ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กว่าจะ "ติด" หมอ

    ลำดับตอนที่ #9 : ย้อนอดีต :: ก่อนสอบหมอ...

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.94K
      4
      8 เม.ย. 54

    อืมม..เนื่องจากพอลองเสิร์ชบทความอื่นๆ  ดูแล้ว
    เค้าเปิดเผยตัวตนกันหมดเยย งุงิงุงิ
    >O< !!

    และเนื่องจากเริ่มมีเพื่อนพี่รู้แล้วว่าพี่เขียนบทความ
    ก็ไม่รู้จะปิดไปทำไม

    พี่มาจากโรงเรียนหอวัง ลาดพร้าวค่ะ
    ตอนนี้กำลังจะได้ศึกษาต่อ (? รึเปล่า รอโอเนตออกก่อน
    ถ้าสมมติว่าโอเนตไม่ผ่าน พี่ก็จะเขียนบทความให้จบก่อนอยุ่ดีนะคะ)

    กำลังจะได้ศึกษาต่อ ณ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ค่ะ
    ^_________^

    __________" ในบทก่อน ๆ ที่พูดว่าไม่เปิดเผยสถานที่เรียน
    พี่ไม่ไปแก้ละกาน ให้มันเป็นอย่างนั้นแหละ และก้อถือว่าเปิดเผยตัวเองในบทนี้เลยแล้วกัน
    นะค้ะนะค้ะ ^o^

    ____________________________

    ก่อนจะขึ้นเรื่องขอที่โม้อีกสักนิดน้ะ 55555
    เมื่อวาน (ศุกร์ที่ 25 มี.ค.) พี่ดูรายการผู้หญิงถึงผู้หญิงอ่า
    ช่วงนี้มีสึนามิญี่ปุ่นคนเสียชีวิตและสูญหายเป็นหมื่นป้ะ
    ด้านล่างจอมันขึ้นว่า แพทย์ที่สนใจไปช่วยเหลือที่ญี่ปุ่น ให้ติดต่อเบอร์นี้ๆๆๆ
    โอ๊ยยยยย เห็นแล้วอยากไปจังเลย แต่เรายังไม่เริ่มเรียนหมอด้วยซ้ำง่า
    T_T เพ้อเจ้อไปวัน ๆ พอรายการจบพี่ก็หลับไป ๕๕๕๕๕๕๕



    อิอิอิมาเริ่มบทกันจริง ๆ ซะทีดีกว่า ฮ่าๆ

    _____________________________

    ช่วงก่อนสอบหมอนี้ พี่นับวันตั้งแต่หลังรับตรง ฬ ออก
    คือช่วงประมาณตั้งแต่ปีใหม่เป็นต้นมาจนถึงวันสอบหมอคือวันที่ 22 มกราคม
    คือรับตรง ฬ ในปีพี่นั้นเค้าให้เลือกได้สี่อันดับ
    พี่ก็เลือกสองอันดับ อันดับแรกคือ วิศวะ อันดับสองคือ ครุ
    ในส่วนอันดับสองนั้นพี่เลือกแบบมีนัยยะแอบแฝงเล็กน้อยถึงปานกลาง ๕๕๕๕
    อืม...เป็นอุทาหรณ์ให้น้อง ๆ นะ ว่า..ถ้าไม่ได้อยากเข้าคณะอะไร
    อย่าเลือกเลย ถ้าคิดว่าติดก็ไม่เอาแน่ๆ
    เพราะมันคือการเข้าไปแย่งที่คนอื่น ชัดๆเลย
    ก้อคือที่พี่บอก พี่ไม่ติดวิศวะ
    แล้วมันกลายเป็นว่าพี่ิไปติดครุแทน พี่ก้แบบ
    เอ่าชิบหายแร้วกรุ ToT หนุขอโทด หนูไม่ได้ตั้งใจ
    คือพี่เสียใจจากวิศวะก็เรื่องนึงเพราะพี่กะเข้าแค่วิศวะอย่างเดียวจริงๆ
    แล้วตอนนั้นเกิดมั่นใจบ้าอะไรไม่รู้ว่าน่าจะติดนะ
    เพราะเทียบคะแนนกับปีก่อนแล้ว มันก็น่าจะติด
    แต่ใครจะไปสามารถทำนายได้อ่า ว่าคะแนนมันจะเฟ้อขึ้นมาถึง 2000
    คุณพระช่วยยยยยย T_______T
    พี่จึงพบว่า
    1. เรนจ์คะแนนในปีก่อน อาจจะเชื่อได้ 'บ้าง' 
     แต่เราก็ควรดูแนวโน้มข้อสอบในปีเราด้วยว่ามันง่ายขึ้นหรือเปล่า
     ไม่ใช่หลับหูหลับตาเชื่อ ปิดหูปิดตาว่าเราน่าจะติดน้ะ
     อย่างปีพี่ข้อสอบ GAT ง่ายขึ้นมากแต่พี่ก็คิดว่าคงไม่มีผลอะไร
     แล้วเป็นยังไงอะ ซิกกก..
    2. อย่าเลือกคณะที่ตัวเองคิดว่า ไม่เอาแน่ๆ อย่าไปสอบ
     เพราะเราก็คง ไม่อยากให้คนอื่นมาสอบเล่นๆในคณะที่เราอยากเข้าเช่นกัน
     ใช่ป้ะ... T____T
     คือ ตามตรงเลยพี่เลือกเพราะคิดว่าน่าจะติดน้ะ (?)
     ไม่คิดว่ามันจะหลุด แล้วก็ลืมนึกไปว่าเลือกครุไว้อันดับถัดมา
     พี่ก็แบบ...คุณมีสิทธิ์สอบสัมภาษณ์คณะครุศาสตร์ ฬ
     พี่ก็แบบ T___T คนเยอะแยะอยากเรียนคณะนี้ แต่เรามาแย่งไปซะเฉย
     แล้วก็จำเป็นต้องสละสิทธิ์ด้วย นู๋ขอโทด น้ะน้ะน้ะน้ะน้ะ แงแง
     มันก็อารมณ์เดียวกับตอนที่พี่รู้ว่ามีคนที่ยื่นคะแนนเล่นๆวิศวะฬแล้วติด
     แต่สละสิทธิ์ อย่างนั้นน่ะ  รู้ซึ้งเยย งุงิงุงิ
     จะไปเคืองไปโกรธก็ไม่ได้ เพราะตรูก็ทำ..กับคณะอื่นเช่นกัน


    คือน้องอาจจะงงๆว่าพี่อยากเรียนวิศวะหรือหมอกันแน่
    ก็คือใจจริงพี่อยากเรียนหมอมากกว่า
    แต่น้องลองดูจากจำนวนแพทย์ทั้งหมดที่รับนะ 
    คนที่เรียนแพทย์ได้นั้นเป็นคนที่มีอันดับเฉลี่ยที่ 1000 ลงไป
    จากคนหลายๆๆๆหมื่นคน ซึ่งแปลว่าเค้าต้องเก่งมาก
    และคนมาสอบตั้งเท่าไหร่ ทุกคนก็ตั้งใจและมีฝันกันทั้งนั้น
    ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าเราจะติด 
    เอาง่ายๆคนใกล้ตัวพี่ อยากเป็นหมอทั้งนั้นเลยยย (ฟีเวอร์สุดๆ)
    และแต่ละคนก็เก่ง แล้วก็มีความตั้งใจไม่ต่างจากพี่เลย
    พี่ก็เลยค่อนข้างเล็งวิศวะไว้มากกว่า
    เพราะกลัวผิดหวัง เหมือนที่เคยผิดหวังมาเกือบตลอดชีวิต
    (เว่อดีป้ะ ๕๕๕ ไม่เว่อหรอก มันคือความจริง)

    โอเคเราน่าจะเข้าเรื่องก่อนสอบหมอได้แล้วล่ะ 555555
    นอกเรื่องมานาน และจากที่ครั้งนี้พี่ผิดหวังอีกครั้ง
    พี่จะไม่ยอมผิดหวังอีกแล้ว พอผ่านวันปีใหม่มาปุ๊บ
    พี่พักใจอยู่หนึ่งวัน พี่ก็เริ่มอ่านแบบ..บ้าคลั่ง 
    อาจจะดูรุนแรง จิงๆแค่ให้เห็นภาพน่ะ ๕๕๕๕๕
    พี่อ่านตั้งแต่วันที่ 2-21 มกรา คือก่อนหน้านี้พี่ก็อ่านมาแล้ว
    ก็ได้แค่คร่าว ๆ ของแต่ละเรื่อง แต่พี่รู้สึกว่าพี่มาเจาะรายละเอียด
    ในแต่ละวิชาแต่ละเรื่องก็ช่วงนี้ล่ะ
    พี่ว่ายี่สิบกว่าวันนี้ มันมีผลกับพี่มากกว่าหลาย ๆ เดือนที่ผ่านมาซะอีกนะ
    (อันนี้คือทุกวิชายกเว้นภาษาอังกฤษนะ)

    บางทีน้องอาจจะเจอเพื่อนบอกว่าเค้าอ่านมาเยอะขนาดนี้น้ะ บลาๆ
    หรืออ่านมาทั้งปี ทำแบบฝึกหัดฟิสิกส์ 500 หน้าหมดทั้งเล่ม
    อืมซึ่งพี่ไม่เคยเจอนะ แต่พี่ชายพี่เคยเจอ
    มันอาจจะทำให้น้องรู้สึกว่าโอ้...เราทำบฝ น้อยกว่าเค้าตั้งเยอะ จะไปสู้เค้าได้หรอ
    แต่ไม่รู้นะ พี่มองว่าเวลาเราทำแบบฝึกหัด หรือทำข้อสอบเก่า
    ไม่ต้องทั้งเล่มหรอก ทำไปบ้างก็พอจะรู้แล้วว่าเราควรอ่านแค่ไหนถึงจะพอ
    หรือควรอ่านเพิ่มแค่ไหนน่ะ ไม่ต้องถึงกับทำทั้งเล่มแบบนั้นเราก็สู้เค้าด๊ายย
    เพราะบางทีเค้าอาจจะทำไปทั้งเล่มแบบที่ไม่รู้เรื่องเลยก็ได้นะ
    แต่เราทำน้อยๆแต่รู้เรื่องหมด มีประสิทธิภาพกว่าอีกอีกอีก

    ช่วงนี้ก็จะเป็นช่วงที่หลายคนที่ตั้งใจมาเกือบทั้งปี...ถอดใจ
    ถอดใจกันเยอะจริงๆน้อง ตอนแรกเห็นตั้งใจเรียนตั้งใจอ่านมาทั้งปี
    พอช่วงนี้อยู่ ๆ ก็ติสแตก หยุดอ่านไปซะอย่างนั้น
    เป็นช่วงแห่งความอ่อนไหว หลายคนท้อจนหยุดอ่านไป
    คิดว่ายังไงตัวเองก็ไม่ติด ซึ่งพี่ว่าหลายคนนั้น
    ถ้าตั้งใจอ่านก็มีสิทธิ์ติดไม่แพ้กันเลย
    อย่าท้อน้องอย่าท้อ และะไม่ว่าคำดูถูกหรือคำชมอะไรก็ตามที่ผ่านเข้าหูน้อง
    อย่าให้มันส่งผลกระทบต่อจิตใจของน้อง
    ตั้งใจแบบเดิมอย่างที่เคยเป็นนั่นแหละ
    พี่รวมคำชมด้วย เพราะคำชมก็ส่งผลร้ายให้น้องเหลิงได้ถ้าเผื่อไม่ระมัดระวัง >O<!

    ไม่รู้ว่านี่เรียกโดนดูถูกหรือเปล่า
    ตอนนั้นพี่ไฮไลท์คะแนนสูงต่ำคณะแพทย์อันดับสี่(อันดับสุดท้าย)ที่พี่เลือกไว้
    แล้ววางไว้บนโต๊ะเรียนเหมือนกับที่วางของหลายๆอย่างไว้บนโต๊ะ
    เพื่อนคนนึงเดินมาก็ถามว่า หวังไว้แค่นี้หรอ
    อืม..ตอนนั้นพี่นิ่งไปไม่พูดอะไร แล้วก็พี่มองหน้าเค้านิ่งๆแบบโหดๆ 
    พี่ไม่ได้ตอบโต้เพราะพี่ไม่ใช่ตัวเก็งที่ใครๆคิดว่าจะติดหมอ
    ก็เป็นแค่คนนึงที่ใครๆรู้ว่าจะสอบหมอ เหมือนกับที่หลายๆคนเป็น
    พี่รู้แต่ว่าวันนึงพี่จะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็น ซึ่งตอนนั้นพี่ไม่รู้จริงๆว่าจะมีวันนั้นไหม
    จะบอกว่าคำดูถูกนั้นไม่ได้ทำให้พี่หวั่นไหวเลย แต่ทำให้พี่รู้สึกแค่ว่า
    ทำไมต้องดูถูกความฝันคนอื่นด้วยน้ะ (?)

    ซึ่ง ณ วันนี้พี่พิสูจน์แล้วว่าพี่ ติดหมอแล้ว
    ในขณะที่คนนั้นไม่ติดหมอ งุงิงิงิอิอิ

    กลับมาเรื่องติสแตกนิดนึง ช่วงนั้นจริงๆแล้วพี่ก็ติสแตกเหมือนกันค่ะน้อง ๕๕๕๕
    ไม่ได้มีความมั่นคงในตัวเองจนเว่อร์อะไรขนาดนั้นหรอก พี่ก็คนธรรมดาเหมือนกัน
    แต่พี่ติสแตกอยู่แค่วันเดียว คือช่วงนั้นเป็นช่วงที่ห้องพี่เกือบทั้งห้องหยุด
    ก็คือมันจะมีคนไม่หยุดอยู่ส่วนหนึ่งเพราะไม่ได้จะเข้าหมอบวกกับติดตรงแล้ว
    ก็จะมาโรงเรียนตามปกติ แต่อาจารย์ก็สอนอะไรไม่เยอะเท่าไหร่หรอก
    คือการที่พี่อ่านหนังสือตั้งแต่ตื่นยันหลับ วันๆก็อยู่แต่ในบ้าน
    และยิ่งพี่ไม่เปิดคอมแล้วทีวีก็ไม่ดูแล้ว มันก็ทำให้เราอุดอู้
    รวมไปถึงฟุ้งซ่านด้วย  พอฟุ้งซ่านมากๆมันก็เริ่มทำอะไรไม่ได้
    ตอนนั้นพี่แบบอะไรไม่รู้วนอยู่ในหัวเยอะแยะ

    ประมาณช่วง 4 วันก่อนสอบหมอ (เป็นวันอังคาร) พี่ก็ทำสิ่งที่พี่ไม่น่าจะทำ
    คือพี่ไปโรงเรียน ในขณะที่ตอนนั้นพี่รู้สึกว่าพี่ยังอ่านไม่ค่อยพร้อมเลยด้วยซ้ำ
    คืออะ เหมาะเจาะกับที่ว่าพี่ได้รับแจ้งมาว่าพี่มีงานค้างอย่างนึงที่ยังไม่ได้ส่ง
    ถ้าไม่ส่งภายในวันพุธจะติด ชร (ชะลอผลการเรียน)
    พี่ก็เลยถือโอกาสไปโรงเรียน ซึ่งงานที่ส่งอะ จริงๆเขียนแปบเดียวก็เสร็จแล้วมาฝากเพื่อนไปส่งก็ได้
    แต่พี่ไปเพราะพี่รู้สึกว่า พี่ฟุ้งซ่านมากเกินไปแล้ว แต่พี่ก็ไม่รุ้ว่าจะมาโรงเรียนทำไม
    มาก็อ่านหนังสือไม่ได้ ยิ่งไม่มีสมาธิเข้าไปใหญ่
    ตอนนั้นรู้แต่พี่รู้สึกว่า ถ้าพี่มาโรงเรียน พี่ต้องได้คำตอบของคำถามอะไรสักอย่างที่พี่กำลังนึกอยู่แน่ๆ
    ซึ่งคำถามอะไร คำตอบอะไร ก็ยัง งงๆ

    พอพี่มาโรงเรียนพี่ก็เริ่มรู้สึกว่า พี่กำลังทำอะไร พี่มาโรงเรียนทำไม
    นี่ช้านกำลังทำอะไรวะ...? ทำไมชั้นไม่อ่านหนังสืออยู่บ้าน อ่านก็ยังไม่จบ ชั้นทำอะไรอยู่เนี่ย
    วันนั้นเพื่อนเอากีต้าร์มา พี่ก็ไปขลุกอยู่ตรงกีต้าร์น่ะแหละ ครูสอนก็ฟังไม่ค่อยเข้า
    อืม...แต่วันนั้นพี่ได้อะไรกลับบ้านไปนะ ถึงจะแทบไม่ได้อ่านหนังสือเลยก็ตาม
    พี่ได้คุยกับอาจารย์คนนึง .. แล้วก็สบายใจขึ้นเยอะจริง ๆ 
    พี่ได้คำตอบของอะไรที่พี่อยากรู้มาเยอะเลย
    และเค้าบอกให้พี่ นั่งสมาธิ ถ้าจิตใจฟุ้งซ่านมากๆ
    เออ พี่ลืมไปได้ไงวะเรื่องนั่งสมาธิเนี่ย ^^
    และนอกจากนี้กีต้าร์ยังทำให้พี่รู้สึกดีขึ้นมากจริงๆ รู้สึกสบายๆบอกไม่ถูก
    แล้ววันนั้นพี่ก็กลับบ้านไปแบบสดชื่นขึ้นเยอะเลย 
    (ช่วงนี้น้องอาจจะอ่านแล้วงง ๆ .. ไม่แปลกหรอก คือพี่ติสน่ะ พยายามเข้าใจละกันน้ะ อิอิอิ)
    พี่สรุปง่ายๆว่า ถ้าวันใดเรารู้สึกกดดันเกินไป ให้เราแหกกรอบมาบ้าง
    ซึ่งอาจจะเกี่ยวข้องหรือไม่เกี่ยวข้องกับความกดดันที่เรานึกถึงเลย แต่ก็ทำให้ความกดดันบางอย่างหรือทั้งหมดหายไปได้นะ
    ปลิดทิ้งเยยเยยเยย อิอิ

    โอเคช่วงนี้เริ่มมีกำลังใจขึ้น พี่ก็มาอ่านหนังสือเหมือนเดิม
    จนกระทั่งวันศุกร์ ( 21 ม.ค. 54) ก่อนวันสอบหมอหนึ่งวัน
    ตอนคืนวันพฤหัสน่ะพี่เขียนลิสท์ไว้ยาวมาก ๆ ว่าพี่จะอ่านอะไรตั้งแต่หกโมงเช้า
    ซึ่งก่อนหน้านี้พี่จะไม่ได้นั่งเขียนละเอียดไว้ว่าพี่จะอ่านอะไร
    พี่ใช้กะเอาว่าพี่ยังรู้สึกไม่เข้าใจในเรื่องไหนอยู่พี่ก็จะอ่านเรื่องนั้นล่ะ
    แต่ครั้งนี้พี่ใช้เขียนลิสท์ เพราะพี่กลัวว่าพอมาอีกวันพี่อาจจะอยู่ๆลนขึ้นมา
    แล้วก็จัดการไม่ถูกว่าตัวเองจะอ่านอะไรในวันสุดท้ายก่อนสอบหมอ

    เช้ามาพี่ก็อ่านหนังสือไปตามลิสท์ล่ะ พออ่านไปได้สักถึง 11 โมงพี่ก็รู้สึกว่า
    พี่อ่านมาเยอะพอแล้วมั้ง ? ? มาเร่งตอนนี้ก็คงได้อะไรเพิ่มไม่เท่าไหร่หรอก
    พี่ก็เปิดคอม หลังจากที่แทบไม่ได้เปิดเลย
    แล้วพี่ก็ได้คุยกับรุ่นพี่คนนึงซึ่งกำลังเรียนแพทย์อยู่
    รุ่นพี่เค้าบอกว่า วันก่อนสอบหมอปีของพี่เค้าน่ะ พี่เค้าพักสมองด้วยการหยุดอ่านหนังสือ
    พี่ก็เลยพักสมองตามที่เค้าบอก..เพราะพี่เอง ตอนนั้นพี่ก็รู้สึกเหนื่อยจริงๆ
    วันนั้นก็เล่นคอมเกือบทั้งวัน และวันรุ่งขึ้นก็เป็นวันสอบหมอ

    เออ ลืมแนะนำ พี่อยากบอกว่า แบรนด์ ซุปไก่สกัด รสธรรมดาหรือกลมกล่อม
    ช่วยน้องได้ จริงๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ นะ
    ไม่ได้ค่าโฆษณาเลยแต่พี่กินแล้วมันดีจริงๆไม่ได้คิดไปเอง สนับสนุนให้กินก่อนสอบเป็นอย่างมาก
    >__________<


    ________________" พบกับบทต่อไปใน วันสอบหมอ นะจ้ะ



    แก้ๆๆ 21 มี.ค. เป็น 21 ม.ค.นะ พี่เขียนแล้วเมา   ______"  8 เมษายน



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×