สภาพภูมิอากาศ
ทำเลที่ตั้งของประเทศไทยได้รับอิทธิพลหลักจากลมมรสุม อันเป็นลมประจำปีซึ่งพัดสลับทิศทางกัน 2 ครั้ง ในรอบ 1 ปี ลมมรสุมนี้เอง ที่เป็นตัวการส่งผลต่อฤดูกาล ความชื้น ปริมาณฝน และความผันแปรต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละปี
การเกิดลมมรสุม มาจากหลายปัจจัย ทั้งการหมุนของโลก ความกดอากาศที่แตกต่างกันของพื้นทวีปและมหาสมุทร และฤดูกาล ลมมรสุมไม่เพียงกำหนดสภาพอากาศของประเทศไทยเท่านั้น แต่ครอบคลุมเกือบทั่วทั้งภูมิภาคเอเชีย ตอนเหนือของออสเตรเลีย และบางส่วนของทวีปแอฟริกา โดยเฉพาะในอินเดียและเอเชียตะวันออก ที่จะปรากฏอิทธิพลของลมมรสุมอย่างชัดเจน
ลมมรสุมประจำปี
1.) ลมมรสุมตะวันตกฉียงใต้ มีทิศทางพัดจากมหาสมุทรอินเดียไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ เข้าสู่พื้นทวีปในราวเดือน พฤษภาคม – ตุลาคม ลมนี้พัดพาอากาศอุ่นชื้นจากทะเลขึ้นมา ส่งผลให้เกิดฝนตกในช่วงบ่าย – ค่ำ อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งถือเป็นลักษณะเฉพาะของฝนมรสุม
2.) ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ มีทิศทางพัดจากตอนเหนือของเอเชียไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ หรือทิศใต้ ออกไปยังมหาสมุทรอินเดียในช่วงเดือนพฤศจิกายน – กุมภาพันธ์ ลมนี้พัดพาอากาศเย็นและแห้งจากจีนและมองโกเลียลงมา ส่งผลให้เกิดอากาศเย็นและแห้ง
สำหรับ ในฤดูร้อน เป็นช่วงเวลาที่อิทธิพลของลมมรสุมในประเทศไทยอ่อนกำลังลงมาก จึงทำให้อากาศร้อนโดยทั่วไป และอาจมีลมใต้หรือลมตะวันออก ที่เรียกว่าลมตะเภาพัดพาความชื้นเข้ามาทำให้เกิดฝนตกบ้างเป็นครั้งคราว
สถิติอุณหภูมิ
อุณหภูมิสูงสุดของกรุงเทพมหานครที่เคยบันทึกได้คือ 40.8 องศาเซลเซียส ที่ท่าอากาศยานดอนเมือง เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2526 ส่วนอุณหภูมิต่ำสุดที่เคยวัดได้คือ 9.9 องศาเซลเซียส ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เมื่อวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2498
ตารางแสดงอุณหภูมิสูงสุดและต่ำสุดเฉลี่ยรายเดือน และปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยรายเดือน
ในช่วงปีต่างๆ ของกรุงเทพมหานคร
จากตารางด้านล่าง จะพบว่า อากาศของกรุงเทพมหานครมีความเปลี่ยนไปจากอดีตมาก
ไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิที่สูงขึ้นอย่างชัดเจน โดยในช่วงหน้าร้อน มีวันที่อยู่ในเกณฑ์อากาศร้อนจัดเพิ่มมากขึ้น ช่วงฤดูร้อนก็ยาวนานขึ้น หรือในหน้าหนาว ก็มีอุณหภูมิสูงจนสังเกตได้
นอกจากนี้การกระจายตัวของฝนก็มีแนวโน้มตกนอกฤดูกาลมากขึ้น และสามารถพยากรณ์ได้ยากขึ้น ลักษณะต่างๆ เหล่านี้แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ โดยอุณหภูมิเฉลี่ยของกรุงเทพมหานครได้เพิ่มสูงขึ้นประมาณ 2 องศาเซลเซียส ในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา และยังคงมีแนวโน้มสูงขึ้นไปอีกในอนาคตอ
เราทุกคนอาจมีส่วนช่วยไม่ให้ภาวะโลกร้อนนี้เลวร้ายลงไปอีก ด้วยการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น ลดการใช้ถุงพลาสติก การใช้เครื่องปรับอากาศอย่างพอดี และโดยสารรถสาธารณะหรือใช้จักรยานแทนการใช้รถส่วนตัว อย่าลืมว่าทุกคนสามารถเปลี่ยนแปลงโลกนี้ให้น่าอยู่ดังเดิมได้
อุณหภูมิสูงสุดและต่ำสุดเฉลี่ยรายเดือน คาบ 30 ปี พ.ศ.2504 - 2533
อุณหภูมิสูงสุดและต่ำสุดเฉลี่ยรายเดือน คาบ 30 ปี พ.ศ.2524 - 2553
อุณหภูมิสูงสุดและต่ำสุดเฉลี่ยรายเดือนประจำปี พ.ศ.2552
พ.ศ.2552
อุณหภูมิสูงสุด 39.4 องศาเซลเซียส (24 เมษายน)
อุณหภูมิต่ำสุด 15.5 องศาเซลเซียส (12 มกราคม)
จำนวนวันที่มีอากาศร้อนจัด (อุณหภูมิ 40.0 องศาเซลเซียสขึ้นไป) 0 วัน
จำนวนวันที่มีอากาศร้อน (อุณหภูมิ 35.0 - 39.9 องศาเซลเซียส) 98 วัน
จำนวนวันที่มีอากาศเย็น (อุณหภูมิ 16.0 - 22.9 องศาเซลเซียส) 49 วัน
จำนวนวันที่มีอากาศหนาว (อุณหภูมิ 8.0 - 15.9 องศาเซลเซียส) 2 วัน
อุณหภูมิสูงสุดและต่ำสุดเฉลี่ยรายเดือนประจำปี พ.ศ.2553
พ.ศ.2553
อุณหภูมิสูงสุด 39.7 องศาเซลเซียส (10 พฤษภาคม)
อุณหภูมิต่ำสุด 19.8 องศาเซลเซียส (18 ธันวาคม)
จำนวนวันที่มีอากาศร้อนจัด (อุณหภูมิ 40.0 องศาเซลเซียสขึ้นไป) 0 วัน
จำนวนวันที่มีอากาศร้อน (อุณหภูมิ 35.0 - 39.9 องศาเซลเซียส) 128 วัน
จำนวนวันที่มีอากาศเย็น (อุณหภูมิ 16.0 - 22.9 องศาเซลเซียส) 21 วัน
จำนวนวันที่มีอากาศหนาว (อุณหภูมิ 8.0 - 15.9 องศาเซลเซียส) 0 วัน
อุณหภูมิสูงสุดและต่ำสุดเฉลี่ยรายเดือนประจำปี พ.ศ.2554
พ.ศ.2554
อุณหภูมิสูงสุด 39.2 องศาเซลเซียส (17 พฤษภาคม)
อุณหภูมิต่ำสุด 17.6 องศาเซลเซียส (17 และ 18 มีนาคม)
จำนวนวันที่มีอากาศร้อนจัด (อุณหภูมิ 40.0 องศาขึ้นไป) 0 วัน
จำนวนวันที่มีอากาศร้อน (อุณหภูมิ 35.0 - 39.9 องศาเซลเซียส) 53 วัน
จำนวนวันที่มีอากาศเย็น (อุณหภูมิ 16.0 - 22.9 องศาเซลเซียส) 45 วัน
จำนวนวันที่มีอากาศหนาว (อุณหภูมิ 8.0 - 15.9 องศาเซลเซียส) 0 วัน
อุณหภูมิสูงสุดและต่ำสุดเฉลี่ยรายเดือนประจำปี พ.ศ.2555
พ.ศ.2555
อุณหภูมิสูงสุด 40.0 องศาเซลเซียส (30 เมษายน)
อุณหภูมิต่ำสุด 21.8 องศาเซลเซียส (9 มกราคม และ 25 ธันวาคม)
จำนวนวันที่มีอากาศร้อนจัด (อุณหภูมิ 40.0 องศาเซลเซียสขึ้นไป) 1 วัน
จำนวนวันที่มีอากาศร้อน (อุณหภูมิ 35.0 - 39.9 องศาเซลเซียส) 114 วัน
จำนวนวันที่มีอากาศเย็น (อุณหภูมิ 16.0 - 22.9 องศาเซลเซียส) 5 วัน
จำนวนวันที่มีอากาศหนาว (อุณหภูมิ 8.0 - 15.9 องศาเซลเซียส) 0 วัน
อุณหภูมิสูงสุดและต่ำสุดเฉลี่ยรายเดือนประจำปี พ.ศ.2556
พ.ศ.2556
อุณหภูมิสูงสุด 40.1 องศาเซลเซียส (26 มีนาคม)
อุณหภูมิต่ำสุด 17.8 องศาเซลเซียส (29 ธันวาคม)
จำนวนวันที่มีอากาศร้อนจัด (อุณหภูมิ 40.0 องศาเซลเซียสขึ้นไป) 1 วัน
จำนวนวันที่มีอากาศร้อน (อุณหภูมิ 35.0 - 39.9 องศาเซลเซียส) 117 วัน
จำนวนวันที่มีอากาศเย็น (อุณหภูมิ 16.0 - 22.9 องศาเซลเซียส) 34 วัน
จำนวนวันที่มีอากาศหนาว (อุณหภูมิ 8.0 - 15.9 องศาเซลเซียส) 0 วัน
อุณหภูมิสูงสุดและต่ำสุดเฉลี่ยรายเดือนประจำปี พ.ศ.2557
พ.ศ.2557
อุณหภูมิสูงสุด 39.1 องศาเซลเซียส (16 พฤษภาคม)
อุณหภูมิต่ำสุด 16.6 องศาเซลเซียส (24 มกราคม)
จำนวนวันที่มีอากาศร้อนจัด (อุณหภูมิ 40.0 องศาเซลเซียสขึ้นไป) 0 วัน
จำนวนวันที่มีอากาศร้อน (อุณหภูมิ 35.0 - 39.9 องศาเซลเซียส) 128 วัน
จำนวนวันที่มีอากาศเย็น (อุณหภูมิ 16.0 - 22.9 องศาเซลเซียส) 37 วัน
จำนวนวันที่มีอากาศหนาว (อุณหภูมิ 8.0 - 15.9 องศาเซลเซียส) 0 วัน
อุณหภูมิสูงสุดและต่ำสุดเฉลี่ยรายเดือนประจำปี พ.ศ.2558
พ.ศ.2558
อุณหภูมิสูงสุด 39.8 องศาเซลเซียส (21 เมษายน)
อุณหภูมิต่ำสุด 19.2 องศาเซลเซียส (16 มกราคม)
จำนวนวันที่มีอากาศร้อนจัด (อุณหภูมิ 40.0 องศาเซลเซียสขึ้นไป) 0 วัน
จำนวนวันที่มีอากาศร้อน (อุณหภูมิ 35.0 - 39.9 องศาเซลเซียส) 146 วัน
จำนวนวันที่มีอากาศเย็น (อุณหภูมิ 16.0 - 22.9 องศาเซลเซียส) 27 วัน
จำนวนวันที่มีอากาศหนาว (อุณหภูมิ 8.0 - 15.9 องศาเซลเซียส) 0 วัน
อุณหภูมิสูงสุดและต่ำสุดเฉลี่ยรายเดือนประจำปี พ.ศ.2559
พ.ศ.2559
อุณหภูมิสูงสุด 39.9 องศาเซลเซียส (23 เมษายน)
อุณหภูมิต่ำสุด 14.8 องศาเซลเซียส (26 มกราคม)
จำนวนวันที่มีอากาศร้อนจัด (อุณหภูมิ 40.0 องศาเซลเซียสขึ้นไป) 0 วัน
จำนวนวันที่มีอากาศร้อน (อุณหภูมิ 35.0 - 39.9 องศาเซลเซียสเซลเซียส) 107 วัน
จำนวนวันที่มีอากาศเย็น (อุณหภูมิ 16.0 - 22.9 องศาเซลเซียสเซลเซียส) 16 วัน
จำนวนวันที่มีอากาศหนาว (อุณหภูมิ 8.0 - 15.9 องศาเซลเซียสเซลเซียส) 1 วัน
อุณหภูมิสูงสุดและต่ำสุดเฉลี่ยรายเดือนประจำปี พ.ศ.2560
พ.ศ.2560
อุณหภูมิสูงสุด 39.1 องศาเซลเซียส (25 เมษายน)
อุณหภูมิต่ำสุด 17.0 องศาเซลเซียส (20 ธันวาคม)
จำนวนวันที่มีอากาศร้อนจัด (อุณหภูมิ 40.0 องศาเซลเซียสขึ้นไป) 0 วัน
จำนวนวันที่มีอากาศร้อน (อุณหภูมิ 35.0 - 39.9 องศาเซลเซียส) 100 วัน
จำนวนวันที่มีอากาศเย็น (อุณหภูมิ 16.0 - 22.9 องศาเซลเซียส) 13 วัน
จำนวนวันที่มีอากาศหนาว (อุณหภูมิ 8.0 - 15.9 องศาเซลเซียส) 0 วัน
อุณหภูมิสูงสุดและต่ำสุดเฉลี่ยรายเดือนประจำปี พ.ศ.2561
***หมายเหตุ: ข้อมูลของกรมอุตุนิยมวิทยาที่เผยแพร่ ขาดข้อมูลอุณหภูมิต่ำสุด ตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ ถึง 17 มีนาคม
อุณหภูมิสูงสุด 37.3 องศาเซลเซียส (22 มิถุนายน)
อุณหภูมิต่ำสุด 19.6 องศาเซลเซียส (13 มกราคม)
จำนวนวันที่มีอากาศร้อนจัด (อุณหภูมิ 40.0 องศาเซลเซียสขึ้นไป) 0 วัน
จำนวนวันที่มีอากาศร้อน (อุณหภูมิ 35.0 - 39.9 องศาเซลเซียส) 77 วัน
จำนวนวันที่มีอากาศเย็น (อุณหภูมิ 16.0 - 22.9 องศาเซลเซียส) 7 วัน
จำนวนวันที่มีอากาศหนาว (อุณหภูมิ 8.0 - 15.9 องศาเซลเซียส) 0 วัน
อุณหภูมิสูงสุดและต่ำสุดเฉลี่ยรายเดือนประจำปี พ.ศ.2562
อุณหภูมิสูงสุด 40.0 องศาเซลเซียส (2 พฤษภาคม)
อุณหภูมิต่ำสุด 17.7 องศาเซลเซียส (7 ธันวาคม)
จำนวนวันที่มีอากาศร้อนจัด (อุณหภูมิ 40.0 องศาเซลเซียสขึ้นไป) 1 วัน
จำนวนวันที่มีอากาศร้อน (อุณหภูมิ 35.0 - 39.9 องศาเซลเซียส) 177 วัน
จำนวนวันที่มีอากาศเย็น (อุณหภูมิ 16.0 - 22.9 องศาเซลเซียส) 14 วัน
จำนวนวันที่มีอากาศหนาว (อุณหภูมิ 8.0 - 15.9 องศาเซลเซียส) 0 วัน
อุณหภูมิสูงสุดและต่ำสุดเฉลี่ยรายเดือนประจำปี พ.ศ.2563
อุณหภูมิสูงสุด 39.6 องศาเซลเซียส (9 มีนาคม)
อุณหภูมิต่ำสุด 18.3 องศาเซลเซียส (22 ธันวาคม)
จำนวนวันที่มีอากาศร้อนจัด (อุณหภูมิ 40.0 องศาเซลเซียสขึ้นไป) 0 วัน
จำนวนวันที่มีอากาศร้อน (อุณหภูมิ 35.0 - 39.9 องศาเซลเซียส) 152 วัน
จำนวนวันที่มีอากาศเย็น (อุณหภูมิ 16.0 - 22.9 องศาเซลเซียส) 13 วัน
จำนวนวันที่มีอากาศหนาว (อุณหภูมิ 8.0 - 15.9 องศาเซลเซียส) 0 วัน
การแบ่งเขตภูมิอากาศแบบเคิปเปน
การจำแนกลักษณะภูมิอากาศแบบเคิปเปน คิดค้นขึ้นโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน “เคิปเปน วลาดิมีร์” โดยใช้เกณฑ์ที่หลากหลายมาจำแนกลักษณะอากาศ ทั้ง อุณหภูมิ ปริมาณน้ำฝน การกระจายตัวของปริมาณน้ำฝน พืชพรรณธรรมชาติ ฤดูกาล และระดับความสูงเหนือน้ำทะเลปานกลาง
วิธีการแบ่งเขตภูมิอากาศของเคิปเปนจะแบ่งด้วยตัวอักษรภาอังกฤษทั้งหมด 3 ชุด แต่ละชุดจะบอกค่าที่ย่อยลงไปๆ ซึ่งจะมีความละเอียดขึ้น และจำแนกความแตกต่างของอากาศแต่ละพื้นที่ได้มากขึ้นไปด้วย
ภาพแสดงการจำแนกภูมิอากาศแบบเคิปเปนของภูมิภาคเอเชีย
***https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Koppen-Geiger_Map_Asia_present.svg
การกำหนดค่า
ตัวอักษรชุดที่ 1
ใช้แบ่งเขตภูมิอากาศในภาพกว้าง โดยแบ่งเป็นเขตร้อน เขตแห้งแล้ง เขตอบอุ่น เขตหนาว และเขตขั้วโลก
A – ภูมิอากาศเขตร้อน
หมายถึง พื้นที่ที่อุณหภูมิเฉลี่ยรายเดือนสูงกว่า 18 องศาเซลเซียส ทั้ง 12 เดือน
B – ภูมิอากาศเขตแห้งแล้ง
หมายถึง พื้นที่ที่ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยรายปีต่ำกว่าค่า (อุณหภูมิเฉลี่ยรายปี x 20)
**สำหรับพื้นที่ที่ปริมาณฝนมากกว่าร้อยละ 70 ตกในช่วงวสันตวิษุวัต (กลางฤดูใบไม้ผลิ) – สารทวิษุวัต (กลางฤดูใบไม้ร่วง) (กำหนดให้เป็นช่วงเดือนเมษายน – กันยายน ในซีกโลกเหนือ และตุลาคม – มีนาคมในซีกโลกใต้) จะคิดจาก (อุณหภูมิเฉลี่ยรายปี x 20) + 280 และหากฝนร้อยละ 30-70 ตกในช่วงดังกล่าว จะคิดจาก (อุณหภูมิเฉลี่ยรายปี x 20) + 140
C – ภูมิอากาศเขตอบอุ่น
หมายถึง อุณหภูมิเฉลี่ยเดือนที่หนาวเย็นที่สุดต่ำกว่า 18 องศาเซลเซียส แต่ไม่ต่ำกว่า -3 องศาเซลเซียส และมีอย่างน้อย 1 เดือนที่อุณหภูมิเฉลี่ยสูงกว่า 10 องศาเซลเซียส
D – ภูมิอากาศเขตหนาว
หมายถึง อุณหภูมิเฉลี่ยเดือนที่หนาวเย็นที่สุดต่ำกว่า -3 องศาเซลเซียส และมีอย่างน้อย 1 เดือนที่อุณหภูมิเฉลี่ยสูงกว่า 10 องศาเซลเซียส
E – ภูมิอากาศเขตขั้วโลก
หมายถึง พื้นที่ที่อุณหภูมิเฉลี่ยรายเดือนต่ำกว่า 10 องศาเซลเซียส ทั้ง 12 เดือน
ตัวอักษรชุดที่ 2
บ่งบอกลักษณะย่อยของภูมิอากาศแต่ละประเภท เช่น ลักษณะการกระจายตัวของปริมาณน้ำฝน
อักษรลำดับที่ 2 ของภูมิอากาศแบบ A
f – หมายถึง พื้นที่ที่ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยรายเดือน สูงกว่า 60 มม. ทั้ง 12 เดือน (ไม่มีหน้าแล้งที่ชัดเจน) หรือภูมิอากาศแบบป่าฝนเขตร้อน
m – หมายถึงพื้นที่ที่มีอย่างน้อย 1 เดือนที่ปริมาณน้ำฝนต่ำกว่า 60 มม. และเดือนที่มีฝนตกน้อยที่สุด มีปริมาณน้ำฝนมากกว่า 100 ลบปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยรายปี หารด้วย 25 (มีหน้าฝนและหน้าแล้งที่ชัดเจน ฝนตกหนักมากในช่วงหน้าฝน) หรือภูมิอากาศแบบมรสุม
w – หมายถึงพื้นที่ที่มีอย่างน้อย 1 เดือนที่ปริมาณน้ำฝนต่ำกว่า 60 มม. และเดือนที่มีฝนตกน้อยที่สุด มีปริมาณน้ำฝนน้อยกว่า 100 ลบปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยรายปี หารด้วย 25 (มีหน้าฝนและหน้าแล้งที่ชัดเจน ฝนตกสม่ำเสมอในหน้าฝน และมีหน้าแล้งที่ยาวนานกว่าแบบ m) หรือภูมิอากาศแบบทุ่งหญ้าสะวันนาห์
โดยในสมัยใหม่ ภูมิอากาศในลักษณะนี้ยังอาจแบ่งย่อยลงอีกเป็น Aw และ As
โดยที่ Aw หมายถึงฤดูแล้งตรงกับฤดูหนาว ส่วน As หมายถึงแห้งแล้งในฤดูร้อน
อักษรลำดับที่ 2 ของภูมิอากาศแบบ B
W – หมายถึง พื้นที่ที่ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยรายปีต่ำกว่าร้อยละ 50 ของค่า Threshold ที่แสดงวิธีการคำนวณไว้ข้างต้น หรือเรียกว่าภูมิอากาศแบบทะเลทราย
S - หมายถึง พื้นที่ที่ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยรายปีตั้งร้อยละ 50 ขึ้นไปแต่น้อยกว่าค่า Threshold ที่แสดงวิธีการคำนวณไว้ข้างต้น หรือเรียยกว่าภูมิอากาศแบบทุ่งหญ้าสั้นกึ่งทะเลทราย
อักษรลำดับที่ 2 ของภูมิอากาศแบบ C และ D
f – หมายถึง พื้นที่ที่มีปริมาณน้ำฝนกระจายตัวอย่างสม่ำเสมอตลอดทั้งปี (ไม่มีหน้าแล้ง)
s – หมายถึง พื้นที่ที่มีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยในเดือนที่แล้งที่สุดของหน้าร้อนมีปริมาณ ต่ำกว่า 1 ใน 3 ของปริมาณน้ำฝนในเดือนที่ชื้นที่สุดของหน้าหนาว และต่ำกว่า 40 มม. (แล้งในฤดูร้อน หรือเรียกว่าภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน)
w – หมายถึง พื้นที่ที่มีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยในเดือนที่แล้งที่สุดของหน้าหนาวมีปริมาณ ต่ำกว่า 1 ใน 10 ของปริมาณน้ำฝนในเดือนที่ชื้นที่สุดของหน้าร้อน และต่ำกว่า 30 มม. (แล้งในฤดูหนาว)
อักษรลำดับที่ 2 ของภูมิอากาศแบบ E
T – พื้นที่ที่เดือนที่ร้อนที่สุด มีอุณหภูมิเฉลี่ยต่ำกว่า 10 องศาเซลเซียส แต่สูงกว่า 0 องศาเซลเซียส (ภูมิอากาศแบบทุนดรา)
F - พื้นที่ที่มีอุณหภูมิเฉลี่ยรายเดือนต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียส ทั้ง 12 เดือน (ภูมิอากาศแบบทุ่งน้ำแข็งหรือขั้วโลก)
ตัวอักษรชุดที่ 3
บ่งบอกคุณลักษณะที่เพิ่มเติมจากอักษร 2 ลำดับแรก เช่น อุณหภูมิเฉลี่ยรายเดือน
อักษรลำดับที่ 3 ของภูมิอากาศแบบ B
h – อุณหภูมิเฉลี่ยรายปีสูงกว่า 18 องศาเซลเซียส (ทะเลทรายเขตร้อน)
k – อุณหภูมิเฉลี่ยรายปีต่ำกว่า 18 องศาเซลเซียส (ทะเลทรายเขตอบอุ่น)
อักษรลำดับที่ 3 ของภูมิอากาศแบบ C และ D
a – อุณหภูมิเฉลี่ยในเดือนที่ร้อนที่สุดสูงกว่า 22 องศาเซลเซียส และมีอย่างน้อย 4 เดือน ที่มีอุณหภูมิเฉลี่ยสูงกว่า 10 องศาเซลเซียส
หากเป็น Cwa Csa หรือ Cfa จะเรียกว่าภูมิอากาศแบบกึ่งเขตร้อน
หากเป็น Dwa Dsa หรือ Dfa จะเรียกว่าภูมิอากาศแบบภาคพื้นทวีป
b – อุณหภูมิเฉลี่ยในเดือนที่ร้อนที่สุดต่ำกว่า 22 องศาเซลเซียส แต่มีอย่างน้อย 4 เดือน ที่มีอุณหภูมิเฉลี่ยสูงกว่า 10 องศาเซลเซียส
หากเป็น Cwb Csb หรือ Cfb จะเรียกว่าภูมิอากาศแบบภาคพื้นสมุทร
หากเป็น Dwb Dsb หรือ Dfb จะเรียกว่าภูมิอากาศแบบภาคพื้นทวีป
c – อุณหภูมิเฉลี่ยในเดือนที่ร้อนที่สุดต่ำกว่า 22 องศาเซลเซียส และมีน้อยกว่า 4 เดือน ที่มีอุณหภูมิเฉลี่ยสูงกว่า 10 องศาเซลเซียส
ความคิดเห็น
เราแค่เอามารวมๆ เป็น 1 ปี เฉพาะของกรุงเทพน่ะค่ะ
ก็เลยมีแค่จังหวัดเดียว ต้องขออภัย ณ ที่นี้
ถ้าอยากได้ของจังหวัดอื่นคิดว่าต้องขอจากกรมอุตุก็น่าจะมีอยู่นะคะ