ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ★ One Piece 'short fanfiction All Luffy [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #63 : ◣Fanfic◥ [Special pairing] Love at first sight

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.54K
      31
      14 มิ.ย. 65

    Title: Love at first sight
    Pairing: Namizo x Luffyko
    Rate: PG-13
    Writer: PINKUHERO
    Part: 1/1

    -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

       
     
     
     
     
     
     









    คุณเชื่อในรักแรกพบหรือเปล่า?

    คำถามนี้ดังวนอยู่ในหัวของผมหลายต่อหลายครั้ง... 

     

    ตอนที่ดูหนังหรืออ่านนิยายรัก เมื่อตัวเอกได้พบกันเพียงแวบแรก ใช้ระยะเวลาที่สั้นแสนสั้นก็สามารถตกหลุมรักกันได้ ทำให้เกิดเรื่องราวอันน่าประทับใจได้อีกมากมาย หลายคนเสียน้ำตาและแชร์ความรู้สึกซาบซึ้งร่วมกับฉากเหล่านั้น 

     

    ผมได้แต่มองดูมัน ซาบซึ้งกับมัน หลังจากนั้นก็เพียงยิ้มขำกับตัวเองเบาๆในใจ... 

     

    มันอาจเป็นความประทับใจแรกที่ได้พบเจอ หน้าตา รูปร่างที่โดนใจหรืออะไรก็ตามที่ทำให้ใจสั่นได้ ผมคิดว่านั่นมันก็เพียงแค่ความหลงไหลเท่านั้น จะเอาอะไรกับรักแรกพบ... แค่ฟังชื่อก็รู้แล้วว่ามันเป็นความรู้สึกที่ไม่ยั่งยืนเอาเสียเลย 

     

    “ ขอโทษนะ... ฉันคบกับเธอไม่ได้อีกแล้ว ฉันคิดว่าเธอจะ...เป็นแบบที่ใครๆเค้าลือกัน ” 

     

    เสียงเล็กของผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยขึ้น ใบหน้าสวยหวานเปี่ยมไปด้วยน้ำตาและบ่าเล็กๆทั้งสองข้างกำลังสั่นระริกอย่างน่าสงสาร ผมได้แต่ยืนมองภาพนั้นอยู่นิ่งๆโดยไม่สามารถทำอะไรได้ เธอฝากความรู้สึกเจ็บแปลบเอาไว้บนใบหน้าด้านซ้ายก่อนพาร่างของตัวเองวิ่งจากไป 

     

    ผมไม่ได้ทำอะไรมากกว่าการเดินไปทิ้งร่างตัวเองลงบนม้านั่งที่อยู่ใกล้ๆ ไม่ได้มีความรู้สึกเสียใจ เจ็บปวด หรืออะไรทั้งนั้น… กลายเป็นความรู้สึกด้านชา กับความหงุดหงิดเล็กน้อยเมื่อแก้มทั้งแถบมันกำลังแดงเถือกอยู่… 

     

                เด็กสาวตัวเล็กๆหน้าตาจิ้มลิ้ม พิมพ์นิยมแบบที่คนสมัยนี้ชอบกำลังยืนก้มหน้างุดจนคางชิดอก แม้ไม่เห็นหน้าผมก็รู้ได้ว่าเธอคงกำลังจะเขินไม่น้อยจากใบหูที่แดงฝาด คำสารภาพรักเพิ่งถูกเอื้อนเอ่ยขึ้นมาบนดาดฟ้าของตึกเรียน

      

                ผมตัดสินใจตอบรับความรู้สึกนั้นโดยไม่ได้คิดอะไร ตอนนั้นในหัวคิดแค่ว่าอยากจะลองคบกับใครซักคนดูก็ดีเหมือนกัน ถ้าหากมันใช่ก็ค่อยดำเนินความสัมพันธ์นั้นต่อไป ไม่ได้ฉุกคิดเลยว่าความรู้สึกของเธอตอนนั้นก็คือรักแรกพบดีๆนี่เอง… 

     

                เรื่องราวมันดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ผู้หญิงคนนั้นนัดเดตแรกกับผมที่สวนสนุกนี่ มันควรจะผ่านไปด้วยดี แต่เธอคนนั้นกับมาสายกว่าเวลานัดไปถึงหนึ่งชั่วโมง ผมนั่งรอทั้งสภาพคนเยอะๆและอากาศร้อนเป็นเวลานาน หรืออาจเป็นเพราะความหิวด้วยส่วนหนึ่ง จึงเผลอพูดในสิ่งที่ไม่ค่อยดีกับเธอไป 

     

    ‘ เธอมาช้าไปหนึ่งชั่วโมง เป็นคนนัดเองก็ควรจะตรงเวลาหน่อยสิ ’ 

     

    ผมรู้ว่าตัวเองเป็นคนพูดจาขวานผ่าซากอย่างไม่เกรงใจใคร แต่ถึงอย่างนั้นก็กลับไม่มีคำขอโทษใดๆกลับมาจากผู้หญิงคนนั้นเลย 

     

    ‘ เธอพูดแบบนี้กับผู้หญิงได้ยังไงเป็นผู้ชายก็ต้องเป็นฝ่ายรออยู่แล้วไม่ใช่หรอ 

     

    กลับกลายเป็นว่าเธอคนนั้นกำลังโกรธใส่ผมทั้งที่ความรู้สึกนั้นมันต้องเป็นผมที่แสดงออกไปต่างหาก ใบหน้าหวานหงิกงุ้มลง ทำเอาบรรยากาศในตอนนั้นมันไม่น่าสนุกเอาซะเลย ผมเลือกที่จะไม่พูดอะไรอีกเพราะไม่อยากมีปัญหา โดยที่ไม่ได้ทันรู้ตัวว่าตอนนั้นความรู้สึกที่เธอมีต่อผมจะเริ่มเข้าข่ายติดลบไปแล้ว 

     

    บรรยากาศมันดำเนินไปอย่างน่าเบื่อ ถึงจะอาศัยเครื่องเล่นต่างๆ บรรยากาศสนุกสนาน หรือสถานที่น่ารักๆที่มีไว้สำหรับคู่รัก ความรู้สึกที่ผมมีต่อเธอก็ไม่ได้เปลี่ยนไป …เธอเป็นเหมือนผู้หญิงแปลกหน้าคนหนึ่ง ผมไม่ได้รู้จักอะไรกับเธอนอกจากชื่อและรูปร่างหน้าตาเท่านั้น ฝ่ายนั้นเองก็คงไม่ต่างกันเท่าไร 

     

    ‘ ฉันทนไม่ไหวแล้วนะทั้งที่ทำขนาดนี้แล้วเธอก็ยังทำเหมือนไม่สนใจฉันเลย 

     

    อาจเป็นเพราะเวลาหรืออะไรก็แล้วแต่… มันเร็วเกินกว่าที่ความรู้สึกพิเศษจะก่อตัวขึ้นมาได้ 

     

                เจ้าของเรือนผมหยักศกสีคาราเมลมัดขึ้นเป็นแกละสองข้างก้มหน้านิ่ง ก่อนที่ไหล่เล็กทั้งสองข้างจะกำลังสั่นสะอื้น คราวนี้มันไม่ใช่ความรู้สึกเขินอายเหมือนครั้งแรกที่พบกัน เธอเริ่มร้องไห้งอแง และนั่นดูเหมือนจะเป็นจุดสนใจให้กับคนที่เดินผ่านมาไม่น้อย 

     

    นั่นคือเหตุการณ์ก่อนที่เธอคนนั้นจะตบหน้าผมแล้ววิ่งออกไปทั้งใบหน้าปริ่มน้ำตา 

     

                ผมผิดหรือเปล่าที่ไม่ได้เป็นคนแบบที่ใครๆก็ลือกันเจ้าชาย? เงียบขรึม บ้านรวยบ้างล่ะ สุภาพบุรุษบ้างล่ะ… ผมไม่รู้ว่าพวกเขาไปเอาข่าวลือแบบนั้นมาจากไหน 

     

                ผู้ชายตัวสูงกับผมสีส้มเด่นสะดุดตาซอยสั้นเรี่ยคอ โอเคบางทีหน้าตาผมอาจจะพอไปวัดไปวา ถึงได้มีข่าวลือแบบนั้นเกิดขึ้นมาได้ เวลาอยู่โรงเรียนอาจจะไม่ค่อยคุยกับใครเพราะมันค่อนข้างวุ่นวาย แต่ตัวตนที่แท้จริงของผมมันก็แค่ผู้ชายที่เกิดในบ้านฐานะปานกลางคนหนึ่ง ไม่ได้มีอะไรพิเศษกว่าใคร แถมยังเป็นคนพูดจาขวานผ่าซากด้วยก็ส่วนหนึ่ง 

     

    นั่นแหละรักแรกพบของใครๆหลายคนหรือความจริงแล้วของแบบนี้มันก็เพียงแค่การมองกันที่เปลือกนอกเท่านั้น

      

    ผมเดินไปตามลานกว้างของสวนสนุกต่อไปอย่างไม่มีจุดหมาย รู้สึกเหมือนกับการมาในครั้งนี้มันจะเสียเที่ยวซะแล้ว การมาเล่นเครื่องเล่นด้วยตัวคนเดียวอาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีเท่าไรนัก 

     

    ผมคิดอย่างนั้น ในขณะที่ท้องก็ร้องประท้วงว่าต้องการอาหาร สองขาพาร่างของตัวเองตรงไปยังโซนอาหาร อีกไม่กี่ก้าวก็จะเดินไปถึง แค่เท่านั้นจริงๆ… มือข้างซ้ายของผมก็โดนดึงไปด้านหน้าด้วยแรงที่ไม่เบานัก 

     

    เฮ้นี่มันอะไรกันเนี่ย 

     

    “ เร็วๆสิ รีบวิ่งเลยนะฉันเพิ่งไปได้ตั๋วมาเมื่อกี๊เลยรู้หรือเปล่า! ” ผมกำลังโดนใครบางคนที่ไม่รู้จักดึงแขนไปข้างหน้าพร้อมกำลังเร่งฝีเท้าด้วยความเร่งรีบเหมือนที่ปากของเจ้าตัวว่า มืออีกข้างชูกระดาษที่คลับคล้ายคลาว่าจะเป็นตั๋วขึ้นมาให้ดู 

     

     “ นี่เธอฉันว่าเธอดึงตัวมาผิดคนแล้วนะ! ” ผมพูดไปในขณะที่ปลายเท้าก็ต้องเร่งให้ทันคนข้างหน้า ผู้หญิงตัวเล็กๆกับผมสีดำยาวประบ่า เธอสวมเสื้อฮู้ดสีชมพูเข้าคู่กับกางเกงขาสั้นโชว์เรียวขาเล็กที่น่ามอง และรองเท้าผ้าใบเสริมส้นสีขาว 

     

    “ หา…? อะไรของนายน่ะเอส ไหนว่าอยากเล่นไง? ฉันไปต่อแถวอยู่ตั้งนานเลยนะ ” 

     

    แล้วเอสนี่ใครกันฟะ… กำลังเข้าใจว่าผมเป็นใครบางคนอยู่หรือไง 

     

                ประสบการณ์แบบนี้ก็เคยเป็นตอนไปเดินงานเทศกาลสมัยเด็กมากๆ ช่วงที่กำลังสนใจกับความระรานตา มือก็คว้าเอามือของคนอื่นที่ไม่ใช่แม่ตัวเองเดินเข้าไปงานด้วยความร่าเริง… 

     

     “ นี่เธอ ฉันไม่ใช่เอสอะไรนั่นหรอกนะแล้วก็หยุดวิ่งซักที เธอกำลังจะไปไหนน่ะฮะ? ” ผมบ่นกลับไปชุดใหญ่ ในขณะที่เธอคนนั้นกับกำลังตั้งหน้าตั้งตาวิ่งต่อไป เส้นทางข้างหน้าที่ผมพอจะคุ้นเคยอยู่บ้างว่ามันกำลังนำทางไปยังที่ใด

      

                ฝ่ามือของเธอเล็กกว่าผมมาก ถึงอย่างนั้นก็สัมผัสได้ถึงความนุ่มนิ่ม ความรู้สึกอุ่นๆที่ผ่านฝ่ามือของผมมาทำให้บริเวณใบหน้ารู้สึกเห่อร้อนขึ้นมานิดหน่อยโดยไม่รู้สาเหตุ ทั้งยังยอมให้คนตัวเล็กตรงหน้าลากมาจนถึงทางเข้าเครื่องเล่นหน้าตาน่ากลัวนี่จนได้… 

     

    บ้านผีสิง 

     

    “ ฉันบอกให้หยุดก่อนไง!ฟังนะ แล้วหันหน้ามามองนี่ ” ผมวางมือลงบนไหล่บางๆทั้งสองข้างของเด็กสาว หมุนตัวเธอมาประจันหน้ากันตรงๆ พลันความรู้สึกหนึ่งก็แล่นเข้ามาจนแขนขาเหมือนจะขยับไม่ได้ไปพักหนึ่ง 

     

    ความรู้สึกเหมือนโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะ 

     

    ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ผมจ้องหน้าเธอนิ่ง เธอเองก็กำลังมองหน้าผมเช่นกัน ในขณะที่ดวงตาสีน้ำตาลคู่นี้ไม่อาจจะละสายตาไปจากภาพตรงหน้าได้ 

     

    เด็กผู้หญิงตัวเล็กที่สูงเพียงหน้าอกของผม ท่าทางดูบอบบางแบบที่หากเผลอพลั้งมือบีบแรงเกินไปอาจจะบุบสลาย เส้นผมที่ดูนุ่มสวยตัดบ็อบชนบ่าและผมม้ากระเซิงๆล้อมกรอบใบหน้าเรียวมน ดวงตากลมโตสีดำสนิทคู่นั้นเหมือนกำลังสะกดทุกอย่างให้เงียบสงัด บริเวณใต้ตาซ้ายมีรอยแผลเป็นน้อยๆ จมูกเล็กโด่งรั้น กับริมฝีปากบางสีชมพูระเรื่อแบบคนสุขภาพดี 

     

    ทั้งลักษณะโดยรวมดูเหมือนเป็นเด็กผู้หญิงซุกซนคนหนึ่ง อายุคงจะอยู่ราวๆม.ปลายปีหนึ่งหรือสอง เธอไม่ได้มีอะไรพิเศษไปกว่าคนอื่นๆ หรืออาจจะมีบ้างกับความน่ารักนี่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำให้ผมเกิดอาการเหมือนโดนสต๊าฟเอาไว้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน… 

     

    ฝ่ายนั้นสะดุ้งขึ้น เหมือนจะเพิ่งรู้ตัวว่าเผลอจ้องหน้าผมนานเกินไป คิ้วเรียวขมวดมุ่น เธอจ้องผมเหมือนยังลำดับเหตุการณ์อะไรไม่ได้มากนัก เสียงเล็กนั่นเป็นตัวเรียกสติของผมให้กลับคืนมาอีกครั้ง 

     

    “ นายเป็นใคร? ” 

     

     “ ฉะฉันถึงบอกแล้วไงว่าเธอดึงตัวมาผิดคนน่ะ!  

     

    อยู่ๆลิ้นของผมมันก็พันกันจนหลุดพูดประโยคที่ติดๆขัดๆแบบนั้นออกไป สีหน้าที่ซีดอยู่แล้วของผู้หญิงคนนั้นเปลี่ยนเป็นความตกใจ ก่อนที่ร่างกายบอบบางนั่นจะกำลังโค้งตัวขอโทษเป็นพัลวัน 

     

    “ ขอโทษนะ เหมือนจะผิดคนจริงๆด้วย… หวาต้องรีบไปตามหาเอสซะแล้วสิ 

     

    สองขาเริ่มไม่อยู่นิ่งพร้อมกับใบหน้าเลิ่กลั่ก จังหวะนั้นผมไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เอื้อมมือออกไปคว้าแขนข้างหนึ่งของเธอเอาไว้ก่อนที่จะวิ่งออกไป อาจจะเป็นเพราะเจ้าหน้าที่หน้าบ้านผีสิงส่งเสียงเรียกได้พอดีกับจังหวะก็เป็นได้ 

     

    “ ลูกค้าลำดับที่ 101 และ 102 กรุณามาเข้าแถวด้วยค่ะ ” 

     

                เสียงแว่วจากพนักงานที่กำลังยืนจัดระเบียบคิวลูกค้าของบ้านผีสิง แต่ละรอบจะจำกัดจำนวนคนเข้าไม่เกินยี่สิบคน ดูเหมือนลำดับ101 กับ 102  จะเป็นหัวแถวของรอบต่อไป และเลขที่ว่านั่นก็ดันตรงกับบัตรในมือของเด็กสาวเสื้อฮู้ดสีชมพูพอดี จากสายตาคิวอื่นๆที่กำลังมองมาด้วยความสงสัย ส่งให้ทั้งผมและเธอจำเป็นต้องเดินเข้าไปในแถวอย่างช่วยไม่ได้ 

     

    “ ขอโทษนะ… ฉันทำให้นายลำบากแล้วสิ เอาเป็นว่าบัตรนี่ฉันให้นายก็แล้วกัน ” เธอยัดบัตรคิวใส่มือผมพร้อมฉีกยิ้มกว้างโชว์ฟันครบทุกซี่ ใบหน้านั้นยามประดับด้วยรอยยิ้มมันกลับดูสดใสและน่ามองยิ่งกว่าตอนไหนๆ… ไม่เข้าใจว่าทำไมผมถึงมายืนชมคนอื่นอยู่แบบนี้กันเนี่ย 

     

    อันที่จริงผมก็ไม่ค่อยถูกโรคกับเครื่องเล่นที่เรียกว่าบ้านผีสิงนี่ซักเท่าไรด้วย… คิดแบบนั้นพลางแสดงสีหน้าห่อเหี่ยวออกมาอย่างไม่ปิดบัง 

     

    “ อา… นายไม่ชอบงั้นหรอ ถ้างั้นไม่เป็นไร ฉันเข้าไปคนเดียวก็ได้ 

     

    ใบหน้ายิ้มแย้มเหมือนกำลังจะบอกว่าสบายมาก กับแววตาตื่นเต้นที่แสดงผ่านอัญมณีสีดำนั่น ทำให้ผมรู้สึกราวกับว่าหัวใจมันกระตุกไปครั้งหนึ่ง เธอไม่คิดว่าการปล่อยเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งไว้ในบ้านผีสิงมันโหดร้ายเกินไปหน่อยหรือไง… ขืนผมทำแบบนั้นจริงคงจะเป็นผู้ชายที่ไม่ได้เรื่องเกินไปหน่อยมั๊ง 

     

    “ ไม่เอาล่ะ… ฉันจะเข้าไปกับเธอด้วย ” 

     

    ผมมองใบหน้าหวานนั้นพร้อมคิ้วที่ขมวดแน่น วางมือลงบนผมสีดำก่อนขยี้มันเบาๆด้วยความหมั่นเขี้ยว เธอชะงักไปเล็กน้อย แต่เสียงหัวเราะเบาๆก็ดังออกมาหลังจากนั้น บางทีใบหน้าเวลาคงไว้ด้วยรอยยิ้มคนนี้อาจจะน่ามองจริงๆก็ได้ ผมก็แค่คิดแบบนั้นถึงได้ไม่อยากละสายตาออกไปซักเท่าไร 

     

                ใช้เวลายืนรอร่วมสิบนาที กลุ่มที่เข้าไปก่อนหน้าจึงทยอยกันออกมา พนักงานตรวจบัตรของผมกับผู้หญิงตรงหน้า ก่อนจะให้ผ่านเข้าไปโดยไม่มีปัญหาอะไร บ้านผีสิงถูกออกแบบออกมาให้เหมือนกับปราสาทของยุโรปในยุคกลาง ทั้งเก่าแก่และผสมผสานความหลอนเอาไว้ด้วยกัน ลมเย็นๆจากเครื่องปรับอากาศภายในที่ดูเหมือนจะปรับให้มันหนาวกว่าปกติเริ่มพัดเข้ามาปะทะผิวกาย ในขณะที่บรรยากาศรอบข้างตั้งแต่ก้าวผ่านประตูเข้ามาเริ่มเปลี่ยนเป็นความมืดสลัว 

     

                ไม่มีบทสนทนาใดๆระหว่างเธอและผม เด็กสาวคนนั้นเดินเข้าไปในบ้านผีสิงด้วยท่าทีนิ่งสงบ ระยะห่างระหว่างเราเหมือนกับคนแปลกหน้าที่ต่างคนต่างก็ซื้อบัตรเข้ามาเท่านั้น เธอเหมือนพยายามจะรักษามารยาทของความเป็นคนแปลกหน้ากับผม 

     

    ผมไม่อาจห้ามตัวเองให้สาวเท้าเร็วขึ้นเพื่อก้าวให้ทันคนตัวเล็กตรงหน้า ก่อนคว้ามือข้างหนึ่งของเธอมากุมเอาไว้โดยไม่ได้ขออนุญาต นั่นทำให้ร่างนั้นสะดุ้งขึ้นก่อนหันมามองด้วยท่าทางตกใจ 

     

    “ ห้ามปล่อยนะ! ไม่ว่ายังไงก็ช่วยจับมือฉันไว้จนกว่าจะออกไปจากที่นี่ได้มั๊ย! ” 

     

    ให้ตายเถอะ... ดูสิว่าผมพูดอะไรออกไป เป็นฝ่ายผมต่างหากที่กำลังกุมมือเล็กๆนั่นอยู่ แสงมันสลัวเกินกว่าที่จะมองเห็นได้ชัดว่าเธอกำลังแสดงสีหน้าแบบไหน ทั้งยังหันกลับไปเดินต่อก่อนที่ผมจะได้พูดอะไรอีก 

     

    “ อะ..อื้ม ได้สิ งั้นเดินจับมือกันไปตลอดทางเลยแล้วกันนะ ” 

     

    ผมไม่ใช่ผู้ชายเพอร์เฟ็คอย่างที่ใครๆลือกัน ผมไม่สามารถปลอบใจคนอื่นเวลาอยู่ในบ้านผีสิงได้ ผมกำลังทำในสิ่งที่ผู้ชายในฝันของใครๆมักไม่ทำกัน... 

     

    ผมกลัวผีมาก... มันไม่มีอะไรมากกว่านี้เลย 

     

    “ นี่เธอก็อย่าเดินเข้าไปใกล้มันนักสิของแบบนี้น่ากลัวจะตา— อ้ากกก!  

     

    ผมร้องเรียกคนตรงหน้าที่วิ่งแจ้นเข้าไปหาหุ่นมัมมี่ปลอมที่บรรจุอยู่ในกล่องใสๆ เพียงพักหนึ่งมันก็เด้งขึ้นมาชนกับผนังกล่อง เสียงหัวเราะดังออกมาพอดีกับจังหวะขำของเสียงหวานๆตรงหน้าผม 

     

    “ ฮะฮะ ดูนี่สิ! นี่มันสุดยอดไปเลยไม่ใช่หรอ ฉันอยากได้กลับไปตั้งที่บ้านบ้างจัง! ” 

     

    “ นี่ขอล่ะไปกันเถอะ เธอกำลังทำให้ฉันกลัวอยู่นะ! ” 

     

    ผมเริ่มโวยวาย ในขณะที่ร่างเล็กนั้นวิ่งเข้าไปสนใจหุ่นผีตัวไหน มันก็เป็นความซวยของผมที่จับมือเธออยู่และจำเป็นต้องโดนลากไปตามอย่างช่วยไม่ได้ แต่ถ้าให้ปล่อยมือผู้หญิงคนนี้แล้วเดินไปคนเดียวก็ไม่เอาเหมือนกัน ถึงจะรู้ว่าผีพวกนี้เป็นของปลอมแต่ก็อดกลัวไม่ได้อยู่ดี 

     

    “ ไปเถอะน่าเธอมัวแต่หมกตัวอยู่ในห้องนี้นานเกินไปแล้วนะ รีบๆหาทางออกได้แล้วน่า 

     

    เป็นผมที่เป็นฝ่ายลากเธอออกมาเสียเอง เรียกเสียงงอแงเหมือนกับเด็กจากร่างเล็กๆนั้นได้นิดหน่อย ความมืดนี่ทำให้กลัวว่าจะมีอะไรโผล่มาดึงขาหรือเปล่า ได้แต่เดินตามลูกศรบอกทางที่ทำจากหลอดไฟLEDไปเรื่อยๆ 

     

    สัมผัสที่นุ่มนิ่มจากฝ่ามือเล็กของเด็กผู้หญิงคนนี้ และฝ่ามือของผมที่เย็นเฉียบเพราะความกลัว ทำให้รู้สึกร้อนแปลกๆที่ใบหน้าอีกแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกำลังกลัวหรือเหตุผลอย่างอื่นกันแน่หัวใจมันถึงได้เต้นแรงขนาดนี้

      

    ไม่มีใครปล่อยมือออกจากกัน ผมและเธอยังคงเดินขนาบข้างกันไปเรื่อยๆ เข้าสู่ห้องใหม่ที่เปลี่ยนฉากไปโดยสิ้นเชิง เส้นทางเดินถูกบีบให้แคบลงพร้อมกับทางเดินคดเคี้ยว บรรดาหุ่นปลอมที่ห้อยโตงเตงลงมาจากเพดานทำให้ผมเผลอกำมือเด็กสาวข้างๆกันแน่นขึ้น ปลายเท้าสับให้เร็วขึ้นในขณะที่ได้ยินแต่เสียงชื่นชมดังมาจากคนตัวเล็กข้างๆ 

     

    มันมีแต่สิ่งที่สร้างขึ้นมาให้เหมือนกับป้ายหลุมศพอยู่เต็มไปหมด ผมรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องเท่าไรนัก ต้องคอยยั้งไม่ให้ผู้หญิงคนนี้พุ่งเข้าไปหาอะไรแปลกๆอยู่ตลอด 

     

    “ เฮ้ๆ พะพอเถอะน่าฉันว่ามันไม่ค่อยจะดีแล้วนะ! ” เสียงของผมสั่นเป็นเจ้าเข้า พยายามกึ่งจูงกึ่งลากเด็กคนนี้ออกไปจากสิ่งที่เป็นกล่องทรงสี่เหลี่ยมสีดำ บนฝาที่กำลังสั่นกึกกักนั้นมีสัญลักษณ์ที่เหมือนกับไม้กางเขนประทับเอาไว้อยู่ 

     

    “ ไม่ดีๆ ไม่ดีแน่ๆ ฉันว่ามันต้องพุ่งออกมาแน่ๆ 

     

    ครึกๆๆๆ

     

     

    พรวดดด!! 

     

    และแล้วทันใดนั้น บางสิ่งบางอย่างเด้งขึ้นมาในระดับพอดีกับสายตา พร้อมกับใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยแต้มสีแดงซึ่งกำลังไหลหยดลงสู่พื้นตามแรงโน้มถ่วงของโลก มันเพียงพอที่จะเรียกความตกใจจากคนอย่างผมได้มหาศาล 

     

    “ ว้ากกกกกกกกกกก!! ” 

     

                ไม่มีการขยับเขยื้อนออกไปจากที่เดิม มือของผมพยายามคว้าเอาบางสิ่งที่สามารถยึดเกาะได้ในเวลานี้ให้เร็วที่สุด นั่นเพราะขามันดันสั่นจนไม่สามารถยกออกไปได้ ตาทั้งสองข้างหลับปี๋ ประมาณว่าชาตินี้ไม่ขอมาเจออะไรแบบนี้อีกแล้ว หัวใจของผมมันเต้นรัวอย่างกับจะระเบิดออกมาข้างนอกให้ได้เสียเดี๋ยวนั้น 

     

    “ อ้ากกกก นี่เธอจะบ้าหรือไง!! ฉันบอกแล้วไงว่าให้พอได้แล้วพาฉันออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้เลยนะ!! ” ปากก็ว่าไปในขณะที่ในใจก่นด่าผีปลอมนั่นแบบนอนสต็อป นี่มันไม่ได้อะไรเลยนอกจากเสียงกรีดร้องกับสติที่แตกกระเจิง เป็นเครื่องเล่นที่สร้างออกมาเพื่อหากินกับความตกใจของลูกค้า เป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมเลือกจะเล่น เพราะมันไม่มีอะไรนอกจากการหลับตาปี๋ไปเรื่อยๆจนกว่าจะถึงทางออกแบบนี้ยังไงล่ะ

     

    ทำไมเธอถึงยังไม่ขยับไปไหนอีก อย่าบอกนะว่ากำลังเกิดสนใจไอ้ผีโชกเลือดนี่ขึ้นมาน่ะ

     

    “ เอ่อถ้าทำแบบนี้ฉันก็เดินออกไปไม่ได้นะ ” 

     

                หนึ่งเสียงเป็นตัวเรียกสติของผมให้กลับมา จนกระทั่งเปลือกตานี่จำเป็นต้องเปิดขึ้นอย่างสุดวิสัย ถึงได้รู้ว่าตัวเองได้เผลอทำอะไรแปลกๆเข้าแล้ว… 

     

    “ อะ..เอ่อ ขอโทษ! …มันเผลอไปหน่อย ” 

     

                ผมรีบผละตัวออกห่างจากกายเล็กข้างๆ คลายวงแขนทั้งสองข้างออกจากร่างบอบบางที่ไม่รู้ว่าเผลอไปกอดไว้แน่นตั้งแต่ตอนไหน ความหลอนรอบตัวไม่ใช่ตัวปัญหาในการทำให้กลัวอีกต่อไป เมื่อก้อนเนื้อที่อยู่ใต้อกมันกำลังกระโดดโลดเต้นจนเสียงดังโครมครามไปหมด ไม่เคยรู้สึกเห่อร้อนที่ใบหน้ารุนแรงเท่าครั้งนี้มาก่อน ผมไม่รู้ว่านี่มันคืออะไรกันแน่ 

     

    นี่มันแปลกประหลาดเกินไปแล้ว ทำไมความรู้สึกแบบนี้ถึงเกิดขึ้นกับคนที่เพิ่งเคยพบกันครั้งแรกได้… ต่างฝ่ายต่างก็ไม่รู้จักกัน แม้แต่ชื่อก็ยังไม่มีใครได้เอ่ยออกไปเลย 

     

                สัมผัสที่เย็นเยียบเหมือนกับมีคนมาเป่าลมหายใจรดต้นคอทำให้ผมสะดุ้งขึ้น เสียงปลายเท้าหนักๆกำลังดังไล่หลังมาพร้อมกับเสียงโหยหวน ความรู้สึกทุกอย่างมันกำลังไหลมาปนกันมั่วไปหมด จังหวะนั้นในหัวมันวุ่นวายเกินกว่าจะคิดอะไรออก มือก็คว้าเอาข้อมือบางของคนตรงหน้าก่อนสาวเท้าออกวิ่งอย่างสุดชีวิต นึกด่าคนสร้างในใจว่าจะเส้นทางเดินให้มันยาวอะไรขนาดนี้ วิ่งมาตั้งนานแล้วก็ยังไม่เจอทางออกซักที 

     

    ผมรีบสาวเท้าเข้าสู่แสงสว่างเหมือนแมลงเม่า สุดปลายทางที่มองเห็นแสงนั่นคือทางออกที่รอคอยมาแสนนาน ความวุ่นวายจากภายนอกเริ่มไหลเข้าสู่ประสาทการรับรู้อีกครั้ง ได้แต่ยืนหอบหายใจด้วยความเหนื่อยอยู่ข้างๆกันกับเจ้าของเสียงหวานที่เคยวิ่งจับมือกันมาตลอดทาง 

     

    “ ฉันหิวแล้วอ่ะ ไปหาอะไรกินกันเถอะ 

     

    มือของผมและเธอยังคงจับกันเอาไว้เหมือนเดิม นั่นจึงสะดวกต่อการที่เธอจะดึงตัวผมออกไปยังโซนอาหารหลังจากจบคำพูด แต่เรื่องนั้นผมก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร เพราะส่วนตัวแล้วก็หิวมาตั้งแต่ก่อนเดินเข้าบ้านผีสิงนี่ซะอีก โต๊ะเข้าคู่กับเก้าอี้อีกสี่ตัวกลางลานกว้างติดกับบ่อน้ำเล็กๆถูกจับจองเอาไว้หลังจากที่ปลายเท้าทั้งคู่ได้หยุดลง 

     

    “ เธออยากกินอะไร เดี๋ยวฉันจะเดินไปซื้อมาให้ ” ปากพูดไปอย่างนั้น ทั้งที่ปกติไม่ค่อยมีนิสัยอยากบริการคนอื่นเท่าไรนัก ผมเห็นเพียงแค่ร่างของเด็กสาวคนนั้นที่ลุกพรวดขึ้นยืนแล้วสาวเท้าออกไปแทนโดยไม่รีรออะไรทั้งนั้น 

     

    “ ฉันเดินไปซื้อเองดีกว่าฉันกินเยอะกว่านายจินตนาการไว้อีกนะ นั่งรอตรงนี้อย่าเพิ่งไปไหนล่ะ! ” ใบหน้าน่ารักประดับไปด้วยรอยยิ้มกว้าง ก่อนที่เธอจะวิ่งฉิวออกไปยังร้านอาหารแทบจะทันที ผมได้แต่มองการกระทำนั้นอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก นี่ผู้หญิงคนนี้กำลังออกปากว่าจะเลี้ยงอาหารอยู่หรือเปล่า

     

                ไม่นานเกินรอ เด็กคนนั้นก็กลับมาพร้อมกับถาดอาหารหนึ่งถาดในมือ แก้วน้ำสองใบถูกวางอยู่บนนั้น พร้อมกองพะเนินของอาหารฟาสฟู้ดจำนวนมากมายจนเผลอคิดว่าเธอไปเหมาร้านมาหรือเปล่า 

     

    “ อยากกินอันไหนก็เลือกเอาเลยนะ งั้นฉันกินล่ะ ” ถาดอาหารถูกวางลงบนโต๊ะเป็นลำดับถัดมา ก่อนที่เธอจะจัดการหยิบแฮมเบอร์เกอร์ชิ้นหนึ่งขึ้นมาแกะกระดาษห่อออกแล้วกินมันทันทีอย่างที่ปากว่า 

     

    “ นี่เธออย่าบอกนะว่าจะกินเองทั้งหมดนี่น่ะ? ” ผมถามออกไปด้วยติดไม่เชื่อสายตาตัวเอง จนการพยักหน้าสองสามทีจากอีกฝ่ายเป็นคำตอบ จึงได้แต่เผลอหลุดปากออกไปโดยไม่รู้ตัว 

     

    “ เป็นผู้หญิงจะกินเยอะขนาดนี้ได้ยังไง เธอไม่กลัวตัวเองจะอ้วนบ้างหรอ? ” 

     

                เห็นเพียงอีกฝ่ายที่ขมวดคิ้วมองพร้อมใบหน้าสงสัย แต่ผมก็ไม่ได้ทำอะไรเพิ่มเติมอีกนอกจากจะหยิบหนึ่งในอาหารเหล่านั้นมาแกะบ้าง เผลอพูดจาขวานผ่าซากออกไปอีกแล้วสิ แต่ไหงผู้หญิงคนนี้กลับดูเหมือนไม่ค่อยเข้าใจอะไรซะอย่างนั้น 

     

    “ แล้วนี่มานั่งกินอะไรกับฉันแบบนี้ โทรบอกแฟนเธอด้วยสิ ” เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่ายังมีชื่อของอีกคนในบทสนทนา ผมจึงเลือกที่จะเอ่ยแบบนั้นออกไป 

     

     ……? ” 

     

    “ เอสอะไรนั่นไง? ” 

     

    “ หวา! จริงด้วยสิ! ลืมไปเลยว่าปล่อยหมอนั่นทิ้งไว้! ” 

     

    คนตรงหน้ามีสีหน้าตื่นทันที ในขณะที่มือพยายามค้นหาวัตถุสื่อสารในกระเป๋าสะพายข้างใบเล็กๆที่เอามาด้วย แล้วละเลงนิ้วต่อสายเป็นพัลวัน ทำไมมันถึงกระดากปากที่จะพูดคำว่าแฟนออกมาขนาดนี้กันนะ… 

     

    “ ฮัลโหลเอสหรอฉันหรอ? ตอนนี้ฉันนั่งกินแฮมเบอร์เกอร์กับเพื่อนอยู่น่ะ ” 

     

    ผมไม่ได้ทำอะไรนอกจากการนั่งกินเงียบๆเท่านั้น ในขณะที่ดวงตาสีน้ำตาลของตัวเองก็กำลังจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของเด็กผู้หญิงผมดำตรงหน้า 

     

    “ หา? ไม่เอาอะกับซาโบไง? ตอนนี้ไม่ได้จริงๆนะ ” 

     

                ดูเหมือนกับว่าเธอกำลังไม่พอใจ อีกหนึ่งชื่อคนที่ผมไม่รู้จักปรากฏขึ้นมา ก่อนที่เสียงหวานนั้นจะพูดเสียงดังขึ้นมาจนผมอดตกใจตามไม่ได้ 

     

    “ ไม่เอานะถ้านายตามมาฉันจะโกรธจริงๆด้วย! ” 

     

    “ อะ อื้ม… งั้นหกโมงเย็นก็แล้วกันนะ…  

     

    “ ขอบคุณนะเอสรักนายที่สุดเลย 

     

                นั่นคือประโยคสุดท้ายที่เธอเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มร่า ประโยคบอกรักกันท่ามกลางลานกว้างแบบนี้ทำให้ผมรู้สึกชาหนึบไปนิดหน่อย 

     

    “ งั้นไปหาอะไรเล่นกันเถอะนัดกับพี่ชายแล้วว่าค่อยเจอกันอีกทีตอนหกโมงเย็นอะ ” 

     

    คนผมยาวหันมาสนใจผมทันทีวางสายโทรศัพท์ ในขณะที่ในมือยังเต็มไปด้วยของกิน ประโยคเหล่านั้นเรียกความสนใจจากผมได้ไม่น้อย 

     

    “ เธอว่ายังไงนะ …พี่งั้นหรอ? ”

      

    “ อื้อ! เอสเป็นพี่ชายฉันเอง! ” 

     

    จังหวะนั้นผมได้แต่เอ๋อทำอะไรไม่ถูก ใบหน้าที่แต้มไปด้วยรอยยิ้มมีความสุขนั่นกำลังเปรอะไปด้วยร่องรอยจากซอสมะเขือเทศ ทำให้เผลอหลุดขำออกมาเบาๆ 

     

    “ กินยังไงของเธอเนี่ย! เลอะหน้าไปหมดแล้วไม่เห็นหรือไง?! ” 

     

    คว้าเอากระดาษทิชชู่จากกล่องที่ตั้งไว้บนโต๊ะแล้วเอาไปจ่อใกล้กับใบหน้าน่ารักนั้น ที่เจ้าของได้แต่โบกมือปัดไปมาเป็นพัลวัน 

     

    “ หวา! นายนี่ดุจัง จะน่ากลัวเกินไปแล้วนะ! ” คิ้วเรียวๆนั่นกำลังขมวดยุ่งพร้อมกับตากลมที่มองค้อนมาที่ผม ทั้งที่รู้ว่าเธอคนนี้กำลังไม่พอใจ แต่ทำไมถึงคิดว่าท่าทางแบบนั้นมันน่ารักได้นะ… ทำให้ยิ่งอยากแกล้งมากขึ้นไปอีก 

     

    ไม่รู้สิมีอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมอารมณ์ดีขึ้นมาได้ขนาดนี้ 

     

                กระดาษทิชชู่ไล้ผ่านบริเวณที่ซอสมะเขือเทศเลอะเป็นปื้น ตอนที่ปลายนิ้วของผมเคลื่อนไปโดนริมฝีปากสีกุหลาบนั้นโดยไม่ตั้งใจ หัวใจมันก็พาลเต้นรัวขึ้นมาไม่เป็นจังหวะ มีแต่ผมคนเดียวหรือไงที่รู้สึกว่าการเช็ดรอยเปื้อนมันน่าตื่นเต้นขนาดนี้ 

     

    “ ลูฟี่โกะฉันชื่อลูฟี่โกะ แล้วนายล่ะ? ” 

     

    ในที่สุดชื่อของเธอก็หลุดออกมาจนได้ แอบคิดว่าจะอยู่ด้วยกันแบบนี้ต่อไปโดยไม่รู้ชื่อซะอีก… 

     

    “ นามิโซชื่อเธอก็เรียกยากเหมือนกันนี่ ” ผมยิ้มบางๆ หลายคนมักทำหน้างงกับชื่อแปลกๆของผม แต่สุดท้ายก็ได้เจอคนชื่อแปลกเหมือนกันซะแล้ว 

     

                มันไม่ได้มีอะไรหวือหวา การอยู่ร่วมกันกับเธอคนนี้เหมือนการได้มาเที่ยวกับเพื่อนคนหนึ่ง แต่ความรู้สึกมันต่างออกไป มันไม่เหมือนกับการเดตกับผู้หญิงคนนั้น ไม่ใช่ความจืดชืด แต่เหมือนมีความรู้สึกบางอย่างเข้ามาร่วมด้วย

      

    และผมมีความสุขกับมัน… ถึงจะไม่ได้แสดงออกไปให้คนอื่นเห็นก็เถอะ 

     

                กระเช้ารูปทรงคล้ายกับเม็ดยาหมุนวนไปตามวงล้อของชิงช้าสวรรค์ ที่นั่งถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่งพอดีกับจำนวนผู้ใหญ่สองคน ท้องฟ้ายามเย็นเริ่มมืดครึ้มลง ผืนผ้าสีส้มหม่นฉาบทั่วบริเวณ ในขณะที่แสงไฟหลากสีเริ่มเปิดขึ้นประชันความสวยงาม มันอยู่ในที่ที่สูงพอจะทำให้มองเห็นเมืองได้เกือบทั้งเมือง 

     

                เวลาดำเนินผ่านไปอย่างรวดเร็ว ช่วงเย็นได้มาถึงอย่างไม่ทันตั้งตัว จบลงที่การขึ้นชิงช้าสวรรค์ด้วยกัน ทั้งกระเช้าที่ผมนั่งอยู่มีเพียงความเงียบสงบ กับสายตาของคนทั้งคู่ที่ต่างกำลังสนใจกับทิวทัศน์เบื้องล่าง 

     

    “ เธอกับฉันอย่างกับคนมาเดตกันเลยนะ… ” ผมเอ่ยบทสนทนากับคนตรงหน้า นั่นเรียกให้ใบหน้าหวานนั้นหันกลับมามองพร้อมร่องรอยฉาบสีชมพูที่เพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก 

     

     นี่มันน่ารักสุดๆไปเลยไม่ใช่หรือไง

      

    “ งั้นหรอวันนี้สนุกสุดๆเลยล่ะ ” เธอเริ่มก้มหน้ามองปลายเท้าของตัวเอง ในขณะที่มือก็วางอยู่ข้างๆลำตัว ค้ำกับเบาะนั่งเอาไว้ 

     

    สถานการณ์แบบนี้มันอะไรกันความรู้สึกร้อนที่ใบหน้าตีเข้ามาที่ผมตลอดเวลา พร้อมกับเสียงหัวใจที่กำลังเต้นโครมครามขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ มันดังมากจนกลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ยินไปด้วย 

     

    จะเต้นแรงเกินไปแล้วนะเจ้าบ้า… 

     

    ก็ว่าพอจะเข้าใจได้แล้วล่ะว่ามันคืออะไรกันแน่บางทีของแบบนี้ บทอยากจะแวะเข้ามาทักทายก็เข้ามาทันทีโดยไม่ให้ทันตั้งตัว เพราะไม่เคยมีถึงได้ไม่เคยเข้าใจ มันมีอะไรที่ลึกซึ้งกว่าที่คิด… 

     

    ไม่ใช่เพราะความประทับใจแรก ไม่ใช่เพราะรูปร่างหน้าตาหรือความหลงไหล อาจเป็นเพราะสัมผัสอบอุ่นที่ส่งมาถึง ด้วยเหตุผลเพียงแค่นั้น ผมไม่คิดว่าผลกระทบของมันจะรุนแรงได้ขนาดนี้ 

     

    “ คือว่าฉัน—! / คะ คือฉัน! ” 

     

    ชอบเธอเข้าซะแล้วสิ... 

     

     …เธอพูดก่อนสิ ”

      

    ผมตัดสินใจกลืนคำพูดนั้นลงไปในลำคอ ประโยคที่เอ่ยขึ้นมาพร้อมกัน ทำให้ผมเสียสละโอกาสนั้นให้กับอีกฝ่ายโดยไม่ขัดข้องอะไร เวลาสำหรับวันนี้ยังเหลือมากพอที่จะพูดอะไรได้อีกมากมาย           

     

    สองมือเล็กยกขึ้นมาแนบข้างแก้มนิ่ม ในขณะที่ใบหน้าหวานกำลังก้มลงจนผมสีดำที่ยาวประบ่านั้นจะหลุบลงมาปกคลุมหลังมือเอาไว้อีกรอบ ใบหน้าที่ฉาบด้วยสีระเรื่อทั้งรูปร่างเรียวมน ยิ่งเร่งให้ใบหน้าของผมรู้สึกร้อนวูบวาบ จังหวะหัวใจกำลังเร็วรัวเป็นกลองชุด 

     

    “ บะ..แบบว่าฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอกว่ามันคืออะไร ตะ..แต่รู้สึกตัวอีกทีก็เผลอดุพี่ชายไปแล้วอะ” ลูฟี่โกะกำลังพูดตะกุกตะกักเหมือนคนเรียบเรียงคำพูดไม่ได้ ดวงตาสีดำทั้งคู่เสมองออกไปด้านข้างบ่งบอกอาการสับสน 

     

    “แต่ว่านะ! ฉันอยากอยู่กับนาย! มันสนุก มันไม่เหมือนเวลาอยู่กับพี่ชาย กับเพื่อนหรือกับปู่มันต่างออกไป ” 

     

                ยิ่งประโยคสุดท้ายยิ่งทำให้ใบหน้านั้นก้มงุดลงกว่าเดิม พอๆกับผมที่ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน มือไม้หาที่วางไม่ได้จนต้องจบลงที่กลุ่มผมนิ่มของเด็กสาวตรงหน้า ก่อนขยี้มันเบาๆด้วยความรู้สึกที่กำลังตีกันในใจ 

     

    “ ยัยบ้าเอ้ย… ” 

     

    ผมไม่ได้พูดอะไรออกมามากกว่านั้นเลย ระหว่างเรามีเพียงเสียงหัวใจเต้นโครมครามเป็นตัวดำเนินเหตุการณ์ กลายเป็นว่าต่างฝ่ายต่างก็ไม่กล้าสบตากัน จนกระทั่งกระเช้าอันนี้จวนจะวนครบรอบแล้ว 

     

    น่ารักเกินไปไม่คิดว่าน่ารักเกินไปแบบนี้มันขี้โกงบ้างหรือไง 

     

    “กลับบ้านได้แล้ว …พี่ชายเธอเขาเป็นห่วงมากนะรู้มั๊ย ” 

     

                ทันทีที่ประตูกระเช้าเปิดออก ผมดันหลังคนตัวเล็กไปข้างหน้าเบาๆ ในขณะที่ภาพของผู้ชายผมดำคนหนึ่งที่วิ่งมาด้วยความรีบร้อนจะปรากฏแก่สายตา เขาพรวดพราดเข้ามาหาเด็กสาวคนนี้โดยไม่ลังเล ในขณะที่ใบหน้าติดจะคมคายนั้นมีท่าทีเหมือนคนอยากร้องไห้เต็มทน 

     

    “ นี่… แล้วเราจะได้เจอกันอีกหรือเปล่า? ” 

     

    ในขณะที่ปลายเท้าคู่นั้นกำลังก้าวห่างออกไป ใบหน้าน่ารักก็หันกลับมามองผมเหมือนยังอาลัยไม่น้อย พวงแก้มทั้งสองข้างยังคงฉาบไปด้วยสีชมพูน่ามอง สายตาของผมเหลือบไปเห็นใบหน้าของคนที่แสดงตัวว่าเป็นพี่ชายกำลังมองมาเหมือนอยากจะพุ่งเข้ามางับหัวเสียเดี๋ยวนั้น อดจะขำในใจเบาๆไม่ได้ 

     

    ก็น้องสาวน่ารักขนาดนี้… พอเข้าใจอยู่หรอกว่าจะหวงมากขนาดไหน 

     

    รอยยิ้มที่มุมปากปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผม ถึงนี่จะเป็นการจากลา แต่ผมไม่รู้สึกว่ามันเป็นแบบนั้นเลยซักนิด… 

     

       “ แน่นอน… ต่อให้ไม่อยาก ฉันก็จะไปตามหาเธอให้เจอ คอยดูก็แล้วกัน... ”

     

     

        

    ก็นะ... บางทีรักแรกพบอะไรนั่น

       ผมจะลองเชื่อดูซักครั้งก็ได้…

     








     

     

     
    อู้วววววววว คู่แรร์แบบอภิมหาแรร์ จะมีใครเขาจิ้นแบบไรเตอร์มั่งเนี่ยยยย
     
    ส่วนตัวกำลังบ้าคู่นี้เป็นพิเศษค่ะ-.,- 
    ถึงจะเลือดวาย แต่ถ้าเป็นคู่นอร์มอลในวันพีซ ไรเตอร์ก็เชียร์คู่Lunaนะคะ
    พอมาคิดๆดูว่าไหนๆลูฟี่ก็เคะแล้ว จับสลับเพศกันเลยแล้วกัน(?)
     
    โมเม้นต์ผู้ชายนิสัยเหมือนนามิ แล้วก็ผู้หญิงนิสัยเหมือนลูฟี่นี่แต่งยากจริงๆค่ะ
    กว่าจะออกมาเป็นเรื่องนี้ได้ใช้เวลาปรับอยู่นานมาก อยากได้ลูฟี่โกะผมยาวด้วย
    แต่รูปลูฟี่โกะผมยาวคู่กับนามิโซนี่หายากจริงๆค่ะ ไม่เจอเลย;-;
     
     
     
     
    ปิดซอยฉลองงงงง ขอขอบคุณรีดเดอร์สำหรับ 500+ คอมเม้นท์และ 300+ ไลค์มากๆเลยนะคะ 
     
    มาฉลองยอดไลค์ในบทความนี้ด้วย เนื่องจากเป็นบทความแรกที่สร้างขึ้นมาพร้อมๆกับเพจเลยค่ะ;-;
    ขอบคุณรีดเดอร์มากๆเลยค่ะที่ยังติดตามบทความนี้ ทั้งที่ไรเตอร์ก็มีอู้บ้างตามประสา(?) ที่จริงบทความนี้เปิดมาได้ร่วม3ปีแล้วค่ะ
    เปิดไปอ่านงานเขียนแรกๆของตัวเองแล้วเขินมาก แต่ว่าจะไม่รีไรท์เพราะจะเก็บไว้ดูพัฒนาการของตัวเองค่ะ
     
    ไรเตอร์จะอยู่กับบทความนี้ไปยาวๆเลยค่ะ ตั้งแต่ปีนี้ไปก็จะเข้ามหาลัย อาจจะยุ่งกว่าเดิมซักหน่อย
    แต่จะหาเวลาปลีกตัวมาอัพให้บ่อยที่สุด รักรีดเดอร์ทุกคนมากๆ ไรเตอร์จะตั้งใจเขียนฟิค จะใส่ใจลงไปเยอะๆ รักตัวละครให้มากๆ
    ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมาตลอดจริงๆค่ะ 
     
     
            
    ตอนหน้าจะเริ่มอัพ
    [DoflamingoxLuffy] Akaito พาร์ทแรกนะคะ 
    ขอไรเตอร์ไปเรียบเรียงพล็อตให้เข้าที่ก่อนน้าาา :)

     

     

     

    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×