คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #63 : ◣Fanfic◥ [Special pairing] Love at first sight
Title: Love at first sight
Pairing: Namizo x Luffyko
Rate: PG-13
Writer: PINKUHERO
Part: 1/1
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุณเชื่อในรักแรกพบหรือเปล่า?
คำถามนี้ดังวนอยู่ในหัวของผมหลายต่อหลายครั้ง...
ตอนที่ดูหนังหรืออ่านนิยายรัก เมื่อตัวเอกได้พบกันเพียงแวบแรก
ใช้ระยะเวลาที่สั้นแสนสั้นก็สามารถตกหลุมรักกันได้
ทำให้เกิดเรื่องราวอันน่าประทับใจได้อีกมากมาย หลายคนเสียน้ำตาและแชร์ความรู้สึกซาบซึ้งร่วมกับฉากเหล่านั้น
ผมได้แต่มองดูมัน ซาบซึ้งกับมัน
หลังจากนั้นก็เพียงยิ้มขำกับตัวเองเบาๆในใจ...
มันอาจเป็นความประทับใจแรกที่ได้พบเจอ หน้าตา
รูปร่างที่โดนใจหรืออะไรก็ตามที่ทำให้ใจสั่นได้
ผมคิดว่านั่นมันก็เพียงแค่ความหลงไหลเท่านั้น จะเอาอะไรกับรักแรกพบ... แค่ฟังชื่อก็รู้แล้วว่ามันเป็นความรู้สึกที่ไม่ยั่งยืนเอาเสียเลย
“ ขอโทษนะ... ฉันคบกับเธอไม่ได้อีกแล้ว
ฉันคิดว่าเธอจะ...เป็นแบบที่ใครๆเค้าลือกัน ”
เสียงเล็กของผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
ใบหน้าสวยหวานเปี่ยมไปด้วยน้ำตาและบ่าเล็กๆทั้งสองข้างกำลังสั่นระริกอย่างน่าสงสาร
ผมได้แต่ยืนมองภาพนั้นอยู่นิ่งๆโดยไม่สามารถทำอะไรได้
เธอฝากความรู้สึกเจ็บแปลบเอาไว้บนใบหน้าด้านซ้ายก่อนพาร่างของตัวเองวิ่งจากไป
ผมไม่ได้ทำอะไรมากกว่าการเดินไปทิ้งร่างตัวเองลงบนม้านั่งที่อยู่ใกล้ๆ
ไม่ได้มีความรู้สึกเสียใจ เจ็บปวด หรืออะไรทั้งนั้น… กลายเป็นความรู้สึกด้านชา
กับความหงุดหงิดเล็กน้อยเมื่อแก้มทั้งแถบมันกำลังแดงเถือกอยู่…
เด็กสาวตัวเล็กๆหน้าตาจิ้มลิ้ม พิมพ์นิยมแบบที่คนสมัยนี้ชอบกำลังยืนก้มหน้างุดจนคางชิดอก
แม้ไม่เห็นหน้าผมก็รู้ได้ว่าเธอคงกำลังจะเขินไม่น้อยจากใบหูที่แดงฝาด
คำสารภาพรักเพิ่งถูกเอื้อนเอ่ยขึ้นมาบนดาดฟ้าของตึกเรียน
ผมตัดสินใจตอบรับความรู้สึกนั้นโดยไม่ได้คิดอะไร
ตอนนั้นในหัวคิดแค่ว่าอยากจะลองคบกับใครซักคนดูก็ดีเหมือนกัน
ถ้าหากมันใช่ก็ค่อยดำเนินความสัมพันธ์นั้นต่อไป
ไม่ได้ฉุกคิดเลยว่าความรู้สึกของเธอตอนนั้นก็คือรักแรกพบดีๆนี่เอง…
เรื่องราวมันดำเนินไปอย่างรวดเร็ว
ผู้หญิงคนนั้นนัดเดตแรกกับผมที่สวนสนุกนี่ มันควรจะผ่านไปด้วยดี แต่เธอคนนั้นกับมาสายกว่าเวลานัดไปถึงหนึ่งชั่วโมง
ผมนั่งรอทั้งสภาพคนเยอะๆและอากาศร้อนเป็นเวลานาน
หรืออาจเป็นเพราะความหิวด้วยส่วนหนึ่ง จึงเผลอพูดในสิ่งที่ไม่ค่อยดีกับเธอไป
‘ เธอมาช้าไปหนึ่งชั่วโมง
เป็นคนนัดเองก็ควรจะตรงเวลาหน่อยสิ ’
ผมรู้ว่าตัวเองเป็นคนพูดจาขวานผ่าซากอย่างไม่เกรงใจใคร
แต่ถึงอย่างนั้นก็กลับไม่มีคำขอโทษใดๆกลับมาจากผู้หญิงคนนั้นเลย
‘ เธอพูดแบบนี้กับผู้หญิงได้ยังไง! เป็นผู้ชายก็ต้องเป็นฝ่ายรออยู่แล้วไม่ใช่หรอ! ’
กลับกลายเป็นว่าเธอคนนั้นกำลังโกรธใส่ผมทั้งที่ความรู้สึกนั้นมันต้องเป็นผมที่แสดงออกไปต่างหาก
ใบหน้าหวานหงิกงุ้มลง ทำเอาบรรยากาศในตอนนั้นมันไม่น่าสนุกเอาซะเลย ผมเลือกที่จะไม่พูดอะไรอีกเพราะไม่อยากมีปัญหา
โดยที่ไม่ได้ทันรู้ตัวว่าตอนนั้นความรู้สึกที่เธอมีต่อผมจะเริ่มเข้าข่ายติดลบไปแล้ว
บรรยากาศมันดำเนินไปอย่างน่าเบื่อ ถึงจะอาศัยเครื่องเล่นต่างๆ
บรรยากาศสนุกสนาน หรือสถานที่น่ารักๆที่มีไว้สำหรับคู่รัก
ความรู้สึกที่ผมมีต่อเธอก็ไม่ได้เปลี่ยนไป …เธอเป็นเหมือนผู้หญิงแปลกหน้าคนหนึ่ง
ผมไม่ได้รู้จักอะไรกับเธอนอกจากชื่อและรูปร่างหน้าตาเท่านั้น
ฝ่ายนั้นเองก็คงไม่ต่างกันเท่าไร…
‘ ฉันทนไม่ไหวแล้วนะ! ทั้งที่ทำขนาดนี้แล้วเธอก็ยังทำเหมือนไม่สนใจฉันเลย! ’
อาจเป็นเพราะเวลาหรืออะไรก็แล้วแต่… มันเร็วเกินกว่าที่ความรู้สึกพิเศษจะก่อตัวขึ้นมาได้
เจ้าของเรือนผมหยักศกสีคาราเมลมัดขึ้นเป็นแกละสองข้างก้มหน้านิ่ง
ก่อนที่ไหล่เล็กทั้งสองข้างจะกำลังสั่นสะอื้น
คราวนี้มันไม่ใช่ความรู้สึกเขินอายเหมือนครั้งแรกที่พบกัน เธอเริ่มร้องไห้งอแง
และนั่นดูเหมือนจะเป็นจุดสนใจให้กับคนที่เดินผ่านมาไม่น้อย
นั่นคือเหตุการณ์ก่อนที่เธอคนนั้นจะตบหน้าผมแล้ววิ่งออกไปทั้งใบหน้าปริ่มน้ำตา
ผมผิดหรือเปล่าที่ไม่ได้เป็นคนแบบที่ใครๆก็ลือกัน… เจ้าชาย? เงียบขรึม ? บ้านรวยบ้างล่ะ สุภาพบุรุษบ้างล่ะ… ผมไม่รู้ว่าพวกเขาไปเอาข่าวลือแบบนั้นมาจากไหน
ผู้ชายตัวสูงกับผมสีส้มเด่นสะดุดตาซอยสั้นเรี่ยคอ โอเค… บางทีหน้าตาผมอาจจะพอไปวัดไปวา ถึงได้มีข่าวลือแบบนั้นเกิดขึ้นมาได้
เวลาอยู่โรงเรียนอาจจะไม่ค่อยคุยกับใครเพราะมันค่อนข้างวุ่นวาย
แต่ตัวตนที่แท้จริงของผมมันก็แค่ผู้ชายที่เกิดในบ้านฐานะปานกลางคนหนึ่ง
ไม่ได้มีอะไรพิเศษกว่าใคร แถมยังเป็นคนพูดจาขวานผ่าซากด้วยก็ส่วนหนึ่ง
นั่นแหละรักแรกพบของใครๆหลายคน… หรือความจริงแล้วของแบบนี้มันก็เพียงแค่การมองกันที่เปลือกนอกเท่านั้น
ผมเดินไปตามลานกว้างของสวนสนุกต่อไปอย่างไม่มีจุดหมาย
รู้สึกเหมือนกับการมาในครั้งนี้มันจะเสียเที่ยวซะแล้ว
การมาเล่นเครื่องเล่นด้วยตัวคนเดียวอาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีเท่าไรนัก
ผมคิดอย่างนั้น ในขณะที่ท้องก็ร้องประท้วงว่าต้องการอาหาร
สองขาพาร่างของตัวเองตรงไปยังโซนอาหาร อีกไม่กี่ก้าวก็จะเดินไปถึง
แค่เท่านั้นจริงๆ… มือข้างซ้ายของผมก็โดนดึงไปด้านหน้าด้วยแรงที่ไม่เบานัก
เฮ้… นี่มันอะไรกันเนี่ย
“ เร็วๆสิ รีบวิ่งเลยนะ! ฉันเพิ่งไปได้ตั๋วมาเมื่อกี๊เลยรู้หรือเปล่า!
” ผมกำลังโดนใครบางคนที่ไม่รู้จักดึงแขนไปข้างหน้าพร้อมกำลังเร่งฝีเท้าด้วยความเร่งรีบเหมือนที่ปากของเจ้าตัวว่า
มืออีกข้างชูกระดาษที่คลับคล้ายคลาว่าจะเป็นตั๋วขึ้นมาให้ดู
“ นี่เธอ… ฉันว่าเธอดึงตัวมาผิดคนแล้วนะ!
” ผมพูดไปในขณะที่ปลายเท้าก็ต้องเร่งให้ทันคนข้างหน้า
ผู้หญิงตัวเล็กๆกับผมสีดำยาวประบ่า เธอสวมเสื้อฮู้ดสีชมพูเข้าคู่กับกางเกงขาสั้นโชว์เรียวขาเล็กที่น่ามอง
และรองเท้าผ้าใบเสริมส้นสีขาว
“ หา…? อะไรของนายน่ะเอส ไหนว่าอยากเล่นไง?
ฉันไปต่อแถวอยู่ตั้งนานเลยนะ ”
แล้วเอสนี่ใครกันฟะ… กำลังเข้าใจว่าผมเป็นใครบางคนอยู่หรือไง
ประสบการณ์แบบนี้ก็เคยเป็นตอนไปเดินงานเทศกาลสมัยเด็กมากๆ
ช่วงที่กำลังสนใจกับความระรานตา
มือก็คว้าเอามือของคนอื่นที่ไม่ใช่แม่ตัวเองเดินเข้าไปงานด้วยความร่าเริง…
“ นี่เธอ ฉันไม่ใช่เอสอะไรนั่นหรอกนะ! แล้วก็หยุดวิ่งซักที เธอกำลังจะไปไหนน่ะฮะ? ” ผมบ่นกลับไปชุดใหญ่
ในขณะที่เธอคนนั้นกับกำลังตั้งหน้าตั้งตาวิ่งต่อไป
เส้นทางข้างหน้าที่ผมพอจะคุ้นเคยอยู่บ้างว่ามันกำลังนำทางไปยังที่ใด
ฝ่ามือของเธอเล็กกว่าผมมาก ถึงอย่างนั้นก็สัมผัสได้ถึงความนุ่มนิ่ม
ความรู้สึกอุ่นๆที่ผ่านฝ่ามือของผมมาทำให้บริเวณใบหน้ารู้สึกเห่อร้อนขึ้นมานิดหน่อยโดยไม่รู้สาเหตุ
ทั้งยังยอมให้คนตัวเล็กตรงหน้าลากมาจนถึงทางเข้าเครื่องเล่นหน้าตาน่ากลัวนี่จนได้…
…บ้านผีสิง
“ ฉันบอกให้หยุดก่อนไง!ฟังนะ
แล้วหันหน้ามามองนี่ ” ผมวางมือลงบนไหล่บางๆทั้งสองข้างของเด็กสาว
หมุนตัวเธอมาประจันหน้ากันตรงๆ
พลันความรู้สึกหนึ่งก็แล่นเข้ามาจนแขนขาเหมือนจะขยับไม่ได้ไปพักหนึ่ง
…ความรู้สึกเหมือนโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะ
ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ผมจ้องหน้าเธอนิ่ง เธอเองก็กำลังมองหน้าผมเช่นกัน
ในขณะที่ดวงตาสีน้ำตาลคู่นี้ไม่อาจจะละสายตาไปจากภาพตรงหน้าได้
เด็กผู้หญิงตัวเล็กที่สูงเพียงหน้าอกของผม
ท่าทางดูบอบบางแบบที่หากเผลอพลั้งมือบีบแรงเกินไปอาจจะบุบสลาย
เส้นผมที่ดูนุ่มสวยตัดบ็อบชนบ่าและผมม้ากระเซิงๆล้อมกรอบใบหน้าเรียวมน
ดวงตากลมโตสีดำสนิทคู่นั้นเหมือนกำลังสะกดทุกอย่างให้เงียบสงัด
บริเวณใต้ตาซ้ายมีรอยแผลเป็นน้อยๆ จมูกเล็กโด่งรั้น
กับริมฝีปากบางสีชมพูระเรื่อแบบคนสุขภาพดี
ทั้งลักษณะโดยรวมดูเหมือนเป็นเด็กผู้หญิงซุกซนคนหนึ่ง
อายุคงจะอยู่ราวๆม.ปลายปีหนึ่งหรือสอง เธอไม่ได้มีอะไรพิเศษไปกว่าคนอื่นๆ
หรืออาจจะมีบ้างกับความน่ารักนี่
แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำให้ผมเกิดอาการเหมือนโดนสต๊าฟเอาไว้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน…
ฝ่ายนั้นสะดุ้งขึ้น เหมือนจะเพิ่งรู้ตัวว่าเผลอจ้องหน้าผมนานเกินไป
คิ้วเรียวขมวดมุ่น เธอจ้องผมเหมือนยังลำดับเหตุการณ์อะไรไม่ได้มากนัก
เสียงเล็กนั่นเป็นตัวเรียกสติของผมให้กลับคืนมาอีกครั้ง
“ นาย…เป็นใคร? ”
“ ฉะ…ฉันถึงบอกแล้วไงว่าเธอดึงตัวมาผิดคนน่ะ! ”
อยู่ๆลิ้นของผมมันก็พันกันจนหลุดพูดประโยคที่ติดๆขัดๆแบบนั้นออกไป
สีหน้าที่ซีดอยู่แล้วของผู้หญิงคนนั้นเปลี่ยนเป็นความตกใจ
ก่อนที่ร่างกายบอบบางนั่นจะกำลังโค้งตัวขอโทษเป็นพัลวัน
“ ขอโทษนะ เหมือนจะผิดคนจริงๆด้วย… หวา! ต้องรีบไปตามหาเอสซะแล้วสิ! ”
สองขาเริ่มไม่อยู่นิ่งพร้อมกับใบหน้าเลิ่กลั่ก
จังหวะนั้นผมไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เอื้อมมือออกไปคว้าแขนข้างหนึ่งของเธอเอาไว้ก่อนที่จะวิ่งออกไป
อาจจะเป็นเพราะเจ้าหน้าที่หน้าบ้านผีสิงส่งเสียงเรียกได้พอดีกับจังหวะก็เป็นได้
“ ลูกค้าลำดับที่ 101 และ 102 กรุณามาเข้าแถวด้วยค่ะ ”
เสียงแว่วจากพนักงานที่กำลังยืนจัดระเบียบคิวลูกค้าของบ้านผีสิง
แต่ละรอบจะจำกัดจำนวนคนเข้าไม่เกินยี่สิบคน ดูเหมือนลำดับ101 กับ 102 จะเป็นหัวแถวของรอบต่อไป
และเลขที่ว่านั่นก็ดันตรงกับบัตรในมือของเด็กสาวเสื้อฮู้ดสีชมพูพอดี
จากสายตาคิวอื่นๆที่กำลังมองมาด้วยความสงสัย
ส่งให้ทั้งผมและเธอจำเป็นต้องเดินเข้าไปในแถวอย่างช่วยไม่ได้
“ ขอโทษนะ… ฉันทำให้นายลำบากแล้วสิ
เอาเป็นว่าบัตรนี่ฉันให้นายก็แล้วกัน ”
เธอยัดบัตรคิวใส่มือผมพร้อมฉีกยิ้มกว้างโชว์ฟันครบทุกซี่
ใบหน้านั้นยามประดับด้วยรอยยิ้มมันกลับดูสดใสและน่ามองยิ่งกว่าตอนไหนๆ… ไม่เข้าใจว่าทำไมผมถึงมายืนชมคนอื่นอยู่แบบนี้กันเนี่ย
อันที่จริงผมก็ไม่ค่อยถูกโรคกับเครื่องเล่นที่เรียกว่าบ้านผีสิงนี่ซักเท่าไรด้วย… คิดแบบนั้นพลางแสดงสีหน้าห่อเหี่ยวออกมาอย่างไม่ปิดบัง
“ อา… นายไม่ชอบงั้นหรอ ถ้างั้นไม่เป็นไร
ฉันเข้าไปคนเดียวก็ได้! ”
ใบหน้ายิ้มแย้มเหมือนกำลังจะบอกว่าสบายมาก
กับแววตาตื่นเต้นที่แสดงผ่านอัญมณีสีดำนั่น
ทำให้ผมรู้สึกราวกับว่าหัวใจมันกระตุกไปครั้งหนึ่ง เธอไม่คิดว่าการปล่อยเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งไว้ในบ้านผีสิงมันโหดร้ายเกินไปหน่อยหรือไง… ขืนผมทำแบบนั้นจริงคงจะเป็นผู้ชายที่ไม่ได้เรื่องเกินไปหน่อยมั๊ง
“ ไม่เอาล่ะ… ฉันจะเข้าไปกับเธอด้วย ”
ผมมองใบหน้าหวานนั้นพร้อมคิ้วที่ขมวดแน่น
วางมือลงบนผมสีดำก่อนขยี้มันเบาๆด้วยความหมั่นเขี้ยว เธอชะงักไปเล็กน้อย
แต่เสียงหัวเราะเบาๆก็ดังออกมาหลังจากนั้น
บางทีใบหน้าเวลาคงไว้ด้วยรอยยิ้มคนนี้อาจจะน่ามองจริงๆก็ได้ ผมก็แค่คิดแบบนั้น… ถึงได้ไม่อยากละสายตาออกไปซักเท่าไร
ใช้เวลายืนรอร่วมสิบนาที กลุ่มที่เข้าไปก่อนหน้าจึงทยอยกันออกมา
พนักงานตรวจบัตรของผมกับผู้หญิงตรงหน้า ก่อนจะให้ผ่านเข้าไปโดยไม่มีปัญหาอะไร
บ้านผีสิงถูกออกแบบออกมาให้เหมือนกับปราสาทของยุโรปในยุคกลาง
ทั้งเก่าแก่และผสมผสานความหลอนเอาไว้ด้วยกัน
ลมเย็นๆจากเครื่องปรับอากาศภายในที่ดูเหมือนจะปรับให้มันหนาวกว่าปกติเริ่มพัดเข้ามาปะทะผิวกาย
ในขณะที่บรรยากาศรอบข้างตั้งแต่ก้าวผ่านประตูเข้ามาเริ่มเปลี่ยนเป็นความมืดสลัว
ไม่มีบทสนทนาใดๆระหว่างเธอและผม
เด็กสาวคนนั้นเดินเข้าไปในบ้านผีสิงด้วยท่าทีนิ่งสงบ
ระยะห่างระหว่างเราเหมือนกับคนแปลกหน้าที่ต่างคนต่างก็ซื้อบัตรเข้ามาเท่านั้น
เธอเหมือนพยายามจะรักษามารยาทของความเป็นคนแปลกหน้ากับผม
ผมไม่อาจห้ามตัวเองให้สาวเท้าเร็วขึ้นเพื่อก้าวให้ทันคนตัวเล็กตรงหน้า
ก่อนคว้ามือข้างหนึ่งของเธอมากุมเอาไว้โดยไม่ได้ขออนุญาต
นั่นทำให้ร่างนั้นสะดุ้งขึ้นก่อนหันมามองด้วยท่าทางตกใจ
“ ห้ามปล่อยนะ! ไม่ว่ายังไงก็ช่วยจับมือฉันไว้จนกว่าจะออกไปจากที่นี่ได้มั๊ย!
”
ให้ตายเถอะ... ดูสิว่าผมพูดอะไรออกไป
เป็นฝ่ายผมต่างหากที่กำลังกุมมือเล็กๆนั่นอยู่ แสงมันสลัวเกินกว่าที่จะมองเห็นได้ชัดว่าเธอกำลังแสดงสีหน้าแบบไหน
ทั้งยังหันกลับไปเดินต่อก่อนที่ผมจะได้พูดอะไรอีก
“ อะ..อื้ม ได้สิ งั้นเดินจับมือกันไปตลอดทางเลยแล้วกันนะ
”
ผมไม่ใช่ผู้ชายเพอร์เฟ็คอย่างที่ใครๆลือกัน
ผมไม่สามารถปลอบใจคนอื่นเวลาอยู่ในบ้านผีสิงได้ ผมกำลังทำในสิ่งที่ผู้ชายในฝันของใครๆมักไม่ทำกัน...
ผมกลัวผีมาก... มันไม่มีอะไรมากกว่านี้เลย
“ นี่! เธอก็อย่าเดินเข้าไปใกล้มันนักสิ! ของแบบนี้น่ากลัวจะตา— อ้ากกก! ”
ผมร้องเรียกคนตรงหน้าที่วิ่งแจ้นเข้าไปหาหุ่นมัมมี่ปลอมที่บรรจุอยู่ในกล่องใสๆ
เพียงพักหนึ่งมันก็เด้งขึ้นมาชนกับผนังกล่อง
เสียงหัวเราะดังออกมาพอดีกับจังหวะขำของเสียงหวานๆตรงหน้าผม
“ ฮะฮะ ดูนี่สิ! นี่มันสุดยอดไปเลยไม่ใช่หรอ ฉันอยากได้กลับไปตั้งที่บ้านบ้างจัง! ”
“ นี่ขอล่ะ! ไปกันเถอะ เธอกำลังทำให้ฉันกลัวอยู่นะ!
”
ผมเริ่มโวยวาย ในขณะที่ร่างเล็กนั้นวิ่งเข้าไปสนใจหุ่นผีตัวไหน
มันก็เป็นความซวยของผมที่จับมือเธออยู่และจำเป็นต้องโดนลากไปตามอย่างช่วยไม่ได้
แต่ถ้าให้ปล่อยมือผู้หญิงคนนี้แล้วเดินไปคนเดียวก็ไม่เอาเหมือนกัน ถึงจะรู้ว่าผีพวกนี้เป็นของปลอมแต่ก็อดกลัวไม่ได้อยู่ดี
“ ไปเถอะน่า! เธอมัวแต่หมกตัวอยู่ในห้องนี้นานเกินไปแล้วนะ
รีบๆหาทางออกได้แล้วน่า! ”
เป็นผมที่เป็นฝ่ายลากเธอออกมาเสียเอง
เรียกเสียงงอแงเหมือนกับเด็กจากร่างเล็กๆนั้นได้นิดหน่อย ความมืดนี่ทำให้กลัวว่าจะมีอะไรโผล่มาดึงขาหรือเปล่า
ได้แต่เดินตามลูกศรบอกทางที่ทำจากหลอดไฟLEDไปเรื่อยๆ
สัมผัสที่นุ่มนิ่มจากฝ่ามือเล็กของเด็กผู้หญิงคนนี้
และฝ่ามือของผมที่เย็นเฉียบเพราะความกลัว ทำให้รู้สึกร้อนแปลกๆที่ใบหน้าอีกแล้ว
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกำลังกลัวหรือเหตุผลอย่างอื่นกันแน่หัวใจมันถึงได้เต้นแรงขนาดนี้
ไม่มีใครปล่อยมือออกจากกัน ผมและเธอยังคงเดินขนาบข้างกันไปเรื่อยๆ
เข้าสู่ห้องใหม่ที่เปลี่ยนฉากไปโดยสิ้นเชิง
เส้นทางเดินถูกบีบให้แคบลงพร้อมกับทางเดินคดเคี้ยว
บรรดาหุ่นปลอมที่ห้อยโตงเตงลงมาจากเพดานทำให้ผมเผลอกำมือเด็กสาวข้างๆกันแน่นขึ้น
ปลายเท้าสับให้เร็วขึ้นในขณะที่ได้ยินแต่เสียงชื่นชมดังมาจากคนตัวเล็กข้างๆ
มันมีแต่สิ่งที่สร้างขึ้นมาให้เหมือนกับป้ายหลุมศพอยู่เต็มไปหมด
ผมรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องเท่าไรนัก
ต้องคอยยั้งไม่ให้ผู้หญิงคนนี้พุ่งเข้าไปหาอะไรแปลกๆอยู่ตลอด
“ เฮ้ๆ พะ…พอเถอะน่า! ฉันว่ามันไม่ค่อยจะดีแล้วนะ!
” เสียงของผมสั่นเป็นเจ้าเข้า
พยายามกึ่งจูงกึ่งลากเด็กคนนี้ออกไปจากสิ่งที่เป็นกล่องทรงสี่เหลี่ยมสีดำ
บนฝาที่กำลังสั่นกึกกักนั้นมีสัญลักษณ์ที่เหมือนกับไม้กางเขนประทับเอาไว้อยู่
“ ไม่ดีๆ ไม่ดีแน่ๆ ฉันว่ามันต้องพุ่งออกมาแน่ๆ! ”
ครึกๆๆๆ…
พรวดดด!!
และแล้วทันใดนั้น บางสิ่งบางอย่างเด้งขึ้นมาในระดับพอดีกับสายตา
พร้อมกับใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยแต้มสีแดงซึ่งกำลังไหลหยดลงสู่พื้นตามแรงโน้มถ่วงของโลก
มันเพียงพอที่จะเรียกความตกใจจากคนอย่างผมได้มหาศาล
“ ว้ากกกกกกกกกกก!! ”
ไม่มีการขยับเขยื้อนออกไปจากที่เดิม
มือของผมพยายามคว้าเอาบางสิ่งที่สามารถยึดเกาะได้ในเวลานี้ให้เร็วที่สุด
นั่นเพราะขามันดันสั่นจนไม่สามารถยกออกไปได้ ตาทั้งสองข้างหลับปี๋
ประมาณว่าชาตินี้ไม่ขอมาเจออะไรแบบนี้อีกแล้ว
หัวใจของผมมันเต้นรัวอย่างกับจะระเบิดออกมาข้างนอกให้ได้เสียเดี๋ยวนั้น
“ อ้ากกกก นี่เธอจะบ้าหรือไง!! ฉันบอกแล้วไงว่าให้พอได้แล้ว! พาฉันออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้เลยนะ!! ” ปากก็ว่าไปในขณะที่ในใจก่นด่าผีปลอมนั่นแบบนอนสต็อป
นี่มันไม่ได้อะไรเลยนอกจากเสียงกรีดร้องกับสติที่แตกกระเจิง
เป็นเครื่องเล่นที่สร้างออกมาเพื่อหากินกับความตกใจของลูกค้า
เป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมเลือกจะเล่น
เพราะมันไม่มีอะไรนอกจากการหลับตาปี๋ไปเรื่อยๆจนกว่าจะถึงทางออกแบบนี้ยังไงล่ะ!
ทำไมเธอถึงยังไม่ขยับไปไหนอีก
อย่าบอกนะว่ากำลังเกิดสนใจไอ้ผีโชกเลือดนี่ขึ้นมาน่ะ!
“ เอ่อ… ถ้าทำแบบนี้ฉันก็เดินออกไปไม่ได้นะ ”
หนึ่งเสียงเป็นตัวเรียกสติของผมให้กลับมา
จนกระทั่งเปลือกตานี่จำเป็นต้องเปิดขึ้นอย่างสุดวิสัย
ถึงได้รู้ว่าตัวเองได้เผลอทำอะไรแปลกๆเข้าแล้ว…
“ อะ..เอ่อ ขอโทษ! …มันเผลอไปหน่อย ”
ผมรีบผละตัวออกห่างจากกายเล็กข้างๆ
คลายวงแขนทั้งสองข้างออกจากร่างบอบบางที่ไม่รู้ว่าเผลอไปกอดไว้แน่นตั้งแต่ตอนไหน
ความหลอนรอบตัวไม่ใช่ตัวปัญหาในการทำให้กลัวอีกต่อไป
เมื่อก้อนเนื้อที่อยู่ใต้อกมันกำลังกระโดดโลดเต้นจนเสียงดังโครมครามไปหมด
ไม่เคยรู้สึกเห่อร้อนที่ใบหน้ารุนแรงเท่าครั้งนี้มาก่อน
ผมไม่รู้ว่านี่มันคืออะไรกันแน่
นี่มันแปลกประหลาดเกินไปแล้ว
ทำไมความรู้สึกแบบนี้ถึงเกิดขึ้นกับคนที่เพิ่งเคยพบกันครั้งแรกได้… ต่างฝ่ายต่างก็ไม่รู้จักกัน แม้แต่ชื่อก็ยังไม่มีใครได้เอ่ยออกไปเลย
สัมผัสที่เย็นเยียบเหมือนกับมีคนมาเป่าลมหายใจรดต้นคอทำให้ผมสะดุ้งขึ้น
เสียงปลายเท้าหนักๆกำลังดังไล่หลังมาพร้อมกับเสียงโหยหวน
ความรู้สึกทุกอย่างมันกำลังไหลมาปนกันมั่วไปหมด
จังหวะนั้นในหัวมันวุ่นวายเกินกว่าจะคิดอะไรออก
มือก็คว้าเอาข้อมือบางของคนตรงหน้าก่อนสาวเท้าออกวิ่งอย่างสุดชีวิต นึกด่าคนสร้างในใจว่าจะเส้นทางเดินให้มันยาวอะไรขนาดนี้
วิ่งมาตั้งนานแล้วก็ยังไม่เจอทางออกซักที
ผมรีบสาวเท้าเข้าสู่แสงสว่างเหมือนแมลงเม่า
สุดปลายทางที่มองเห็นแสงนั่นคือทางออกที่รอคอยมาแสนนาน
ความวุ่นวายจากภายนอกเริ่มไหลเข้าสู่ประสาทการรับรู้อีกครั้ง ได้แต่ยืนหอบหายใจด้วยความเหนื่อยอยู่ข้างๆกันกับเจ้าของเสียงหวานที่เคยวิ่งจับมือกันมาตลอดทาง
“ ฉันหิวแล้วอ่ะ ไปหาอะไรกินกันเถอะ! ”
มือของผมและเธอยังคงจับกันเอาไว้เหมือนเดิม
นั่นจึงสะดวกต่อการที่เธอจะดึงตัวผมออกไปยังโซนอาหารหลังจากจบคำพูด
แต่เรื่องนั้นผมก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร
เพราะส่วนตัวแล้วก็หิวมาตั้งแต่ก่อนเดินเข้าบ้านผีสิงนี่ซะอีก
โต๊ะเข้าคู่กับเก้าอี้อีกสี่ตัวกลางลานกว้างติดกับบ่อน้ำเล็กๆถูกจับจองเอาไว้หลังจากที่ปลายเท้าทั้งคู่ได้หยุดลง
“ เธออยากกินอะไร เดี๋ยวฉันจะเดินไปซื้อมาให้ ” ปากพูดไปอย่างนั้น
ทั้งที่ปกติไม่ค่อยมีนิสัยอยากบริการคนอื่นเท่าไรนัก
ผมเห็นเพียงแค่ร่างของเด็กสาวคนนั้นที่ลุกพรวดขึ้นยืนแล้วสาวเท้าออกไปแทนโดยไม่รีรออะไรทั้งนั้น
“ ฉันเดินไปซื้อเองดีกว่า! ฉันกินเยอะกว่านายจินตนาการไว้อีกนะ
นั่งรอตรงนี้อย่าเพิ่งไปไหนล่ะ! ” ใบหน้าน่ารักประดับไปด้วยรอยยิ้มกว้าง
ก่อนที่เธอจะวิ่งฉิวออกไปยังร้านอาหารแทบจะทันที
ผมได้แต่มองการกระทำนั้นอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก
นี่ผู้หญิงคนนี้กำลังออกปากว่าจะเลี้ยงอาหารอยู่หรือเปล่า?
ไม่นานเกินรอ เด็กคนนั้นก็กลับมาพร้อมกับถาดอาหารหนึ่งถาดในมือ
แก้วน้ำสองใบถูกวางอยู่บนนั้น
พร้อมกองพะเนินของอาหารฟาสฟู้ดจำนวนมากมายจนเผลอคิดว่าเธอไปเหมาร้านมาหรือเปล่า
“ อยากกินอันไหนก็เลือกเอาเลยนะ งั้นฉันกินล่ะ ”
ถาดอาหารถูกวางลงบนโต๊ะเป็นลำดับถัดมา
ก่อนที่เธอจะจัดการหยิบแฮมเบอร์เกอร์ชิ้นหนึ่งขึ้นมาแกะกระดาษห่อออกแล้วกินมันทันทีอย่างที่ปากว่า
“ นี่เธอ… อย่าบอกนะว่าจะกินเองทั้งหมดนี่น่ะ? ” ผมถามออกไปด้วยติดไม่เชื่อสายตาตัวเอง
จนการพยักหน้าสองสามทีจากอีกฝ่ายเป็นคำตอบ จึงได้แต่เผลอหลุดปากออกไปโดยไม่รู้ตัว
“ เป็นผู้หญิงจะกินเยอะขนาดนี้ได้ยังไง
เธอไม่กลัวตัวเองจะอ้วนบ้างหรอ? ”
เห็นเพียงอีกฝ่ายที่ขมวดคิ้วมองพร้อมใบหน้าสงสัย
แต่ผมก็ไม่ได้ทำอะไรเพิ่มเติมอีกนอกจากจะหยิบหนึ่งในอาหารเหล่านั้นมาแกะบ้าง
เผลอพูดจาขวานผ่าซากออกไปอีกแล้วสิ
แต่ไหงผู้หญิงคนนี้กลับดูเหมือนไม่ค่อยเข้าใจอะไรซะอย่างนั้น
“ แล้วนี่… มานั่งกินอะไรกับฉันแบบนี้ โทรบอกแฟนเธอด้วยสิ ” เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่ายังมีชื่อของอีกคนในบทสนทนา
ผมจึงเลือกที่จะเอ่ยแบบนั้นออกไป
“ ……? ”
“ เอสอะไรนั่นไง? ”
“ หวา! จริงด้วยสิ! ลืมไปเลยว่าปล่อยหมอนั่นทิ้งไว้! ”
คนตรงหน้ามีสีหน้าตื่นทันที
ในขณะที่มือพยายามค้นหาวัตถุสื่อสารในกระเป๋าสะพายข้างใบเล็กๆที่เอามาด้วย แล้วละเลงนิ้วต่อสายเป็นพัลวัน
ทำไมมันถึงกระดากปากที่จะพูดคำว่าแฟนออกมาขนาดนี้กันนะ…
“ ฮัลโหลเอสหรอ! ฉันหรอ? ตอนนี้ฉันนั่งกินแฮมเบอร์เกอร์กับเพื่อนอยู่น่ะ ”
ผมไม่ได้ทำอะไรนอกจากการนั่งกินเงียบๆเท่านั้น
ในขณะที่ดวงตาสีน้ำตาลของตัวเองก็กำลังจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของเด็กผู้หญิงผมดำตรงหน้า
“ หา? ไม่เอาอะ! กับซาโบไง?
ตอนนี้ไม่ได้จริงๆนะ ”
ดูเหมือนกับว่าเธอกำลังไม่พอใจ
อีกหนึ่งชื่อคนที่ผมไม่รู้จักปรากฏขึ้นมา
ก่อนที่เสียงหวานนั้นจะพูดเสียงดังขึ้นมาจนผมอดตกใจตามไม่ได้
“ ไม่เอานะ! ถ้านายตามมาฉันจะโกรธจริงๆด้วย! ”
“ อะ อื้ม… งั้นหกโมงเย็นก็แล้วกันนะ… ”
“ ขอบคุณนะเอส! รักนายที่สุดเลย! ”
นั่นคือประโยคสุดท้ายที่เธอเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มร่า
ประโยคบอกรักกันท่ามกลางลานกว้างแบบนี้ทำให้ผมรู้สึกชาหนึบไปนิดหน่อย
“ งั้นไปหาอะไรเล่นกันเถอะ! นัดกับพี่ชายแล้วว่าค่อยเจอกันอีกทีตอนหกโมงเย็นอะ
”
คนผมยาวหันมาสนใจผมทันทีวางสายโทรศัพท์
ในขณะที่ในมือยังเต็มไปด้วยของกิน ประโยคเหล่านั้นเรียกความสนใจจากผมได้ไม่น้อย
“ เธอว่ายังไงนะ …พี่งั้นหรอ?
”
“ อื้อ! เอสเป็นพี่ชายฉันเอง! ”
จังหวะนั้นผมได้แต่เอ๋อทำอะไรไม่ถูก
ใบหน้าที่แต้มไปด้วยรอยยิ้มมีความสุขนั่นกำลังเปรอะไปด้วยร่องรอยจากซอสมะเขือเทศ
ทำให้เผลอหลุดขำออกมาเบาๆ
“ กินยังไงของเธอเนี่ย!
เลอะหน้าไปหมดแล้วไม่เห็นหรือไง?! ”
คว้าเอากระดาษทิชชู่จากกล่องที่ตั้งไว้บนโต๊ะแล้วเอาไปจ่อใกล้กับใบหน้าน่ารักนั้น
ที่เจ้าของได้แต่โบกมือปัดไปมาเป็นพัลวัน
“ หวา! นายนี่ดุจัง จะน่ากลัวเกินไปแล้วนะ! ” คิ้วเรียวๆนั่นกำลังขมวดยุ่งพร้อมกับตากลมที่มองค้อนมาที่ผม
ทั้งที่รู้ว่าเธอคนนี้กำลังไม่พอใจ แต่ทำไมถึงคิดว่าท่าทางแบบนั้นมันน่ารักได้นะ… ทำให้ยิ่งอยากแกล้งมากขึ้นไปอีก
ไม่รู้สิ… มีอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมอารมณ์ดีขึ้นมาได้ขนาดนี้
กระดาษทิชชู่ไล้ผ่านบริเวณที่ซอสมะเขือเทศเลอะเป็นปื้น
ตอนที่ปลายนิ้วของผมเคลื่อนไปโดนริมฝีปากสีกุหลาบนั้นโดยไม่ตั้งใจ
หัวใจมันก็พาลเต้นรัวขึ้นมาไม่เป็นจังหวะ
มีแต่ผมคนเดียวหรือไงที่รู้สึกว่าการเช็ดรอยเปื้อนมันน่าตื่นเต้นขนาดนี้
“ ลูฟี่โกะ… ฉันชื่อลูฟี่โกะ แล้วนายล่ะ? ”
ในที่สุดชื่อของเธอก็หลุดออกมาจนได้
แอบคิดว่าจะอยู่ด้วยกันแบบนี้ต่อไปโดยไม่รู้ชื่อซะอีก…
“ นามิโซ… ชื่อเธอก็เรียกยากเหมือนกันนี่ ” ผมยิ้มบางๆ
หลายคนมักทำหน้างงกับชื่อแปลกๆของผม แต่สุดท้ายก็ได้เจอคนชื่อแปลกเหมือนกันซะแล้ว
มันไม่ได้มีอะไรหวือหวา
การอยู่ร่วมกันกับเธอคนนี้เหมือนการได้มาเที่ยวกับเพื่อนคนหนึ่ง
แต่ความรู้สึกมันต่างออกไป มันไม่เหมือนกับการเดตกับผู้หญิงคนนั้น
ไม่ใช่ความจืดชืด แต่เหมือนมีความรู้สึกบางอย่างเข้ามาร่วมด้วย
และผมมีความสุขกับมัน… ถึงจะไม่ได้แสดงออกไปให้คนอื่นเห็นก็เถอะ
กระเช้ารูปทรงคล้ายกับเม็ดยาหมุนวนไปตามวงล้อของชิงช้าสวรรค์
ที่นั่งถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่งพอดีกับจำนวนผู้ใหญ่สองคน
ท้องฟ้ายามเย็นเริ่มมืดครึ้มลง ผืนผ้าสีส้มหม่นฉาบทั่วบริเวณ
ในขณะที่แสงไฟหลากสีเริ่มเปิดขึ้นประชันความสวยงาม
มันอยู่ในที่ที่สูงพอจะทำให้มองเห็นเมืองได้เกือบทั้งเมือง
เวลาดำเนินผ่านไปอย่างรวดเร็ว ช่วงเย็นได้มาถึงอย่างไม่ทันตั้งตัว
จบลงที่การขึ้นชิงช้าสวรรค์ด้วยกัน ทั้งกระเช้าที่ผมนั่งอยู่มีเพียงความเงียบสงบ
กับสายตาของคนทั้งคู่ที่ต่างกำลังสนใจกับทิวทัศน์เบื้องล่าง
“ เธอกับฉันอย่างกับคนมาเดตกันเลยนะ… ” ผมเอ่ยบทสนทนากับคนตรงหน้า
นั่นเรียกให้ใบหน้าหวานนั้นหันกลับมามองพร้อมร่องรอยฉาบสีชมพูที่เพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก
นี่มันน่ารักสุดๆไปเลยไม่ใช่หรือไง…
“ งั้นหรอ…วันนี้สนุกสุดๆเลยล่ะ ” เธอเริ่มก้มหน้ามองปลายเท้าของตัวเอง ในขณะที่มือก็วางอยู่ข้างๆลำตัว
ค้ำกับเบาะนั่งเอาไว้
สถานการณ์แบบนี้มันอะไรกัน… ความรู้สึกร้อนที่ใบหน้าตีเข้ามาที่ผมตลอดเวลา
พร้อมกับเสียงหัวใจที่กำลังเต้นโครมครามขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ
มันดังมากจนกลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ยินไปด้วย
จะเต้นแรงเกินไปแล้วนะเจ้าบ้า…
ก็ว่าพอจะเข้าใจได้แล้วล่ะว่ามันคืออะไรกันแน่… บางทีของแบบนี้ บทอยากจะแวะเข้ามาทักทายก็เข้ามาทันทีโดยไม่ให้ทันตั้งตัว เพราะไม่เคยมีถึงได้ไม่เคยเข้าใจ มันมีอะไรที่ลึกซึ้งกว่าที่คิด…
ไม่ใช่เพราะความประทับใจแรก ไม่ใช่เพราะรูปร่างหน้าตาหรือความหลงไหล
อาจเป็นเพราะสัมผัสอบอุ่นที่ส่งมาถึง ด้วยเหตุผลเพียงแค่นั้น
ผมไม่คิดว่าผลกระทบของมันจะรุนแรงได้ขนาดนี้
“ คือว่าฉัน—! / คะ คือฉัน! ”
ชอบเธอเข้าซะแล้วสิ...
“ …เธอพูดก่อนสิ ”
ผมตัดสินใจกลืนคำพูดนั้นลงไปในลำคอ ประโยคที่เอ่ยขึ้นมาพร้อมกัน
ทำให้ผมเสียสละโอกาสนั้นให้กับอีกฝ่ายโดยไม่ขัดข้องอะไร
เวลาสำหรับวันนี้ยังเหลือมากพอที่จะพูดอะไรได้อีกมากมาย
สองมือเล็กยกขึ้นมาแนบข้างแก้มนิ่ม
ในขณะที่ใบหน้าหวานกำลังก้มลงจนผมสีดำที่ยาวประบ่านั้นจะหลุบลงมาปกคลุมหลังมือเอาไว้อีกรอบ
ใบหน้าที่ฉาบด้วยสีระเรื่อทั้งรูปร่างเรียวมน
ยิ่งเร่งให้ใบหน้าของผมรู้สึกร้อนวูบวาบ จังหวะหัวใจกำลังเร็วรัวเป็นกลองชุด
“ บะ..แบบว่า! ฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอกว่ามันคืออะไร
ตะ..แต่รู้สึกตัวอีกทีก็เผลอดุพี่ชายไปแล้วอะ! ”
ลูฟี่โกะกำลังพูดตะกุกตะกักเหมือนคนเรียบเรียงคำพูดไม่ได้
ดวงตาสีดำทั้งคู่เสมองออกไปด้านข้างบ่งบอกอาการสับสน
“แต่ว่านะ! ฉันอยากอยู่กับนาย! มันสนุก
มันไม่เหมือนเวลาอยู่กับพี่ชาย กับเพื่อนหรือกับปู่…มันต่างออกไป
”
ยิ่งประโยคสุดท้ายยิ่งทำให้ใบหน้านั้นก้มงุดลงกว่าเดิม
พอๆกับผมที่ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน
มือไม้หาที่วางไม่ได้จนต้องจบลงที่กลุ่มผมนิ่มของเด็กสาวตรงหน้า
ก่อนขยี้มันเบาๆด้วยความรู้สึกที่กำลังตีกันในใจ
“ ยัยบ้าเอ้ย… ”
ผมไม่ได้พูดอะไรออกมามากกว่านั้นเลย
ระหว่างเรามีเพียงเสียงหัวใจเต้นโครมครามเป็นตัวดำเนินเหตุการณ์
กลายเป็นว่าต่างฝ่ายต่างก็ไม่กล้าสบตากัน จนกระทั่งกระเช้าอันนี้จวนจะวนครบรอบแล้ว
น่ารักเกินไป… ไม่คิดว่าน่ารักเกินไปแบบนี้มันขี้โกงบ้างหรือไง
“กลับบ้านได้แล้ว …พี่ชายเธอเขาเป็นห่วงมากนะรู้มั๊ย
”
ทันทีที่ประตูกระเช้าเปิดออก ผมดันหลังคนตัวเล็กไปข้างหน้าเบาๆ
ในขณะที่ภาพของผู้ชายผมดำคนหนึ่งที่วิ่งมาด้วยความรีบร้อนจะปรากฏแก่สายตา
เขาพรวดพราดเข้ามาหาเด็กสาวคนนี้โดยไม่ลังเล ในขณะที่ใบหน้าติดจะคมคายนั้นมีท่าทีเหมือนคนอยากร้องไห้เต็มทน
“ นี่… แล้วเราจะได้เจอกันอีกหรือเปล่า? ”
ในขณะที่ปลายเท้าคู่นั้นกำลังก้าวห่างออกไป
ใบหน้าน่ารักก็หันกลับมามองผมเหมือนยังอาลัยไม่น้อย
พวงแก้มทั้งสองข้างยังคงฉาบไปด้วยสีชมพูน่ามอง
สายตาของผมเหลือบไปเห็นใบหน้าของคนที่แสดงตัวว่าเป็นพี่ชายกำลังมองมาเหมือนอยากจะพุ่งเข้ามางับหัวเสียเดี๋ยวนั้น
อดจะขำในใจเบาๆไม่ได้
ก็น้องสาวน่ารักขนาดนี้… พอเข้าใจอยู่หรอกว่าจะหวงมากขนาดไหน
รอยยิ้มที่มุมปากปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผม ถึงนี่จะเป็นการจากลา
แต่ผมไม่รู้สึกว่ามันเป็นแบบนั้นเลยซักนิด…
“ แน่นอน… ต่อให้ไม่อยาก
ฉันก็จะไปตามหาเธอให้เจอ คอยดูก็แล้วกัน... ”
ก็นะ... บางทีรักแรกพบอะไรนั่น
ผมจะลองเชื่อดูซักครั้งก็ได้…
ความคิดเห็น