คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #28 : นางร้าย 20
The villain
นาง (นาย) ร้าย ที่รัก
ตอนที่ 20
พจน์เดินออกมาจากบริษัทฯ ของตัวเองด้วยใจหดหู่ สายตาหม่นมองไปยังตึกสูงระฟ้าอย่างคนห่อเหี่ยว ต่อไปนี้จะไม่มีอีกแล้ว...เขาไม่ใช่ผู้บริหารของที่นี่อีกแล้ว ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วไปหมด เพียงแค่ข้ามคืนของๆ เขาก็ตกไปอยู่ในเงื้อมมือของคนอื่นอย่างง่ายดาย โดยคนที่ทำนั้นเป็นลูกชายของตัวเอง!...ทันทีที่รู้ข่าวจากทนายเขาก็รีบเข้ามาในบริษัทฯ แต่พอมาถึงก็เจอกับศัตรูทางธุรกิจและพวกคณะกรรมการบริหารกำลังนั่งประชุมอยู่ภายในห้องประชุม
ในคราวแรกพจน์ไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเอกสารซื้อขายหุ้นรวมทั้งทรัพย์สินทั้งหมดของบริษัทฯ เลยทำให้รู้ตัวว่าเขาถูกบดินทร์เล่นงานเข้าให้แล้ว พจน์คัดค้านสุดตัวว่ามันเป็นของปลอม เขาไม่มีทางยกของๆ เขาให้คนอื่นง่ายๆ
แต่พจน์ทำอะไรไม่ได้เลย...คนพวกนั้นที่เคยอยู่ร่วมงานและเคยอยู่เคียงข้างเขากลับปลีกตัวไปอยู่กับบดินทร์! มันทำให้พจน์ไม่เหลือใคร...ไม่เหลือแม้แต่กำลังที่จะต่อสู้ เพราะทุกสิ่งที่เขามีถูกเอาไปจนหมดตัว
“คุณคะ!”
นันปรี่เข้าหาผู้เป็นสามีด้วยสีหน้าที่ตื่นตระหนก เธอรอฟังข่าวอยู่ที่บ้านด้วยใจไม่สู้ดีนัก รู้สึกหวั่นๆ เสียจริงเมื่อเห็นหน้าสามีของเธอ
“คุณพ่อ!”
หนึ่งเองก็เช่นกัน
ไร้คำตอบจากคนตอบ มีแต่เพียงความเงียบงัน พจน์ในตอนนี้ไม่อยากพูดอะไรออกมาทั้งนั้น มันรู้สึกจุกในอกจนแน่นไปหมด ชายวัยกลางคนเดินไปนั่งตรงโซฟาตัวที่นั่งเป็นประจำอย่างคนหมดแรง เขาในตอนนี้แทบไม่เหลืออะไรอีกแล้ว เงินทองและทรัพย์สมบัติก็ถูกริบไปหมด
“คุณพจน์ ว่ายังไงคะ! คุณอย่าเอาแต่เงียบสิ เรื่องบริษัทฯ เป็นยังไงบ้าง คุณพจน์...คุณพจน์!”
นันไม่พูดเปล่าแต่กลับไปนั่งข้างสามีของเธอพลางเขย่าแขนไปมาเพื่อเร่งรัดเอาคำตอบ
“คุณพจน์!”
“เงียบสักทีได้ไหมนัน!”
แต่จนแล้วจนรอดพจน์ก็ทนไม่ไหวพลั้งเผลอขึ้นเสียงใส่หญิงคนรัก
“คุณพ่อ”
หนึ่งมองบิดาตนอย่างไม่น่าเชื่อหูตัวเอง เพราะตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมาไม่เคยมีสักครั้งที่พจน์จะตะคอกหรือขึ้นเสียงใส่
“ขอโทษ”
พจน์พยายามทำใจเย็นแล้วมองไปที่ภรรยาและลูกชายอีกครั้ง เหมือนมีบางอย่างจุกในลำคอจนทำให้กลืนไม่เข้าคายไม่ออก จะเริ่มพูดยังไงดี จะทำยังไงดี จากที่เคยอยู่สุขสบาย จากที่ไม่มีเรื่องต้องทุกข์ร้อนและมีเงินมีทองใช้ แต่ดูตอนนี้สิ...พจน์ไม่เหลืออะไรเลย แม้กระทั่งบ้านที่จะซุกหัวนอนก็ยังไม่มีเลย
“คุณนัน หนึ่ง...” พจน์กลืนน้ำลายลงคอ “เรา...ต้องเก็บของ”
นันและหนึ่งขมวดคิ้วด้วยความงุนงง...ไม่เข้าใจว่าสิ่งที่พจน์พูดหมายความว่าอะไรกันแน่?
“เก็บของ? เก็บของทำไมคะคุณพจน์”
“นั่นสิครับคุณพ่อ”
ชายสูงวัยมองหน้าลูกเมียทั้งสองอีกครั้ง มือหนาพลางเอื้อมมือไปลูบหัวลูกชายตัวเองเบาๆ ถึงไม่อยากยอมรับแต่เขาจำเป็นที่จะต้องทำ! ทั้งหมดมันเป็นเพราะเขาผิดเอง...เป็นคนผิดตั้งแต่แรก ถ้าเขาใส่ใจเรย์สักนิดคงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
“พวกเรา...หมดตัวแล้วคุณนัน”
!!!
“ว่าอะไรนะคะ! หมดตัว? คุณหมายความว่ายังไง”
นันถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ จู่ๆ ก็มาบอกว่าหมดตัวอย่างนั้นเหรอ? มันจะเป็นไปได้ยังไง! พจน์ต้องโกหก ต้องโกหกแน่ๆ!!!
“คุณพ่อล้อเล่นใช่ไหมครับ”
หนึ่งถามอีกคนแต่สิ่งที่ได้มากลับเป็นการส่ายหน้าปฏิเสธของผู้เป็นพ่อ พร้อมทั้งสีหน้าที่แสดงถึงความเจ็บปวดและสิ้นหวัง ทำให้คนตัวเล็กรู้เลยว่าพจน์พูดความจริง
เพียงไม่นานนักเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็ค่อยๆ ออกมาจากริมฝีปากหนาคู่นั้นทีละเรื่องๆ ทั้งหนึ่งและนันต่างก็ตั้งใจฟัง แต่สิ่งที่พจน์เอ่ยออกมานั้นมันกลับทำให้ลมแทบจับ นันแทบอยากจะเป็นลมล้มทั้งยืนด้วยซ้ำ ส่วนหนึ่งเองก็เช่นกัน ถึงแม้จะตกใจแต่ก็พยายามครองสติให้อยู่ ร่างบางส่ายหน้าช้าๆ อย่างคนไม่เชื่อหูตัวเอง...
มันจะเป็นไปได้ยังไง!
ไม่! ต้องไม่ใช่แบบนี้!
“ไปเก็บของซะ พวกเราจะไปจากที่นี่กัน”
พจน์เอ่ยพลางไม่กล้าสบตาลูกและเมียตัวเอง
“ไม่ไป! ฉันไม่ไป!!! ที่นี่เป็นบ้านของคุณ มันเป็นบ้านของฉันกับคุณ! ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้น!!!”
เสียงแข็งกร้าวบอกแก่ผู้เป็นสามีอย่างคนไม่ยอม ที่นี่เป็นบ้านของเธอ! ไม่สิ...ถึงจะเป็นบ้านของพจน์แต่เธอที่เป็นภรรยาก็เปรียบเสมือนเจ้าของบ้านเหมือนกัน จะให้เธอออกไปอยู่ที่อื่นอย่างนั้นหรือ? ยังไงซะก็ไม่มีวันยอมเด็ดขาด!
“คุณแม่”
“เพื่อนของคุณก็มีไม่ใช่เหรอ! โทรไปสิ! โทรไปขอร้องเพื่อนของคุณให้ช่วย! เดี๋ยวนะ...เพื่อนของฉันก็มี เพื่อนๆ ที่เป็นนักธุรกิจของฉันก็เยอะ ฉันจะลองโทรไปให้พวกเขามาช่วย”
นันเลิกลักคว้าไปที่โทรศัพท์ของตัวเองแล้วกดโทรออกไปยังปลายสาย หัวใจของเธอเต้นระรัวจนแทบกระเด้งออกมานอกอกเพื่อรอลุ้นให้อีกคนกดรับสายของเธอ
“ฮัลโหล คุณอ้อยเหรอคะ...นี่ฉัน...”
ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด
แต่ยังไม่ทันที่นันจะเอ่ยคำออกไป ปลายสายก็ถูกตัดทิ้งเสียก่อน ใบหน้าสวยหรี่ตามองไปที่หน้าจอตัวเองเล็กน้อยก่อนที่จะตัดสินใจโทรไปอีกครั้ง แต่มันก็เหมือนเดิม
ไม่มีเสียงตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก
“ฮึ๊ย! คนอื่นก็ได้!” กดไปที่อีกเบอร์ “ฮัลโหล คุณกาญเหรอคะ”
ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด
แต่ผลตอบรับก็เหมือนเดิม
มือบางกำโทรศัพท์แน่นพยายามโทรหาเพื่อนๆ ของเธออีกหลายๆ คน แต่ผลตอบรับก็ไม่ได้ต่างอะไรกับสองคราแรก...สายถูกตัดและไม่มีการรับสายแต่อย่างใด
“กรี๊ดด!!! ไอ้พวกบ้า!”
นันกรีดร้องอย่างโมโหเมื่อมันไม่เป็นดั่งใจนึก
“พอเถอะคุณนัน”
พจน์ห้าม เขามองภรรยาตัวเองด้วยความอดสู สิ่งที่นันทำมันทำให้เขาคิดว่าช่างไร้ศักดิ์ศรีจริงๆ ที่เที่ยวร่ำร้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่นๆ ทั้งๆ ที่ไม่มีใครจะยื่นมือเข้ามาช่วยอยู่แล้ว แต่พจน์เข้าใจนันดีว่ารู้สึกยังไง เพราะเขาเองก็ไม่ได้ต่างอะไรจากนันเหมือนกัน แต่เพราะเขาเป็นหัวหน้าครอบครัว ไม่สามารถที่จะอ่อนแอได้เลยต้องพยายามทำตัวเองให้เข้มแข็ง ทั้งที่ใจจริงแล้วอยากร้องไห้แทบเป็นแทบตาย
“ไม่! ฉันไม่ยอม! ฮือ ฮือ”
หัวใจของนันแทบแหลกสลาย เธอร้องไห้ออกมาอย่างนึกอดสู... ไม่เคยนึกเลยว่าจะมีวันนี้จริงๆ วันที่เธอต้องกลับไปยากจนอีกครั้ง ริมฝีปากสีแดงฉานร่ำร้องด้วยความเจ็บปวดพลางนึกถึงอดีตที่อยากจะลืม ทั้งๆ ที่เธอพยายามมาจนได้ขนาดนี้มีหรือที่จะกลับไปเป็นเหมือนเดิม
[เรย์]
ภายในห้องที่ประดับประดาไปด้วยเฟอร์นิเจอร์หรู ถึงมันจะเรียบง่านแต่สไตล์การตกแต่งกลับสวยงามและเพอร์เฟ็กสมกับเป็นผู้ใช้จริงๆ ใบหน้าสวยของคนที่ผมมาพบกำลังคลี่ยิ้มหวานมาให้จนทำเอาผมอดที่จะยิ้มตามด้วยไม่ได้ ผมมาพบ ‘เธอ’ หลังจากที่จัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย แต่มันไม่ใช่การแค่พบกันธรรมดาๆ เท่านั้น แต่มันเป็นการแอบมาพบ แม้กระทั่งเอเดนก็ไม่รู้เรื่องนี้
“มีใครตามหรือเปล่า”
‘เธอ’ ถามผมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ไม่มีครับ...วางใจได้”
“อืม...แล้ว อีกนานแค่ไหน”
“อีกไม่นานครับ”
ผมยิ้มตอบ...แต่ดูจากสีหน้าของเธอแล้วท่าจะไม่พอใจสักเท่าไหร่ที่ผมยังคงดื้อดึง แต่ผมหยุดตอนนี้ไม่ได้จริงๆ มันสายเกินไปแล้ว...
“เฮ้อ”
“ผมไม่เป็นไรหรอก”
ผมเข้าไปโอบกอด ‘เธอ’ เอาไว้แน่น เพื่อเป็นคำมั่นว่าผมจะจบงานนี้ให้เร็วที่สุด...เธอกอดผมไว้แน่นด้วยความเป็นห่วงและเติมเต็มไปด้วยความรัก อ้อมกอดที่แสนอบอุ่น อ้อมกอดที่ผมไม่เคยมี
“อย่าประมาทนะเรย์ งานนี้มันเสี่ยง”
“ครับ ผมรู้”
ผมรู้ว่าควรจะจัดการงานนี้ยังไง...ผมรู้ว่าจะต้องทำยังไง เหลืออีกเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น...เรื่องทุกอย่างก็จะจบลง
“ถอนตัวเถอะนะ ตอนนี้มันยังไม่สาย”
เธอทำเสียงร้องขอ พลางมองหน้าผมด้วยแววตาเว้าวอน ผมไม่อยากให้เธอต้องเสียใจเลย แต่ผมหันหลังกลับไปไม่ได้จริงๆ แล้วดูเหมือนว่าเธอจะรู้คำตอบดีอยู่แล้วก็เลยได้แต่ถอนหายใจอีกรอบในความดื้อดึงของผม
“ผมสัญญา จบงานนี้เมื่อไหร่ ผมจะไปจากที่นี่ ช่วยรออีกนิดนะครับ”
ผมกอดเธอไว้แน่นพลางหลับตาลงช้าๆ ต้องจัดการงานนี้ให้เร็วที่สุด...
“หายไปไหนมา”
น้ำเสียงทุ้มเอ่ยถามผมทันทีที่ผมกลับมาที่บ้านของเอเดน...ใบหน้าของเขาดูท่าว่าจะไม่ชอบใจเท่าไหร่ที่ผมไปไหนมาไหนโดยที่ไม่ได้บอกเขา เพราะปกติตั้งแต่มาอยู่ด้วยกันเอเดนก็ให้คนคอยตามผมตลอด แทบไม่ปล่อยให้ผมคลาดสายตาเลย
“ไปเดินเล่น”
ผมสบตาตอบ
“แล้วทำไมถึงไม่บอกกู! มึงรู้ไหมกูเป็นห่วงมึงขนาดไหน ห่ะ!”
อีกแล้ว...ถ้าเขาโมโหเมื่อไหร่ เขาจะขึ้นมึงขึ้นกูกับผมทันที แต่ถ้าเป็นอารมณ์ปกติจะเรียก ‘ฉัน’ และ ‘นาย’
เอเดนปรี่เข้ามาจับแขนผมแน่นจนรู้สึกเจ็บ
“ขอโทษ...แต่อย่าโกรธเลยนะ” ผมเอื้อมไปจับมือหนา
“...”
“ที่ไม่บอกเพราะว่าเห็นเอเดนกำลังประชุมงานอยู่ เลยไม่อยากกวน”
แต่ดูท่าว่าเอเดนจะไม่ยอม แรงที่มีมากกว่าของเขามันทำให้ผมเจ็บจนผมต้องเบ้หน้าด้วยความเจ็บเล็กๆ ก่อนที่จะจับไปที่ใบหน้าหล่อแล้วเอื้อมไปจูบเบาๆ ที่แก้ม
จุ๊ฟ
“หายโกรธนะเอเดน”
ผมก้มหน้าต่ำมองพื้นด้วยความเขินอาย ให้ตายเถอะ! การที่ต้องมาง้อผู้ชายร่างสูงๆ เหมือนกับผู้หญิงแบบนี้แล้วอายชะมัด!
“นายก็รู้ว่าพ่อฉันยังไม่ไว้ใจนาย คราวหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ”
เอเดนกอดผม มือหนาก็ลูบผมของผมเบาๆ
“อืม”
อย่างที่เอเดนพูด...ผมรู้ว่าลุงบดินทร์ยังไม่ไว้ใจผม เขาไม่วางใจที่ผมยังอยู่ในบ้านเขา ถึงได้ให้ผมหมั่นกับเอเดนเพื่อกันไว้ก่อน ถึงเขาจะพอใจกับผลงานของผมที่ทำให้ได้ทรัพย์สมบัติของผู้ชายคนนั้น แต่เหตุผลที่ลุงบดินทร์ยังไม่ไว้ใจผมเต็มร้อยก็คงจะเป็นเพราะผมเป็นลูกของผู้ชายคนนั้น คงกลัวว่าผมจะแว้งกัดเอาได้ง่ายๆ เขาก็เลยมักจะส่งคนคอยตามผมตลอด
“นายเป็นของฉันนะเรย์”
“ฉันรู้”
ผมตอบเขาเสียงเบา...กี่ครั้งแล้วนะที่เอเดนพูดคำนี้กับผม เขามักบอกกับผมเสมอว่าผมเป็นของเขา...แล้วมันก็อาจจะเป็นแบบนั้นจริงๆ ก็ได้
วันต่อมา
ผมพาลูกน้องอีกหลายๆ คนไปที่บ้าน ‘อธิพัฒน์เดชากร’ บ้านที่ผมเคยอาศัยอยู่ตั้งแต่เล็กจนโต ป่านนี้แล้วคนพวกนั้นก็คงจัดการเก็บของเรียบร้อยแล้วสินะ หึ อยากเห็นหน้าคนพวกนั้นจริงๆ ว่าจะทำหน้ายังไง คงกำลังรอต้อนรับเจ้าของบ้านคนใหม่อย่างผมอยู่ละมั้ง
“ถึงแล้วครับคุณเรย์”
คนขับรถหันมาบอกกับผมก่อนที่จะวิ่งลงมาจากรถเพื่อเปิดประตูให้ มันน่าขำดีนะ...เมื่อไม่กี่วันก่อนผมยังมาอยู่ที่นี่อยู่เลย แต่มาวันนี้กลับกลายมาเป็นเจ้าของบ้านซะเอง
ผมเดินเข้าไปด้านในบ้านที่เงียบเชียว มันเงียบมากกว่าที่ผมคิด เหมือนราวกับว่าไม่มีใครอยู่บ้าน...แต่จริงๆ พอเดินเข้าไปข้างในมันกลับไม่ใช่อย่างที่ผมคิด ทุกคนที่ผมคุ้นตายังนั่งอยู่ตรงโซฟา โดยที่มีผู้หญิงที่ผมเกลียดที่สุดนั่งหน้าเชิดไม่ยอมแม้กระทั่งหันมามองผม ส่วนหนึ่งและผู้ชายคนนั้นก็นั่งอยู่ข้างๆ โดยที่ยังมีคนรับใช้นั่งด้วย
หึ ทำท่าเหมือนนางพญา
“ออกไปจากบ้านหลังนี้ซะ ผมเอาคนมารับพวกคุณแล้ว”
ผมยืนกอดอกมองการกระทำของคนพวกนั้น อยากรู้เสียจริงๆ ว่าจะทำยังไงต่อไป...พวกคนรับใช้ก็ยังไม่ยอมขยับ ยังคงก้มหน้านิ่ง
คงได้รับคำสั่งมาจากคนเป็นนายมาสินะ
“ผมบอกให้ออกไป!”
“ฉันไม่ออก!”
แต่ยังไม่ทันที่ผมจะพูดอะไร ผู้หญิงคนนั้นก็หันมาบอกกับผมด้วยแววตาแข็งกร้าว เธอมองผมราวกับว่าจะกินเลือดกินเนื้อ สายตาของเธอมีแต่ความเกลียดชัง ไม่เหมือนกับผู้หญิงที่ผมอยู่ด้วยมาเป็นสิบๆ ปีเลย เพราะถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอคงไม่มีทางทำเสียงและสีหน้าแบบนี้ใส่ผมแน่ๆ แต่ก็อย่างว่า...นี่แหละมนุษย์ พอศูนย์สิ้นทุกอย่างไปก็เริ่มแสดงตัวตนจริงๆ ออกมา
“คุณแม่” หนึ่งครางเรียกชื่อเสียงสั่นๆ ก่อนจะหันมาสบตากับผม “เรย์...อย่าทำแบบนี้เลยนะ หนึ่งขอร้อง”
“ไม่ต้องไปพูดดีกับมัน หนึ่ง!” เธอรีบสวนทันที “ยังไงซะ พวกฉันก็ไม่ออกไปจากบ้านหลังนี้! แกนั่นแหละที่ต้องออกไป ไอ้ลูกเนรคุณ!”
คำกล่าวหาถูกสาดซัดใส่ผม...ตายจริง นี่ผมกลายเป็นลูกเนรคุณไปแล้วเหรอเนี่ย มันก็คงจะเป็นแบบนั้นจริงๆ ก็ได้...ทำร้ายผู้บังเกิดเกล้าได้ลงคอ ยึดทรัพย์แล้วไล่ออกจากบ้านอีก รู้ถึงไหนคงถูกประณามแน่ๆ แต่แล้วยังไง? ผมไม่แคร์หรอก...แค่มีเงินก็จัดการได้ทุกอย่าง จะสร้างเรื่องจริงเป็นเรื่องเท็จ หรือ เรื่องเท็จเป็นเรื่องจริงยังไงก็ได้ แค่ใส่สีตีไข่สักหน่อยแค่นี้ก็ไม่ต้องกลัวแล้ว...แค่บีบน้ำตาแล้วก็ร้องขอความเห็นใจจากสังคม ขี้คร้านจะมีแต่คนสงสารผมซะมากกว่า
“ไม่เอาน่า...คุณแม่ ออกไปดีๆ ซะเถอะ อย่าให้ผมต้องใช้กำลัง”
ผมเอ่ยเรียก ‘คุณแม่’ ด้วยสายตายียวน
“ฉันไม่ออก! แกทำพ่อแกอย่างนี้ได้ยังไง ห่ะ! แกทำแบบนี้ได้ยังไง! เขาเป็นคนเลี้ยงดูแกมานะ แกจะไล่คุณพจน์และพวกฉันออกจากบ้านไม่ได้!!!” เธอยืนขึ้นประจันหน้ากับผมแล้วชี้มือใส่
“โหว ผมจำเป็นที่จะต้องขอบคุณพวกคุณสินะที่เลี้ยงดูผมเป็นอย่างดี? แต่ผมไม่ยักจะจำได้เลย คุณไม่เคยรักผมเหมือนลูกแท้ๆ อยู่แล้วนี่นา ส่วนคนพวกนี้ก็เหมือนกันเป็นคนใช้แต่ดันมานินทาเจ้านาย อย่างนี้สมควรเอาไว้ที่ไหน ส่วนพ่อเหรอ? ผมไม่เห็นเคยรู้จัก...เพราะเท่าที่จำได้พ่อของผมได้ตาย! ไปแล้ว”
เป็นไงละ...ผมพูดเรียงคนเลย...ใครทำอะไรกับผมไว้บ้างผมจำได้หมด พากันพูดไม่ออกเลย...พวกที่เป็นคนรับใช้ของผู้หญิงคนนั้นก็ได้แต่ก้มหน้า ไม่กล้ามองสบตากับผมเหมือนเดิม...
"ไอ้!"
“พอได้แล้วคุณนัน!”
หลังจากที่เงียบมานานเขาก็พูดขึ้น
“ฮึก คุณแม่...”
ผมหันไปมองหนึ่งที่ตอนนี้น้ำตาคลอเบ้า คอยจับแม่ตัวเองเอาไว้พลางมองไปที่ขา ดูเหมือนว่าอาการบาดเจ็บจะเริ่มดีขึ้นบ้างแล้ว แต่น่าเสียดายเล็กๆ ผมน่าจะทำจนกว่าจะนั่งรถเข็นนะเนี่ย
“ไปเก็บของแล้วออกไปจากบ้านหลังนี้ซะ พวกเรา...ต้องไปอยู่ที่อื่นกันแล้ว”
เขาลุกขึ้นสบตากับผม...มันเป็นสายตาที่เย็นเฉียบ สายตาที่แน่นิ่งและไร้ความรัก เหมือนอย่างแต่ก่อน...ไม่สิ จะเรียกได้ว่าเป็นสายตาที่แสดงถึง...ความเฉยเมย
“จัดการซะ พาคนพวกนี้ออกไปจากบ้านหลังนี้ให้หมด”
“ครับ”
ผมสั่งลูกน้องที่อยู่ทางด้านหลังแล้วพาตัวเองเชิดหน้าทำเหมือนไม่ใส่ใจ ใช่! ทั้งๆ ที่มันต้องเป็นแบบนั้นแต่ทำไมผมถึงได้รู้สึกเจ็บปวดแบบนี้นะ ทำไมผมจะต้องสนใจแววตาของเขาด้วย ผมไม่ได้เจ็บ...ไม่ได้รู้สึกอะไรสักนิด
จุดเริ่มต้นของผม...เริ่มมาจากตรงไหนกันแน่นะ ตอนไหนกันที่ผมต้องกลายเป็นคนแบบนี้...ทรยศครอบครัว สมรู้ร่วมคิดกับศตรูของครอบครัวตัวเอง แต่มันก็ดีแล้วนี่...สาสมกับที่พวกเขาทำกับผม แต่แค่นี้ยังไม่พอหรอก พวกเขายังต้องชดใช้มากกว่านี้อีก
‘ไอ้ลูกเนรคุณ!’
นี่แหละ...ตัวผม
TAKE
มาเคลียร์กันอีกรอบ...
เทคไม่ได้ทิ้งเรื่องนี้นะ...ถ้าเทคทิ้งคงลบไปนานแล้ว แต่ที่ยังเก็บไว้คือรอเวลามาแต่งต่อ แล้วตอนนี้ก็ถึงเวลานั้นแล้ว เทคเคลียร์นิยายอื่นๆ หมดแล้ว กลับมาแต่งเรื่องนี้เรื่องเดียวเลย เอาให้จบ
ความคิดเห็น