ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic] First Kris First Kiss (Kris x Suho)

    ลำดับตอนที่ #8 : CHAPTER 7

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.04K
      2
      18 ต.ค. 55

    CHAPTER 7

     

     

     

     

    เธอนั้นช่างงดงาม

     

    ตอนนี้ไม่มีอะไรที่จะทำให้ฉันหยุดมองเธอได้

     

    ฉันมองแต่เธอเสมอ อู ...ที่รัก~

     

     

     

     

     

     

     

    จุนมยอนไม่สามารถอ่านหนังสือได้รู้เรื่องอีกต่อไป มือขาวยกขึ้นมาถูไถจมูกตัวบ่อยครั้งโดยที่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันอาจจะเป็นจ้ำแดงไปหมดแล้วก็ได้ สำหรับเขาเวลาช่างผ่านไปช้าเหลือเกินผิดกับจังหวะหัวใจที่กำลังเร่งเครื่องแซงทุกสิ่งทุกอย่าง เวลาดำเนินผ่านไปอย่างเชื่องช้าหนึ่งเพลงที่ดังก้องอยู่ในหูตั้งแต่วินาทีแรกที่ถูกหยิบยื่นมาให้ก็ยังคงดำเนินต่อไปและยังไม่จบ...

     

     

    และ-ขถ้าจะลองทบทวนความหมายในเนื้อเพลงดูดีๆด้วยแล้ว จุนมยอนก็ไม่สามารถควบคุมหรือว่าบังคับไม่ให้ใบหน้าของตัวเองรู้สึกร้อนวูบวาบขึ้นมา

     

     

     

    เขามองหน้าคริสครั้งเดียวเท่านั้นในตอนที่อยากรู้ว่าใครกันที่เป็นคนทำแบบนั้น แต่หลังจากรู้รวมทั้งเผลอไผลเอ่ยชื่อนั้นออกไปจุนมยอนก็เอาแต่ก้มใบหน้าโดยที่ก็ไม่รู้ว่าผู้หญิงพวกนั้นที่เสียดสีเขาด้วยคำพูดที่ฟังแล้วทำร้ายได้เสียสนิทลุกไปจากตรงนี้แล้วหรือยัง

     

     

     

    หรือแม้กระทั่งตัวหนังสือที่ได้แต่เอาดวงตาของตัวเองไปจดจ้องเองก็ตาม จุนมยอนก็ยังมองเห็นมันแบบพร่าเลือน ความสามารถในการมองเห็นของเขาที่เกิดขึ้นชั่วขณะนี้มันเหมือนตอนที่เขาไม่ได้ใส่แว่นสายตาหรือคอนแทคเลนส์ ...ขนาดนั้นเลยจริงๆ

     

     

     

    “โกรธเหรอ?” เสียงทุ้มที่ดังขึ้นใกล้ๆหูทำให้เขาสะดุ้งน้อยๆ จุนมยอนไม่ได้อยากจะเงยหน้าขึ้นไปมองเลย แต่ก็มันก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างหลีกเลี่ยงได้ยาก คนหน้าหวานที่สองข้างแก้มถูกแต้มไปด้วยริ้วสีแดงๆแหงนใบหน้าหาเจ้าของเสียงแบบกล้าๆกลัวๆ คริสนั่งลงมาข้างเขา และมันก็เกิดขึ้นหลังจากที่หูฟังถูกครอบลงมาบนหัวเขาอย่างสมบูรณ์แบบในตอนนั้น

     

     

     

    ไม่แน่ใจว่าได้ยินมันไม่ชัดหรือเขาไม่มีกะจิตกะใจที่จะตั้งใจฟังก็ไม่รู้ จุนมยอนถึงได้มองคริสแบบไม่เข้าใจในสิ่งที่คนตัวสูงพูด

     

     

     

    “นายไม่พอใจในสิ่งที่คนพวกนั้นพูดกันใช่หรือเปล่า?” คริสมองดวงหน้าตรงหน้าที่มองเขาด้วยดวงตากลมแป๋ว ทันใดชายหนุ่มตัวสูงก็รู้สึกเข้าใจอะไรได้เพิ่มขึ้น

     

     

     

    แล้วถึงกับหลุดหัวเราะออกมา ...ท่อนแขนยาวยกขึ้น ปลายนิ้วมือยื่นออกไปจนเกือบจะถึงคนตรงหน้าอยู่แล้ว แต่คริสก็พบว่าคนตัวเล็กตรงหน้าเบี่ยงหนีมือเขาไปข้างหลัง เขาถึงได้ชะงักแต่ก็ไม่ได้รู้สึกลังเลเลยที่จะเอ่ยบางคำออกไป

     

     

     

    “ขอโทษย้ำๆชัดให้อีกฝ่ายเข้าใจ  คราวนี้ก็เลยถือวิสาสะแบบไม่ต้องคิดอะไรอีกต่อไปแล้ว มือของชายหนุ่มจับเข้าที่ที่ครอบหูดันให้เยื้องออกไปด้านหลังเป็นการเปิดใบหูออกไว้ข้างนึง

     

     

    คริสมีความเชื่อว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้ยินในสิ่งที่เขาพูดในตอนแรกแหง ก็ปกติเขาเป็นคนฟังเพลงเสียงดังด้วยอยู่แล้ว คนตัวเล็กที่ฟังมันต่อจากเขาก็คงจะต้องฟังด้วยเสียงที่ดังพอๆกัน ทุกครั้งที่คริสฟังเพลงก็เหมือนเป็นการตัดสิ่งที่อยู่รายรอบกายทิ้งไปทั้งหมด

     

     

     

     

    “กำลังโกรธอยู่ใช่มั้ย?” คราวนี้พอได้ยินชัด จุนมยอนก็ก้มใบหน้าลงไปพร้อมทั้งส่ายศีรษะเร็วรัว

     

     

     

     

    “แน่ใจว่าไม่ได้โกรธกับสิ่งที่ได้ยินนะ” คริสได้รับการยืนยันเช่นเดิม เมื่อพบว่าศีรษะของคนหน้าหวานยังคงส่ายระรัวจนเส้นผมพลิ้วไหว

     

     

     

    “ก็เห็นนายหน้าแดง” จุนมยอนช้อนสายตาขึ้นมองอีกฝ่ายฉับพลันแล้วก็ต้องรีบหลบโดยพลันเช่นกัน คริสที่มองอยู่พอดียิ่งทำให้หัวใจของเขาเต้นโครมคราม จุนมยอนชักจะกลัวอาการต่างๆที่เกิดขึ้นกับตัวเอง เพราะคริสมีอิทธิพลต่อเขามากมาย คืนก่อนก็ทีนึงที่ทำให้ถึงกับนอนไม่หลับ

     

     

     

    แล้วคราวนี้ที่พูดแบบนี้ล่ะ ...คิดบ้างมั้ยว่าจุนมยอนจะเป็นยังไง...?

     

     

     

    อยากจะตะโกนใส่หน้าอีกฝ่ายเสียจริงเชียว ว่าไอ้ที่หน้าแดงนั่นก็เพราะว่าเขินคนตัวโตที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ต่างหากเล่า!

     

     

     

    “เอ่อ...” คนตัวเล็กไม่ได้มีเจตนาจะตอบคำถามหรือมีสิ่งที่จะพูดด้วยหรอกนะ สิ่งที่พยายามคิดอยู่ในสมองแต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีทางคิดออกเลยเห็นจะมีเพียงเรื่องเดียวคือเขาจะสามารถหลีกเลี่ยงจากสถานการณ์สุ่มเสี่ยงต่อชีวิตของเขาแบบนี้ได้อย่างไร...

     

     

     

    จุนมยอนคนที่เชี่ยวชาญเป็นอย่างยิ่งกับการที่จะหลบหลีกคนที่เขาชอบ พอถึงคราวที่ต้องเผชิญหน้าจริงๆสมองดันด้านตายคิดอะไรไม่ออกเลย วินาทีนี้เขาจึงได้แต่ร้องขอให้เบื้องบนสาปให้เขาเป็นหินไปเสียยังจะเป็นการดีเสียกว่า จะได้ไม่ต้องมีความรู้สึกหรือรับรู้อะไรเพิ่มขึ้นไปกว่านี้อีก

     

     

     

    มือเล็กคู่นั้นที่สั่นเล็กๆถูกใช้ยกขึ้นมาจับที่ครอบหูทั้งสองข้าง จุนมยอนจับมันถอดออกไปจากศีรษะด้วยท่าทีเงอะงะ เหลือบดวงตาขึ้นมองคนตัวสูงเพียงวาบเดียวราวกับจะถามว่าต้องให้เขาวางมันไว้ที่ไหนกระนั้นก็ยังไม่ได้สื่อสารอะไรออกไป จุนมยอนก็ดันสรุปทุกอย่างเสร็จสรรพเสียเอง โดยการรีบหลุบดวงตาลงต่ำอีกครั้ง เขาไม่สามารถสู้ดวงตาของคริสที่มองทุกท่วงท่าและอิริยาบถของเขาในลักษณะจับจ้องไม่วางสายตาได้ไหวจริงๆ

     

     

     

     

    มือขาววางเฮดโฟนลงบนโต๊ะด้วยลักษณะท่าทางอันเลิกลั่กของตัวเอง รวบข้าวของบนโต๊ะพยายามที่จะใส่ใจอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆกันให้น้อยที่สุด แต่ถึงอย่างไรก็เถอะ...หัวใจของเขามันดันบอกได้อยู่ดีว่า ...ที่ผ่านมาเขาสนใจในตัวคริสมากมายแค่ไหน

     

     

     

     

    เห็นจะเป็นเรื่องเดียวที่จริงมาก ...และมันไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถปฏิเสธได้เลย

     

     

     

     

    คริสจ้องมองทุกการกระทำของคนตัวเล็กโดยที่ก็ไม่ว่าอะไรออกไป จุนมยอนที่เพิ่งก้าวขาให้ตัวเองพ้นจากเก้าอี้ตัวยาวตัวเดียวกันกับที่เขานั่งอยู่และเพิ่งจะเดินห่างออกไปจากโต๊ะนี่เพียงแค่สองก้าวเท่านั้น คนที่เขาเรียกว่าตัวเล็กก็ดันทำสมุดกับปากกาบางแท่งร่วงพื้นลงไปอีก

     

     

     

     

    จังหวะที่ฝ่ายนั้นก้มลงเก็บของบางสิ่งที่ลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่ที่พื้น คริสก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ มุมปากของเขากระตุกยิ้มออกไปอย่างไม่รู้ตัว คริสไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเกิดขึ้นจากความรู้สึกไหนแต่ที่แน่ๆมันคือความรู้สึกที่ดีแน่ๆนะ  ชายหนุ่มสาวเท้าเข้าไปใกล้อีกฝ่ายและในตอนที่ถึงตัวก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่จุนมยอนยืดตัวเองขึ้นมายืนตรงพอดี

     

     

     

     

    “ตัวเล็ก” เอ่ยเรียกพร้อมทั้งแตะมือเข้าที่ข้อศอก จึงไม่แปลกเลยที่ได้อาการสะดุ้งเล็กๆจากอีกฝ่ายคืนมา “อ่อ ...ลืมไปว่าชื่อจุนมยอน” คำพูดพวกนี้ถูกเปล่งออกไปแบบกลั้วหัวเราะ

     

     

     

    และมันก็ทำให้จุนมยอนรู้สึกอายได้อย่างบอกไม่ถูก ความรู้สึกของเขามันเหมือนถูกเยอะเย้ย ในตอนที่นึกถึงว่าทำไมคริสถึงได้พูดออกมาในลักษณะนั้น มันมีเพียงสถานการณ์เดียวที่ช่วยยืนยันเรื่องนี้ได้อย่างดี ถึงการที่อีกฝ่ายเรียกชื่อเขาอย่างถูกต้อง

     

     

     

    คริสไม่เคยรู้จักเขามาก่อนพวกเขาไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกัน  อีกอย่างถ้าคริสรู้จักชื่อเขามาก่อนหน้านั้นก็คงไม่ยกคำว่าตัวเล็กขึ้นมาใช้หรอก การที่จู่ๆตอนนี้ก็สามารถเปล่งเสียงเรียกชื่อของเขาได้นั้น จุนมยอนรู้ดีว่ามันเป็นเพราะข้อความสุดท้ายในคืนนั้นที่เขาตอบกลับฝ่ายตรงข้ามไป

     

     

     

    จุนมยอนได้ทำอะไรไปบ้างแล้ว ...นี่ถ้าย้อนเวลากลับไปได้เขาจะไม่ตอบโต้อะไรกลับไปจริงๆ ถ้าผลลัพธ์มันจะย้อนกลับมาทำให้เขารู้สึกสะท้านรวมทั้งรู้สึกเขินอายจนทำอะไรไม่ถูกได้มากมายถึงขนาดนี้

     

     

     

    “ม่ะ ...มีอะไร?” คำแรกที่พูดหลังจากที่ทำตัวเหมือนคนใบ้มานาน ถึงจะกล้าเปล่งเสียงออกไปแต่ยังไงคนตัวบางก็ไม่กล้าที่จะสบตาอยู่ดี

     

     

     

    สองตาก้มลงมองแต่พื้น รอบกายปรากฏความเคลื่อนไหวจางๆ จุนมยอนยืนนิ่งใจก็ลุ้นระทึกไปด้วยว่าจะเกิดอะไรขึ้น ชั่วขณะสายลมที่พัดผ่านบาดแก้มไปก็ทำให้เขายืนนิ่งงันสองตากะพริบปริบไปโดยอัตโนมัติ เบื้องหน้าคือคนตัวสูงที่ย่อตัวลงไปต่อหน้าด้วยท่าทางที่ตอนนี้ไม่ได้แตกต่างจากการนั่งคุกเข่าเลย

     

     

     

    “ค...คริส” คนหน้าหวานถึงกับหลุดปรามด้วยชื่อกับพฤติกรรมนั้น

     

     

     

    จุนมยอนมองไปรอบกายด้วยใบหน้าถอดสี ผู้หญิงกลุ่มนั้นที่ว่าเขาด้วยถ้อยคำเสียๆหายๆยังไม่ไปไกลจาระแวกนี้เสียเท่าไรและในตอนนั้นเองพวกเธอก็กำลังมองมา

     

     

     

    จุนมยอนไม่กล้าสบตาคนพวกนั้น ก็ในเมื่อยิ่งมองดูแล้วมันจะบั่นทอนความรู้สึกของเขาให้ย่ำแย่เข้าไปใหญ่เขาจะไปมองให้สูญเสียความรู้สึกทำไม ดวงตาทั้งคู่จึงรีบย้ายกลับมายังคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นเบื้องหน้า แล้วจุนมยอนก็ยิ่งต้องเบิกตาโตขึ้นไปอีก

     

     

     

    คริสยื่นมือออกมารวมทั้งทำท่าว่าจะคว้าเข้าที่เท้าของเขา ปฏิกิริยาพวกนั้นของคริสทำให้เท้าข้างนึงของจุนมยอนลากไปข้างหลังโดยอัตโนมัติและคนตัวเล็กก็เพิ่งสังเกตได้เดี๋ยวนั้นเองว่ารองเท้าผ้าใบที่ปกคลุมเท้าข้างนั้นของเขาเชือกรองเท้ามันหลุด

     

     

     

    “นี่ ...ม...ไม่ต้อง” เสียงเล็กๆเอ่ยแผ่ว แต่ก็ไม่ทันมือของคริสที่ยื่นมาจับข้อเท้าข้างนั้นที่เชือกรองเท้าห้อยยาวลากขนาบไปกับพื้นเสียแล้ว

     

     

     

    จุนมยอนดื้อและดึงดันอยู่เล็กๆ ร่างบางออกแรงรั้นเท้าไปข้างหลังอีก แต่ก็รู้สึกเหมือนถูกคาดโทษในตอนที่คนที่อยู่ข้างล่างเงยใบหน้ามองมาด้วยคมคิ้วที่ขมวดเล็กๆ และมันก็มีอำนาจมากพอถึงกับทำให้จุนมยอนไม่กล้าขัดคำสั่งอีกต่อไป

     

     

    ทำไมล่ะ ...แล้วทำไมจุนมยอนต้องยืนเฉยๆด้วย นั่นคือคำถามที่เกิดขึ้นในใจ ทว่าถามไปแล้วก็นึกไม่ออกว่าคนอย่างเขานี่จะสามารถทำอะไรได้มากกว่านี้อีกด้วยหรือยังไงกัน

     

     

     

     

    “ถ้าสะดุดล้มขึ้นมาแล้วจะเป็นทำยังไง” เสียงพูดถูกเปล่งออกมาในขณะที่ชายหนุ่มก้มหน้า เพราะตัวคริสนั้นกำลังกำลังขะมักเขม้นอยู่กับการผูกเชือกรองเท้าให้กับจุนมยอนใหม่ทั้งหมด

     

     

     

    เรื่องของฉัน!

     

     

     

    จุนมยอนเริ่มเถียงในใจ... ให้เขาล้มตายไปเลยยังจะดีเสียกว่าการให้คริสมาผูกเชือกรองเท้าให้แบบนี้เลย

     

     

     

     

    แต่แล้วในขณะที่ต่อล้อต่อเถียงในใจ จุนมยอนก็ดันเผลอยิ้มออกมาทั้งๆที่สองตาเห็นเพียงแค่กลุ่มผมสีเหลืองทองของอีกฝ่ายเท่านั้น

     

     

     

     

    เขาไม่เคยจินตนาการถึงมันเลย

     

     

     

    เกิดถ้าวันนึงวันใดคริสมาใส่ใจดูแลเขาจริงๆเหมือนอย่างที่เกิดขึ้นจริงๆตอนนี้ มันจะเป็นยังไง... แต่ถึงตอนนี้จุนมยอนรู้แล้ว... ว่าตัวของเขาจะเบาเท่าปุยนุ่นและมันก็จะสามารถปลิดปลิวลอยละล่องขึ้นไปที่ที่อยู่สูงกว่าได้ตลอดเวลา

     

     

     

    หัวใจของเขาโบยบินไปไกลขนาดไหนแล้วก็ไม่รู้ บนใบหน้านั้นมีรอยยิ้มค้างอยู่ซึ่งนานมากเท่าไรก็ไม่อาจประเมินได้ มารู้ตัวอีกทีก็ในตอนที่คริสพูดบางคำออกมา ตอนนั้นจุนมยอนถึงได้รู้ว่าคริสลุกขึ้นยืนขึ้นมาแล้วเพราะเขาต้องช้อนดวงตาหาใบหน้าที่อยู่สูงกว่า

     

     

     

    “เสร็จแล้ว” เขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าคริสจัดการวุ่นวายกับเชือกรองเท้าของเขาเสร็จเมื่อไร “ยิ้มอะไรหืม?” จุนมยอนอยากสวนกลับไปเสียจริงเลยว่า ...ตัวเองนั่นแหละยิ้มอะไร

     

     

     

    “เอ่อ... ป...เปล่า”

     

     

     

    “เหรอ?” ฝ่ายคริสยิ้มอย่างมีเลศนัยอีกครั้ง และมันก็ทำให้จุนมยอนอยากระเบิดตัวเองให้กลายเป็นจุลให้ได้เลยเสียจริงๆ

     

     

     

    ก็ใช่น่ะสิ!

     

     

     

    อยากตะโกนใส่หน้าจริงๆเลยวุ้ย คนบ้า!

     

     

     

    “อือ” จุนมยอนตอบรับพลางหลบตา หลังจากกระชับสิ่งของในอ้อมแขนเข้ากับหน้าอกให้แน่นขึ้นเสร็จ คนตัวบางก็เตรียมตัวออกเดินทันที

     

     

     

    แต่ก็ทำไม่ได้ดังใจอีก เมื่อคริสจับท่อนแขนของเขาเอาไว้ จุนมยอนจะบ้าตาย เขาไม่อยากจะหันไปแล้วโดนทำร้ายด้วยความหมดจดบนใบหน้านั้นอีกแล้วจริงๆ

     

     

     

    คริสไม่ได้พูดอะไรแต่กลับดึงของในมือของเขาที่มันสมควรจะอยู่ในกระเป๋าหลังจากที่ลุกขึ้นมาจากโต๊ะ แต่ก็เพราะว่าลนลานมากเกินไปอีกนั่นแหละจุนมยอนถึงได้รวบมันมาถือไว้ในเสียแทบจะทั้งหมด ไม่ว่าจะหนังสือเอย สมุดโน้ตเอย ปากกาเอย ไม่เว้นแม้กระทั่งยางลบเองก็ตามที

     

     

    “ช่วย”

     

     

    “ม...ไม่” จุนมยอนจะบอกว่าไม่ต้องแต่ก็ไม่ทันแล้ว คริสยื้อของจำพวกสมุดรวมทั้งหนังสือไปแต่ไอ้เจ้าสิ่งของจำพวกปากกาดินสอสีแท่งเล็กๆดันหล่นกระจัดกระจายลงไปนอนระเนระนาดอยู่ที่พื้น

     

     

     

    จุนมยอนมองแต่ของพวกนั้นคนตัวเล็กย่อตัวลงเก็บและในขณะเดียวกันคริสก็ย่อตัวลงมาเหมือนกัน พวกเขาทำเหมือนกันราวกับส่องกระจก และในตอนนั้นเองที่ต่างคนต่างสนใจจะช่วยกันเก็บของศีรษะก็ดันชนกันเข้าเกิดเสียงขึ้นดังสนั่น

     

     

     

    “โอ๊ะ” จุนมยอนยกมือขึ้นมากุมหัวอัตโนมัติ เสียงร้องของเขาเรียกรอยยิ้มบางๆจากคริส ตาสบตาในระยะประชิดมากกว่าที่เคยทำให้จุนมยอนยากที่จะมีลมหายใจได้ตามปกติ

     

     

     

    เขากลัวว่าคริสจะได้ยินเสียงหัวใจของตัวเอง เพราะตั้งแต่เจอคริสมันไม่เคยเต้นในจังหวะเดิมๆ กลายเป็นมีความต้องการและเรียกร้องหาแต่คริสเท่านั้น

     

     

     

    จุนมยอนรีบลุกขึ้นยืน คนตัวบางเดินหนีออกไปทันที เขาไม่สนของที่แอ้งแม้งอยู่ที่พื้นนั่นอีกต่อไปแล้ว จุนมยอนไม่เอาแล้ว

     

     

     

    “จุนมยอน”

     

     

     

    ไม่เอา...

     

     

    ไม่หันนะ ...

     

     

     

     

    “จุนมยอนนา”

     

     

     

     

    ฮื้ออออ ได้โปรดอย่ามาเรียกแบบนี้

     

     

     

    สุดท้ายแล้วใจก็อ่อนจนได้ จุนมยอนหมุนตัวกลับมา เม้มริมฝีปากจ้องมองคริสด้วยสายตาที่ปรากฏแต่แวววูบไหว

     

     

     

    “กลับด้วยกันนะ”

     

     

     

    สิ้นคำนั้นจุนมยอนก็ตาโตทันที บ้าเหรอ...ขืนกลับไปพร้อมกัน ถ้าให้คริสไปส่งความลับก็แตกหมดเลยล่ะสิว่าพวกเขาเป็นเพื่อนข้างห้องกันน่ะ

     

     

     

    “ไม่...”

     

     

     

    “ทำไมล่ะ?”

     

     

     

    ก็มันไม่เห็นจำเป็นว่าจะต้องมีเหตุผลเลยนี่นา

     

     

     

    “กลับคนเดียวได้ ปกติก็กลับคนเดียวอยู่แล้ว”

     

     

     

    คริสฟังคำพูดพวกนั้นแล้วถึงกับยิ้มออกมา “ก็รู้” มันออกจะสั่นๆหน่อยเพราะคนพูดหัวเราะออกมาแทบจะพร้อมกัน และมันก็ทำให้จุนมยอนหน้าแดงเอาอีกแล้ว ไม่รู้ว่าโกรธเพราะคนตัวสูงทำท่าทีเหมือนหัวเราะเยาะหรือเขินกันแน่แล้วตอนนี้

     

     

     

     

    รู้แล้วยังไง...

     

     

     

    จุนมยอนชักจะรู้สึกอยากชักสีหน้าขึ้นมาหน่อยๆแล้ว ก็อยู่ๆมันก็รู้สึกเหมือนถูกกวนประสาทยังไงก็ไม่รู้

     

     

     

     

    “แต่ต่อไปนี้ไม่ได้แล้วนะตัวเล็ก”

     

     

     

    “....”

     

     

     

     

     

     

    “นายต้องไปกับฉัน เพราะว่าเราเป็นแฟนกัน”

     

     

     

     

    ในตอนนั้นงจุนมยอนได้ยินแต่เพลงเดิมๆนั้นดังวนอยู่ในหูซ้ำๆ...

     

     

     

     

     

     

     

    ฉันไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงเปลี่ยนไป

     

     

    ฉันคิดถึงแต่สิ่งดีๆมาตลอด หลังจากที่เราได้พบกัน

     

    ดูเหมือนสิ่งต่างๆกำลังเปลี่ยนไปมากมายโดยที่ฉันไม่รู้ตัว ได้โปรดหยุดมันเถอะ

     

     

    เธอได้ยินเพลงนี้มั้ย...

     

     

     

    ฉันขอบคุณเธอมากจริงๆ โอ ...ที่รัก~

     

     

     

     

     

     

     

     

    TBC…

     

     

    --------------------------

     

    มาต่อแล้ว~ แต่ก็รู้สึกว่ามันสั้นๆอีกง่ะ

    นานด้วยตอนนี้ เกินอาทิตย์อีกแน่ะ แงงงง

    ลีดไลน์เราออกมาแต่ก็มาแค่เนี้ย

    กรี๊ดดดด รีดเดอร์อย่าสาปเค้านะ เค้ากำลังพยายามบิ้วต์ให้สองคนนี้มีเหตุการณ์น่ารักๆมาฝากอยู่

     

    ขอบคุณที่ติดตามกันนะคะ #กอดเรียงตัวเลย

     

    #เพลงนั้นคือ Baby Baby - 4men ค่ะเพลงโปรดจุนมยอนเขาล่ะ (ฟังคลอไปด้วยก็ได้ค่ะ)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×