คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #72 : ◣Fanfic◥ [DoflamingoxLuffy] Akaito (Part1) [update 31/10/23***]
Title: Akaito
Pairing: Doflamingo x Luffy
Rate: PG-13
Writer: PINKUHERO
Part: 1/??
แนะนำเปิดเพลงเพื่ออรรถรสได้นะคะ:)
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตั้งแต่อดีตแสนนาน มีความเชื่อที่ได้รับการกล่าวขาน
สิ่งหนึ่งที่พันผูกคนสองคนเอาไว้ ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ต้องได้พบกันสักวันหนึ่ง
สิ่งนั้นคือ ‘ด้ายแดง’ แม้ว่าพวกเขาจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม
พวกเขาพบกัน ณ สวนดอกไม้ที่กำลังเบ่งบานประชันความงดงาม
ก่อนโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่จะบังเกิดขึ้นมาทำลายทุกอย่าง…
ในอดีตตระกูลดองกิโฮเต้เคยเป็นขุนนางผู้มีอำนาจจากฝั่งตะวันตก แต่เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์และการมองโลกในแง่ดีเกินไปของผู้นำตระกูล ทำให้อำนาจเหล่านั้นพังทลายและลดหลั่นลงมาเป็นเพียงประชาชนธรรมดา
โฮมมิงพาครอบครัวของตนลี้ภัยมายังประเทศฝั่งตะวันออก ดินแดนที่มีความสงบและมีวัฒนธรรมเป็นของตัวเอง เขาได้รับความช่วยเหลือจากผู้มีอำนาจคนหนึ่งในประเทศ และอาศัยความรู้ที่พอมีสร้างสถานะและธุรกิจของตน ปัจจุบันตระกูลดองกิโฮเต้กลายเป็นที่รู้จักในนามของบริษัทขายขนมต่างประเทศที่ไม่ว่าใครก็กล่าวขาน
เขามีบุตรชายอายุไล่เลี่ยกันจำนวนสองคน ภรรยาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปตั้งแต่ก่อนจะลี้ภัยมาที่ญี่ปุ่น บุตรชายคนโตเป็นคนอารมณ์รุนแรง เขามีหัวต่อต้านและไม่ยอมรับความใจดีที่มากเกินไปจนเป็นภัยของผู้เป็นพ่อ เด็กหนุ่มต้องการอำนาจและศักดินาที่ตนพึงมีกลับคืนมา แต่เพราะทุกอย่างสายเกินแก้ไปแล้ว พวกเขาจึงมักมีปากเสียงกันตลอดเวลา นั่นเป็นเหตุผลให้เด็กหนุ่มไม่ชอบการต้องกลับบ้านมาพบกับครอบครัวที่ยิ้มรับชะตากรรมอันน่าอดสู
และบุตรชายคนรองก็เอาแต่ก้มหน้ารับความจริง ไม่มีปากเสียงใดๆ ไม่พูดคุยกับใคร ราวกับเป็นคนใบ้ตั้งแต่เสียมารดาไป…
วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่ดองกิโฮเต้ โดฟลามิงโก้ทะเลาะกับพ่อตัวเอง เขาก้าวขาออกจากบ้านทรงญี่ปุ่นหลังใหญ่โตของตน และคิดเอาไว้ว่าคงจะไม่กลับไปเหยียบอีกหากดวงจันทร์ไม่ปรากฏหรือคนทั้งบ้านหลับใหลไปหมดแล้ว
แม้ผู้เป็นพ่อจะมีทรัพย์สินมากมายจนสามารถสร้างฐานะในแผ่นดินใหม่ แต่บรรดาศักดิ์และอำนาจต่างๆ ที่เคยมีกลับไม่เหลืออยู่เลย โฮมมิงซื้อที่ดินไว้กว้างขวาง นอกจากคฤหาสน์ของตระกูลก็ยังมีที่ดินติดทะเลสาบกว้างสุดลูกหูลูกตา
แม้ทรัพย์สินจะมีมากเพียงใดแต่ก็ไม่เคยถูกใจเด็กหนุ่มวัยต่อต้าน เขาย่างกรายเข้ามาในพื้นที่ที่พ่อของตนซื้อเอาไว้เป็นสมบัติตระกูลอย่างไม่สบอารมณ์ เป็นครั้งแรกที่ได้พบเห็นทัศนียภาพที่งดงามเช่นนี้
เพราะพ่อหวังเพียงบั้นปลายชีวิตที่สงบสุข… แต่ไม่ได้ทวงความยุติธรรมที่แม่โดนสังหารอย่างไร้เหตุผล
กายสูงโปร่งในชุดยูกาตะทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นด้วยความเหนื่อยล้า ที่นี่ไม่มีทั้งยศถาหรือตระกูลขุนนางใดๆ เข้ามาข้องเกี่ยว เขาไม่ได้พอใจกับการมีปากเสียงกับบิดาอยู่ทุกวัน เพียงแค่ต้องการให้ชายคนนั้นเห็นความสำคัญของแม่บ้างก็เท่านั้น
ลมเย็นๆ และกลิ่นหอมอ่อนๆ จากดอกไม้ทำให้โดฟลามิงโก้รู้สึกผ่อนคลาย รอบตัวเขาเต็มไปด้วยพันธุ์ไม้ที่เบ่งบานเฉพาะประเทศแห่งนี้ กลีบสีชมพูที่ปกคลุมทั่วทั้งกิ่งก้านเป็นภาพที่น่าประหลาดใจ ทะเลสาบที่อยู่เบื้องหน้าสะท้อนภาพดอกไม้และภูเขาให้เห็นเลือนลางเพราะกระแสน้ำที่นิ่งสนิท
พ่อก็ยังเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ครอบครัวเสมอ นั่นคือสิ่งที่เขาไม่ชอบใจ…
“นั่นมนุษย์งั้นหรอ”
เสียงหนึ่งดังขึ้นแทรกเสียงแมกไม้ที่กำลังไหวปลิว เป็นเสียงเด็กหนุ่มหรือเสียงผู้หญิงที่ทุ้มหนักเด็กหนุ่มไม่แน่ใจนัก เขาหันหน้ามองซ้ายขวา มั่นใจว่าพื้นที่นี้เป็นที่ดินของครอบครัว ไม่ได้อนุญาตให้ใครอื่นเข้ามาได้ เมื่อไม่พบใครจึงคิดว่าตนเพียงหูฝาดไปเท่านั้น
“ไม่ได้เจอใครมาตั้งนานแล้ว” แต่เสียงเดิมกลับดังขึ้นอีกครั้ง โดฟลามิงโก้แน่ใจแล้วว่าเขาไม่ได้คิดไปเอง กายสูงโปร่งหยัดตัวขึ้นยืนเต็มความสูง เสียงนั้นอยู่ไม่ไกลไปจากเขาเท่าไรนัก
“นั่นใคร”
“…..” ไร้เสียงตอบรับ มีเพียงเสียงยุกยิกดังมาจากต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ด้านหลัง มีอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวอยู่ไม่ห่าง
“ฉันถามว่านั่นใคร”
“เหวอ… ได้ยินด้วยหรอ!” ใครบางคนมีน้ำเสียงประหลาดใจ แต่ไม่ว่าอย่างไรเด็กหนุ่มก็ไม่อาจมองเห็นเจ้าของเสียงเล็กนั้นได้ กลายเป็นปริศนาประจำวันว่าเขากำลังสนทนาอยู่กับใครกันแน่
แต่เรื่องราวน่าประหลาดใจในวันนี้ก็จบลงเพียงเท่านั้น เพราะท้องฟ้าที่เริ่มมืดครึ้มลงเสียก่อน…
วันต่อมา และวันต่อๆ มา โดฟลามิงโก้กลับมาที่ทะเลสาบที่มีต้นซากุระเบ่งบานแห่งนี้อีกครั้ง โดยหวังว่าเขาจะเจอเจ้าของเสียงที่น่าตลกแบบนั้น เขากำลังคิดว่าตัวเองทำอะไรน่าตลกไม่ต่างกัน
“ออกมาได้แล้ว ฉันรู้ว่าเธออยู่แถวนี้”
“ไม่เอาด้วยหรอก ฉันออกไปให้ใครเห็นไม่ได้” สุดท้ายเจ้าของเสียงเล็กนั้นก็ยอมแพ้ เอ่ยปากต่อบทสนทนากับเขาจนได้ แต่เด็กหนุ่มก็ยังไม่อาจทราบได้อยู่ดีว่าเจ้าตัวหลบซ่อนอยู่ที่ใด
“ทำไมพูดจาประหลาดแบบนั้น เธอกลัวอะไรหรือไง”
“ไม่ได้กลัวซักหน่อย ไม่ได้ก็คือไม่ได้สิ” ฟังอย่างไรเจ้าของเสียงก็ดูมีอายุไม่น่าจะเกินไปกว่ายี่สิบปี ด้วยนิสัยงอแงราวกับเด็กน้อยคงไม่พ้นเป็นคนรุ่นเดียวกันกับเขา โดยที่ไม่ทันรู้ตัว โดฟลามิงโก้เผลอหลุดยิ้มออกมาบนริมฝีปากอย่างไม่ตั้งใจ เขาอนุญาตให้บุคคลปริศนาผู้นั้นมาที่นี่ได้โดยที่แม้แต่เจ้าตัวเองก็ยังไม่เอะใจ
“ถ้าอย่างนั้นฉันจะมาที่นี่ทุกวัน จนว่าเธอจะยอมออกมาให้เห็น”
และความพยายามของเด็กหนุ่มก็สัมฤทธิ์ผล การมาที่สวนซากุระแห่งนี้ทุกเย็นกลายเป็นกิจวัตรประจำวันชนิดใหม่ของบุตรชายคนโตแห่งดองกิโฮเต้ เขาเหนื่อยที่จะต้องคอยมาทะเลาะกับครอบครัวและน้องชายที่เอาแต่เงียบเหมือนกลัวพิกุลร่วงแบบนั้น
วันนี้การมีปากเสียงรุนแรงกว่าทุกครั้ง อารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่ในอกทำให้โดฟลามิงโก้เอาแต่นั่งเงียบไม่ได้สนทนากับเจ้าของเสียงปริศนาเช่นเคย แม้จะไม่ได้เอ่ยปากแต่เจ้าของเสียงเล็กก็ไม่ได้จากไปไหน กายผอมบางที่ตัวเล็กกว่าคนตรงหน้าเพียงแอบมองอยู่ด้านหลังซากุระต้นใหญ่
เขามองเห็นความเสียใจและความผิดหวังในจิตใจของผู้อื่น… ความรู้สึกที่ผสมปนเปส่งมาให้ได้รับรู้แม้จะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม
เพราะแบบนั้นจึงไม่อยากเข้าใกล้มนุษย์…
“ถ้าไม่สบายใจก็มาที่นี่ได้ตลอดนะ ฉันจะคอยอยู่ข้างๆ นายเอง”
“ต้องรอให้ไม่สบายใจก่อนหรือไง เธอถึงจะออกมาให้ฉันเห็น” เจ้าของใบหน้าคมระบายยิ้มทักทาย ใครคนหนึ่งทิ้งกายลงนั่งข้างๆ เขาอย่างแผ่วเบา พร้อมๆ กับสายลมและกลีบดอกไม้ที่พัดปลิวอย่างอ่อนโยน
“ไม่ใช่ซักหน่อย แค่นี้ก็ผิดมากแล้ว”
เขาเป็นเด็กหนุ่มในชุดยูกาตะสีม่วงอ่อน สีของมันหวานละมุนราวกับจะกลืนไปกับกลีบดอกไม้ที่กำลังร่วงหล่นอยู่รอบตัว กลิ่นหอมอ่อนๆ โชยมาพร้อมกับสายลม ใบหน้ากลมมนประดับไปด้วยดวงตากลมโตและริมฝีปากบางสีชมพู เขาดูบอบบางจนน่าหวาดกลัวว่าร่างผอมบางนั้นจะปลิวไปกับแรงลม
“ทำไมชอบพูดจาประหลาดนักนะ” บรรยากาศรอบตัวทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก ดวงตาภายใต้กรอบแว่นมองไปยังรอยแผลเป็นใต้ดวงตาข้างซ้ายของคนตัวเล็กกว่า ในขณะที่ร่างนั้นเพียงแค่ทิ้งตัวลงนั่งข้างกัน แต่เขารู้สึกเหมือนกับว่าความขุ่นมัวที่เคยมีในใจค่อยๆ สลายไปทีละนิด
เคยได้ยินว่าฝั่งตะวันออกมีความเชื่อเกี่ยวกับเทพเจ้าที่มีความใกล้ชิดกับมนุษย์อยู่หลายครั้ง โดฟลามิงโก้ไม่เคยสนใจเรื่องเล่าแบบนั้นมาก่อนจนกระทั่งเขาได้มาพบด้วยตัวเอง
“พรุ่งนี้ฉันจะมาที่นี่อีก”
เขากำลังพบกับภูติตัวน้อยหรือเทพเจ้าอยู่ไม่ผิดแน่…
ไคโดคือชื่อของชายคนหนึ่งที่มีอิทธิพลกว้างขวางในชนบทห่างไกลแห่งนี้ แต่สิ่งนั้นกลับไม่ใช่ชื่อเสียงในด้านที่ดีนักสำหรับคนในพื้นที่ ใครๆ ต่างก็ทราบกันดีว่าไม่ควรไปมีเรื่องกับคนพวกนั้นหากยังต้องการรักษาชีวิตตัวเองไว้
ด้วยเหตุผลบางอย่างที่แม้แต่เด็กหนุ่มยังไม่อาจล่วงรู้ ตระกูลดองกี้โฮเต้ที่ล่มสลายได้ไคโดช่วยเหลือเอาไว้จนสามารถสร้างธุรกิจของตัวเองได้อย่างทุกวันนี้ นับจากวันที่ระหกระเหินจากต่างแดนมาได้ก็คงร่วมสี่ห้าปีได้แล้ว
แม้ในใจยังเคลือบแคลงแต่เด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดปีก็นับถือบุคคลดังกล่าวเป็นผู้มีพระคุณ
ประเทศแห่งนี้อยู่ในยุคสมัยที่ความเจริญและวัฒนธรรมตะวันตกเริ่มแพร่หลายเข้ามา แม้คนพื้นเมืองจะนิยมสวมใส่ยูกาตะหรือกิโมโน แต่ก็มีผู้คนสวมสูทดังเช่นคนฝั่งตะวันตกปรากฏให้เห็นบ้างประปราย ชาวต่างชาติหลายคนเปิดธุรกิจที่ได้รับความนิยมในพื้นที่ เครื่องยนต์และยานพาหนะกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการใช้ชีวิต
ธุรกิจรักษาความปลอดภัยกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับตระกูลใหญ่ๆ ที่มีการแข่งขันสูง พวกเขามีศัตรูรอบด้าน จึงมีความจำเป็นต้องจัดจ้างคนรักษาความปลอดภัยทั้งชีวิตและทรัพย์สิน และตัวเลือกของคนส่วนใหญ่มักจะเป็น ‘การ์ป อินเตอร์การ์ด’ ที่ทำงานร่วมกับตำรวจท้องที่
โดฟลามิงโก้รู้จักชื่อของบริษัทนั้นครั้งแรกเมื่อมีตำรวจคนหนึ่งที่บังเอิญพบกับเขาในงานสังคม ชายคนนั้นพูดคุยกับหัวหน้าตระกูลอย่างสนิทสนม ทราบชื่อในภายหลังว่านั่นคือสารวัตรโกลด์ โรเจอร์ และเพื่อนของเขา มังกี้ ดี การ์ปก็ปรากฏตัวขึ้น
ชายมีอายุคนนั้นอาศัยจังหวะที่เขายืนอยู่กับตนเพียงสองคนกล่าวเตือนว่าให้ระวังชายผู้มีอิทธิพลคนนั้นไว้
ไคโดไม่ใช่ชายที่จะให้ความช่วยเหลือใครคนหนึ่งโดยไม่หวังผลตอบแทน…
ณ เวลานั้นโดฟลามิงโก้ที่มีพื้นฐานไม่เชื่อใจใครง่ายๆ ไม่ได้สนใจคำพูดนั้น เขาคิดว่าสิ่งที่เจ้าของบริษัทรักษาความปลอดภัยคนนั้นกล่าวเป็นแค่เรื่องไร้สาระของคนในวงสังคมเพียงเท่านั้น
เรื่องราวได้ดำเนินมาจนถึงวาระสุดท้ายของดองกิโฮเต้ โฮมมิง ชายผู้นั้นแต่เดิมทีก็ไม่ได้มีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงเท่าไรนัก ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่ญี่ปุ่นได้ เจ้าตัวก็มักจะป่วยออดๆ แอดๆ อยู่เสมอ ในช่วงเวลาที่บุตรชายทั้งสองต่างก็เติบโตขึ้นจนสามารถดูแลตัวเองได้ จึงนับว่าสมควรแก่เวลาที่เขาจะปลดระวางตัวเองเสียที
บุตรชายคนโตที่มีปัญหาระหองระแหงกันตลอดเวลา และบุตรชายคนรองที่ก้มหน้าก้มตาทำตามสิ่งที่บิดาบอกทุกอย่างโดยไม่ขัดขวาง
โดฟลามิงโก้ถูกตัดสิทธิ์จากการเป็นผู้สืบทอดกิจการโรงงานขนมเลื่องชื่อนั้นไปโดยปริยาย…
วันนั้นเด็กหนุ่มมีปากเสียงกับผู้เป็นพ่ออย่างรุนแรง อารมณ์ที่คุกรุ่นทำให้เขาเผลอเอ่ยปากว่าจะตัดความสัมพันธ์กับครอบครัวไปโดยไม่หันหลังกลับมามองอีก เขาเกลียดพ่อผู้ไม่เคยให้ความยุติธรรมกับทั้งแม่และตนเอง เขาเกลียดน้องชายที่ไม่ทำอะไรสักอย่างแต่ก็ได้ทุกอย่างไปครอบครอง
เขาน้อยใจพ่อที่ให้ความรักบุตรทั้งสองคนไม่เท่ากันมาโดยตลอด… นั่นคือความจริงที่ฝังอยู่ในก้นบึ้งหัวใจมาแสนนาน
ทะเลสาบแห่งนั้นกลายเป็นสถานที่เดียวที่ให้ความสบายใจกับเด็กหนุ่ม การพบเจอกับคนในชุดยูกาตะสีม่วงอ่อนในทุกๆ วันทำให้เขาสามารถกลับไปเผชิญหน้ากับความจริงได้อีกครั้ง ท่ามกลางสายลมและกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกซากุระ โดฟลามิงโก้มีความเสียใจอยู่มากมาย แต่น้ำตาก็ไม่อาจไหลออกมาจากดวงตาทั้งคู่
เขาเปิดใจให้คนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนโดยไม่รู้ตัว…
“ไม่เป็นไรนะ… อยู่ตรงนี้นายสามารถเสียใจมากเท่าไรก็ได้”
ประโยคปลอบประโลมเพียงสั้นๆ ทำให้ความรู้สึกอัดอั้นปลดปล่อยออกมาทั้งหมด โดฟลามิงโก้ไม่ได้ต่อบทสนทนา เขาเพียงนั่งเงียบอยู่แบบนั้น ข้างกันมีร่างเล็กของเจ้าของผมสีไม้มะเกลือนั่งเป็นเพื่อนกัน นานจนท้องฟ้าเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีส้ม
เพราะสามารถรับรู้… จึงเข้าใจความรู้สึกเหล่านั้นได้ดี
และรับรู้… ถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า
“นายกำลังจะไปไหน” พอเห็นร่างโปร่งทำท่าจะลุกขึ้นยืน มือเล็กก็รีบคว้าชายยูกาตะของคนตัวสูงไว้ โดฟลามิงโก้มองการกระทำเหล่านั้นอย่างไม่เข้าใจ
“ค่ำแล้ว ฉันต้องกลับแล้ว” ต่อให้ทะเลาะกันรุนแรงอย่างไรครอบครัวก็ยังเป็นครอบครัว แต่เพราะเผลอเอ่ยตัดสายสัมพันธ์ไปแล้ว เด็กหนุ่มก็ยังไม่แน่ใจว่าเขาจะไปอยู่ที่ใด บางทีอาจจะต้องไปรบกวนคนรู้จักเพียงชั่วคราวก่อน
“อากาศเย็นลงแล้ว เธอเองก็กลับบ้านได้แล้ว”
“ไม่ได้นะ ไม่ว่ายังไงก็ห้ามกลับไป!”
การกระทำของเด็กตรงหน้าทำให้คนตัวสูงกว่าประหลาดใจ เมื่ออยู่ๆ คนตัวเล็กกว่าก็พูดเสียงดังและคว้าข้อมือของเขาไว้ ซ้ำยังออกแรงดึงให้ทั้งร่างนั่งลงที่เดิมอีกครั้ง
ฝ่ามือเล็กๆ คู่นั้นเย็นเฉียบเสียจนน่าตกใจ…
“ฉันขอร้อง ช่วยนั่งอยู่ตรงนี้ต่ออีกซักหน่อยเถอะนะ” ใบหน้าน่ารักซีดเซียวเสียจนน่าเป็นห่วง ดวงตาคู่โตสั่นไหวราวกับรับรู้เรื่องราวบางอย่าง
แม้จะรู้ว่าสิ่งนี้มันฝืนกฎธรรมชาติ… แต่แค่คนๆ นี้
แค่กับคนๆ นี้เท่านั้น…
“…ก็ได้” แม้จะไม่เข้าใจท่าทางแบบนั้น แต่โดฟลามิงโก้ก็อดเป็นห่วงสีหน้าไม่สู้ดีของคนรุ่นราวคราวเดียวกันไม่ได้
นานจนคนตัวเล็กกว่าพอใจ ฝ่ามือที่เคยสั่นระริกค่อยๆ คลายออกจากชายยูกาตะของบุตรชายคนโตแห่งตระกูลดองกิโฮเต้ ผืนฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท ดวงจันทร์และดวงดาวปรากฏขึ้นมาทดแทนความร้อนแรงของช่วงกลางวัน
คนในชุดสีม่วงเอาแต่เงียบและจมอยู่กับความคิดตัวเอง จนโดฟลามิงโก้เป็นฝ่ายประหลาดใจเสียเอง
ค่ำคืนนั้นเด็กหนุ่มกลับไปยังคฤหาสน์หลังเดิมของตระกูล แต่กลับพบเพียงกองเพลิงที่กำลังลุกโชติช่วงอยู่ก็เท่านั้น…
เปลวไฟเผาทำลายทุกอย่างจนหมดสิ้น แม้กระทั่งชีวิตของครอบครัวของบุตรชายแห่งดองกิโฮเต้…
ไม่มีโอกาสให้ได้ร่ำลา ความทรงจำสุดท้ายระหว่างพ่อและบุตรชายคนโตยังเป็นการมีปากเสียงกันอย่างเช่นทุกคราว ต้นเพลิงเกิดจากโรงงานขนมที่ไม่ได้มาตรฐานและเกิดเพลิงไหม้ลุกลาม หัวหน้าตระกูลที่ร่างกายไม่แข็งแรง และบุตรชายคนรองที่ไร้ปากเสียงที่จะเอ่ยขอความช่วยเหลือ
แม้เรื่องราวจะถูกเล่าขานเช่นนั้น แต่ก็ไม่อาจพ้นข่าวลือว่าต้นเหตุทั้งหมดเกิดจากบุตรชายคนที่ถูกตัดออกจากกองมรดก
ท่ามกลางโศกนาฏกรรมอันน่าเศร้า… โดฟลามิงโก้ถูกตราหน้าว่าเป็นผู้สังหารครอบครัวตนเอง
พิธีศพถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย ทายาทสายตรงที่หลงเหลืออยู่เพียงคนเดียวกลายเป็นหัวหน้าตระกูลคนใหม่เพียงชั่วข้ามคืน เขาซ่อนความรู้สึกทั้งหมดไว้ใต้ใบหน้านิ่งสนิทและกรอบแว่นรูปทรงแปลกตา
ผู้เข้าร่วมงานมีเพียงผู้เกี่ยวข้องและอดีตบริวารที่จะตามมาสมทบจากต่างดินแดนในภายหลัง
ในช่วงเวลาที่เรื่องราวต่างก็ประเดประดังเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน เด็กหนุ่มพาร่างของตัวเองย่างกรายเข้ามาในสวนดอกไม้ของตระกูลอีกครั้ง เขาเหนื่อยล้าเกินกว่าจะประมวลผลสิ่งใด ท้องฟ้ายามพลบค่ำเป็นสีแดงฉานราวกับเปลวเพลิงในค่ำคืนนั้น ไร้วี่แววของร่างบอบบางที่คุ้นเคยจะปรากฏตัวออกมา
“เธอรู้ว่าเรื่องทั้งหมดจะเป็นแบบนี้ ถึงได้รั้งฉันไว้ใช่ไหม”
วันนั้นเด็กคนนั้นเอ่ยรั้งเขาไว้ แววตาและฝ่ามือที่สั่นระริกคู่นั้นราวกับล่วงรู้ทุกสิ่งอย่าง
หากเขาตัดสินใจกลับไปก่อน โศกนาฏกรรมนี้จะเกิดกับเขาด้วยหรือเปล่า…
“ออกมาได้แล้ว”
สถานที่แห่งนี้คือที่ที่เจ้าของร่างเล็กนั้นอาศัยอยู่ ใกล้ๆ กับซากุระต้นใหญ่มีสิ่งปลูกสร้างเล็กๆ คล้ายศาลเจ้าติดตั้งเอาไว้ มันไม่ได้โอ่อ่างดงามแต่กลับทรุดโทรมจนน่าประหลาด รูปปั้นหินที่ประดับอยู่รอบข้างกระจัดกระจายราวกับไร้คนดูแลมาเป็นเวลานาน
สิ่งนี้คงอธิบายเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้โดยไม่ต้องอ้างอิงตรรกะที่สมเหตุสมผล
ปลายเท้าที่สวมรองเท้าสานและยูกาตะสีม่วงปรากฏออกมาให้เห็นด้วยท่าทางลังเล ก่อนเจ้าของใบหน้าหวานจะหลบสายตาคนมองราวกับรู้สึกผิดในสิ่งที่ทำลงไปนัก
ภาพที่โดฟลามิงโก้เห็นทำให้เขาต้องเบิกตากว้าง กายบอบบางที่เคยเด่นชัดในเวลานี้กับซีดจางราวกับจะละลายหายไปกับพื้นหลัง เขาดูเหมือนจะแตกสลายไปเมื่อไรก็ได้หากมีลมแรงๆ มาพัดผ่าน
เด็กหนุ่มผู้นี้ไม่ใช่มนุษย์อย่างที่คิดไว้จริงๆ…
“ทำไมถึงทำแบบนั้น” เพราะว่าช่วยเขาไว้หรือเปล่า จึงได้มีสภาพซีดจางลงแบบนั้น
เขาไม่เคยถามชื่ออีกฝ่าย อีกฝ่ายเองก็ไม่เคยถามชื่อเขาสักครั้ง
พวกเขารู้จักและไว้วางใจซึ่งกันและกันแม้จะไม่รู้จักกันมาก่อน
“ฉันปล่อยให้นายตายไม่ได้หรอก”
“ถ้านายหายไปอีกคน เรื่องทั้งหมดจะถูกสรุปว่าเป็นอุบัติเหตุเท่านั้น” คนในชุดสีม่วงระบายยิ้มเศร้า เพียงเท่านี้ก็ก้าวก่ายโชคชะตาของมนุษย์มากเกินไปแล้ว เพราะอะไรกันนะจึงอยากช่วยเหลือเด็กหนุ่มตรงหน้ามากขนาดนี้
เพราะความโศกเศร้าที่สัมผัสได้จากก้นบึ้งหัวใจของอีกฝ่ายหรือเปล่านะ…
ใครบางคนกำลังวางแผนบทละครครั้งใหญ่ และต่อให้รู้เรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อไป เขาก็พูดอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้
โดฟลามิงโก้ไม่เข้าใจจุดประสงค์นั้น การรอดชีวิตของเขาแลกมากับการถูกตราหน้าว่าเป็นฆาตกรสังหารครอบครัวตัวเอง เขาหัวเราะให้กับตลกร้ายในครั้งนี้ ไม่รู้ว่าความหวังดีของคนตรงหน้าจะกลายเป็นผลดีหรือผลเสียต่อเขากันแน่ การรอดมาแค่คนเดียวแบบนี้มันดีแล้วหรือเปล่า
“อย่างที่นายเข้าใจ ฉันเป็นเทพที่อยู่ที่นี่มานานมากแล้ว” คนตัวเล็กกว่าต่อบทสนทนา กายที่โปร่งแสงเดินไปหยุดยังศาลเจ้าเก่าๆ ขนาดพอให้คนหนึ่งเข้าไปพักผ่อนได้
“พอเวลาผ่านไป จำนวนผู้ศรัทธาก็ลดน้อยลง พร้อมๆ กับพลังที่ค่อยๆ ถดถอย”
นิ้วเรียวสัมผัสรอยแผลเป็นบริเวณใต้ดวงตาข้างซ้ายของตน ครั้งหนึ่งมันเคยเกิดจากโทสะของมนุษย์ที่เขาไม่สามารถตอบสนองคำขอของพวกเขาได้ …เพราะแบบนั้นจึงกลัวมนุษย์มาโดยตลอด
กาลเวลาได้เปลี่ยนผัน เมื่อไร้ผู้ศรัทธา ตัวตนของเทพจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องคงอยู่อีกต่อไป
เขาคิดจะหายไปเฉยๆ แต่เด็กหนุ่มคนนี้กลับปรากฎขึ้นมาเสียก่อน…
โดยที่ไม่รู้ตัว ก็เผลอเปิดใจให้มนุษย์ผู้นี้ไปเสียแล้ว
“ถ้าไม่มีฉันแล้ว นายต้องดูแลตัวเองดีๆ นะ”
เด็กหนุ่มผู้นี้คงยังไม่รู้ตัว… ว่าโศกนาฏกรรมครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากอุบัติเหตุ
และในอนาคต ชีวิตของเขาจะไม่ปลอดภัยอีกต่อไป…
ความคิดเห็น