่งที่จุนมยอนเพิ่งพูดไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจได้ยากนัก แต่เพราะคริสไม่พยายามเข้าใจเขาถึงได้ถามย้ำ

     

    “เก็บบางส่วนที่พอจะเก็บได้....ส่วนของบางอย่างที่เอาไปไม่ได้วันนี้ พี่ซีวอนจะส่งคนมาขนให้ที่หลัง”

     

    “นายจะย้ายออก?”

     

    “อืม....”

     

    “ทำไมล่ะจุนมยอน?” จุนมยอนนิ่งไปทันทีเมื่อเจอกับคำถามนี้ คำตอบมันมีอยู่นิดเดียวเท่านั้นก็คือ ...ไม่อยู่ที่ไหน ก็แสดงว่าอยู่ที่นั่นไม่ได้

     

    แต่ร่างบางก็ยังจะพยายามยิ้มใส่ตาคริส “ตั้งแต่ไปอยู่กับพี่ซีวอน....ฉันก็ค้นพบว่าการไปกลับระหว่างที่พักของพี่ซีวอนกับมหาลัยความจริงก็ไม่ได้ลำบากสักเท่าไร พี่ซีวอนเองก็อยากให้มันเป็นอย่างนั้นตั้งนานแล้ว พอฉันไปอยู่ที่นั่นตอนรักษาขา เราก็เลยได้คุยเรื่องนี้กันอีกที .....และมันก็คงจะดีกว่าการอยู่คนเดียว...” มันดีกว่ามากๆ เพราะหลังจากวันที่เขาบอกเลิกกับคริสไป เขายอมรับว่าไม่กล้าอยู่คนเดียว ขอแค่มีใครสักคนชวนคุย ให้ช่วงเวลาหนึ่ง อาจเป็นเพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆได้คิดบ้างว่าตัวเองกินข้าวหรือนอนไปมากน้อยแค่ไหน ไม่ใช่ว่าเอาแต่จะคิดถึงแต่เรื่องของคริสอย่างเดียว จุนมยอนยังไม่ไว้ใจตัวเอง กลัวว่าตัวเองจะทำอะไรบ้าๆโดยไม่คำนึงถึงคนที่อยู่เบื้องหลัง กลัวว่าจะทำให้ที่ทั้งรักทั้งห่วงเขาต้องเป็นบ้าไปตามๆกัน ถึงได้คิดว่าควรจะมีใครช่วยเหนี่ยวรั้งการกระทำและความคิดของเขาไว้บ้าง เพียงแค่คนเดียวก็คงพอ

     

    “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว....หลีกทางให้หน่อยนะคริส ฉันจะเข้าไปเก็บของ” เพราะคริสยังคงยืนขวางประตูอยู่จึงทำให้จุนมยอนทำอย่างที่ได้ตั้งใจเอาไว้ไม่ได้

     

    คริสมองตามอีกฝ่ายที่ตอนนี้หลบตาหนีไปแล้วไม่วางตา ขณะที่ขาเขยิบก้าวออกมาจากนั้น ร่างสูงกำลังคิดไปด้วย และรู้สึกได้ว่าจุนมยอนแตกต่างจากตอนที่คบกับเขาโดยสิ้นเชิง เหมือนเป็นคนละคน แม้จะหลีกทางแต่คริสก็ยังไม่ไปไหน ยังยืนอยู่เคียงข้างมองจุนมยอนในขณะที่เปิดประตู ทว่าจุนมยอนก็ยังทำทุกอย่างได้ดี ไม่มีวี่แววแห่งความประหม่า ลนลาน อย่างที่มักจะพบเห็นได้บ่อยๆ

     

    คนตัวเล็กกำลังผลักบานประตูห้องตัวเอง แต่แล้วก็ถูกฉุดเอาไว้ที่แขน จุนมยอนเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าที่อยู่สูงกว่า วินาทีนี้ความเจ็บปวดที่แล่นริ้วเข้ากลางใจตั้งแต่เห็นใบหน้าของคริสก็เริ่มแสดงออกมาทางแววตาพร้อมกับน้ำใสๆที่กำลังเอ่อ

     

    “นายไม่เจ็บเลยเหรอ....” น้ำตาหยดแรกหล่นออกมาจากดวงตาทันทีเมื่อสิ้นคำถามนั้น “ทำไมถึงได้ทำเหมือนกับคนไม่รู้สึกอะไรเลย.... ทำไมถึงได้บอกว่าจะเลิกกัน ....นายเลิกชอบฉันไปแล้วจริงๆเหรอจุนมยอน” จุนมยอนไม่เข้าใจว่าคริสต้องการให้เขาทำอะไร ต้องทรุดตัวลงไปที่พื้นแล้วร้องไห้ คริสถึงจะได้รู้ว่าถึงจะถูกทำให้เจ็บอย่างไรหัวใจของเขาก็ไม่เปลี่ยนแปลง

     

    ที่ทำเป็นสบายดีแค่เพียงเพราะจุนมยอนไม่อยากให้คริสรู้สึกผิดมาก ในเมื่อไม่ได้เป็นอะไร ก็ไม่เห็นมีความจำเป็นอะไรที่จะต้องมาสนใจ ไม่จำเป็นทั้งนั้น

     

    “เพราะฉันคงชอบนายมากมากกว่า ...มันถึงได้เป็นแบบนี้” จุนมยอนยิ้มอีกครั้งแม้น้ำตาจะรินไหล “แม้จะเสียใจอยู่บ้าง แต่พอได้รู้ว่าได้ช่วยนายให้หลุดพ้นจากคนที่นายรู้สึกได้ว่าเขามาเกาะแกะ....แค่เป็นนาย....แค่เป็นนายเท่านั้นน่ะคริส ฉันกลับรู้สึกยินดีมากกว่า”

     

    “จุนมยอน...” ไม่ได้ต่างอะไรจากการที่สังหรณ์ใจเอาไว้สักเท่าไร ข้างในใจรู้สึกได้ถึงความปวดแปลบที่แล่นเข้ามาได้ทันที จุนมยอนรู้แล้ว และเร็วไปกว่าที่เขาตั้งใจจะบอกมันพร้อมด้วยคำสารภาพรัก

     

    คริสไม่รู้ว่าควรจะทำยังไง เพราะเขารู้ว่าจุนมยอนคงจะเจ็บกับเรื่องนี้มาก เป็นความรู้สึกที่ไม่อยากจะแตะต้องอีกฝ่ายเพราะรู้ดีว่ายังไงมันก็ต้องบุบสลายมากกว่าที่เป็นอยู่แน่ๆ

     

    “ลู่ฮานเขาไปแล้วนี่.... ฉันสวนกับเขาข้างล่างเมื่อกี้นี่เอง แล้วอีกอย่างหนึ่งนะ....นายเองก็ไม่ต้องมายุ่งยากลำบากกับฉันอีกแล้วด้วย ต่อไปนี้นายคงจะสบายตัว ....” จุนมยอนยิ้มฝืด หันมองคริสด้วยใบหน้านองน้ำตา “นายจะปล่อยให้ฉันเข้าไปเอาของได้หรือยัง...” ไม่ได้ขืนหรือสะบัดหวังจะให้มือใหญ่ของอีกฝ่ายคลายออก จุนมยอนแค่มองตาและขอให้คริสเข้าใจพร้อมทั้งให้เวลากับเขาหลังจากนี้บ้าง เลิกรั้งเอาไว้ สงสารกันเถอะ

     

    คริสยอมคลายมือออกช้าๆ ทั้งเนื้อทั้งตัวชาจนเหมือนจะไม่สามารถขยับได้อีก ชายหนุ่มยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น แม้แต่รอยยิ้มสุดท้ายที่จุนมยอนทิ้งไว้ให้ก็ยังไม่ได้หันไปมอง แค่จะกลืนน้ำลายยังรู้สึกได้ถึงความยากลำบากเลย

     

    จนวินาทีนี้ จนวินาทีที่ได้ยินเสียงบานประตูตรงหน้านี้ปิดลง จากที่เคยเป็นคนที่สามารถจัดการกับทุกเรื่องที่ผ่านมาในชีวิตได้อย่างดีไม่มีบกพร่อง ก็กลับกลายเป็นคนมีปัญหาและไม่รู้ว่าจะเริ่มจัดการจากตรงไหนก่อนดี

     

     ข้างในนั้น...ข้างในหัวใจนั้นมันกำลังรู้สึกรวดร้าวไปหมด....

     

    ร่างสูงยังคงใช้เวลายืนคิดทบทวนอยู่ตรงนั้นสักพัก ...เขาผิดเอง คริสไม่ควรทำอะไรโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ผลลัพท์มันก็เลยออกมาเป็นอย่างนี้

     

     ผลลัพท์ที่สุดท้ายแล้วทำให้จุนมยอนต้องเจ็บ... คงคล้ายกรรมตามสนองที่เกิดขึ้นได้ทุกที เขาเป็นคนเริ่มต้นความคิดบ้าๆนี่โดยไม่คิด แล้วยังหลงรักอีกฝ่าย แต่ที่น่าสมเพชไปมากกว่านั้น เพราะที่เขาทรมานไม่ใช่แค่เพราะเขากำลังชอบจุนมยอน แต่เป็นเพราะจุนมยอนที่เจ็บที่เลือกชอบคนผิดอย่างเขาต่างหาก

     

    คริสเสียใจจริงๆ

     

    ร่างสูงของคริสไม่สามารถยืนต่อได้ไหวจริงๆ เข่าทั้งข้างอ่อนจนภาพที่เห็นกลายเป็นว่าคริสลงไปนั่งยองๆอยู่ที่พื้น โดยที่ยังคงหันหน้าเข้าหาประตู

     

    “ฉันขอโทษ...” เงยหน้ามองประตู ด้วยแววตาที่เจ็บปวด “ยังฟังอยู่หรือเปล่าจุนมยอน” คริสมองราวกับอยากจะทะลุแผ่นไม้แข็งๆตรงหน้านี่เข้าไปได้

     

    “ตอนที่นายบอกเลิกฉันอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว แค่ตอนนั้นโลกของฉันมันมืดกว่าท้องฟ้าที่ส่งฝนมากระหน่ำลงบนตัวเราวันนั้นอีกนะ..... ”

     

     

    “ยิ่งในตอนนี้.... ที่ได้รู้ว่าอะไรที่ทำให้นายตัดสินใจพูดออกมาแบบนั้น โลกของฉันมันก็ยิ่งมืด ...มันมืด มืดเสียยิ่งกว่าท้องฟ้าในคืนที่ฝนตกเสียอีก” น้ำตาหยดลงมาจากดวงตาจากจากอีกข้างสู่อีกข้างหนึ่ง เขาไม่ได้หวังอะไรจากแก้วที่มันแตก เพราะแม้แต่แค่ร้าว บางคราวเรายังต้องทำลายทิ้ง ไม่ว่าจะร้าวหรือแตกก็ยากที่จะประสานทั้งนั้น แล้วนับประสาอะไร...กับหัวใจที่มันสลายไปแล้ว

     

     

     

    “จุนมยอน....นายอยากจะฟังเรื่องนี้จากฉันบ้างมั้ย......ฉันก็คงจะพูดมันแค่ครั้งเดียว ต่อให้ไม่พูดในวันนี้ ต่อไปในภายภาคหน้าถึงนายจะไม่ให้โอกาสแต่ฉันก็คงจะพยายามหาโอกาสที่จะบอกความจริงทุกเรื่องกับนายอยู่ดี ....”

     

     

    “...เริ่มต้น...ฉันไม่รู้หรอกว่าวันนั้นใครคือคนที่ฉันหันไปคว้าตัวไว้แล้วจูบ แต่พอเห็นหน้านาย....ฉันก็รู้สึกว่านายเองก็เป็นคนหน้าตาน่ารักคนหนึ่งและก็คงไม่เสียหายหากจะควงไปไหนมาไหนบ้าง แต่มันก็ตลกดีนะ....เพราะหลังจากวันนั้นคนที่เสียหายไม่เคยเป็นฉันเลย กลับเป็นนายมากกว่าที่ใครๆต่างๆก็ว่า....บอกตามตรงบ้างครั้งฉันเองก็อยากต่อยปากคนพวกนั้นเหมือนกัน แม้บางทีพวกเขาจะเป็นผู้หญิงก็ตามที” ถึงตรงนี้คริสถึงกับแค่นหัวเราะออกมา “มันก็แค่รู้สึกว่า....พวกเธอน่ะดีกว่าเขาตรงไหนกัน ถึงได้มีสิทธิ์ว่านายอย่างนั้นอย่างนี้ โดยไม่ทันได้คิด....ว่าตอนนั้นคงไม่ใช่แค่รู้สึกถึงความไม่เป็นธรรม.... เพราะอันที่จริงแล้วฉันกำลังรู้สึกอยากปกป้องนายแล้วต่างหาก” นึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้วคริสก็ยิ้ม

     

     

    “ยิ่งเห็น ยิ่งสัมผัส ฉันก็ยิ่งรู้สึกว่านายตลก ....ไม่ใช่มุกแบบที่พวกตลกชอบเล่นแต่เป็นพฤติกรรมที่นายมักจะแสดงออกต่อหน้าฉัน น่าแปลกจะตายที่นายเอาแต่หนีฉัน ทั้งที่ชอบแอบมองฉัน ปิดบังว่าเราอยู่ข้างห้องกันทั้งที่มันอาจจะเป็นโอกาสที่ทำให้เราได้คุยกันมากกว่าคนอื่นๆ เหลือเชื่อจริงๆว่าเมื่อเวลาผ่านไปทุกอย่างที่นายทำกลับกลายเป็นการสารภาพรักโดยที่ไม่ต้องพูดเลย และเพราะฉันรู้จากการกระทำพวกนั้น ฉันถึงสนุกกับการได้แหย่ให้นายเขิน และทุกครั้งมันทำให้ฉันยิ้มได้และมีความสุข”

     

     

     

    “ความรู้สึกดีๆมันค่อยๆก่อตัวขึ้นทีละเล็กละน้อย สั่งสมผ่านระยะเวลาจนฉันมั่นใจว่า.....ในที่สุดฉันก็ชอบนายเข้าให้แล้ว” ศีรษะของคริสอิงเข้ากับบานประตูราวกับต้องการที่ยึดเหนี่ยว น้ำตาร่วงหยดลงบนพื้นหยดแล้วหยดเล่าเพราะความเสียใจ ถึงจุนมยอนจะไม่ได้ยินมันวันนี้ คริสก็จะไม่พูดมันอีกแล้ว ความรู้สึกผิดมันบีบอัดอยู่ข้างในใจจนแทบจะหายใจไม่ออก หากจุนมยอนต้องการให้ปล่อยมือเขาก็จะปล่อย จะไม่ตอแย แต่หากอีกฝ่ายอยากกลับมาเองก็ช่วยไม่ได้ คริสพร้อมที่จะอ้าแขนรับเหมือนกัน

     

     

    “จุนมยอน.....ฉันขอโทษ...”

     

     

     

    “ฉันเสียใจริงๆ” ร่างสูงพยายามจะลุกขึ้นยืน หลังจากยืนได้....ดวงตาคู่คมจ้องนิ่งอยู่ที่ประตูบานนั้น แขนหนึ่งยกขึ้นมานาบไปกับประตูก่อนจะวางศีรษะทาบทับลงไป

     

                                                               

     

     

    “นายจะเชื่อ....คนที่นายรัก....สักครั้งได้มั้ย...?”

     

     

     

     

     

     

     

     

    “ฉันรักนายแล้วนะ”

     

     

     

     

     

    TBC…

     

     

     

    มาร้าววววว แล้วรู้สึกร้าวกันม้อยยยยยยยยย อิอิ

    หลังจากผ่านมาจน 24 ตอน ฮิฮิ้ววววว และแล้วเรากะได้ฟังคำรักจากปากอพค.แล้วเน้อออ ไม่รู้น้องจุนจะทำไงต่อนิ #อันนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ไร้เต้อรู้เหมือนกัน #เอ้าอินี่ --*

     

    ไหนๆก็ 24 ตอนละ ซึ่งไม่กี่ตอนก็คงจะจบละ เราจะขอร้องให้ใส่แฮชแทค เป็น #ฟิคเฟิสคริส (สงสัยจะคิดนานมาก) เอาน่าไม่เม้นก็สครีมให้เราโหน่ยยย เราจะได้มีกำลังจายยย ดูจากทอล์คละ วันนี้ป้าดูจะคึกมากข่าาาา ๕๕๕๕๕๕

     

    เราตื่นเต้ลมากกกกก เพราะเรารู้สึกว่าเรื่องนี้มันจะจบแน่นอนนนนนนนน เกร้ดดดดดดดดดดด

     

    ขอบคุณที่ยังรอคอยกันนะคะ ซาบซึ้งใจวึ้งวั้งฝุดๆ อย่าลืม #ฟิคเฟิสคริส เขียนไม่ต้องตรงตามหลักไวยกรณ์การันต์ไม่ต้อง

     

    ลาล่ะค่ะ -3-

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×