คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #74 : ◣Fanfic◥ [DoflamingoxLuffy] Akaito (Part3)
Title: Akaito
Pairing: Doflamingo x Luffy
Rate: PG-13
Writer: PINKUHERO
Part: 3/??
แนะนำเปิดเพลงเพื่ออรรถรสได้นะคะ:)
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
การ์ปอินเตอร์การ์ด เป็นบริษัทรักษาความปลอดภัยที่ครอบคลุมตั้งแต่ธุรกิจยามประจำหมู่บ้านไปจนถึงบอดี้การ์ดของผู้มีความสำคัญระดับประเทศ เป็นเครือข่ายจากตะวันตกที่เข้ามาทำธุรกิจในญี่ปุ่น โดยมีโลโก้เป็นรูปลิงตามนามสกุลของเจ้าของบริษัท
ตั้งแต่อดีต กลุ่มรักษาความปลอดภัยแห่งนี้ทำงานร่วมกับตำรวจน้ำดีมาโดยตลอด วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ตำรวจหนุ่มผู้ถือสถานะสารวัตรเข้ามาติดต่อกับผู้มีอำนาจสูงสุด ในมือของเขาหิ้วปีกเด็กหนุ่มร่างเล็กที่มีสีหน้าไม่สู้ดีนักเข้าไปในห้องของประธานบริษัท
“เป็นยังไงล่ะ งานพังไหม” ประโยคแรกที่คนมีอายุเลือกทักทายกลับเป็นคำถามแปลกพิลึก เจ้าตัวผู้มีใบหน้าใจดียกยิ้มขำกับหลานชายตัวน้อยที่หน้าบึ้งเป็นตูดลิง
“เกือบแย่น่ะปู่ ปล่อยลูฟี่กลับไปเรียนเหมือนเดิมเหอะ”
“โหเอส พูดงี้ได้ไง งานไม่ได้ล่มซักหน่อย” เห็นคนผมหยักศกเอ่ยล้อเลียนตนเองก็อดไม่ได้ที่จะโมโหขึ้นมา เด็กน้อยขมวดคิ้วยุ่ง สาเหตุที่ทำให้เขาไปงับแขนชาวบ้านเล่น เพราะฝ่ามือหยาบกร้านของฝ่ายนั้นที่ไล้เข้ามาในยูกาตะ ถ้าย้อนกลับไปได้จะไม่ทำแค่กัดแน่นอน
“เจ้าบ้านั่นต่างหากที่มาจับที่แปลกๆ ยังขนลุกอยู่เลย”
ยิ่งเห็นสายตาร้อนเป็นไฟของหลาน คนถูกเรียกปู่ก็ยิ่งระเบิดหัวเราะออกมาเสียงดัง ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ไม่เลวสำหรับเด็กคนนี้
“เริ่มงานแรกได้ดีนะ …แกไม่จำเป็นต้องรีบหรอกลูฟี่” ในฐานะของทายาทตระกูลมังกี้ ยังมีอีกหลายอย่างนักที่หลานชายของเขายังไม่ได้เรียนรู้
ลูฟี่ยังเด็กเกินไปกว่าที่จะมาเผชิญความจริงของโลกใบนี้
อาจเพราะโชคชะตาที่สัมพันธ์กัน ตระกูลมังกี้และพ่อของโปรโตกัส ดี เอสสนิทสนมกันมาตั้งแต่อดีต เพราะผ่านเรื่องราวต่างๆ ด้วยกันมามากมาย ชายสูงอายุคนนี้รับดูแลเอสมาตั้งแต่เยาว์วัยจนถึงปัจจุบัน จนเขาเหมือนเป็นปู่แท้ๆ ของเจ้าตัวไปอีกคน ไม่แปลกที่พวกเขาจะยังทำงานร่วมกันในฐานะนักธุรกิจและตำรวจของประชาชน
“ว่าแต่แกเหอะ ทำแต่งาน กลับบ้านบ้างก็ได้นะ” เห็นสภาพทรุดโทรมของหลานชายอีกคนแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วง เพียงแต่เขาเลือกที่จะไม่พูดออกไปตรงๆ ก็เท่านั้น ฝ่ายโปรโตกัสเองก็เข้าใจความหวังดีนั้น ชายหนุ่มทำเพียงเกาศีรษะตัวเองอย่างทำอะไรไม่ถูก
“รู้แล้วล่ะน่า…”
ไม่รับปากหรอกว่าจะเลิกทำงานหนัก… มันทำแบบนั้นได้ที่ไหนกันเล่า
“จะว่าไปแล้วก็เข้ารอบปีงบใหม่แล้วนี่นะ”
คนมีอายุทำหน้าครุ่นคิด ลูฟี่ที่เงียบมองเหตุการณ์ทุกอย่างมานาน แต่ไม่เข้าใจในสิ่งที่พูดซักประโยคได้แต่ขมวดคิ้วด้วยความงุนงง
พอเข้าปีงบใหม่แล้ว ก็ถึงเวลาของการจัดซื้อสิ่งที่จำเป็นสำหรับการดำเนินธุรกิจ หนึ่งในนั้นคือการจัดหาอาวุธให้เพียงพอต่อความต้องการของกำลังคน ต่อมาอีกไม่กี่วัน ผู้เป็นปู่และคงสถานะประธานใหญ่ของบริษัทก็นัดติดต่อกับผู้ค้าอาวุธรายใหญ่
ทายาทสายตรงอย่างลูฟี่ที่ยังอายุน้อยเกินไปกว่าจะเรียนรู้งานทุกอย่างทำได้เพียงเป็นผู้สังเกตการณ์อยู่ภายนอก เขาไม่ได้รู้รายละเอียดอะไรมากนัก ปู่เข้าไปคุยกับผู้ค้าอาวุธพักใหญ่ๆ แล้ว เขาทำได้แค่นั่งรออยู่ข้างนอกจนกว่าธุระจะจบลงเท่านั้น
ลูฟี่เพิ่งเรียนจบมาในวัยสิบเก้าปี เขามีทางเลือกสำหรับอนาคตมากมาย อยากจะเรียนต่อให้สูงเท่าใดก็ได้ แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้โปรดปรานการเรียนหนังสือขนาดนั้น ออกจะซื่อบื้อเกินไปเมื่อเทียบกับเด็กรุ่นเดียวกันเสียด้วยซ้ำ เขาอยากกลับมาช่วยงานที่บ้านมากกว่า
เพราะปู่กับพ่อที่ทำงานบอดี้การ์ดน่ะเท่สุดๆ ไปเลย …เรื่องทั้งหมดก็มีที่มาแบบนี้
เด็กหนุ่มร่างผอมบางอยู่ในชุดลำลองแบบตะวันตก เขาเลือกที่จะก้าวเดินเข้าไปยังสวนของคฤหาสน์ที่กว้างขวางอย่างไร้ประโยชน์ ปู่ไม่ยอมให้เข้าไปเรียนรู้งานซักที ถึงได้ทำได้แค่เดินไปเดินมาแบบนี้
สบจังหวะกับปลายเท้าของร่างหนึ่งที่เดินสวนมาจากอีกทางอย่างถูกจังหวะ พวกเขาพบกันที่มุมตึก อับสายตาจากมุมมองของอีกฝ่ายจนคนตัวเล็กเด้งออกไปด้านหลังด้วยความตกใจ เมื่อหน้าผากมนของเจ้าตัวดันไปชนกับแผ่นอกของอีกฝ่ายเข้าอย่างจัง
“…ไม่คิดว่าจะมาเจอเธอที่นี่นะ” ได้ยินเสียงแล้วได้แต่ขมวดคิ้วเพราะคุ้นหูแปลกๆ จนกระทั่งคนที่ลูบหัวป้อยๆ เงยหน้าขึ้นมองคนสูงกว่าที่ตัวแข็งเหมือนกำแพงหินแล้วก็ต้องเบิกตากว้าง
ผู้ชายคนนี้อีกแล้ว! คนที่เจอกันในสถานที่อโคจรนั่น คราวนี้ก็ยังใส่ยูกาตะสีหม่นอยู่เหมือนเดิม
“นาย! ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้!” เห็นรอยยิ้มของอีกฝ่ายที่เหยียดกว้างออกตอนที่เห็นสีหน้ากลืนไม่เข้าคลายไม่ออกของตัวเองแล้วยิ่งหงุดหงิด คราวที่แล้วเกือบจะโดนผู้ชายคนนี้พากลับไปด้วยเพราะเข้าใจว่าเขาเป็นเด็กบริการอย่างว่าเสียด้วยสิ
“แล้วทำไมฉันจะมาที่นี่ไม่ได้กันล่ะ”
ไม่ตอบคำถามแถมยังย้อนถามกลับมาอีก… อย่าบอกนะว่าผู้ค้าอาวุธที่ปู่คุยด้วยคือผู้ชายคนนี้
ในปู่บอกว่าเขาเป็นคนไม่ดี มีธุรกิจสีเทาไง
“อ้าว… เคยเจอกันแล้วเรอะ” เป็นเสียงของการ์ปที่เข้าแทรกความวุ่นวายนั้น ปู่ที่เดินตามหลังร่างสูงของโดฟลามิงโก้มาไม่ห่าง เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ดีว่าคู่ค้าทางธุรกิจเป็นชายคนนี้ไม่ผิดแน่ คนสูงอายุเดินมาหยุดข้างหลานชายก่อนวางมือลงค้ำศีรษะทุยอย่างสนิทสนม
“แต่พวกแกก็เคยเห็นกันตั้งแต่เด็กแล้วนี่”
อีกครั้งแล้วที่ลูฟี่โดนทักด้วยประโยคแบบนี้
“ฉันเนี่ยนะ…” ยกนิ้วขึ้นมาชี้หน้าตัวเองด้วยความงุนงง
คราวที่แล้วผู้ชายผมทองตรงหน้าก็พูดแบบนี้เหมือนกัน พวกเขาเคยไปเจอกันตอนไหน จำไม่เห็นจะได้
“หึหึ คงได้เจอกันอีกบ่อยแน่ล่ะ”
ยิ่งเห็นใบหน้าน่ารักนั้นขมวดยุ่งมากเท่าไร ก็ยิ่งเรียกเสียงหัวเราะจากคนตัวสูงกว่าได้มากเท่านั้น และพอเขาหัวเราะออกมาทีไร ใบหน้ายุ่งๆ นั้นก็ดูจะแปรเปลี่ยนเป็นความโมโหได้ทุกที ราวกับไม่พอใจเสียงหัวเราะของเขานัก
เป็นเด็กที่ตลกอะไรขนาดนี้นะ…
“โดนเกลียดเข้าซะแล้วหรอ” อดไม่ได้ที่จะแสร้งทำหน้าเศร้าใส่เด็กน้อยตรงหน้า เขาโบกมือลาคนตัวเล็กและปู่ของเจ้าตัวทั้งอย่างนั้น ก่อนร่างสูงจะเดินจากไปพร้อมเสียงหัวเราะในลำคอไปตลอดทาง
ซึ่งลูฟี่รู้สึกไม่ชอบเสียงหัวเราะนั้นเอาเสียเลย คนอะไรหัวเราะเหมือนคนโรคจิตได้ขนาดนั้น
“เป็นไปได้ก็อย่าเข้าไปยุ่งกับหมอนั่นมากนักล่ะ” เห็นปฏิกิริยาแปลกๆ ระหว่างคนทั้งคู่ ผู้เป็นปู่ก็พอเดาออกได้ว่าคงมีเรื่องราวอะไรบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างทั้งสองคน จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากเตือนหลานชายตัวน้อยของตน
“ซักวันหนึ่งเจ้านั่นจะเอาเรื่องวุ่นวายมาให้แก”
เด็กหนุ่มได้แต่ขมวดคิ้วด้วยความงุนงง ในตอนนี้อาจจะยังไม่ใช่เวลาที่เจ้าตัวจะเข้าใจเรื่องราวทุกอย่าง คงต้องปล่อยให้เวลาทำงานของมันต่อไป การ์ปใช้มือโคลงหัวทุยๆ ของหลานไปด้านซ้ายทีขวาที พลางกล่าวประโยคต่อไปพร้อมสีหน้าจริงจัง
“จำไว้ด้วยล่ะลูฟี่ คนเราไม่มีใครดีไปหมดร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก”
“…แต่ก็ไม่มีใครที่ไหนเลวร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนกัน”
ประโยคนั้นราวกับจะเอ่ยเตือนให้เขาเฝ้าระวังกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ลูฟี่ได้แต่มองแผ่นหลังของหัวหน้าตระกูลดองกิโฮเต้ที่ห่างออกไปพร้อมใบหน้าสับสน เขาคุ้นเคยท่าทางและบุคลิกของชายคนนี้ราวกับเคยรู้จักกันมาก่อน
ไม่ใช่เพราะความทรงจำในวัยเด็ก แต่เหมือนมีอะไรที่ซับซ้อนกว่านั้น…
แรงดึงดูดบางอย่างจากคนๆ นั้นทำให้เด็กหนุ่มได้แต่ประหลาดใจ
วันนี้ลูฟี่ช่วยงานปู่กับพ่อโดยทำหน้าที่เป็นเด็กส่งเครื่องแบบให้กับเหล่าบอดี้การ์ดของบริษัทที่รับงานให้ความคุ้มครองเทศกาลอาหารประจำปี แม้เจ้าตัวจะบ่นกะปอดกะแปดว่าให้ทำแต่งานจิปาถะ แต่ก็ยอมรับงานมาอย่างว่าง่าย
ก็เพราะว่ามีงานอาหารอยู่ตรงหน้าอย่างไรล่ะ…
เด็กหนุ่มเป็นคนชอบกิน อาหารอะไรที่อร่อยไม่ว่าอะไรเขาก็ชอบทั้งนั้น
ปลายเท้าทั้งคู่ก้าวเตาะแตะเข้าไปในงานเทศกาลพร้อมใบหน้ามีความสุข ในมือของเขามีของกินอยู่เต็มทั้งสองข้าง ดวงตาคู่โตเป็นประกายเมื่อมองเห็นแผงผลไม้สีทองตรงหน้า พร้อมป้ายประกาศที่แปะไว้ว่า ‘ผลไม้ลึกลับในตำนานหนึ่งพันปี’
ใครๆ ก็ดูออกว่าป็นมิจฉาชีพ แต่ไม่ใช่กับลูฟี่
ในขณะที่ฝ่ามือบอบบางเอื้อมไปจับแอปเปิ้ลสีทองลูกหนึ่งมาไว้ในมือ แรงกระแทกจากด้านหลังก็ส่งให้ผลไม้ทาสีลูกนั้นร่วงจากมือลงไปกลิ้งหลุนๆ กันพื้น เปรอะดินจนสีทองที่เคยทาเอาไว้เลอะพื้นเป็นทางยาว
ส่วนต้นเหตุก็เป็นเด็กน้อยกลุ่มหนึ่งที่กำลังวิ่งไล่จับกันพร้อมไอศกรีมในมือ วิ่งนำไปด้านโน้นเสียไกลแล้ว เจ้าของใบหน้าหวานหน้าซีด ไม่รู้จะตกใจอะไรก่อนดี ก็ทำผลไม้เขาตกแหละ เจ้าของก็โกรธด้วย แต่ความจริงก็เปิดเผยเหมือนกันว่าผลไม้เป็นของปลอม
“โอ๊ย เจ็บ! เจ็บจะตายอยู่แล้ว!” แต่แล้วเสียงโวยวายของชายคนหนึ่งที่ดังลั่นก็ดึงความสนใจของคนทั้งหมดไปเสียก่อน เด็กหนุ่มรีบยัดเงินเหรียญหนึ่งใส่มือพ่อค้าอย่างรีบร้อน ก่อนวิ่งเข้าไปดูเหตุการณ์หวังจะรีบชิ่งหนีทั้งแบบนั้น
ผู้คนในตลาดกำลังยืนล้อมดูเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินไปด้วยความสนใจ คนตัวเล็กจึงไม่ลังเลที่จะแทรกตัวเข้าไปอยู่ในฝูงชนด้วย ตรงกลางลานโล่งมีร่างของชายท้วมคนหนึ่งที่ล้มกลิ้งไปกับพื้นอย่างไม่เป็นท่า อีกฝั่งเป็นเด็กหลายคนที่ล้มไปอีกทางด้วยสภาพล้มระเนระนาดเช่นกัน
แก๊งเด็กที่วิ่งชนเขาเมื่อกี๊นี้นี่นา…
เพราะร่างกายที่อ้วนท้วนจนค่อนไปทางกลม บวกกับแขนขาที่สั้นของเจ้าตัว ทำให้ไม่อาจลุกขึ้นยืนในท่าเดิมด้วยตัวเองได้ สร้างความอับอายให้แก่ชายผู้นั้นมาก ใบหน้านั้นแดงกร่ำด้วยความโกรธ ฝ่ายเด็กที่ถูกจ้องมองก็น้ำตาคลอเบ้า พากันวิ่งงอแงออกไปคนละทาง ทิ้งไว้เพียงเด็กหญิงคนหนึ่งที่มีรอยแผลถลอกที่เข่า
เจ้าของผมสีเขียวพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา เม้มริมฝีปากแน่นจนเริ่มเบะออก ไอศกรีมที่เคยถือมาเมื่อกี๊เปรอะเปื้อนชุดเอี๊ยมของคนตรงหน้าไปหมด แถมตรงเข่าก็ยังเจ็บมากอีกต่างหาก
“แงงงง ไม่นะ ไอติมของหนู! แงๆๆๆ” ในที่สุดก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้อีกต่อไป เด็กน้อยร้องไห้จ้าจนคนที่ยืนมุงอยู่เริ่มทำอะไรไม่ถูก ฝ่ายคนถูกชนเองก็โดนยั่วโมโหมากขึ้นกว่าเดิมจนไม่อาจอดกลั้นอารมณ์ได้อีกต่อไป
“แกไม่รู้หรือไงว่าฉันเป็นใคร! ฉันจะให้หัวหน้ามาเล่นงานพวกแกให้หมด!”
เหตุการณ์เริ่มจะบานปลายมากขึ้นเรื่อยๆ น่าแปลกที่ไม่มีใครกล้าก้าวเข้ามาจัดการกับเรื่องดังกล่าว ลูฟี่ขมวดคิ้วมองด้วยความขัดใจ เขาพาร่างตัวเองไปหยุดตรงหน้าเด็กหญิงก่อนยื่นมือไปวางไว้ตรงหน้า
“พวกนายทำอะไรกันเนี่ย” เรื่องแค่นี้ทำไมจะต้องเป็นเรื่องใหญ่ด้วย
เด็กผมเขียวไม่ได้เอื้อมมือมาจับกับเขา แต่เจ้าตัวกลับรีบวิ่งมาหลบด้านหลังด้วยท่าทางหวาดกลัว ยิ่งทำให้เด็กหนุ่มไม่เข้าใจ เขาเลือกที่จะเดินต่อไปหยุดลงด้านหลังชายร่างกลม และใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างดันร่างที่มีน้ำหนักมากนั้นให้ลุกขึ้นยืน
“นายเองก็ลุกขึ้นสิ”
“หา…!” อีกฝ่ายตวาดเสียงดัง ก่อนปัดฝ่ามือของเด็กตรงหน้าออกอย่างไม่ใยดี เด็กหนุ่มคงไม่เข้าใจว่าการกระทำแบบนั้นของเขาเป็นการดูถูกคนตรงหน้าว่าแม้แต่จะลุกขึ้นยืนด้วยตัวเองยังทำไม่ได้ กายสูงใหญ่จึงล้มลงไปกลิ้งกับพื้นอีกรอบ ใบหน้าเดิมเริ่มนิ่วเข้าหากันด้วยความโมโห
“แกไม่ใช่คนเมืองนี้หรือไง ไม่รู้หรอว่าฉันเป็นใคร!”
“ฉันเป็นคนที่นี่ แต่ฉันไม่รู้จักนาย” แม้จะยังงุนงงกับเรื่องราวทุกอย่าง แต่เจ้าของใบหน้าหวานกลับตอบกลับไปพร้อมสีหน้าเรียบนิ่ง
ไม่รู้ว่ามันกวนโอ๊ยหรือมันซื่อจริงๆ กันแน่…
“เข้ามายุ่งไม่เข้าเรื่อง เดี๋ยวชีวิตจะไม่ปลอดภัยเอานะเจ้าหนู” ชายร่างกลมยิ้มเหี้ยมทั้งใบหน้าโกรธเกรี้ยว จะแบบไหนเจ้าตัวผอมนี่ก็ทำให้เขาโมโหทั้งนั้น ท่าทางว่าเรื่องนี้จะไม่จบลงง่ายๆ อย่างที่เขาว่าเสียแล้วสิ
ต้องเล่นงานมันให้หนัก โทษฐานที่ทำให้อับอายในวันนี้
“ฉันพยายามจะช่วยแล้ว แต่นายปฏิเสธ” ลูฟี่ไม่ใช่คนที่ใจดีพร่ำเพรื่อ ในเมื่ออีกฝ่ายปฏิเสธความช่วยเหลือก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องยื่นมือเข้าไปอีก เขาชักมือตัวเองกลับมาไว้ข้างตัวเหมือนเดิม ปล่อยให้อีกฝ่ายลุกขึ้นยืนด้วยตัวเองก็แล้วกัน
“ไปกันเถอะเจ้าหนู ฝ่ายนั้นก็ดูไม่ได้เป็นอะไรมากเท่าไรหรอก”
เขาเดินออกไปทั้งแบบนั้น ทิ้งชายที่เกรี้ยวกราดไว้คนเดียวท่ามกลางวงล้อมของผู้คน เด็กหญิงที่โดนกล่าวถึงมีสีหน้าซีดเผือด ทำอะไรไม่ถูกจึงได้แต่วิ่งตามร่างบางมาทั้งแบบนั้น ก่อนคว้าชายเสื้อของคนอายุมากกว่ามากำด้วยความหวาดกลัว
พวกเขาเดินคู่กันไปตามทางจนเริ่มพ้นออกไปจากเขตงานเทศกาล เด็กน้อยยังไม่กล้าปลีกตัวออกไปไหน จนกระทั่งร่างของใครคนหนึ่งเดินมาหยุดลงตรงหน้า
เขาเป็นชายหนุ่มตัวสูงชะลูดผู้มีผิวสีแทน และไว้เครารอบกรอบหน้า ใต้ตาทั้งสองข้างคล้ำราวกับคนอดนอนมาหลายวัน เจ้าตัวใช้ดวงตาคู่คมจ้องมองมายังใบหน้าหวานของเด็กหนุ่มตรงหน้าสลับกับเด็กหญิงด้วยความงุนงง
“ชูการ์ ทำไมเธอมาอยู่ตรงนี้ ฉันตามหาตั้งนาน” ดูเหมือนจะไม่ใช่พวกเดียวกันกับคนในตลาด แต่เป็นคนรู้จักของเด็กหญิงคนนี้ เจ้าของผมสีเขียวเมื่อเห็นใบหน้าของคนคุ้นตา ก็เริ่มเบะปากอีกครั้ง ก่อนเสียงอแงจะดังขึ้นจ้า
“ลอว์ แย่แล้ว พวกของไคโด!”
“ฮึก… เพราะชูการ์พี่ชายเลยมีเรื่องกับพวกของไคโด แงๆๆๆ” เห็นเด็กน้อยเริ่มร้องไห้อีกครั้ง เด็กหนุ่มก็ทำสีหน้าไม่ถูก เขาขมวดคิ้วยุ่งด้วยความไม่เข้าใจอย่างสุดซึ้ง
ไคโดคือใครอีกล่ะเนี่ย… เคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อนมั้ยนะ
คนตัวสูงตรงหน้าทำหน้าเครียด เขายืนประมวลสถานการณ์ก่อนขมวดคิ้วเข้าหากัน ดวงตาสีดำทอดมองเด็กหนุ่มตรงหน้า ฝ่ายเด็กหนุ่มเองก็มองหน้าเขากลับด้วยความงุนงง
“นายไปทะเลาะกับผู้ชายตัวกลมๆ ที่ใส่เอี๊ยมมาหรอ”
และได้คำตอบเป็นการพยักหน้าหงึกหงักจากอีกฝ่าย
ใครๆ ก็รู้ว่าไม่ควรไปมีเรื่องกับคนกลุ่มนั้น ชายคนนั้นคือควีนแห่งกลุ่มไคโด แต่เหมือนเด็กคนนี้จะไม่รู้เรื่องนั้น
ถ้าหมอนั่นคิดจะเอาคืนจริงๆ ชีวิตเด็กคนนี้คงไม่ปลอดภัยแน่
เจ้าของใบหน้าคมคายถอนหายใจอย่างหมดหนทาง กงการอะไรของเขากันนะ ถึงได้นึกสงสารร่างบางตรงหน้าขึ้นมา
“ถ้าอย่างนั้นฉันคงต้องขอให้นายไปด้วยกันก่อน”
ลูฟี่ถูกพามายังคฤหาสน์ทรงญี่ปุ่นแห่งหนึ่งที่เขาไม่รู้จัก ผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งที่ดูสวยสะพรั่งนำขนมและเครื่องดื่มมาต้อนรับราวกับเขาเป็นแขกคนหนึ่งของบ้าน ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ กัน ทราบชื่อในภายหลังว่า ‘วิโอเล็ต’ ส่วนเด็กหญิงที่ชื่อชูการ์ก็นั่งอยู่ตรงข้ามกับเขา
“คนพวกนั้นคือไคโด คงจะสะกดรอยตามเธอไปอีกหลายวันเลยล่ะ” เธอกล่าวขณะยกน้ำชามารินใส่แก้วให้
“พูดง่ายๆ คือเธอกลายเป็นเป้าหมายของคนพวกนั้น”
“ก็ถือว่าเป็นการตอบแทน ดองกิโฮเต้จะให้ความคุ้มครองเธอจนกว่าจะปลอดภัยนะ”
ร่างที่กำลังยกชาดอกไม้ขึ้นดื่มสำลักขึ้นมากะทันหัน เมื่อชื่อที่หญิงตัวสูงตรงหน้ากล่าวดันคุ้นเคยเอาเสียนี่กระไร จนคนที่นั่งข้างกันรีบเอาฝ่ามือมาตบหลังเบาๆ หวังว่าอาการสำลักจะดีขึ้น
อาจจะมีคนนามสกุลดองกิโฮเต้เยอะแยะเต็มไปหมดก็ได้… ต้องใช่แน่ๆ
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันมีพี่ชายเป็นตำรวจ แถมปู่มีบริษัทรักษาความปลอดภัยด้วยอีก” เด็กหนุ่มเอ่ยหลังจากสำลักจนหน้าแดง
ไม่ได้จะขี้โม้นะ… แต่นี่เรื่องจริงทั้งนั้น เครือข่ายของปู่กับเอสก็ยิ่งใหญ่เหมือนกันล่ะน่า
“แต่ต่อให้เป็นตำรวจ เจ้าพวกนั้นก็ใช่ว่าจะสนใจนี่นะ”
แต่แล้วเสียงหนึ่งที่คุ้นหูเหลือเกินก็ดังขึ้นมาแทรกในบทสนทนา กลุ่มคนที่เคยนั่งและเดินอยู่รอบๆ ตัวโค้งตัวแสดงความเคารพโดยอัตโนมัติ ก่อนที่ร่างสูงของใครคนหนึ่งจะย่างกรายเข้ามาให้เห็น
“นึกว่าใครที่ไหนที่กล้าไปมีเรื่องกับไคโด ที่แท้ก็หลานชายของการ์ปนี่เอง”
ดองกิโฮเต้ โดฟลามิงโก้…!
เสียงหัวเราะกับรอยยิ้มน่าโมโหนั่น คนก็มีตั้งเยอะแยะทำไมถึงต้องเป็นผู้ชายคนนี้ทุกทีเลยนะ
“นาย…! ฉันชื่อลูฟี่ต่างหาก มังกี้ ดี ลูฟี่!”
แต่เพราะตระกูลมังกี้ก็ไม่ใช่ตระกูลไก่กาจากที่ไหนเหมือนกัน เหล่าคนที่ได้ยินชื่อนั้นของเด็กหนุ่มต่างก็พากันอึ้งไปหมด ไม่เว้นแม้แต่วิโอเล็ตที่เจ้าตัวหันไปใช้สายตาหวังจะขอความช่วยเหลือ แต่หญิงสาวกลับชะงักค้างไปเสียแล้ว
ใครๆ ก็รู้ว่าไม่ควรไปมีเรื่องกับตระกูลมังกี้เหมือนกันนั่นแหละ…
“ถ้าอย่างนั้นก็ยินดีที่ได้รู้จักนะ” เจ้าของกายสูงชะลูดยังคงรอยยิ้มเอาไว้บนใบหน้าคม ดูเหมือนเขาจะพอใจมากเสียทีเดียวกับการพบเจอแขกตัวน้อยในวันนี้
“เจอกันอีกครั้ง ฉันดองกิโฮเต้ โดฟลามิงโก้...”
“หัวหน้าตระกูลดองกิโฮเต้และบริษัทในเครือ” ดูสีหน้าและท่าทางภูมิใจอย่างสุดซึ้งของผู้ชายคนนี้สิ ลูฟี่ได้แต่ขมวดคิ้วพร้อมสีหน้าเหมือนคนเห็นสิ่งที่ไม่น่าพึงประสงค์
โลกกลมเหลือเกิน… ทำไมไม่ว่าใครๆ ที่รู้จักต่างก็มาบรรจบที่ชายคนนี้หมดเลย
“ไม่เอาอะ ฉันดูแลตัวเองได้ ทำไมจะต้องให้นายมาคุ้มครองด้วย”
ไม่ว่าอย่างไรก็รู้สึกไม่ชอบขี้หน้าเอาเสียเลย ร่างบางไม่สามารถหาเหตุผลของความรู้สึกเหล่านั้นได้ แต่เขาไม่อยากจะเข้าใกล้ผู้ชายคนนี้ไปมากกว่านี้ เจ้าตัวเด้งตัวขึ้นยืนเต็มความสูง ก่อนจ้องหน้าหัวหน้าตระกูลกลับไปด้วยความไม่พอใจ
“จะกลับแล้ว ฉันไม่เอาอะไรตอบแทนทั้งนั้น”
คนตัวสูงเห็นท่าทางขี้หงุดหงิดของคนตัวเล็กทีไรก็อดขำไม่ได้ทุกที เป็นแบบนี้แค่กับเขาคนเดียวเลยหรือไงนะ
“ถ้าอย่างนั้นก่อนกลับไป ช่วยไปที่หนึ่งกับฉันก่อนได้ไหม”
ความคิดเห็น